หากผมนับถือ ทั้ง 2 ศาสนา จะเป็นอะไรไหมครับ
คือ ผมมีความสนใจทาง ศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ มัทยมต้น เนื่องจากได้ไป อยู่ รร.ประจำที่เป็นคาทอลิค แต่ พ่อแม่ ผมนับถือพุทธ ด้วยกิจกรรมทางพุทธศาสนาที่ผมต้องกระทำร่วมกับพ่อและแม่ ใน 1 ปีนั้นหลายหนมากและผมเองก็ต้องบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ณ วันที่ผม สำเร็จการศึกษา ในอีกไม่นานนี้ ด้วย
ผมเชื่อว่าทุกศาสนา สอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่หากผมนั้นจะ นับถือ พุทธ และคริสต์ จะเป็นผลเสียอะไรไหมครับ
และถ้าผมเข้าโบสถ์ ไปฟังทำสอน จะเป็นอะไรไหม
ผมชอบเวลาที่ได้ฟังและได้คิดตาม ในทุกๆ คำพูด ผมจะเก็บมาคิดและ ดูชีวิตของผมว่าทำถูกต้องรึยัง ดีรึยัง
แต่ในเวลาที่ผมไหว้พระทำบุญผมก็รู้สึกสบายใจ แต่การเข้าโบสถ์นั้นผมเองก็ยังไม่แน่ใจ เพราะเนื่องด้วย ในวัยเพียง 10 กว่าขวบ
ในตอนนั้น ยังคงคิดอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้ผมเองก็อยากจะเข้าไป ฟังคำสอนดูบ้างอีกซักครั้ง ผมเองก็กลัวว่า จะผิดอะไรรึปล่าว เลยไม่กล้า
รบกวนผู้รู้ตอบทีนะครับผม
ผมเชื่อว่าทุกศาสนา สอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่หากผมนั้นจะ นับถือ พุทธ และคริสต์ จะเป็นผลเสียอะไรไหมครับ
และถ้าผมเข้าโบสถ์ ไปฟังทำสอน จะเป็นอะไรไหม
ผมชอบเวลาที่ได้ฟังและได้คิดตาม ในทุกๆ คำพูด ผมจะเก็บมาคิดและ ดูชีวิตของผมว่าทำถูกต้องรึยัง ดีรึยัง
แต่ในเวลาที่ผมไหว้พระทำบุญผมก็รู้สึกสบายใจ แต่การเข้าโบสถ์นั้นผมเองก็ยังไม่แน่ใจ เพราะเนื่องด้วย ในวัยเพียง 10 กว่าขวบ
ในตอนนั้น ยังคงคิดอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้ผมเองก็อยากจะเข้าไป ฟังคำสอนดูบ้างอีกซักครั้ง ผมเองก็กลัวว่า จะผิดอะไรรึปล่าว เลยไม่กล้า
รบกวนผู้รู้ตอบทีนะครับผม
- dark-kanita
- โพสต์: 317
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 18, 2007 2:37 pm
เริ่มชอบพระคริสต์แล้วสินะคะอิอิ
หง่า จะเอารวดเดียว 2 เลยหรือคะ
แหม จับปลา 2 มือนี่นาอิอิ
ค่าเราว่าควรจะเลือกสักอันนะคะ
แบบว่าถ้ายังไม่แน่ใจก็ศึกษาไปก่อนก็ได้คะ
แต่ถ้าคิดว่า ศาสนาคริสต์เหมาะกับเราแล้วละก็
ลุยเลยคะ (อย่ามาซีนเดอเระ )อิอิ
เหมือนหนูตาก็ต้องลุยเหมือนกันละ
ตั้งแต่ด่านพ่อแม่ ด่านญาติ (ก็จะเป็นคริศต์คนเดียวทั้งบ้านนี่นา)
อิอิ เราว่าพระเจ้าละเท่สุดๆ
เดี๋ยวจะสวดให้นะคะ พ่อหนุ่ม อิอิ ยินดียิ่งนัก ที่ท่านสนใจพระ
สงสัยถูกพระจิตเจ้าเล่นงานเข้าแล้ว
ดีใจจังเลยค่า
หง่า จะเอารวดเดียว 2 เลยหรือคะ
แหม จับปลา 2 มือนี่นาอิอิ
ค่าเราว่าควรจะเลือกสักอันนะคะ
แบบว่าถ้ายังไม่แน่ใจก็ศึกษาไปก่อนก็ได้คะ
แต่ถ้าคิดว่า ศาสนาคริสต์เหมาะกับเราแล้วละก็
ลุยเลยคะ (อย่ามาซีนเดอเระ )อิอิ
เหมือนหนูตาก็ต้องลุยเหมือนกันละ
ตั้งแต่ด่านพ่อแม่ ด่านญาติ (ก็จะเป็นคริศต์คนเดียวทั้งบ้านนี่นา)
อิอิ เราว่าพระเจ้าละเท่สุดๆ
เดี๋ยวจะสวดให้นะคะ พ่อหนุ่ม อิอิ ยินดียิ่งนัก ที่ท่านสนใจพระ
สงสัยถูกพระจิตเจ้าเล่นงานเข้าแล้ว
ดีใจจังเลยค่า
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
เลือกให้ดี ๆ แต่เืลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นนะ
จำไว้อย่างหนึ่ง ไม่มีใครที่ไหนสามารถนับถือสองศาสนาพร้อมกันได้หรอก
เพราะมันต้องเจอเหตุการณ์ที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าเสมอ แล้วอีกตัวอย่างเก่งก็แค่เอาคำสอนมาใช้ มันต่างกับคำว่า "นับถือ" นะ
(มธ.6.24) "ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะ ว่าจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือ จะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง...."
คนที่เรียกตัวเองว่านับถือสองศาสนาหรือทุกศาสนาในโลกน่ะ เป็นแค่การปลอบใจหรือโกหกตัวเองเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้นแหละ
ไม่ได้บอกว่ารักพระเจ้าไม่ดี รักพระพุทธเจ้าไม่ดี แต่เราไม่คิดว่าต่างคนต่างจะชอบพวกบ่าวสองนายหรอกนะ
(ไม่ได้บอกว่านำคำสอนอีกฝ่ายไปใช้ไม่ได้ แต่การนำคำสอนไปใช้มันต่างกับการมีเจ้านายเป็นใครนะ)
จำไว้อย่างหนึ่ง ไม่มีใครที่ไหนสามารถนับถือสองศาสนาพร้อมกันได้หรอก
เพราะมันต้องเจอเหตุการณ์ที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าเสมอ แล้วอีกตัวอย่างเก่งก็แค่เอาคำสอนมาใช้ มันต่างกับคำว่า "นับถือ" นะ
(มธ.6.24) "ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะ ว่าจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือ จะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง...."
คนที่เรียกตัวเองว่านับถือสองศาสนาหรือทุกศาสนาในโลกน่ะ เป็นแค่การปลอบใจหรือโกหกตัวเองเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้นแหละ
ไม่ได้บอกว่ารักพระเจ้าไม่ดี รักพระพุทธเจ้าไม่ดี แต่เราไม่คิดว่าต่างคนต่างจะชอบพวกบ่าวสองนายหรอกนะ
(ไม่ได้บอกว่านำคำสอนอีกฝ่ายไปใช้ไม่ได้ แต่การนำคำสอนไปใช้มันต่างกับการมีเจ้านายเป็นใครนะ)
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
เอาแบบไหนหล่ะ ถ้าโดยตะแบงคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าโดยหลักการคงไม่ได้ อย่างคุณมานับถือคริสต์ พระบัญญัติ 10 ประการ แค่ประการที่ 1 ก็ขัดกับอีกศาสนานึงที่คุณต้องการแล้ว
พระบัญญัติประการที่ 1
คุณพ่อวัชศิลป์ กฤษเจริญ
บทที่หนึ่ง
“จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา” พระบัญญัติประการแรก
“เราเป็นพระเจ้าของท่าน ท่านต้องไม่มีพระอื่นใดนอกจากเรา”
9. เราจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร เมื่อเรารู้ว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรามนุษย์ทุกคน (เทียบ อพย 20:2)
(คำสอนฯข้อ 2083-2094,2133-2134)
เมื่อเรารู้ว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรา เราต้องรักษา และปฏิบัติตามคุณธรรมที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอน คือ ความเชื่อ ความไว้วางใจ และความรัก และพยายามหลีกเลี่ยงบาปที่ขัดกับคุณธรรมนั้น
(ความเชื่อ คือ เชื่อในพระเป็นเจ้า และปฏิเสธทุกสิ่งที่ตรงข้ามเช่นความสงสัยโดยจงใจ ความไม่เชื่อ การถือนอกรีต การละทิ้งความเชื่อ การแยกตัวออกจากพระศาสนจักร ความไว้ใจหรือความหวัง คือ รอคอยความสุขแท้จริงจากพระเป็นเจ้าด้วยความเชื่อมั่นและความช่วยเหลือของพระองค์ โดยการหลีกเลี่ยงความสิ้นหวังและความวางใจเกินควร และความรัก คือ รักพระเป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง นั่นคือ การขับไล่ความเย็นเฉย ความอกตัญญู ความเย็นเฉย ความเกียจคร้านหรือความไม่รู้ร้อนรู้หนาวฝ่ายจิต และความเกลียดชังพระเป็นเจ้าอันเนื่องมาจากความจองหอง)
10. พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” (มธ 4:10) หมายความว่าอะไร
(คำสอนฯข้อที่ 2095-2105, 2135-2136)
หมายความว่า เรามนุษย์จะต้องกราบไหว้ บูชา นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ทั้งโดยการกระทำที่เป็นส่วนตัวและทำเป็นหมู่คณะ ให้เราอธิษฐานภาวนาถึงพระองค์ด้วยการสรรเสริญ ขอบพระคุณ และวิงวอนขอพระพรจากพระองค์
11. มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่ถวายคารวกิจแด่พระเป็นเจ้าด้วยใจอิสระตามสิทธิของตนได้หรือไม่และอย่างไร
(คำสอนฯข้อ 2104-2109, 2137) มนุษย์แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะแสวงหาความจริง โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ เมื่อได้รู้จักแล้วก็จะรับและรักษาไว้อย่างซื่อสัตย์ด้วยการถวายคารวกิจที่ถูกต้องแท้จริงแด่พระเป็นเจ้า ในขณะเดียวกันในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนานี้ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ใครกระทำอะไรที่ขัดกับมโนธรรมของตน หรือขัดขวางมิให้ปฏิบัติตามมโนธรรมภายในของตน สิทธิการนับถือศาสนาเป็นสิทธิพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ทุกคน
12. พระบัญชาที่ว่า “ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา” (อพย 20:2) หมายความว่าอย่างไร
(คำสอนฯข้อ 2110-2128, 2138-2140)
พระบัญชานี้มีความหมายว่า เราจะต้องเคารพสักการะพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่ไปศรัทธาหรือบูชาพระอื่นใด ไม่เชื่อในเวทมนต์คาถา ไม่ดูหมิ่นบุคคลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้าอยู่จริงในโลกนี้
13. พระบัญชาที่ว่า “ท่านต้องไม่ทำรูปเคารพสำหรับตน” (อพย 20:3)หมายความว่าอะไร
(2129-2132, 2141)
พระบัญชานี้มีความหมายว่า ในพันธสัญญาเดิมนั้นห้ามมิให้มีอะไรมาแทนที่พระเป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือรูปเคารพใดๆ แต่ต่อมาในพันธสัญญาใหม่เมื่อพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมารับสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงมีร่างกายเหมือนมนุษย์ทุกประการ พระศาสนจักรจึงยอมรับและจัดให้ภาพของพระเยซูเจ้าเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ที่เราแสดงความเคารพได้ เพราะเมื่อเราแสดงความเคารพต่อพระรูป เราไม่ได้เคารพรูปนั้นๆ แต่เราได้เคารพพระบุคคลที่วาดอยู่ในภาพนั้นเอง
http://www.kamsondeedee.com/main/2008-1 ... /76/406--1<
พระบัญญัติประการที่ 1
คุณพ่อวัชศิลป์ กฤษเจริญ
บทที่หนึ่ง
“จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา” พระบัญญัติประการแรก
“เราเป็นพระเจ้าของท่าน ท่านต้องไม่มีพระอื่นใดนอกจากเรา”
9. เราจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร เมื่อเรารู้ว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรามนุษย์ทุกคน (เทียบ อพย 20:2)
(คำสอนฯข้อ 2083-2094,2133-2134)
เมื่อเรารู้ว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเรา เราต้องรักษา และปฏิบัติตามคุณธรรมที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอน คือ ความเชื่อ ความไว้วางใจ และความรัก และพยายามหลีกเลี่ยงบาปที่ขัดกับคุณธรรมนั้น
(ความเชื่อ คือ เชื่อในพระเป็นเจ้า และปฏิเสธทุกสิ่งที่ตรงข้ามเช่นความสงสัยโดยจงใจ ความไม่เชื่อ การถือนอกรีต การละทิ้งความเชื่อ การแยกตัวออกจากพระศาสนจักร ความไว้ใจหรือความหวัง คือ รอคอยความสุขแท้จริงจากพระเป็นเจ้าด้วยความเชื่อมั่นและความช่วยเหลือของพระองค์ โดยการหลีกเลี่ยงความสิ้นหวังและความวางใจเกินควร และความรัก คือ รักพระเป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง นั่นคือ การขับไล่ความเย็นเฉย ความอกตัญญู ความเย็นเฉย ความเกียจคร้านหรือความไม่รู้ร้อนรู้หนาวฝ่ายจิต และความเกลียดชังพระเป็นเจ้าอันเนื่องมาจากความจองหอง)
10. พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” (มธ 4:10) หมายความว่าอะไร
(คำสอนฯข้อที่ 2095-2105, 2135-2136)
หมายความว่า เรามนุษย์จะต้องกราบไหว้ บูชา นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ทั้งโดยการกระทำที่เป็นส่วนตัวและทำเป็นหมู่คณะ ให้เราอธิษฐานภาวนาถึงพระองค์ด้วยการสรรเสริญ ขอบพระคุณ และวิงวอนขอพระพรจากพระองค์
11. มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่ถวายคารวกิจแด่พระเป็นเจ้าด้วยใจอิสระตามสิทธิของตนได้หรือไม่และอย่างไร
(คำสอนฯข้อ 2104-2109, 2137) มนุษย์แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะแสวงหาความจริง โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ เมื่อได้รู้จักแล้วก็จะรับและรักษาไว้อย่างซื่อสัตย์ด้วยการถวายคารวกิจที่ถูกต้องแท้จริงแด่พระเป็นเจ้า ในขณะเดียวกันในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนานี้ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ใครกระทำอะไรที่ขัดกับมโนธรรมของตน หรือขัดขวางมิให้ปฏิบัติตามมโนธรรมภายในของตน สิทธิการนับถือศาสนาเป็นสิทธิพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ทุกคน
12. พระบัญชาที่ว่า “ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา” (อพย 20:2) หมายความว่าอย่างไร
(คำสอนฯข้อ 2110-2128, 2138-2140)
พระบัญชานี้มีความหมายว่า เราจะต้องเคารพสักการะพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่ไปศรัทธาหรือบูชาพระอื่นใด ไม่เชื่อในเวทมนต์คาถา ไม่ดูหมิ่นบุคคลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้าอยู่จริงในโลกนี้
13. พระบัญชาที่ว่า “ท่านต้องไม่ทำรูปเคารพสำหรับตน” (อพย 20:3)หมายความว่าอะไร
(2129-2132, 2141)
พระบัญชานี้มีความหมายว่า ในพันธสัญญาเดิมนั้นห้ามมิให้มีอะไรมาแทนที่พระเป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือรูปเคารพใดๆ แต่ต่อมาในพันธสัญญาใหม่เมื่อพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมารับสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงมีร่างกายเหมือนมนุษย์ทุกประการ พระศาสนจักรจึงยอมรับและจัดให้ภาพของพระเยซูเจ้าเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ที่เราแสดงความเคารพได้ เพราะเมื่อเราแสดงความเคารพต่อพระรูป เราไม่ได้เคารพรูปนั้นๆ แต่เราได้เคารพพระบุคคลที่วาดอยู่ในภาพนั้นเอง
http://www.kamsondeedee.com/main/2008-1 ... /76/406--1<
ค่อยๆศึกษา ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปครับ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ถ้าอยากรู้จักศาสนาคริสต์ให้ดียิ่งขึ้นก็ลองเข้าโบสถ์ดูนะครับ หรือมาสมัครเรียนคำสอนดูก็ได้ครับ ลองมาเรียนดูถ้าใช่ก็ค่อยเปลี่ยนถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่มีใครว่า ไม่มีใครบังคับ
ยินดีด้วยนะครับที่เยาวชนมาสนใจศาสนามากขึ้น
ถ้าอยากรู้จักศาสนาคริสต์ให้ดียิ่งขึ้นก็ลองเข้าโบสถ์ดูนะครับ หรือมาสมัครเรียนคำสอนดูก็ได้ครับ ลองมาเรียนดูถ้าใช่ก็ค่อยเปลี่ยนถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่มีใครว่า ไม่มีใครบังคับ
ยินดีด้วยนะครับที่เยาวชนมาสนใจศาสนามากขึ้น
- Alexander I
- โพสต์: 1
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 21, 2010 12:02 pm
- ติดต่อ:
ความหนึ่งในพระวรสารจากนักบุญลูกา
เพื่อความเข้าใจโดยง่าย : ยอห์นได้ทูลความ แด่พระเยซูว่า พวกเราได้เห็นคนผู้หนึ่ง ไล่ปีศาจออกในพระนามของพระคริสต์ และพวกเราก็ได้พยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกของเรา
พระเยซูตรัสตอบว่า : ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปห้ามเขา เพราะว่าใครก็ตามที่ไม่ต่อต้านท่าน ก็เป็นฝ่ายกับท่าน
คน ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่ากันหมดล่ะ ศาสนาไม่ได้แบ่งพวกเขา แต่เราต่างหาก ที่ทุกวันนี้พยายามแบ่งศาสนา ใครที่ทำดี ในสายตาพระเจ้า แม่พระ พระคริสต์ และเหล่าบรรดานักบุญทั้งหลาย ย่อมเห็นว่า เหมาะสม และ ชอบยิ่งนัก ความในพระวรสารนักบุญลูกาตอนนี้ก็ชี้ชัดอยู่แล้ว ว่าอย่างไร พระองค์มิได้ต่อต้านคนนอกศาสนาของพระองค์ เพราะคนศาสนาอื่นที่ทำดี ย่อมคือคนดีเหมือนกัน
ข้าพเจ้ากลับมองว่า ถ้าเราทำดีและทำดีในนามพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงรักเราเช่นกัน
เป็นกำลังใจให้นะครับ
เพื่อความเข้าใจโดยง่าย : ยอห์นได้ทูลความ แด่พระเยซูว่า พวกเราได้เห็นคนผู้หนึ่ง ไล่ปีศาจออกในพระนามของพระคริสต์ และพวกเราก็ได้พยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ใช่พวกของเรา
พระเยซูตรัสตอบว่า : ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปห้ามเขา เพราะว่าใครก็ตามที่ไม่ต่อต้านท่าน ก็เป็นฝ่ายกับท่าน
คน ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่ากันหมดล่ะ ศาสนาไม่ได้แบ่งพวกเขา แต่เราต่างหาก ที่ทุกวันนี้พยายามแบ่งศาสนา ใครที่ทำดี ในสายตาพระเจ้า แม่พระ พระคริสต์ และเหล่าบรรดานักบุญทั้งหลาย ย่อมเห็นว่า เหมาะสม และ ชอบยิ่งนัก ความในพระวรสารนักบุญลูกาตอนนี้ก็ชี้ชัดอยู่แล้ว ว่าอย่างไร พระองค์มิได้ต่อต้านคนนอกศาสนาของพระองค์ เพราะคนศาสนาอื่นที่ทำดี ย่อมคือคนดีเหมือนกัน
ข้าพเจ้ากลับมองว่า ถ้าเราทำดีและทำดีในนามพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงรักเราเช่นกัน
เป็นกำลังใจให้นะครับ
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
เหมือน พี่ๆคับว่าควรจะเลือกนับถือ เพราะว่า การที่เรานับถือสองศาสนาอ่ะคับ
สมมุติว่า พี่เป็นคาทอลิกใช่ป่ะคับ แต่พี่นับถือพุทธ แล้ว มีศาสนากิจที่พี่ต้องทำ เกี่ยวกับพุทธ ยกตัวอย่างง่ายๆว่า ไหว้พระ ก็ผิดพระบัญญัติที่ว่า ห้ามนับถือพระอืนใด นอกจากพระผู้เป็นเจ้าของท่านแล้วอ่ะคับ
สมมุติว่า พี่เป็นคาทอลิกใช่ป่ะคับ แต่พี่นับถือพุทธ แล้ว มีศาสนากิจที่พี่ต้องทำ เกี่ยวกับพุทธ ยกตัวอย่างง่ายๆว่า ไหว้พระ ก็ผิดพระบัญญัติที่ว่า ห้ามนับถือพระอืนใด นอกจากพระผู้เป็นเจ้าของท่านแล้วอ่ะคับ
ถ้าจะนับถือกันจริงๆแล้วคริสต์กับพุทธนับถือพร้อมๆกันไม่ได้ครับ
ถ้าคุณมีความเชื่อแบบคริสต์จริงๆ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียว เราทุกคนไม่บริสุทธิ์ แต่ได้รับการไถ่กู้โดยพระบุตรซึ่งเป็นมนุษย์พระ และเชื่อในชีวิตนิรันดรในพระเจ้า คุณอาจจะยอมรับนับถือแนวทางคำสอนของพุทธศาสนาได้หลายข้อ แต่หลักศาสนาพุทธแม้จะไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า แต่ก็ไม่ให้ความสำคัญเลย สอนให้พึ่งตนเองเป็นหลัก ซึ่งอันนี้ก็ขัดแย้งกับหลักศาสนาคริสต์ และในความเป็นจริงชาวคริสต์อาจให้ความเคารพพระพุทธเจ้าเหมือนกับเป็นอาจารย์ที่น่าเคารพท่านหนึ่งก็ได้ แต่ในเมืองไทยนั้นชาวพุทธเขานับถือพระพุทธเจ้าศาสดาของเขาคล้ายๆกับเป็นเทพองค์หนึ่งไปเสียแล้ว ถ้าคนคริสต์ไปไหว้พระพุทธรูปในฐานะเป็นพระอาจารย์ผู้น่านับถือเหมือนไหว้บรรพบุรุษนั้นตามหลักศาสนาไม่น่าผิดเพราะไม่ได้นับถือเป็นพระเจ้าอีกองค์แต่ก็ผิดหลักปฏิบัติอยู่ดีเพราะถือเป็นที่สะดุด ทำให้คนที่ไม่รู้เจตนาของเราเกิดความกังขาหรือขบขันได้
ถ้าคุณเชื่อแบบพุทธคือไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หลักปฏิบัติในศาสนาพุทธเขาไม่ได้ให้เราสนใจเรื่องพระเจ้าเลย คุณก็ไม่สามารถให้เวลากับพระองค์อย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน
ที่พอจะเป็นไปได้ก็เช่นนับถือคริสต์แต่ใช้หลักธรรมของพุทธหลายๆข้อซึ่งไม่ขัดต่อความเชื่อในองค์พระเจ้า พระเยซู รวมถึงไม่เป็นที่สะดุดมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตร่วมด้วย หรือนับถือพุทธแต่เอาหลักความรักซึ่งสอดคล้องกับหลักความเมตตาของพุทธไปปรับใช้ก็พอได้ครับ
ถ้าคุณมีความเชื่อแบบคริสต์จริงๆ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียว เราทุกคนไม่บริสุทธิ์ แต่ได้รับการไถ่กู้โดยพระบุตรซึ่งเป็นมนุษย์พระ และเชื่อในชีวิตนิรันดรในพระเจ้า คุณอาจจะยอมรับนับถือแนวทางคำสอนของพุทธศาสนาได้หลายข้อ แต่หลักศาสนาพุทธแม้จะไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า แต่ก็ไม่ให้ความสำคัญเลย สอนให้พึ่งตนเองเป็นหลัก ซึ่งอันนี้ก็ขัดแย้งกับหลักศาสนาคริสต์ และในความเป็นจริงชาวคริสต์อาจให้ความเคารพพระพุทธเจ้าเหมือนกับเป็นอาจารย์ที่น่าเคารพท่านหนึ่งก็ได้ แต่ในเมืองไทยนั้นชาวพุทธเขานับถือพระพุทธเจ้าศาสดาของเขาคล้ายๆกับเป็นเทพองค์หนึ่งไปเสียแล้ว ถ้าคนคริสต์ไปไหว้พระพุทธรูปในฐานะเป็นพระอาจารย์ผู้น่านับถือเหมือนไหว้บรรพบุรุษนั้นตามหลักศาสนาไม่น่าผิดเพราะไม่ได้นับถือเป็นพระเจ้าอีกองค์แต่ก็ผิดหลักปฏิบัติอยู่ดีเพราะถือเป็นที่สะดุด ทำให้คนที่ไม่รู้เจตนาของเราเกิดความกังขาหรือขบขันได้
ถ้าคุณเชื่อแบบพุทธคือไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หลักปฏิบัติในศาสนาพุทธเขาไม่ได้ให้เราสนใจเรื่องพระเจ้าเลย คุณก็ไม่สามารถให้เวลากับพระองค์อย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน
ที่พอจะเป็นไปได้ก็เช่นนับถือคริสต์แต่ใช้หลักธรรมของพุทธหลายๆข้อซึ่งไม่ขัดต่อความเชื่อในองค์พระเจ้า พระเยซู รวมถึงไม่เป็นที่สะดุดมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตร่วมด้วย หรือนับถือพุทธแต่เอาหลักความรักซึ่งสอดคล้องกับหลักความเมตตาของพุทธไปปรับใช้ก็พอได้ครับ
- Jeanne d'Arc
- โพสต์: 235
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 12, 2009 12:33 pm
คงต้องเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาหลักครับ
ส่วนอีกศาสนาก็จะเป็นได้เพียงปรัชญาเสริม
ส่วนอีกศาสนาก็จะเป็นได้เพียงปรัชญาเสริม
จริงอยู่ครับการที่เราจะเลือกสิ่งใดทำสิ่งใดก็ควรที่จะเลือกจะทำในสิ่งตัวเองชอบตัวเองถนัด แต่ดูก่อน ครับ ก่อนที่เราจะเปลี่ยนจากอีกสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งนั้นเราก็ควรที่จะคิดทบทวนดูก่อนว่าสิ่งที่เราทำอยู่ เป็นอยู่ นับถืออยู่นั้นเราจริงจังกับมันแค่ไหน ลึกซึ้งกับมันแค่ไหนรู้ซึ้งซึ่งความเป็นจริงแค่ไหนแล้วลองเอามาเปรียบเทียบกันดู ว่ามันต่างกันยังไง ดีร้ายแค่ไหน แล้วค่อยคิดเปลี่ยนดีมั้ยครับ
สวัสดีครับผมสมาชิกใหม่ ที่ผมเขียนนี้มิได้บังอาจแนะนำครับ หากแต่หวังว่าท่านจะได้ไม่เครียด หากข้อความใดไม่ถูกใจผมขออภัยครับ...
จริงครับที่ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีแต่จะมีศาสนาไหนที่ให้ท่านรู้สึกว่ามีความสุขที่ท่านได้ศึกษา อันนี้ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ผมในฐานะที่เคยนับถือพุทธผมเองมีความสุขที่จะติดตามพระวจนะของพระเจ้าผมจึงเริ่มเรียนคำสอนทางไปรษณีย์ไปก่อน ผมคิดว่าหากพร้อมเมื่อไหร่ผมก็จะไปเรียนที่วัดและล้างบาปให้ได้ครับ....
อยากอธิบายให้ท่านเข้าใจ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบเลยที่มีคนมาแบ่งแยกศาสนากัน โดยอ้างว่ามี 1.ยึดว่าทุกสิ่งนั้นเกิดจากธรรมชาติ 2.ยึดว่าทุกสิ่งเกิดจากพระเจ้า แต่ความคิดผมนั้นผมเชื่อว่าทุกศาสนาคือศาสนาเดียวกันเพียงสอนต่างกัน(พระเจ้าทรงใช้วิธีการต่างกันในการเรียกลูกแกะของพระองค์) การที่มาเถียงกันไม่เกิดประโยชน์เพราะผมเห็นว่าคนที่เถียงกันหรือลังเลนั้นคือคนเหล่านั้นไม่ได้เข้าใจแก่นของศาสนา ขออุปมาดังผลส้ม ในทางพุทธ การทำบุญก็ตักบาตร ...ก็คือผิวส้ม หากจะเป็นเนื้อส้ม สิ่งเหล่านี้คือเพื่อขจัดจิตที่เห็นแก่ตัว ในพระคริสก็มีสอนอยู่แล้วว่าให้รักผู้อื่นเสมือนกับรักตัวเอง อนึ่ง ผิวส้ม ในพระคริสก็มีกรณีบาปดั่งเดิมนั้น ผมเห็นว่าเนื้อส้มคือให้รู้ว่าเกิดมาพร้อมความบาป(เกิดมามีกรรม)ต้องชดใช้บาปแบกความยากลำบากในชีวิต จะได้ไม่ต้องทำบาปเพื่ออีก
อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า ท่านมาเพื่อเติมเต็มดังนั้นเราควรเคารพท่านดั่งอาจารย์ พระเยซูพระองค์ก็ตรัสแบบเดียวกันว่าท่านมาเพื่อชี้ทางรอด(เติมเต็ม)เท่านั้น แล้วแต่ท่านจะปฏิบัติตามผู้ใด แต่ผมเลือกพระเยซูเพราะผมรู้สึกรักพระองค์และมีความสุขในการติดตามพระวจนะของพระเจ้า
มาถึงประเด็นสำคัญที่คิดว่าขัดแย้งอย่างมากคือ 1.ยึดว่าทุกสิ่งนั้นเกิดจากธรรมชาติ 2.ยึดว่าทุกสิ่งเกิดจากพระเจ้า ผมก็เห็นว่าไม่ขัดกันอยู่ดีเพราะ ถ้าจะถามกลับว่า ทุกสิ่งนั้นเกิดจากธรรมชาติแล้ว ธรรมชาตินั้นคือ ธรรมชาติของสิ่งใด ธรรมชาติของอะไร ความเห็นผม ธรรมชาติของพระเจ้าหรือพูดง่ายๆคือ ลักษณะความคิดหรืออุปนิสัยของพระเจ้านั้นเอง สำหรับผมก็หมายความว่า พระพุทธเข้าใจในความคิดของพระเจ้านั้นเอง ผมขอยกตัวอย่างครับ กรณีที่ประเทศหนึ่งเกิดฟ้าผ่าที่รูปปั้นพระเยซูที่สูงประมาณ 19 เมตร หากมองในแง่พุทธแบบเดิมก็เกิดจากธรรมชาติ หากมองในแง่คริสต์คือ พระประสงค์ของพระเจ้าแล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมต้อง ผ่าที่รูปปั้นพระเยซู ที่อื่นมีเยอะทำไมไม่ผ่า หากมองในมุมผมจริงครับเกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์ที่ต้องการเตือนให้เราไม่ยึดติดหรือเคารพรูปบูชาใดๆ (อันเป็นข้อห้ามตามหลักของพระคริสต์) มากกว่าพระเจ้าหรือพระวจนะของพระเจ้านั้นเอง แล้วก็เป็นจริงตามที่ผมคิดคือเนื้อหาในข่าวคือ ประชาชนในประเทศนั้นใช้รูปปั้นดังกล่าวยึดเหนี่ยวจิตใจ อันมิใช่พระประสงค์ของพระองค์
จริงครับที่ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีแต่จะมีศาสนาไหนที่ให้ท่านรู้สึกว่ามีความสุขที่ท่านได้ศึกษา อันนี้ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ผมในฐานะที่เคยนับถือพุทธผมเองมีความสุขที่จะติดตามพระวจนะของพระเจ้าผมจึงเริ่มเรียนคำสอนทางไปรษณีย์ไปก่อน ผมคิดว่าหากพร้อมเมื่อไหร่ผมก็จะไปเรียนที่วัดและล้างบาปให้ได้ครับ....
อยากอธิบายให้ท่านเข้าใจ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบเลยที่มีคนมาแบ่งแยกศาสนากัน โดยอ้างว่ามี 1.ยึดว่าทุกสิ่งนั้นเกิดจากธรรมชาติ 2.ยึดว่าทุกสิ่งเกิดจากพระเจ้า แต่ความคิดผมนั้นผมเชื่อว่าทุกศาสนาคือศาสนาเดียวกันเพียงสอนต่างกัน(พระเจ้าทรงใช้วิธีการต่างกันในการเรียกลูกแกะของพระองค์) การที่มาเถียงกันไม่เกิดประโยชน์เพราะผมเห็นว่าคนที่เถียงกันหรือลังเลนั้นคือคนเหล่านั้นไม่ได้เข้าใจแก่นของศาสนา ขออุปมาดังผลส้ม ในทางพุทธ การทำบุญก็ตักบาตร ...ก็คือผิวส้ม หากจะเป็นเนื้อส้ม สิ่งเหล่านี้คือเพื่อขจัดจิตที่เห็นแก่ตัว ในพระคริสก็มีสอนอยู่แล้วว่าให้รักผู้อื่นเสมือนกับรักตัวเอง อนึ่ง ผิวส้ม ในพระคริสก็มีกรณีบาปดั่งเดิมนั้น ผมเห็นว่าเนื้อส้มคือให้รู้ว่าเกิดมาพร้อมความบาป(เกิดมามีกรรม)ต้องชดใช้บาปแบกความยากลำบากในชีวิต จะได้ไม่ต้องทำบาปเพื่ออีก
อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า ท่านมาเพื่อเติมเต็มดังนั้นเราควรเคารพท่านดั่งอาจารย์ พระเยซูพระองค์ก็ตรัสแบบเดียวกันว่าท่านมาเพื่อชี้ทางรอด(เติมเต็ม)เท่านั้น แล้วแต่ท่านจะปฏิบัติตามผู้ใด แต่ผมเลือกพระเยซูเพราะผมรู้สึกรักพระองค์และมีความสุขในการติดตามพระวจนะของพระเจ้า
มาถึงประเด็นสำคัญที่คิดว่าขัดแย้งอย่างมากคือ 1.ยึดว่าทุกสิ่งนั้นเกิดจากธรรมชาติ 2.ยึดว่าทุกสิ่งเกิดจากพระเจ้า ผมก็เห็นว่าไม่ขัดกันอยู่ดีเพราะ ถ้าจะถามกลับว่า ทุกสิ่งนั้นเกิดจากธรรมชาติแล้ว ธรรมชาตินั้นคือ ธรรมชาติของสิ่งใด ธรรมชาติของอะไร ความเห็นผม ธรรมชาติของพระเจ้าหรือพูดง่ายๆคือ ลักษณะความคิดหรืออุปนิสัยของพระเจ้านั้นเอง สำหรับผมก็หมายความว่า พระพุทธเข้าใจในความคิดของพระเจ้านั้นเอง ผมขอยกตัวอย่างครับ กรณีที่ประเทศหนึ่งเกิดฟ้าผ่าที่รูปปั้นพระเยซูที่สูงประมาณ 19 เมตร หากมองในแง่พุทธแบบเดิมก็เกิดจากธรรมชาติ หากมองในแง่คริสต์คือ พระประสงค์ของพระเจ้าแล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมต้อง ผ่าที่รูปปั้นพระเยซู ที่อื่นมีเยอะทำไมไม่ผ่า หากมองในมุมผมจริงครับเกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์ที่ต้องการเตือนให้เราไม่ยึดติดหรือเคารพรูปบูชาใดๆ (อันเป็นข้อห้ามตามหลักของพระคริสต์) มากกว่าพระเจ้าหรือพระวจนะของพระเจ้านั้นเอง แล้วก็เป็นจริงตามที่ผมคิดคือเนื้อหาในข่าวคือ ประชาชนในประเทศนั้นใช้รูปปั้นดังกล่าวยึดเหนี่ยวจิตใจ อันมิใช่พระประสงค์ของพระองค์
-
- โพสต์: 719
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
- ที่อยู่: กาญจนบุรี
ความเห็นของคุณperamailก็ดีนะครับ จะเป็นกำลังใจให้ในการศึกษาคำสอนต่อไปนะครับ
ปล.แต่พิมพ์เว้นวรรคกับบรรทัดมากกว่านี้ก็ดีนะครับ= =" มันลายตาเวลาอ่าน
ปล.แต่พิมพ์เว้นวรรคกับบรรทัดมากกว่านี้ก็ดีนะครับ= =" มันลายตาเวลาอ่าน
เรื่องการนับถือศาสนานั้น ผมว่าต้องเป็นpackageครับ นับถือศาสนาใดก็ยึดแนวทางศาสนานั้นไว้ให้มั่นคง
ถ้าเป็นชาวพุทธ ก็ทำบุญตักบาตร ซึ่งผมก็ว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ
ถ้าเป็นชาวคริสต์ การไปร่วมพิธีมิสซาหรือพิธีนมัสการ (อย่างน้อยในวันอาทิตย์) ก็เป็นกิจการดีเช่นกัน
ถ้าเป็นมุสลิม การละหมาดก็กิจจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็นับเป็นวัตรปฏิบัติที่ดี
ผมว่าศาสนิกแต่ละศาสนาก็มีแนวทางเป็นของตนเอง ซึ่งแนวปฏิบัตินั้นก็ล้วนดีด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ขอให้เดินตามแนวทางที่ศาสนาได้กำหนดไว้ให้ ผมว่าก็ยอดเยี่ยมแล้วครับ
อนึ่ง ในศาสนาอิสลาม ก็มีสำนักนิติศาสตร์อิสลาม ได้แก่ สำนักมาลิกี สำนักฮานาฟี สำนักฮัมบาลี และ สำนักชาฟิอี (มุสลิมไทยส่วนใหญ่สังกัดสำนักนี้) ซึ่งมุสลิมคนใดสังกัดสำนักกฎหมายสำนักใด ก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางของสำนักนั้นในทุกเรื่อง จะยึดแนวทางแบบสลับไปสลับมา เรื่องการแต่งกายถือตามสำนักนี้ ส่วนเรื่องอาหารการกินย้ายไปถือตามอีกสำนักหนึ่ง ในลักษณะตามใจฉัน ถือเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ สังกัดสำนักไหนก็ยึดแนวทางของสำนักนั้นไป
ผมว่าเรื่องการนับถือศาสนาก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้แหละครับพี่ท่าน
ถ้าเป็นชาวพุทธ ก็ทำบุญตักบาตร ซึ่งผมก็ว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ
ถ้าเป็นชาวคริสต์ การไปร่วมพิธีมิสซาหรือพิธีนมัสการ (อย่างน้อยในวันอาทิตย์) ก็เป็นกิจการดีเช่นกัน
ถ้าเป็นมุสลิม การละหมาดก็กิจจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็นับเป็นวัตรปฏิบัติที่ดี
ผมว่าศาสนิกแต่ละศาสนาก็มีแนวทางเป็นของตนเอง ซึ่งแนวปฏิบัตินั้นก็ล้วนดีด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ขอให้เดินตามแนวทางที่ศาสนาได้กำหนดไว้ให้ ผมว่าก็ยอดเยี่ยมแล้วครับ
อนึ่ง ในศาสนาอิสลาม ก็มีสำนักนิติศาสตร์อิสลาม ได้แก่ สำนักมาลิกี สำนักฮานาฟี สำนักฮัมบาลี และ สำนักชาฟิอี (มุสลิมไทยส่วนใหญ่สังกัดสำนักนี้) ซึ่งมุสลิมคนใดสังกัดสำนักกฎหมายสำนักใด ก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางของสำนักนั้นในทุกเรื่อง จะยึดแนวทางแบบสลับไปสลับมา เรื่องการแต่งกายถือตามสำนักนี้ ส่วนเรื่องอาหารการกินย้ายไปถือตามอีกสำนักหนึ่ง ในลักษณะตามใจฉัน ถือเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ สังกัดสำนักไหนก็ยึดแนวทางของสำนักนั้นไป
ผมว่าเรื่องการนับถือศาสนาก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้แหละครับพี่ท่าน
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ตามนั้นค่ะJeanne d'Arc เขียน:คงต้องเลือกนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาหลักครับ
ส่วนอีกศาสนาก็จะเป็นได้เพียงปรัชญาเสริม
ของเราชอบมีคนดึงไปทำบุญของพุทธอยู่เรื่อยเลยอ่ะ ก็ช่วยใส่ไปอ่ะนะ แต่บางทีมาเรียกร้องขอใบม่วงๆเนี่ย หนั่งบาทเลยไม่ให้เลยอ่ะ อาทิตย์ก่อนคนชวนไปเรียน แต่ดันพาไปกถิน ก็โอเค วัดเค้าก็ไม่มีอะไรจิงๆ แต่โดนพระเจ้าตีอย่างจังเพราะมือถือ nokia express music หายไป ขอโทดค่ะพระเจ้า
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
มือถือหายไม่ใช่พระเจ้าตีอย่างแรงหรอกจ๊ะ เป็นที่ตัวเราเองที่ไม่ระวังมากกว่า