“หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด"และ “จงดูมารดาของท่านเถิด” (ยอห์น ๑๙.๒๖,๒๗) พระวาทะนี้พระเยซูคริสต์ตรัสจากกางเขนกับพระมารดา และอัครสาวก ซึ่ง นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียนเห็นว่าแท้จริงแล้ว พระเยซูเจ้าไม่ได้ฝากให้สาวก ดูแลพระมารดาแทนพระองค์ ในทางกลับกัน พระเยซูคริสต์ทรงมอบพันธกิจ หรือฝาก พระมารดามารีย์ ให้ทำหน้าที่แทนพระองค์ โดยการ ดูแล อบรมสั่งสอนแนะนำศิษย์รัก ตามที่แม่พระได้เรียนรู้จากพระบุตรตั้งแต่ วินาทีแรกที่พระองค์เสด็จเข้ามาในโลก ฝ่ายบรรดาสาวกนั้น พระเยซูเจ้า ทรงยืนยัน และปลอบใจ พวกเขาที่กำลังเสียใจหรือท้อใจกับการจากไปของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงไว้วางพระทัย ในตัว พระมารดามารีย์ว่า สามารถทำพันธกิจแทนพระองค์ ได้ เพราะพระนางคือ สาวกคนแรก แม่พระสามารถเป็นผู้นำ แม่พระเรียนรู้เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้า ก่อนที่พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ด้วยซ้ำ นั่นคือตอนที่ทูตสวรรค์กาเบียลแจ้งข่าวเธอเชื่อ และยอมจำนนให้พระเจ้าใช้ครรภ์บริสุทธิ์ของนาง ในแผนการทรงไถ่
ภายหลังเมื่อพระกุมารเยซู ประสูติแล้ว แม่พระได้เรียนรู้จากพระเยซูเจ้า ผ่านกระบวนการเลี้ยงดูฟูมฟัก การอยู่เคียงข้าง สนับสนุนพระบุตรสุดที่รักตลอด สามสิบสามปี แน่นอนเหลือเกิน แม่พระทรงเห็นการอัศจรรย์ พระดำรัสสอน มากมายที่บุตรชายของนางได้สำแดง ตามที่ นักศาสนศาสตร์สตรีคริสเตียน ได้ชี้ประเด็นว่า แม่พระไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอ พระนางเป็นสตรีที่กล้าหาญ กล้าเผชิญความจริง เรื่องพระบุตร เพราะ ความจริงนั้น พระมารดามารีย์ทราบตั้งแต่ต้น ว่าลูกชายของนาง จะต้องทนทุกข์ ต้องให้ชีวิต แก่ ชาวอิสราเอล และชาวโลก ดังนั้นแม่พระทรงเหมาะสมที่จะเป็น “เสาหลัก” ดูแลเหล่าสาวก หรือผู้ติดตาม แทนพระเยซูคริสต์ เพราะพระมารดามารีย์ ทรงพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าพระนางเป็นสตรีแข็งแกร่ง ทรงผ่านช่วงเวลาทุกข์ยาก เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ รับสารจากทูตสวรรค์กาเบรียล แม่พระผ่านความทุกข์ ขมขื่น เดียวดาย ความเจ็บปวดที่ลูกชายสุดที่รักของนางได้รับมาตลอด จนกระทั่ง เมื่อถึงเวลากำหนด ของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เจ้าองค์บริสุทธิ์ ถูกพิพากษา โดยเพื่อนร่วมชาติ ตัดสินประหาร ก่อนถูกประหารนั้นสิบสองชั่วโมงสุดท้าย ที่พระบุตรเจ็บปวด พระมารดายิ่งรวดเร้าใจแทบขาด เธอจึงเคียงข้างพระบุตรในพระมหาทรมานครั้งนี้ด้วย ความรักและเต็มใจยิ่ง