ทำไมคริสตชน เราไม่ควรลอยกระทง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 01, 2009 11:46 pm
วันขึ้น 15 คํ่าเดือน 12 วันลอยกระทง
วันเพ็ญเดือน 12 หรือวันลอยกระทง เป็นวันประกอบพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของคนไทยเรียกว่า เทศกาลลอยกระทง ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แม้ในปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติกันอยู่ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด
ความมุ่งหมายของการลอยกระทงมีอยู่หลายประการ เช่น การขอขมาต่อพระแม่คงคา การบูชารอยพระพุทธบาท การลอยเคราะห์โรคภัยและทุกข์โศกให้ไหลไปกับสายนํ้า ฯลฯ กิจกรรมดังกล่าวนี้จะจัดขึ้นในเดือน 12 โดยนับวันตามจันทรคติ หรือราวเดือนพฤศจิกายน
ประวัติความเป็นมา
คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้
การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์ คือบูชาพระนารายณ์ ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา
การลอยกระทง เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดริมแม่นํ้านัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศา ของพระพุทธเจ้า
การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล [/b] ประวัติการลอยกระทงในเมืองไทย
การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เรียกว่า การลอยกระทงประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์ รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระล่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทง หรือลอยโคม ในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่นํ้านัมมทามที ซึ่งเป็นแม่นํ้าสายหนึ่ง อยู่ในแคว้นทักขิณาบถ ของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่นํ้าเนรพุททา
การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐาน รอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลาย ได้สักการะบูชา
การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้งกับพุทธประวัติ ยังมีอีก 2 เรื่องคือ
การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และ
การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก
ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันนะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่นํ้า อโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่นํ้าไปโดยสวัสดี
เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันนะ นำเครื่องประดับ และม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพุพชุชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา ทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ไดนำพระอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณี เจดียสถานในเทวโลก
พระจุฬามณีตามปกติเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำ แม้พระศรีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ ซึ่งในอนาคตจะมาจุติบนโลก และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บบูชาพระศรีอริยเมตไตรยด้วย
ตำนานการลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา
ครั้นจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ เมื่อท้าวสักกเทวราชทราบพระพุทธองค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับ เทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ
ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพ และประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ ( เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์ )
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
ยังมีพิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำกันในวันขึ้น 15 คํ่าเดือน 11 หรือวันขึ้น 15 คํ่าเดือน 12 เป็น 2 ระยะ จะทำในกำหนดใดก็ได้
ตำนานการลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม
นิทานต้นเหตุเกี่ยวกับวันลอยกระทงอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่นํ้า วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากิน แล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงนํ้า แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง
เมื่อแม่กาย้อนกลับมาที่รังไม่พบฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5 นั้น ลอยนํ้าไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้นถึงกำหนดฟัก กลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็น ลูกกาตามชาติกำเนิดเลย
กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาส และเห็นอนิสงส์ในการบรรพชา จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษี ต่อมาฤาษีทั้ง 5 ได้มีโอกาสพบปะกัน และถามถึงนามวงศ์ และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้
คนแรกชื่อ กกุสันโธ ( วงค์ไก่ )
คนที่สองชื่อ โกนาคมโน ( วงค์นาค )
คนที่สามชื่อ กัสสโป ( วงค์เต่า )
คนที่สี่ชื่อ โคตโม ( วงค์โค )
คนที่ห้าชื่อ เมตเตยโย ( วงค์ราชสีห์ )
ต่างตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน ท้าวพกพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชา ลอยกระทงในแม่นํ้า ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกพรหมก็ลากลับไป
ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม และเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานี ส่วนฤาษีทั้งท 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าดังนี้
ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ
ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์
ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ
ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม
ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย
พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก ได้มาบังเกิดบนโลกแล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย
การลอยกระทงของชาวเหนือ ( ยี่เป็ง )
การลอยกระทงของชาวเหนือ นิยมทำกันในเดือนยี่เป็ง ( คือยี่หรือเดือนสอง เพราะนับวันเร็วกว่าของเรา 2 เดือน ) เพื่อบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่า ท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะตือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า
การลอยกระทงของชาวอีสาน ( ไหลเรือไฟ )
การลอยกระทงในภาคอีสาน เรียกว่าเทศกาลไหลเรือไฟ จัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ในจังหวัดนครพนม โดยการนำหยวกกล้วยหรือวัสดุต่างๆ มาตกแต่งเป็นรูปพญานาคและรูปอื่นๆ ตอนกลางคืนจุดไฟปล่อยให้ไหล ไปตามลำนํ้าโขงดูสวยงามตระการตา
นอกจากนี้ยังมีประเพณีอลยกระทงในประเทศต่างๆ เช่นที่เขมร จีน อินเดีย โดยมีคติความเชื่อ และประวัติความเป็นมาตรงกันบ้าง แตกต่างกันไปบ้าง
บทส่งท้าย
ประเพณีการลอยกระทง น่าจะเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องมีนํ้าเป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ จึงมีการลอยกระทงไปตามกระแสนํ้า เพื่อขอบคุณพระแม่คงคา หรือเทพเจ้าแห่งนํ้า อีกทั้งเป็นการแสดงความคารวะขออภัย ที่ได้ลงอาบ หรือปล่อยสิ่งปฏิกูลลงนํ้า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งเป็นการบูชาเทพเจ้า ตลอดจนพระพุทธบาท พระเจดีย์จุฬามณี ฯลฯ ตามคติความเชื่อ
หลังจากทำพิธีลอยกระทงแล้ว ก็จัดให้มีการละเล่นรื่นเริงสนุกสนาน เช่น การละเล่นพื้นเมือง การละเล่นเพลงเรือ รำวง ฯลฯ อันเป็นธรรมเนียมประเพณี ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
สรุปเหตุผลในการลอยกระทง
1.เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท และบูชาเทพเจ้า ตามคติความเชื่อ
2.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา
3.เพื่อรู้ถึงคุณค่าของนํ้า หรือแม่นํ้าลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการดำรงชีวิต
เพราะมันแฝงไปด้วยความเชื่อ อื่นๆ
วันเพ็ญเดือน 12 หรือวันลอยกระทง เป็นวันประกอบพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของคนไทยเรียกว่า เทศกาลลอยกระทง ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แม้ในปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติกันอยู่ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด
ความมุ่งหมายของการลอยกระทงมีอยู่หลายประการ เช่น การขอขมาต่อพระแม่คงคา การบูชารอยพระพุทธบาท การลอยเคราะห์โรคภัยและทุกข์โศกให้ไหลไปกับสายนํ้า ฯลฯ กิจกรรมดังกล่าวนี้จะจัดขึ้นในเดือน 12 โดยนับวันตามจันทรคติ หรือราวเดือนพฤศจิกายน
ประวัติความเป็นมา
คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้
การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์ คือบูชาพระนารายณ์ ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา
การลอยกระทง เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดริมแม่นํ้านัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศา ของพระพุทธเจ้า
การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล [/b] ประวัติการลอยกระทงในเมืองไทย
การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เรียกว่า การลอยกระทงประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์ รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระล่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทง หรือลอยโคม ในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่นํ้านัมมทามที ซึ่งเป็นแม่นํ้าสายหนึ่ง อยู่ในแคว้นทักขิณาบถ ของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่นํ้าเนรพุททา
การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐาน รอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลาย ได้สักการะบูชา
การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้งกับพุทธประวัติ ยังมีอีก 2 เรื่องคือ
การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และ
การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก
ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันนะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่นํ้า อโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่นํ้าไปโดยสวัสดี
เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันนะ นำเครื่องประดับ และม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพุพชุชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา ทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ไดนำพระอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณี เจดียสถานในเทวโลก
พระจุฬามณีตามปกติเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำ แม้พระศรีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ ซึ่งในอนาคตจะมาจุติบนโลก และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บบูชาพระศรีอริยเมตไตรยด้วย
ตำนานการลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา
ครั้นจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ เมื่อท้าวสักกเทวราชทราบพระพุทธองค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับ เทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ
ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพ และประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ ( เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์ )
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
ยังมีพิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำกันในวันขึ้น 15 คํ่าเดือน 11 หรือวันขึ้น 15 คํ่าเดือน 12 เป็น 2 ระยะ จะทำในกำหนดใดก็ได้
ตำนานการลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม
นิทานต้นเหตุเกี่ยวกับวันลอยกระทงอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่นํ้า วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากิน แล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงนํ้า แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง
เมื่อแม่กาย้อนกลับมาที่รังไม่พบฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5 นั้น ลอยนํ้าไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้นถึงกำหนดฟัก กลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็น ลูกกาตามชาติกำเนิดเลย
กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาส และเห็นอนิสงส์ในการบรรพชา จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษี ต่อมาฤาษีทั้ง 5 ได้มีโอกาสพบปะกัน และถามถึงนามวงศ์ และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้
คนแรกชื่อ กกุสันโธ ( วงค์ไก่ )
คนที่สองชื่อ โกนาคมโน ( วงค์นาค )
คนที่สามชื่อ กัสสโป ( วงค์เต่า )
คนที่สี่ชื่อ โคตโม ( วงค์โค )
คนที่ห้าชื่อ เมตเตยโย ( วงค์ราชสีห์ )
ต่างตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน ท้าวพกพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชา ลอยกระทงในแม่นํ้า ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกพรหมก็ลากลับไป
ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม และเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานี ส่วนฤาษีทั้งท 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าดังนี้
ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ
ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์
ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ
ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม
ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย
พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก ได้มาบังเกิดบนโลกแล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย
การลอยกระทงของชาวเหนือ ( ยี่เป็ง )
การลอยกระทงของชาวเหนือ นิยมทำกันในเดือนยี่เป็ง ( คือยี่หรือเดือนสอง เพราะนับวันเร็วกว่าของเรา 2 เดือน ) เพื่อบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่า ท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะตือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า
การลอยกระทงของชาวอีสาน ( ไหลเรือไฟ )
การลอยกระทงในภาคอีสาน เรียกว่าเทศกาลไหลเรือไฟ จัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ในจังหวัดนครพนม โดยการนำหยวกกล้วยหรือวัสดุต่างๆ มาตกแต่งเป็นรูปพญานาคและรูปอื่นๆ ตอนกลางคืนจุดไฟปล่อยให้ไหล ไปตามลำนํ้าโขงดูสวยงามตระการตา
นอกจากนี้ยังมีประเพณีอลยกระทงในประเทศต่างๆ เช่นที่เขมร จีน อินเดีย โดยมีคติความเชื่อ และประวัติความเป็นมาตรงกันบ้าง แตกต่างกันไปบ้าง
บทส่งท้าย
ประเพณีการลอยกระทง น่าจะเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องมีนํ้าเป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ จึงมีการลอยกระทงไปตามกระแสนํ้า เพื่อขอบคุณพระแม่คงคา หรือเทพเจ้าแห่งนํ้า อีกทั้งเป็นการแสดงความคารวะขออภัย ที่ได้ลงอาบ หรือปล่อยสิ่งปฏิกูลลงนํ้า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งเป็นการบูชาเทพเจ้า ตลอดจนพระพุทธบาท พระเจดีย์จุฬามณี ฯลฯ ตามคติความเชื่อ
หลังจากทำพิธีลอยกระทงแล้ว ก็จัดให้มีการละเล่นรื่นเริงสนุกสนาน เช่น การละเล่นพื้นเมือง การละเล่นเพลงเรือ รำวง ฯลฯ อันเป็นธรรมเนียมประเพณี ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
สรุปเหตุผลในการลอยกระทง
1.เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท และบูชาเทพเจ้า ตามคติความเชื่อ
2.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา
3.เพื่อรู้ถึงคุณค่าของนํ้า หรือแม่นํ้าลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการดำรงชีวิต
เพราะมันแฝงไปด้วยความเชื่อ อื่นๆ