รวมกระทู้น้องเจนจิรา
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
พกครับ รุ่นท้อปด้วย ...โดนอาจารย์ถามกลับเลย "แล้วคุณล่ะ พกหรือเปล่า?"
- st.dominic savio
- โพสต์: 203
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 17, 2009 12:50 pm
- ที่อยู่: บ้านแพน อยุธยา
ท่านนักบุญดอมินิก ซาวีโอ องค์อุปถัมภ์บรรดาเยาวชนช่วยวิงวอนเทอญ
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
งง กับตัวเองว่า ทำไมตอนอยากมี ไม่โผล่มา แล้วทำไม มาโผล่กันจั๊ง ตอนไม่อยากมี?
ไม่เปงไรคับ ผมก้อยางม่ามี ^ ^!mew เขียน: เพื่อนของมิวมันมีแฟนกันหมดแล้ว ยกเว้นมิวคนเดียว
คิดว่าต้องพิจารณาเป็นกรณีไปค่ะ
ส่วนตัวคิดว่า ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของมหาวิทยาลัย มาตรฐานของหลักสูตรเป็นหลักค่ะ (ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไทย หรือที่ต่างประเทศ)
อย่างหลักสูตรที่เรียนอยู่บางรายวิชาก็เปิดทั้งแบบเรียนในห้องเรียน และออนไลน์ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่มีความจำเป็นแตกต่างกันไป ในกรณีคิดว่าการเรียนออนไลน์ก็ไม่ได้มีมาตรฐานต่ำกว่าการเรียนในห้องค่ะ เพราะเนื้อหาและการบ้านต่างๆ ก็ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามการเรียนออนไลน์อาจจะหย่อนกว่าในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน และระหว่างผู้เรียนในห้องค่ะ
ส่วนตัวคิดว่า ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของมหาวิทยาลัย มาตรฐานของหลักสูตรเป็นหลักค่ะ (ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไทย หรือที่ต่างประเทศ)
อย่างหลักสูตรที่เรียนอยู่บางรายวิชาก็เปิดทั้งแบบเรียนในห้องเรียน และออนไลน์ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่มีความจำเป็นแตกต่างกันไป ในกรณีคิดว่าการเรียนออนไลน์ก็ไม่ได้มีมาตรฐานต่ำกว่าการเรียนในห้องค่ะ เพราะเนื้อหาและการบ้านต่างๆ ก็ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามการเรียนออนไลน์อาจจะหย่อนกว่าในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน และระหว่างผู้เรียนในห้องค่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ถ้าเรียนเพื่อรู้ ก็น่าจะโอเค "รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม"
ถ้าเพื่อใช้เพื่อทำงานด้วย ก็ต้องดูหลักสูตร มหาวิทยาลัย
แต่ของเจี๊ยบต้องเห็นหน้าเห็นตากันชัดๆ ถึงจะไปรอด อิอิ
ถ้าเพื่อใช้เพื่อทำงานด้วย ก็ต้องดูหลักสูตร มหาวิทยาลัย
แต่ของเจี๊ยบต้องเห็นหน้าเห็นตากันชัดๆ ถึงจะไปรอด อิอิ
การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี (ภาษาอังกฤษ: Death of the Virgin) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยการาวัจโจจิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลีที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีสในประเทศฝรั่งเศส
ภาพ “การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” เขียนราวระหว่างปี ค.ศ. 1604 ถึงปี ค.ศ. 1606 เป็นภาพที่การาวัจโจได้รับจ้างให้เขียนโดยเลร์ซิโอ อัลเบร์ติ (Laerzio Alberti) ทนายความของพระสันตะปาปาสำหรับชาเปลส่วนตัวภายในวัดซานตามาเรียเดลลาสกาลาซึ่งเป็นวัดนิกายคาร์เมไลท์ใหม่ที่ ทรัสเตเวเร (Trastevere) ในกรุงโรม “การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” เป็นภาพที่ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงเมื่อเขียนเสร็จและถูกปฏิเสธจาก นักบวชไม่ให้ตั้งในชาเปลที่ตั้งใจไว้
แต่ต่อมาปีเตอร์ พอล รูเบนส์ก็แนะนำให้ชาร์ลส์ที่ 1 ดยุคแห่งมานทัวซื้อโดยสรรเสริญว่าเป็นงานเขียนที่ดีที่สุดในสมัยนั้น หลังจากนั้นภาพเขียนถูกขายต่อให้แก่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ หลังจากพระเจ้าชาร์ลส์ถูกสำเร็จโทษภาพเขียนก็ถูกประมูลขายอีกครั้งๆ นี้ตกไปเป็นของงานสะสมหลวงของฝรั่งเศส และในที่สุดก็กลายไปเป็นของรัฐหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปัจจุบันภาพนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในกรุงปารีส
ก่อนที่จะออกจากโรมภาพเขียนตั้งแสดงที่สถาบันเซนต์ลูคราว สองอาทิตย์ แต่ขณะนั้นการาวัจโจก็หนีออกจากโรมไปแล้วหลังจากที่ฆ่ารานุชชิโอ โทมัสโซนิในการดวลดาบหลังจากเกมเทนนิสหลังจากที่เกิดการวิวาท
ภาพเขียนทำให้นึกถึงภาพ “ชะลอร่างจากกางเขน” ในนครรัฐวาติกันใน ด้านความครอบคลุม, ความสุขุม และความมีลักษณะเหมือนจริงที่คล้ายภาพถ่าย ขนาดตัวแบบในภาพเกือบเท่าคนจริง ล้อมรอบพระแม่มารีเป็นผู้ที่โทมนัสที่รวมทั้งนักบุญแมรี แม็กดาเลน และอัครสาวกสิบสององค์และ กลุ่มคนถัดออกไป การาวัจโจแสดงความโศรกเศร้าของผู้ที่อยู่ในภาพไม่ใช่ด้วยการแสดงหน้าที่บ่ง อารมณ์แต่โดยการซ่อนใบหน้า การาวัจโจผู้มีความสามารถในการใช้สีมืดบนผืนผ้าใบไม่สนใจในลักษณะการเขียน แบบแมนเนอริสม์ที่มักจะแสดงอารมณ์ต่างๆ กันไปในภาพเขียน การแสดงความเศร้าของการาวัจโจเป็นการแสดงความเศร้าที่ลึกและเงียบไม่โวยวาย ด้วยคนร้องไห้ การสะอื้นเกิดจากความเงียบใบหน้าที่ไม่ปรากฏของผู้มีอารมณ์
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารีแสดงโดยรัศมีบางๆ ราวเส้นด้ายเหนือพระเศียร ม่านสีแดงผืนใหญ่ที่ขึงหัอยบนส่วนบนของภาพเป็นโมทีฟที่มักจะใช้ในภาพเกี่ยว กับความตาย
ภาพนี้เขียนเสร็จเมื่อทฤษฎีความเชื่อเกี่ยวกับการอัสสัมชัญของพระแม่มารีหรือ การขึ้นสวรรค์ของพระแม่มารียังไม่เป็นที่ตกลงกันอย่างเป็นทางการโดยพระ สันตะปาปา แต่ความคิดเรื่องนี้ก็เริ่มมีรากฐานมาเป็นเวลาสองสามร้อยปีแล้วจนกระทั่ง การออกธรรมนูญการอัสสัมชัญของพระแม่มารี (Munificentissimus Deus) ในปี ค.ศ. 1950 ที่กล่าวถึงการขึ้นสวรรค์ของ “ร่างและวิญญาณ” ของพระแม่มารี ธรรมนูญเลี่ยงการประกาศว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากการสิ้นพระ ชนม์ตามที่เข้าใจกันตามปกติ ในเมื่อพันธสัญญาใหม่มิ ได้กล่าวถึงหัวข้อนี้แต่อย่างใด การจากของพระแม่มารีจากโลกนี้จึงเป็นเรื่องของทฤษฎีความเชื่อเฉพาะในนิกาย โรมันคาทอลิกเท่านั้น แม้ว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทฤษฎีโดยทั่วไปของโรมันคาทอลิกเชื่อว่าพระแม่มารีถูกนำขึ้นสวรรค์ขณะที่ทรง ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะเป็นเห็นได้จากภาพเขียนร่วมสมัยในหัวข้อนั้นเป็นจำนวนมากมาย บางความเชื่อก็ว่าพระเจ้าทรงนำร่างพระแม่มารีขึ้นสวรรค์เมื่อเพิ่งสิ้นพระ ชนม์ใหม่ๆ แต่โดยทั่วไปแล้วก็หมายถึงการที่ทรงได้รับการนำขึ้นสวรรค์โดยปราศจากความ เจ็บป่วยและความเจ็บปวดและร่างที่ถูกนำขึ้นไปเป็นร่างที่สมบูรณ์ด้วยพระ พลานามัยก่อนที่จะ “สิ้นพระชนม์” แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือการแสดงภาพการสิ้นพระชนม์ในยุคกลางจะเป็นจริงมากกว่า ยุคเรอเนสซองซ์หรือบาโรกต่อมาเช่นในภาพ “การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” โดยดูชิโอ ที่เขียนราวปี ค.ศ. 1308
“การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” โดยดูชิโอ ราว ค.ศ. 1308
ภาพเขียนของการาวัจโจเป็นงานศิลปะชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายของโรมันคาทอลิกที่ แสดงการสิ้นพระชนม์จริงๆ ของพระแม่มารี แต่ภาพนี้เท้าของพระแม่มารีบวมและในภาพไม่มีดรุณเทพที่นำพระองค์ขึ้นสู่ สวรรค์เช่นในภาพ “อัสสัมชัญของพระแม่มารี” โดย อันนิบาเล คารัคชี ที่เขียนก่อนหน้านั้นเพียงน้อยกว่าสิบปีสำหรับชาเปลในวัดซานตามาเรียเดลโปโปโล ภาพของคารัคชีไม่ได้เขียนภาพการสิ้นพระชนม์แต่เป็นภาพ “การอัสสัมชัญ” หรือการลอยขึ้นไปบนสวรรค์ พระวรการเหมือนกับภาพเรอเนสซองซ์หรือบาโรกภาพอื่นๆ ที่ดูอ่อนกว่าสตรีที่มีอายุราวห้าสิบปีหรือกว่านั้นเมื่อสิ้นพระชนม์ ผู้ร่วมสมัยกล่าวหาการาวัจโจว่าใช้โสเภณีเป็นแบบสำหรับพระแม่มารี
เมื่อเขียนเสร็จภาพเขียนถูกปฏิเสธไม่ให้ตั้งในวัดโดยนักบวชผู้กล่าวหาว่าเป็นภาพที่ไม่เหมาะกับการตั้งในชาเปล จุยเลียโน มันชินิ (Giulio Mancini) ผู้ร่วมสมัยของการาวัจโจ บันทึกว่าสาเหตุที่ถูกปฏิเสธเป็นเพราะการาวัจโจใช้โสเภณีมีชื่อเป็นแบบสำหรับพระแม่มารี แต่จิโอวานนิ บากลิโอเน (Giovanni Baglione) ผู้ร่วมสมัยอีกคนหนึ่งกล่าวว่าเป็นเพราะการาวัจโจแสดงช่วงขาที่ออกจะเปิดเผยของพระแม่มารี — ทั้งสองกรณีต่างก็อ้างมาตรฐานของสังคมในขณะนั้น แต่นักวิชาการการาวัจโจ จอห์น แกชตั้งข้อเสนอว่าปัญหาของนักบวชคาร์เมไลท์อาจจะไม่ใช่ความพอใจหรือไม่พอใจ ในความสวยงามของภาพ แต่ข้อขัดแย้งมีรากฐานมาจากความแตกต่างทางมุมมองของปรัชญาศาสนา ที่นักบวชคาร์เมไลท์มีความเห็นว่าภาพของการาวัจโจละเลยความเชื่อในเรื่องการอัสสัมชัญของพระแม่มารีที่ ว่าพระแม่มารีมิได้สิ้นพระชนม์อย่างธรรมดาแต่ทรงถูก “นำ” (Assume) ขึ้นสวรรค์ ภาพเขียนที่นำมาแทนเป็นงานเขียนของผู้ติดตามของการาวัจโจเอง คาร์โล ซาราเชนิ (Carlo Saraceni) ซึ่งเป็นภาพพระแม่มารีที่มิได้นอนสิ้นพระชนม์เช่นในภาพของการาวัจโจ แต่ทรงนั่งสิ้นพระชนม์ แต่ภาพนี้ก็ยังถูกปฏิเสธ และในที่สุดก็แทนด้วยภาพที่พระแม่มารีที่มิได้สิ้นพระชนม์นอนหรือนั่งแต่ ขึ้นสวรรค์พร้อมกับหมู่เทวดา แต่จะอย่างไรก็ตามการปฏิเสธก็ไม่ได้หมายความว่างานของการาวัจโจไม่เป็นที่ นิยม ไม่นานหลังจากที่ถูกปฏิเสธดยุคแห่งมานทัวก็ซื้อภาพตามคำแนะนำของปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และต่อมาสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษก็ทรงซื้อต่อ ก่อนที่จะตกไปเป็นของงานสะสมของหลวงในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1671 หลังจากที่ถูกปลงพระชนม์
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Death_of_t ... avaggio%29
ภาพ “การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” เขียนราวระหว่างปี ค.ศ. 1604 ถึงปี ค.ศ. 1606 เป็นภาพที่การาวัจโจได้รับจ้างให้เขียนโดยเลร์ซิโอ อัลเบร์ติ (Laerzio Alberti) ทนายความของพระสันตะปาปาสำหรับชาเปลส่วนตัวภายในวัดซานตามาเรียเดลลาสกาลาซึ่งเป็นวัดนิกายคาร์เมไลท์ใหม่ที่ ทรัสเตเวเร (Trastevere) ในกรุงโรม “การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” เป็นภาพที่ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงเมื่อเขียนเสร็จและถูกปฏิเสธจาก นักบวชไม่ให้ตั้งในชาเปลที่ตั้งใจไว้
แต่ต่อมาปีเตอร์ พอล รูเบนส์ก็แนะนำให้ชาร์ลส์ที่ 1 ดยุคแห่งมานทัวซื้อโดยสรรเสริญว่าเป็นงานเขียนที่ดีที่สุดในสมัยนั้น หลังจากนั้นภาพเขียนถูกขายต่อให้แก่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ หลังจากพระเจ้าชาร์ลส์ถูกสำเร็จโทษภาพเขียนก็ถูกประมูลขายอีกครั้งๆ นี้ตกไปเป็นของงานสะสมหลวงของฝรั่งเศส และในที่สุดก็กลายไปเป็นของรัฐหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปัจจุบันภาพนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในกรุงปารีส
ก่อนที่จะออกจากโรมภาพเขียนตั้งแสดงที่สถาบันเซนต์ลูคราว สองอาทิตย์ แต่ขณะนั้นการาวัจโจก็หนีออกจากโรมไปแล้วหลังจากที่ฆ่ารานุชชิโอ โทมัสโซนิในการดวลดาบหลังจากเกมเทนนิสหลังจากที่เกิดการวิวาท
ภาพเขียนทำให้นึกถึงภาพ “ชะลอร่างจากกางเขน” ในนครรัฐวาติกันใน ด้านความครอบคลุม, ความสุขุม และความมีลักษณะเหมือนจริงที่คล้ายภาพถ่าย ขนาดตัวแบบในภาพเกือบเท่าคนจริง ล้อมรอบพระแม่มารีเป็นผู้ที่โทมนัสที่รวมทั้งนักบุญแมรี แม็กดาเลน และอัครสาวกสิบสององค์และ กลุ่มคนถัดออกไป การาวัจโจแสดงความโศรกเศร้าของผู้ที่อยู่ในภาพไม่ใช่ด้วยการแสดงหน้าที่บ่ง อารมณ์แต่โดยการซ่อนใบหน้า การาวัจโจผู้มีความสามารถในการใช้สีมืดบนผืนผ้าใบไม่สนใจในลักษณะการเขียน แบบแมนเนอริสม์ที่มักจะแสดงอารมณ์ต่างๆ กันไปในภาพเขียน การแสดงความเศร้าของการาวัจโจเป็นการแสดงความเศร้าที่ลึกและเงียบไม่โวยวาย ด้วยคนร้องไห้ การสะอื้นเกิดจากความเงียบใบหน้าที่ไม่ปรากฏของผู้มีอารมณ์
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารีแสดงโดยรัศมีบางๆ ราวเส้นด้ายเหนือพระเศียร ม่านสีแดงผืนใหญ่ที่ขึงหัอยบนส่วนบนของภาพเป็นโมทีฟที่มักจะใช้ในภาพเกี่ยว กับความตาย
ภาพนี้เขียนเสร็จเมื่อทฤษฎีความเชื่อเกี่ยวกับการอัสสัมชัญของพระแม่มารีหรือ การขึ้นสวรรค์ของพระแม่มารียังไม่เป็นที่ตกลงกันอย่างเป็นทางการโดยพระ สันตะปาปา แต่ความคิดเรื่องนี้ก็เริ่มมีรากฐานมาเป็นเวลาสองสามร้อยปีแล้วจนกระทั่ง การออกธรรมนูญการอัสสัมชัญของพระแม่มารี (Munificentissimus Deus) ในปี ค.ศ. 1950 ที่กล่าวถึงการขึ้นสวรรค์ของ “ร่างและวิญญาณ” ของพระแม่มารี ธรรมนูญเลี่ยงการประกาศว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากการสิ้นพระ ชนม์ตามที่เข้าใจกันตามปกติ ในเมื่อพันธสัญญาใหม่มิ ได้กล่าวถึงหัวข้อนี้แต่อย่างใด การจากของพระแม่มารีจากโลกนี้จึงเป็นเรื่องของทฤษฎีความเชื่อเฉพาะในนิกาย โรมันคาทอลิกเท่านั้น แม้ว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทฤษฎีโดยทั่วไปของโรมันคาทอลิกเชื่อว่าพระแม่มารีถูกนำขึ้นสวรรค์ขณะที่ทรง ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะเป็นเห็นได้จากภาพเขียนร่วมสมัยในหัวข้อนั้นเป็นจำนวนมากมาย บางความเชื่อก็ว่าพระเจ้าทรงนำร่างพระแม่มารีขึ้นสวรรค์เมื่อเพิ่งสิ้นพระ ชนม์ใหม่ๆ แต่โดยทั่วไปแล้วก็หมายถึงการที่ทรงได้รับการนำขึ้นสวรรค์โดยปราศจากความ เจ็บป่วยและความเจ็บปวดและร่างที่ถูกนำขึ้นไปเป็นร่างที่สมบูรณ์ด้วยพระ พลานามัยก่อนที่จะ “สิ้นพระชนม์” แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือการแสดงภาพการสิ้นพระชนม์ในยุคกลางจะเป็นจริงมากกว่า ยุคเรอเนสซองซ์หรือบาโรกต่อมาเช่นในภาพ “การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” โดยดูชิโอ ที่เขียนราวปี ค.ศ. 1308
“การสิ้นพระชนม์ของพระแม่มารี” โดยดูชิโอ ราว ค.ศ. 1308
ภาพเขียนของการาวัจโจเป็นงานศิลปะชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายของโรมันคาทอลิกที่ แสดงการสิ้นพระชนม์จริงๆ ของพระแม่มารี แต่ภาพนี้เท้าของพระแม่มารีบวมและในภาพไม่มีดรุณเทพที่นำพระองค์ขึ้นสู่ สวรรค์เช่นในภาพ “อัสสัมชัญของพระแม่มารี” โดย อันนิบาเล คารัคชี ที่เขียนก่อนหน้านั้นเพียงน้อยกว่าสิบปีสำหรับชาเปลในวัดซานตามาเรียเดลโปโปโล ภาพของคารัคชีไม่ได้เขียนภาพการสิ้นพระชนม์แต่เป็นภาพ “การอัสสัมชัญ” หรือการลอยขึ้นไปบนสวรรค์ พระวรการเหมือนกับภาพเรอเนสซองซ์หรือบาโรกภาพอื่นๆ ที่ดูอ่อนกว่าสตรีที่มีอายุราวห้าสิบปีหรือกว่านั้นเมื่อสิ้นพระชนม์ ผู้ร่วมสมัยกล่าวหาการาวัจโจว่าใช้โสเภณีเป็นแบบสำหรับพระแม่มารี
เมื่อเขียนเสร็จภาพเขียนถูกปฏิเสธไม่ให้ตั้งในวัดโดยนักบวชผู้กล่าวหาว่าเป็นภาพที่ไม่เหมาะกับการตั้งในชาเปล จุยเลียโน มันชินิ (Giulio Mancini) ผู้ร่วมสมัยของการาวัจโจ บันทึกว่าสาเหตุที่ถูกปฏิเสธเป็นเพราะการาวัจโจใช้โสเภณีมีชื่อเป็นแบบสำหรับพระแม่มารี แต่จิโอวานนิ บากลิโอเน (Giovanni Baglione) ผู้ร่วมสมัยอีกคนหนึ่งกล่าวว่าเป็นเพราะการาวัจโจแสดงช่วงขาที่ออกจะเปิดเผยของพระแม่มารี — ทั้งสองกรณีต่างก็อ้างมาตรฐานของสังคมในขณะนั้น แต่นักวิชาการการาวัจโจ จอห์น แกชตั้งข้อเสนอว่าปัญหาของนักบวชคาร์เมไลท์อาจจะไม่ใช่ความพอใจหรือไม่พอใจ ในความสวยงามของภาพ แต่ข้อขัดแย้งมีรากฐานมาจากความแตกต่างทางมุมมองของปรัชญาศาสนา ที่นักบวชคาร์เมไลท์มีความเห็นว่าภาพของการาวัจโจละเลยความเชื่อในเรื่องการอัสสัมชัญของพระแม่มารีที่ ว่าพระแม่มารีมิได้สิ้นพระชนม์อย่างธรรมดาแต่ทรงถูก “นำ” (Assume) ขึ้นสวรรค์ ภาพเขียนที่นำมาแทนเป็นงานเขียนของผู้ติดตามของการาวัจโจเอง คาร์โล ซาราเชนิ (Carlo Saraceni) ซึ่งเป็นภาพพระแม่มารีที่มิได้นอนสิ้นพระชนม์เช่นในภาพของการาวัจโจ แต่ทรงนั่งสิ้นพระชนม์ แต่ภาพนี้ก็ยังถูกปฏิเสธ และในที่สุดก็แทนด้วยภาพที่พระแม่มารีที่มิได้สิ้นพระชนม์นอนหรือนั่งแต่ ขึ้นสวรรค์พร้อมกับหมู่เทวดา แต่จะอย่างไรก็ตามการปฏิเสธก็ไม่ได้หมายความว่างานของการาวัจโจไม่เป็นที่ นิยม ไม่นานหลังจากที่ถูกปฏิเสธดยุคแห่งมานทัวก็ซื้อภาพตามคำแนะนำของปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และต่อมาสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษก็ทรงซื้อต่อ ก่อนที่จะตกไปเป็นของงานสะสมของหลวงในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1671 หลังจากที่ถูกปลงพระชนม์
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Death_of_t ... avaggio%29
นที่ 15 สิงหาคมเป็นวันสำคัญมาก ทางศาสนา ของ Orthodox ซึ่งเป็นวันที่ พระมารดาเจ้า ได้ทรง สิ้นพระชนม์ ( นับจาก โดยปฎิทินเก่าของ จูเลียสซีซ่า )
โดย งานฉลอง จะใช้เวลาสอง สัปดาห์ ก่อนวันสิ้น พระชนม์ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหา ถึง 14 สิงหาคม โดยงดบริโภค ผลิตภัณฑ์ เนื้อ แดง สัตว์ ปีก ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ และไวท์
กินได้แต่ผัก ( ต้องเคร่งจริงๆ) แต่สามารถ บริโภค ปกติได้ในวันอาทิตย์ วันเดียวโดย วัดแต่ละประเทศจะ มีพิธีต่างกันบ้าง เล็กน้อย เช่น ที่รัสเซีย จะมีการ จัดการ ในเรื่อง
พิธีกรรม ของวัด และแจ้งให้ ทุกคนทราบ ว่าต้อง ถืออด สอง อาทิตย์ และจะมีพิธี สวด เต็มรูปแบบในวัด ทุกเย็น ยกเว้นวันเสาร์ ก่อนถึงวันแห่งการ หลับใหล ของ แม่พระ โดยจะนับวัน
ที่ 1 สิงหาคมก่อนวันที่ 15 เป็นวัน Procession of the Cross หรือแปลว่า ขบวนแห่ง กางเขน
สำหรับ orthodox และ catholic จะเรียก แม่พระตอนสิ้นพระชนม์ ว่า หลับใหล "sleeping" or "falling asleep" จะเรียกเหมือนกัน กับตอน ท่านยาย แอนนา ตอนสิ้นลมแล้ว
โดยจะถือว่า เป็นงาน ทางศาสนา เช่นกัน สำหรับ วันสิ้นลม ของ ท่านยาย แอนนา มารดาของ พระแม่เจ้า
ชาว orthodox เชื่อว่า พระมารดาเจ้า ได้มีชีวิต อยู่บนโลก นี้จนถึง ช่วงหลัง เทศการ แพนตาคอส และเป็นผู้ทำพิธีและให้ศีล ที่วัด the nascent Church และยังได้อาศัยอยู่บ้าน
นักบุญ ยอร์น ใน กรุงเยรูซาเล็ม หลังจากนั้น ท่าน เกเบล ทูตสวรรค์ ได้มาปรากฎ และแจ้่งให้ พระมารดา ทราบว่า ภายหลัง สามวัน พระนางจะฟื้นขึ้น จากความตาย เหล่านักบุญทั่ว
โลก กล่าว ว่าจะมีการ รับ พระนางสู่สววรค์ อย่าง น่า อัศจรรย์ และจะได้เห็น ยกเว้น นักบุญ โทมัส ที่มาสาย หลังจากที่ พระนาง สิ้นพระชนม์ ได้สามวันแล้ว ได้เข้ามาถาม ถึงถ้ำ ฝัง
พระศพ ของ พระมารดา และต้องการ กล่าวลา พระนาง ด้วย โดยศพระนาง ถูกฝัง ที่ Gethsemane ตามคำขอ ของพระนาง แต่เมื่อพวก เขามาถึง กลับพบหลุมศพ ที่ว่างเปล่า
เห ลือไว่แ่ค่ กลิ่น หอมเท่านั้น โดย เหล่านักบุญ ประจักษ์ ว่า พระเยซูเจ้า ได้เสด็จมารับพระมารดา ขึ้นสู่สวรรค์ โดยพระองค์รับ ลมหายใจ ก่อน และต่อจาก นั้นก็เสด็จมารับ ร่างกาย
ของ พระมารดา เจ้า
ตามรูปนี้
พระเยซูทรงถือ ลมหายใจจากพระมารดา ที่ถือบังเกิดใหม่ในพระหัต ของพระองค์
วันแห่งการหลับใหล แทนที่จะขึ้น เป็นวันที่พระเจ้ายกพระนางขึ้น สวรรค์ ?
วัน แห่งการหลับใหล ของ แม่พระ เป็นวันเดียว กับวัน ที่พระเจ้า รับพระนางขึ้นสวรรค์ ( โดยเรายังใช้ตาม ปฎิทินเก่า ) คือ วันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่าง การ
Orthodox = The Dormition of the Theotokos วันที่แม่พระสิ้นพพระชนม์
catholic= Assumption of Mary วันที่แม่พระขึ้นสวรรค์ขึ้นทั้งกายา
Orthodox เชื่อว่า พระเจ้า รับเอาลมหายใจ พระนางไปก่อน และพระนางสิ้น พระชนม์ แบบ ธรรมชาติ และอย่าง มุนษย์ ธรรมดาทั่วไป แต่หลังจาก วัแม่พระสิ้นลม สามวันให้หลัง พระ
เยซูจึง รับพระนางไปทั้ง ร่างกาย แต่ คำสอน โรมัน Catholic นั้นต่างกับ Orthodox ในยุคหลัง ซึ่งนั้นคือ พระสันตปาปา Pius XII ( ราวๆปี 1950 )โดยหลักข้อเชื่อที่ว่า นี้ มีว่า
แม่พระ ไม่เคยเสีย ชีวิต แต่พระเจ้า รับพระนาง ไปทั้งที่มีชีวิตอยู่ นั้นคือ Assumption of Mary ของฝ่าย catholic โดยความเชื่อ ว่า แม่พระ สิ้นพระชนม์โดยธรรมชาตินั้น คือสิ่งที่
ยึดถือมาตั้งแต่ดั่งเดิม สังคายนา กรุง คอนสแตนติเนเปิล ปัจจุบัน แม้ข้อเราจะมีความเชื่อที่ต่างจาก catholic ในเรื่องการสิ้นพระชนม์ของ แม่พระแล้ว แต่ในเรื่อง การยกขึ้นขึ้นสวรรค์
ทั้ง ร่างกาย นั้น เรายังคงยึดถือ เหมือนกันอยู่
บาง วัด ของ orthodox จะมีการจัดงาน งาน ฌาปนกิจพระ ศพ ของ พระนางมารีย์ ด้วย เรียกว่า All-night vigil โดยใช้ พิธีแบบเดียวกับ พิธี ฌาปนกิจพระ ศพ ของ พระเยซู
พิธีนี้ เริ่มขึ้นที่ กรุงเยรูซาเล็ม และ ถือนำไป ปฎิบัติโดย พระศาสนจักร ที่รัสเซีย วัน สิ้นพระชนม์ ของ พระแม่มารีย์ นั้นถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่สืบ ทอดมาจาก สังคายนา กรุง คอน
สแตนติเนเปิล ทุก ศาสนาจักร ของ Orthodox ทุกสาย
โดย งานฉลอง จะใช้เวลาสอง สัปดาห์ ก่อนวันสิ้น พระชนม์ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหา ถึง 14 สิงหาคม โดยงดบริโภค ผลิตภัณฑ์ เนื้อ แดง สัตว์ ปีก ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ และไวท์
กินได้แต่ผัก ( ต้องเคร่งจริงๆ) แต่สามารถ บริโภค ปกติได้ในวันอาทิตย์ วันเดียวโดย วัดแต่ละประเทศจะ มีพิธีต่างกันบ้าง เล็กน้อย เช่น ที่รัสเซีย จะมีการ จัดการ ในเรื่อง
พิธีกรรม ของวัด และแจ้งให้ ทุกคนทราบ ว่าต้อง ถืออด สอง อาทิตย์ และจะมีพิธี สวด เต็มรูปแบบในวัด ทุกเย็น ยกเว้นวันเสาร์ ก่อนถึงวันแห่งการ หลับใหล ของ แม่พระ โดยจะนับวัน
ที่ 1 สิงหาคมก่อนวันที่ 15 เป็นวัน Procession of the Cross หรือแปลว่า ขบวนแห่ง กางเขน
สำหรับ orthodox และ catholic จะเรียก แม่พระตอนสิ้นพระชนม์ ว่า หลับใหล "sleeping" or "falling asleep" จะเรียกเหมือนกัน กับตอน ท่านยาย แอนนา ตอนสิ้นลมแล้ว
โดยจะถือว่า เป็นงาน ทางศาสนา เช่นกัน สำหรับ วันสิ้นลม ของ ท่านยาย แอนนา มารดาของ พระแม่เจ้า
ชาว orthodox เชื่อว่า พระมารดาเจ้า ได้มีชีวิต อยู่บนโลก นี้จนถึง ช่วงหลัง เทศการ แพนตาคอส และเป็นผู้ทำพิธีและให้ศีล ที่วัด the nascent Church และยังได้อาศัยอยู่บ้าน
นักบุญ ยอร์น ใน กรุงเยรูซาเล็ม หลังจากนั้น ท่าน เกเบล ทูตสวรรค์ ได้มาปรากฎ และแจ้่งให้ พระมารดา ทราบว่า ภายหลัง สามวัน พระนางจะฟื้นขึ้น จากความตาย เหล่านักบุญทั่ว
โลก กล่าว ว่าจะมีการ รับ พระนางสู่สววรค์ อย่าง น่า อัศจรรย์ และจะได้เห็น ยกเว้น นักบุญ โทมัส ที่มาสาย หลังจากที่ พระนาง สิ้นพระชนม์ ได้สามวันแล้ว ได้เข้ามาถาม ถึงถ้ำ ฝัง
พระศพ ของ พระมารดา และต้องการ กล่าวลา พระนาง ด้วย โดยศพระนาง ถูกฝัง ที่ Gethsemane ตามคำขอ ของพระนาง แต่เมื่อพวก เขามาถึง กลับพบหลุมศพ ที่ว่างเปล่า
เห ลือไว่แ่ค่ กลิ่น หอมเท่านั้น โดย เหล่านักบุญ ประจักษ์ ว่า พระเยซูเจ้า ได้เสด็จมารับพระมารดา ขึ้นสู่สวรรค์ โดยพระองค์รับ ลมหายใจ ก่อน และต่อจาก นั้นก็เสด็จมารับ ร่างกาย
ของ พระมารดา เจ้า
ตามรูปนี้
พระเยซูทรงถือ ลมหายใจจากพระมารดา ที่ถือบังเกิดใหม่ในพระหัต ของพระองค์
วันแห่งการหลับใหล แทนที่จะขึ้น เป็นวันที่พระเจ้ายกพระนางขึ้น สวรรค์ ?
วัน แห่งการหลับใหล ของ แม่พระ เป็นวันเดียว กับวัน ที่พระเจ้า รับพระนางขึ้นสวรรค์ ( โดยเรายังใช้ตาม ปฎิทินเก่า ) คือ วันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่าง การ
Orthodox = The Dormition of the Theotokos วันที่แม่พระสิ้นพพระชนม์
catholic= Assumption of Mary วันที่แม่พระขึ้นสวรรค์ขึ้นทั้งกายา
Orthodox เชื่อว่า พระเจ้า รับเอาลมหายใจ พระนางไปก่อน และพระนางสิ้น พระชนม์ แบบ ธรรมชาติ และอย่าง มุนษย์ ธรรมดาทั่วไป แต่หลังจาก วัแม่พระสิ้นลม สามวันให้หลัง พระ
เยซูจึง รับพระนางไปทั้ง ร่างกาย แต่ คำสอน โรมัน Catholic นั้นต่างกับ Orthodox ในยุคหลัง ซึ่งนั้นคือ พระสันตปาปา Pius XII ( ราวๆปี 1950 )โดยหลักข้อเชื่อที่ว่า นี้ มีว่า
แม่พระ ไม่เคยเสีย ชีวิต แต่พระเจ้า รับพระนาง ไปทั้งที่มีชีวิตอยู่ นั้นคือ Assumption of Mary ของฝ่าย catholic โดยความเชื่อ ว่า แม่พระ สิ้นพระชนม์โดยธรรมชาตินั้น คือสิ่งที่
ยึดถือมาตั้งแต่ดั่งเดิม สังคายนา กรุง คอนสแตนติเนเปิล ปัจจุบัน แม้ข้อเราจะมีความเชื่อที่ต่างจาก catholic ในเรื่องการสิ้นพระชนม์ของ แม่พระแล้ว แต่ในเรื่อง การยกขึ้นขึ้นสวรรค์
ทั้ง ร่างกาย นั้น เรายังคงยึดถือ เหมือนกันอยู่
บาง วัด ของ orthodox จะมีการจัดงาน งาน ฌาปนกิจพระ ศพ ของ พระนางมารีย์ ด้วย เรียกว่า All-night vigil โดยใช้ พิธีแบบเดียวกับ พิธี ฌาปนกิจพระ ศพ ของ พระเยซู
พิธีนี้ เริ่มขึ้นที่ กรุงเยรูซาเล็ม และ ถือนำไป ปฎิบัติโดย พระศาสนจักร ที่รัสเซีย วัน สิ้นพระชนม์ ของ พระแม่มารีย์ นั้นถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่สืบ ทอดมาจาก สังคายนา กรุง คอน
สแตนติเนเปิล ทุก ศาสนาจักร ของ Orthodox ทุกสาย
ลองแปลดู นะ แล้วจะรู้ว่าเพราะอะำไรวอ เขียน: อืม เห็นบราเดอร์พูดว่าไม่มีใครรู้ว่าแม่พระตายเพราะอะไร
The Dormition of the Mother of God.
The Most-holy Mother of God after the Ascension of Jesus Christ continued to live on earth several years. One Christian historian says — ten years, and another — twenty-two years. Apostle John the Theologian, according to the instructions of Jesus Christ, took Her into his home and cared for Her with great love as Her own son until the end of Her life. The Most-holy Mother of God became a mother to all twelve of the apostles in general. They prayed with Her with great joy and were comforted to listen to Her instructive conversations about the Saviour. When the Christian faith had spread to other lands, many Christians came from distant countries to see and listen to Her voice.
Living in Jerusalem, the Mother of God loved to visit those places where the Saviour had frequented and where he had suffered, died, rose from the dead, and ascended to Heaven. She prayed at these places weeping, remembering the suffering of the Saviour, and rejoicing at the places of His Resurrection and Ascension. She often prayed that Christ would soon take Her to Himself in Heaven.
One day, when the Most-holy Mary was praying thus on the Mount of Olives, the Archangel Gabriel appeared to Her with a branch from a date palm in Paradise and told Her the joyful news that in three days She would finish Her earthly life, and the Lord would take Her to Himself. The Most-holy Mother of God silently rejoiced over this news. She told Her adopted son, John, and began to prepare for Her end. At that time, the other apostles were not in Jerusalem, as they had dispersed to other countries to preach about the Saviour. The Mother of God wanted to bid farewell to them, and so the Lord in a miraculous manner gathered all the apostles to Her, except Thomas, transporting them by His omnipotent power.
Grief befell them over losing the Mother of the Lord and their own spiritual Mother when they learned why God had gathered them. But the Mother of God comforted them promising not to leave them and all Christians after Her death and promising also to pray for them. Then, She blessed them all.
At the hour of Her death, an extraordinary light shone in the room where the Mother of God lay. The Lord Jesus Christ Himself, surrounded by angels, appeared and received Her pure soul.
The apostles buried the pure body of the Mother of God according to Her wishes in the Garden of Gethsemane where the body of Her parents and the righteous Joseph were buried. At the funeral, many miracles were performed. By touching the deathbed of the Mother of God, the blind regained their sight, demons were driven away, and all sorts of illnesses were cured. Crowds of people followed Her most pure body. Jewish priests and leaders tried to break up this holy procession, but the Lord invisibly protected it. One of the Jewish priests, by the name of Athonius, ran up, seized and tried to overturn the bier on which the body of the Mother of God was laid. But an invisible angel chopped off both his hands. Athonius, struck by such a wondrous miracle, repented and the Apostle Peter healed him.
Three days after the burial of the Mother of God, the absent Apostle Thomas arrived in Jerusalem. He was greatly saddened that he had not been able to say farewell to the Mother of God; and with all his heart, he desired to venerate Her most pure remains. The apostles felt so sorry for him that they decided to go and roll away the stone from the tomb to give him the possibility to venerate for the last time the body of the Mother of God. But when they opened the tomb, Her most holy body was not found, but only one piece of burial shroud was there. The amazed apostles returned to the house together and prayed to God to reveal to them what had become of the body of the Mother of God. In the evening, at the end of dinner during prayer, they heard angelic singing. Looking up, the apostles saw in the air the Mother of God surrounded by angels and in the radiance of heavenly glory. The Mother of God said to the apostles, "Rejoice! I am with you always and will pray for you before God."
The apostles exclaimed to Her in joy, "Most-holy Mother of God, help us!"
Thus the Lord Jesus Christ glorified His Most-holy Mother. He resurrected Her and took Her most holy body to Himself and set Her higher than all His angels.
Note: A full description of the Dormition of the Mother of God is found in Church Tradition and preserved by the Holy Orthodox Church.
The Dormition of our Most-holy Lady Mother of God is celebrated by the Holy Orthodox Church as one of its major feasts on the 15th of August (28th of August NS). Preceding this feast, there is a two-week fast beginning from the 1st of August. This feast is called the Dormition ("falling asleep") because the Mother of God died quietly as if She was falling asleep and, more importantly, because of the short sojourn of Her body in the grave. After three days, She was resurrected by the Lord and ascended into Heaven.
Troparion of the Feast.
In giving birth Thou didst preserve Thy virginity; in Thy dormition Thou didst not forsake the world, O Theotokos. Thou wast translated unto life, since Thou art the Mother of Life; and by Thine intercessions dost Thou deliver our souls from death.
อ่านแล้ว เศร้ามาก ค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย เจนจิรา เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 08, 2010 7:52 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
เมตตา ผู้ด้อยโอกาสทางภาษาหน่อยคับ- -''
ผมเคยอ่านเจอมาว่า การาวัจโจ ชอบนำโสเภณีมาเป็นนางแบบให้กับรูปที่เขาวาด และภาพของเขาก็ออกในแนวที่ไม่ค่อยดูศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่แม้จะเป็นภาพวาดเกี่ยวกับศาสนา ดังนั้น ภาพของเขาจึงไม่ได้รับการขึ้นประดับเหนือแท่นบูชา
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ส.ส.หญิงรัฐยูท่าห์ อาสาอุ้มบุญให้เพื่อนคู่เกย์ (ไทยรัฐ)
ส.ส.หญิง รัฐยูท่าห์ นางคริสตีน จอห์นสัน ยอมฉีดสเปิร์มของฝ่ายหนึ่งเข้ารังไข่ตัวเองเพื่อให้กำเนิดทายาท ของสองหนุ่มคู่เกย์เพื่อนสนิท เนื่องจากเห็นใจกับขั้นตอนตามกฎหมายรัฐ
เอพีรายงานว่า นางคริสตีน จอห์นสัน ส.ส.หญิง รัฐยูท่าห์ ตก ปากรับคำกับสองหนุ่มคู่เกย์เพื่อนสนิท แต่ไม่ขอระบุนาม ซึ่งจดทะเบียนเป็นคู่สมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยทำหน้าที่อุ้มบุญฉีดสเปิร์มของฝ่ายหนึ่งเข้ารังไข่ตัวเอง เพื่อให้กำเนิดทายาทด้วยความเห็นใจกับความเหนื่อยยาก ในขั้นตอนของการขอเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม เนื่องจากตามกฎหมายรัฐยูท่าห์ ห้ามมิให้คู่รักใดที่ยังไม่ได้เข้าพิธีวิวาห์รับเลี้ยงเด็กบุญธรรม รวมถึงไม่ยอมรับสถานภาพสมรสของคู่เกย์อีกด้วย
ทั้ง นี้ ส.ส.หญิงม่ายวัย 41 ปี ซึ่งมีลูกสาววัย 17 ปี จากสามีเก่าที่แต่งงานอยู่กินกันได้เพียง 2 เดือน ตั้งท้องได้ 4 เดือน ยังไม่ทราบเพศ และมีกำหนดคลอดวันที่ 21 มิ.ย.นี้ หลังผ่านการทดสอบเชื้อของฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายที่ไม่ปรากฎว่าเด็กในครรภ์ไม่ แสดงอาการผิดปกติของทางพันธุกรรม
นอกจากนี้ จอห์นสันยังมองว่า เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็กที่จะเกิดมาพร้อมทั้งคนเป็นพ่อและคนเป็นแม่ และหากเด็กเกิดมาก็จะรู้ด้วยว่าตนเป็นแม่ แต่ในฐานะป้า ส่วนเจ้าของสเปิร์มก็จะได้รับสิทธิ์เป็นพ่อโดยสายเลือด ขณะที่คู่ชีวิตอีกคนทางกฎหมายรัฐฯก็ยังไม่ให้เป็นพ่อบุญธรรม
ข่าว http://www.thairath.co.th/content/oversea/57963
ส.ส.หญิง รัฐยูท่าห์ นางคริสตีน จอห์นสัน ยอมฉีดสเปิร์มของฝ่ายหนึ่งเข้ารังไข่ตัวเองเพื่อให้กำเนิดทายาท ของสองหนุ่มคู่เกย์เพื่อนสนิท เนื่องจากเห็นใจกับขั้นตอนตามกฎหมายรัฐ
เอพีรายงานว่า นางคริสตีน จอห์นสัน ส.ส.หญิง รัฐยูท่าห์ ตก ปากรับคำกับสองหนุ่มคู่เกย์เพื่อนสนิท แต่ไม่ขอระบุนาม ซึ่งจดทะเบียนเป็นคู่สมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยทำหน้าที่อุ้มบุญฉีดสเปิร์มของฝ่ายหนึ่งเข้ารังไข่ตัวเอง เพื่อให้กำเนิดทายาทด้วยความเห็นใจกับความเหนื่อยยาก ในขั้นตอนของการขอเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม เนื่องจากตามกฎหมายรัฐยูท่าห์ ห้ามมิให้คู่รักใดที่ยังไม่ได้เข้าพิธีวิวาห์รับเลี้ยงเด็กบุญธรรม รวมถึงไม่ยอมรับสถานภาพสมรสของคู่เกย์อีกด้วย
ทั้ง นี้ ส.ส.หญิงม่ายวัย 41 ปี ซึ่งมีลูกสาววัย 17 ปี จากสามีเก่าที่แต่งงานอยู่กินกันได้เพียง 2 เดือน ตั้งท้องได้ 4 เดือน ยังไม่ทราบเพศ และมีกำหนดคลอดวันที่ 21 มิ.ย.นี้ หลังผ่านการทดสอบเชื้อของฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายที่ไม่ปรากฎว่าเด็กในครรภ์ไม่ แสดงอาการผิดปกติของทางพันธุกรรม
นอกจากนี้ จอห์นสันยังมองว่า เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็กที่จะเกิดมาพร้อมทั้งคนเป็นพ่อและคนเป็นแม่ และหากเด็กเกิดมาก็จะรู้ด้วยว่าตนเป็นแม่ แต่ในฐานะป้า ส่วนเจ้าของสเปิร์มก็จะได้รับสิทธิ์เป็นพ่อโดยสายเลือด ขณะที่คู่ชีวิตอีกคนทางกฎหมายรัฐฯก็ยังไม่ให้เป็นพ่อบุญธรรม
ข่าว http://www.thairath.co.th/content/oversea/57963
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
แล้ว คือ มีพ่อแม่เป็นเกย์หรอครับ งง
-
- โพสต์: 605
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 05, 2009 3:19 pm
- ที่อยู่: พเนจร
- ติดต่อ:
โว้ววว
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
WTF !!!!!!!
แปลว่า What the Fruit ใช่ไหมฮับพระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เขียน: WTF !!!!!!!