คือคนที่เป็นคริสส่วนใหญ่เชื่อไหมว่ามีการเวียนไหว้ตายเกิด

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
Hotty2539
โพสต์: 102
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 30, 2011 6:17 pm
ที่อยู่: จันทบุรี

พฤหัสฯ. พ.ค. 05, 2011 10:17 pm

คือผมเป็นพุทธที่นับถือคริสแต่ก็เรียนพระไตรปฏิกมาจนจบเลยครับพระพุทธเจ้าว่าคนเราถ้ายังมีกรรมย่อมยังมีการเวียนไหว้ตายเกิดอยู่เสมอ แล้วทางคริสนี้ได้ยินมาว่าไม่เชื่องเรื่องการเวียนไหว้ตายเกิดเพราะพระเจ้าทรงให้มีเกิดเพียงครั้งเดียวทำดีไปหาพระองค์ทำชั่วตกนรกไปแล้วถ้าผมจะเป็นคริสแล้วยังเชื่อรเองเวียนไหว้ตายเกิดได้ไหมครับคือว่าผมเห็นมันสมเหตุสมผลดีที่มีการเวียนไหว้ตายเกิดเพราะว่าคนพอแต่งงานก็มีลูกแล้วลูกๆเราพระเจ้าทรงจะสรางขึ้นมาอีกหรือในเมื่อพระองค์ต้องการที่จะให้คนเราไปหาพระองค์ให้หมดแล้วพระองค์จะทรงเพิ่มประชากรโลกอีกทำไหมครับผม??????ผู้รู้กรุณาช่วยตอบด้วยครั้งเพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องครับผม

คือว่าผมเชื่อนะครับลพระเจ้าเนี้ยเพราะพระองค์เคยช่วยผมหลายๆอย่างและก็ทรงช่วยผมหายป่วยด้วยดีใจมากๆแล้วก็เคยฝันเห็นพระเยซูด้วยครับTTซึ่งในพระคุณครับ

ขอพระบิดาโปรดอวยพรและประทานพระหรรษทานแก่พวกท่านด้วยเถิด
ข้า-พระ-เจ้า
โพสต์: 407
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 28, 2010 12:03 am

พฤหัสฯ. พ.ค. 05, 2011 10:57 pm

คริสตชนทั้งหมดไม่เชื่อเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดครับ

ถ้าทุกคนเกิดมาใช้กรรม แล้วชาติแรกของแต่ละคนคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อชาติแรกต้องเป็นชาติที่ไม่มีกรรม แล้วเกิดมาทำไม ในเมื่อไม่ได้เกิดมาใช้กรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ค. 06, 2011 1:25 pm

คำสอนต่างๆในพระคัมภีร์ มีกล่าวถึงแต่ "นรกนิรันดร" กับ"สวรรค์นิรันดร"ครับ
คนที่ปฎิเสธสวรรค์นิรันดร แล้วเท่านั้นถึงจะไป"นรกนิรันดร"
(คนที่อยากไปสวรรค์แต่ยังไม่บริสุทธิ์ ก็ไปดินแดนไฟใชำระ(Purgatory)เพื่อชำระตนให้สะอาดก่อน)

สวรรค์นิรันดร พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่สร้างอดัมกับเอวาแล้วนะครับ
วิญญาณที่กำเนิดอย่างมากมาย ก็เป็นไปตามพระพรที่พระองค์อวยพรไว้"จงมีลูกหลานจนเต็มแผ่นดิน"

____________
ผมว่า พันธะสัญญาที่พระเจ้ามอบไว้ ก็มีเรื่องราวมากมาย
ที่ดูมีเหตุผลมากกว่า

ภพภูมิต่างๆที่ให้วิญญาณที่มีจำนวนจำกัด(ถ้าจำกัดจริง ต้องบอกได้สิว่าวิญญาณทั้งหมดมีเท่าไหร่)เวียนว่ายตายเกิด
โดยที่ลูกหนี้จะต้องใช้หนี้ ให้เจ้าหนี้(เจ้ากรรมนายเวร)ที่ไม่รู้จัก ไม่ทราบความเป็นมาไป
เป็นไหนๆครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 06, 2011 4:30 pm

สดุดี104:24
ข้าแต่พระเจ้า พระราชกิจของพระองค์มากมายจริงๆ
พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา
แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด
ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง
ซึ่งในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน
คือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่
กำปั่นแล่นไปโน่นแน่ะ
และเลวีอาธาน(สัตว์ทะเล ขนาดมหึมา) ที่พระองค์ สร้างไว้ให้เล่นในนั้น
สิ่งเหล่านี้แหงนหาพระองค์
เพื่อให้พระองค์ประทานอาหารแก่มันตามเวลา
เมื่อพระองค์ประทานให้ มันก็เก็บไป
เมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออก มันก็อิ่มหนำด้วยของดี
เมื่อพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์เสีย มันทั้งหลายก็ลำบากใจ
เมื่อพระองค์ทรงเอาลมหายใจมันไปเสีย มันก็ตาย และกลับเป็นผงคลี
เมื่อพระองค์ทรงส่งวิญญาณของพระองค์ออกไป มัน ก็ถูกสร้างขึ้นมา

และพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของพื้นดินเสียใหม่

-----------------ที่แน่ๆสดุดีบทนี้บอกว่า สัตว์มีชีวิตเดชะพระจิตเจ้าเหมือนมนุษย์ เมื่อมันตาย มันก็กลับไปหาพระผู้สร้างของมัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเผยแสดงผ่านพระวาจาของพระองค์ หลักอื่นไม่ต้องใส่ใจ ที่สำคัญนิยามคำว่า "บาป" ของเขากับเราไม่เหมือนกัน บาปของเขาคือการทำผิดศีล แต่สำหรับเราระบบบาปเปลี่ยนแล้ว บาปไม่ใช่การทำผิดธรรมบัญญัติ บาปสำหรับเราคือการปฎิเสธพระเจ้า และการตัดขาดความสัมพันธ์ เรียกง่ายๆว่า การผิดต่อความรัก

ฟม 1:8
เดชะพระคริสตเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้ามีอำนาจจะสั่งท่านให้ทำสิ่งใดก็ได้ แต่ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะขอร้องให้ท่านทำด้วยความรักมากกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 06, 2011 4:31 pm

http://www.newmana.com/phpbb/viewtopic. ... 26&start=0

ตามลิงค์ไปมีรายละเอียดครับ
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

ศุกร์ พ.ค. 06, 2011 5:39 pm

โละความเชื่อจากศาสนาเก่าให้หมดก่อนค่ะ
แล้วจะเริ่มศึกษาศาสนาใหม่ได้ง่ายขึ้น
พอเริ่มเข้าใจในหลักสำคัญแล้วค่อยปัดฝุ่นศาสนาเดิมมาเทียบเคียง
เปรียบเทียบแล้วจะได้พบและรู้หลาย ๆ มุมมองที่เปลี่ยนไป (เยอะ)

ขอให้พระเจ้าทรงนำทางคุณค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ค. 06, 2011 9:44 pm

ชาวคริสต์ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่เชื่อว่ายังมีชีวิตในโลกหน้าที่เป็นนิรันดร์

ชาวคริสต์ชื่อว่ามีชีวิตในโลกหน้าที่ไม่สิ้นสุด แต่มีโอกาสที่จะมีชีวิตเป็นมนุษย์เพียงแค่ครั้งเดียว จะไม่มีการเกิด การตายอีกต่อไป ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม (พืช สัตว์ เทวดา ปีศาจ อสูร) ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตนี้มีคุณค่าที่สุด และมีเป้าหมาย ทุกเวลาในขณะที่ยังมีชีวิตจึงมีค่าเป็นอย่างยิ่ง ควรหมั่นทำความดีให้มากที่สุด เพราะไม่มีเวลาอื่นอีกแล้ว ไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้วหลังความตายที่จะทำดี (แม้แต่ศาสนาพุทธก็เชื่อว่า มนุษย์เท่านั้นที่ทำความดีได้และบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์และพระพุทธเจ้าได้)

ส่วนคนที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด บางคนก็ใช้ชีวิตแบบผลัดวันประกันพรุ่ง คิดว่าเอาไว้ชาติหน้าก็ได้ หรือพอพบอุปสรรค์ในชีวิตก็ปลอบใจตนเองว่า คงเป็นเพราะกรรมเก่าในชาติที่แล้ว ยอมจำนนในผลกรรม ไม่มีความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิต ปล่อยตนเองไปตามยถากรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
yuki
โพสต์: 681
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 01, 2006 5:02 am

เสาร์ พ.ค. 07, 2011 9:54 pm

ตั้งแต่รู้จักกับพระองค์ ก็ละทิ้งความเชื่อเก่าๆไปหมดสิ้นแล้วครับ ตอนนี้ก็ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเ้จาครับ ::011::
Bar_Blue
โพสต์: 92
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ค. 16, 2009 10:37 am

เสาร์ พ.ค. 07, 2011 11:09 pm

จากประเดนเรื่องเวียนไหว้ตายเกิดนี้แหล่ะครับทำให้ผมหันมาศึกษาคริสต์และเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงๆ ก่อนผมเคยคิดเหมือนกันว่าหาชีวิตเราต้องเวียนไหว้ตายเกิดจริงๆอย่างนี้ต่อไปคงทุกข์ทรมารมากๆเลย เพราะคนทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมีความทุกข์หมดทุกคน ไม่ว่าจะรวย หรือจน หรือมีอำนาจมากมายแค่ไหน ต่อให้เราทำดีมากๆเป็นคนดีมากๆก็ต้องเกิดเป็นมนุษย์มาพบกับความทุกข์ยากอยู่ดี ถึงเป็นคนดีแค่ไหนก็ต้องเคยทำบาปทั้งนั้น พอทำบาปก็ต้องใช้บาปอีกไม่จบสิ้น ทำให้ผมคิดว่าหายชีวิตเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้วอะไรแหล่ะคือความสุขที่แท้จริงสุดท้ายก็ต้องวนเวียนอย่างนี้ทุกชาติ ความสุขที่เป็นนิรันด์ ศึกษาทั้งหมดแล้วผมก็ค้นพบว่า ศาสนาคริสต์บอกว่าพระเยซูนี้แหล่ะที่มาไถ่บาปให้แก่เรา พระเจ้าเป็นผุ้ที่จะชำระบาปให้กับเราได้ ทำให้ชวิติเราเป็นนิรันด์ ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่เราก็ต้องเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนของพระเองค์ไปด้วย อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงความเชื่อทางศาสนาซึ่งฟังแล้วอาจจะเข้าใจยากเพราะเป็นเพียงข้อความที่บอกเล่าสำหรับคนต่างศาสนา แต่คำว่าความเชื่อต้องลองสัมผัสทางจิตใจดู
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 12, 2011 12:21 pm

4-5ปีมาแล้วได้ถามคนรับศิลล้างบาปใหม่คนหนึ่งเป็นผู้หญิงอายุประมาณ45-50ปีสมมุติชื่อเจ้หงษ์ว่า
ทำไมถึงมาเป็นคริส เจ้เล่าว่าเจ้ทำการค้าขาย ส่งเครื่องหนังผ่านลูกค้าคนหนึ่งไปขายต่างประเทศ
แรกๆก็ชำระหนื้ดี ต่อมาเริ่มไม่ชำระเงินให้เป็นเงินกว่า10ล้านบาทไปตามก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยๆ
ไม่รับโทรศัพย์ ไม่ยอมให้พบ ทำให้เครียดมากซึ่งเจ้หงษ์ได้หุ้นกับพี่น้องถูกบ่นว่าทุกวันจน
อยากตาย หมดทุนเป็นหนี้มากมาย จนในที่สุดไปดักรอหน้าบ้านจนพบ ก็ทวงถามเงินที่ค้างอยู่
ลูกค้าบอกว่าไม่จ่าย เขาไปหาหมอดูมา หมอดูบอกว่าเมื่อชาติที่แล้วตัวเจ้หงษ์เป็นหนี้เขา13ล้าน
เจ้ต้องจ่ายให้เขาอีก3ล้าน เขาไม่ทวงก็ดีแล้ว (ลูกค้าตั้งใจโกง)
เจ้หงษ์โกรธจนแทบสลบบอกชาติไหนๆไม่เอาทั้งนั้นไม่รับรู้ จะเอาชาตินี้แหละเจ้แกโมโหจนร้องไห้
ทั้งอ้อนวอนขอร้อง ลูกค้าก็ไม่จ่าย อ้างชาติที่แล้วตลอด เจ้จะไปฟ้องศาลหลักฐานซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์
ส่งสินค้าเชื่อใจกัน และเจ้เป็นคนจีนไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมาย เจ้แกบอกว่าไม่เอาแล้วเปลี่ยนศาสนาดีกว่า
พอดีมีคนรู้จักเป็นคริสต์ เลยมาเรียนคำสอนจนได้ล้างบาป และเราได้ถามว่าแล้วตอนนี้เป็นอย่างไร
เจ้บอกจะพยายามทำใจ :s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

จันทร์ พ.ค. 23, 2011 8:17 am

ผมอ่านเจอบทความหนึ่ง เป็นประวัติของพุทธศาสนาในแง่มุมที่น่าสนใจ ได้กล่าวถึงคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นการแต่งขึ้นมาภายหลังเพื่อช่วยให้พุทธศาสนารอดพ้นจากศาสนาพราหมณ์ ดังนั้น ชาวพุทธก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนเพียงหนทางของการดับทุกข์ในชีวิตนี้เท่านั้น เช่นเดียวที่ศาสนาคริสต์เชื่อว่ามีชีวิตเดียว และความเอาตัวรอดไปสวรรค์เพื่อพบความสุขแท้จริงให้ได้ โดยบทความนี้กล่าวว่า

ครั้นสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว บ้านเมืองเกิดจลาจลรบพุ่งแย่งชิงอำนาจกันทั่วไป ศาสนาพราหมณ์ฟื้นตัวอีกครั้ง พวกพราหมณ์ถือโอกาสล้างแค้นพุทธศาสนา ด้วยการเผาวัด และไล่ฆ่าฟันพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ ภิกษุในพุทธศาสนายุคนั้นจำเป็นต้องหาวิธีปฏิรูปพระพุทธศาสนาเพื่อเอาใจพวกพราหมณ์ มิให้พราหมณ์ล่าฆ่าฟันทำลายล้าง พอดีมีนักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อว่า อัศวโฆษ เดิมเป็นพราหมณ์มาก่อน ต่อมาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาเห็นว่า ถ้าขืนปล่อยไปเช่นนี้ โดยไม่ทำอะไรเลยพุทธศาสนาเห็นทีจะต้องพินาศแน่ อาศัยว่าตนนั้นเป็นกวีฝีปากเอก จึงมีความคิดที่จะประนีประนอมกับพวกพราหมณ์ โดยแต่งพุทธประวัติรุ่นใหม่ เริ่มต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะนั้นเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ชั้นดุสิตของพราหมณ์ ได้รับอัญเชิญให้อวตารลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำการสั่งสอนมหาชน ครั้นตรัสรู้แล้วทรงท้อพระทัย เห็นว่าเป็นการยากที่จะสอนมหาชนให้รู้ตามได้ จึงดำริจะดับขันธปรินิพพาน พระพรหมจึงมาอาราธนา ขอให้ดำรงชีวิตอยู่เผยแพร่พระธรรมแก่ชาวโลก พระพุทธเจ้ารับคำ จึงดำรงพระชนชีพอยู่สอนมหาชนถึง ๔๕ พรรษา จึงทำให้เกิดประเพณีอาราธนาธรรมก่อนพระเทศน์ (ที่ขึ้นต้นว่า พรหมา จ โลกา ธิปติ....) ด้วยการอ้างนิยายเรื่องนี้ แล้วอัศวโฆษนี้เองเป็นคนริเริ่มแต่งนิทานชาดก โดยแต่งให้พระพุทธเจ้าได้เวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญบารมีมาหลายภพหลายชาติ จึงได้ตรัสรู้
การละทิ้งหลักอนัตตา ที่เป็นหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า ไปใช้ในหลักวิญญาณอมตะ ให้มีเรื่องราวเวียนว่ายตายเกิดตามคำสอนของพราหมณ์ ทำให้พระพุทธศาสนาที่ปฏิรูปไปตามแบบของอัศวโฆษนี้อยู่ร่วมกับพราหมณ์ได้อย่างดี หลายร้อยปี และยังได้รับความนิยมเป็นส่วนใหญ่ เพราะอัศวโฆษแทรกคำสอนศีลธรรมในนิทานชาดกและแสดงผลกรรมดี กรรมชั่ว มีนรก – สวรรค์ ทำให้คนกลัวนรกไม่กล้าทำบาป และอยากขึ้นสวรรค์ โดยการทำบุญตามคติของพราหมณ์ ทำให้พราหมณ์ชอบใจ ดังนั้นเรื่องเวียนว่ายตายเกิด จึงมาแทรกอยู่ในพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยอัศวโฆษผู้นี้


http://www.whatami.ob.tc/lum/lum98.html
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

จันทร์ พ.ค. 23, 2011 4:56 pm

Andreas เขียน:ผมอ่านเจอบทความหนึ่ง เป็นประวัติของพุทธศาสนาในแง่มุมที่น่าสนใจ ได้กล่าวถึงคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นการแต่งขึ้นมาภายหลังเพื่อช่วยให้พุทธศาสนารอดพ้นจากศาสนาพราหมณ์ ดังนั้น ชาวพุทธก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนเพียงหนทางของการดับทุกข์ในชีวิตนี้เท่านั้น เช่นเดียวที่ศาสนาคริสต์เชื่อว่ามีชีวิตเดียว และความเอาตัวรอดไปสวรรค์เพื่อพบความสุขแท้จริงให้ได้ โดยบทความนี้กล่าวว่า

ครั้นสิ้นรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว บ้านเมืองเกิดจลาจลรบพุ่งแย่งชิงอำนาจกันทั่วไป ศาสนาพราหมณ์ฟื้นตัวอีกครั้ง พวกพราหมณ์ถือโอกาสล้างแค้นพุทธศาสนา ด้วยการเผาวัด และไล่ฆ่าฟันพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ ภิกษุในพุทธศาสนายุคนั้นจำเป็นต้องหาวิธีปฏิรูปพระพุทธศาสนาเพื่อเอาใจพวกพราหมณ์ มิให้พราหมณ์ล่าฆ่าฟันทำลายล้าง พอดีมีนักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อว่า อัศวโฆษ เดิมเป็นพราหมณ์มาก่อน ต่อมาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาเห็นว่า ถ้าขืนปล่อยไปเช่นนี้ โดยไม่ทำอะไรเลยพุทธศาสนาเห็นทีจะต้องพินาศแน่ อาศัยว่าตนนั้นเป็นกวีฝีปากเอก จึงมีความคิดที่จะประนีประนอมกับพวกพราหมณ์ โดยแต่งพุทธประวัติรุ่นใหม่ เริ่มต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะนั้นเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ชั้นดุสิตของพราหมณ์ ได้รับอัญเชิญให้อวตารลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำการสั่งสอนมหาชน ครั้นตรัสรู้แล้วทรงท้อพระทัย เห็นว่าเป็นการยากที่จะสอนมหาชนให้รู้ตามได้ จึงดำริจะดับขันธปรินิพพาน พระพรหมจึงมาอาราธนา ขอให้ดำรงชีวิตอยู่เผยแพร่พระธรรมแก่ชาวโลก พระพุทธเจ้ารับคำ จึงดำรงพระชนชีพอยู่สอนมหาชนถึง ๔๕ พรรษา จึงทำให้เกิดประเพณีอาราธนาธรรมก่อนพระเทศน์ (ที่ขึ้นต้นว่า พรหมา จ โลกา ธิปติ....) ด้วยการอ้างนิยายเรื่องนี้ แล้วอัศวโฆษนี้เองเป็นคนริเริ่มแต่งนิทานชาดก โดยแต่งให้พระพุทธเจ้าได้เวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญบารมีมาหลายภพหลายชาติ จึงได้ตรัสรู้
การละทิ้งหลักอนัตตา ที่เป็นหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า ไปใช้ในหลักวิญญาณอมตะ ให้มีเรื่องราวเวียนว่ายตายเกิดตามคำสอนของพราหมณ์ ทำให้พระพุทธศาสนาที่ปฏิรูปไปตามแบบของอัศวโฆษนี้อยู่ร่วมกับพราหมณ์ได้อย่างดี หลายร้อยปี และยังได้รับความนิยมเป็นส่วนใหญ่ เพราะอัศวโฆษแทรกคำสอนศีลธรรมในนิทานชาดกและแสดงผลกรรมดี กรรมชั่ว มีนรก – สวรรค์ ทำให้คนกลัวนรกไม่กล้าทำบาป และอยากขึ้นสวรรค์ โดยการทำบุญตามคติของพราหมณ์ ทำให้พราหมณ์ชอบใจ ดังนั้นเรื่องเวียนว่ายตายเกิด จึงมาแทรกอยู่ในพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยอัศวโฆษผู้นี้


http://www.whatami.ob.tc/lum/lum98.html
พึ่งจะรู้เหมือนกัน ว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นการแต่งขึ้นมาใหม่ ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆ
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

จันทร์ พ.ค. 23, 2011 11:55 pm

เคยคุ้น ๆ เหมือนกันว่าหลังพระเจ้าอโศกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
หนึ่งในนั้นคือการเขียนชาดก ต้องให้คนที่ศึกษา ๆ เข้ม ๆ ทางพุทธ
คงจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร พ.ค. 24, 2011 9:40 pm

ผมลองไปตั้งกระทู้ถามในห้องศาสนาเว็บ pantip http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 94269.html
คนพุทธส่วนมากก็ไม่ยอมรับเรื่องที่ว่า การเวียนว่ายตายเกิดและทศชาติ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาภายหลัง ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วในพระไตรปิฎกส่วนใดเป็นคำสอนแท้ ๆ จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ส่วนใดเป็นสิ่งที่เสริมเข้ามาภายหลัง แต่ถ้าหากเอาเรื่องชาติภพจากศาสนาพราห์มมาเป็นส่วนหนึ่งในหลักความเชื่อของศาสนาพุทธ เราก็น่าจะเข้าใจได้เลยว่า เทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ก็เหมือนกันเทพเจ้าของกรีก โรมัน ที่มีลูกมีเมีย มีรัก โลภ โกรธ หลง ที่สุดก็เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมา แล้วก็เสื่อมความศรัทธาไปในที่สุด เพียงแค่ที่ศาสนาฮินดูยังไม่เสื่อมความนิยม เพราะเขามีระบบวรรณะที่เข้มแข็งมาก แล้วก็เชื่อแบบหัวปักหัวปำเหมือนกับมุสลิมด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้น เรื่องชาติภพจึงไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงอย่างแน่นอน มันอาจเป็นเพียงกุศโลบาลให้คนทำดี กลัวบาปเท่านั้น
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

อังคาร มิ.ย. 07, 2011 5:28 pm

เหตุผลที่คาทอลิกปฏิเสธความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด

ศาสนาใหญ่ ๆ ในโลกนี้จะมีหลักของความเชื่ออยู่บนพระคัมภีร์และมีการพัฒนาความเชื่อนั้นควบคู่ไปกับหลักเหตุผละและปรัชญา คริสตศาสนาก้เช่นกันได้พัฒนาความเชื่อขึ้นมาตามพื้นฐานของพระคัมภีร์ ความเชื่อเรื่องการเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวและได้รับการตัดสินพิพากษาตามความดีงามที่ทำในชีวิตก่อนตายของคริสต์ศาสนานั้นพัฒนามาจากความเชื่อของศาสนายูดาห์ เรื่องการเกิดครั้งเดียวก็มีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์ใหม่ในจดหมายถึงชาวฮีบรู บทที่ 9 ข้อที่ 27-28 ว่าดังนี้

และดังเช่นที่มนุษย์เราตายเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแล้วหลังจากนั้นก็ได้รับการพิพากษาตัดสิน ในลักษณะเดียวกัน พระคริสตเจ้าได้มอบพระองค์เองเป็นบูชาเพียงครั้งเดียวและได้ลบล้างบาปมากมาย จะไม่มีคำถามเกี่ยวกับบาปอีกต่อไปเมื่อพระองค์เสด็จมาอีกเพื่อช่วยกอบกู้ผู้ที่กำลังรอคอยพระองค์ (ฮบร.9:27-28) ถ้าดูกันตามตัวอักษรแล้ว พระคัมภีร์ก็ไม่ได้บอกว่าคนเราเกิดกี่ครั้ง มีการพูดถึงเรื่องการเกิดใหม่ ตอนที่พระเยซูเจ้าพูดกับนิโคเดมัส (ยน.1-12) แต่นั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเกิดในลักษณะของเวียนว่ายตายเกิดอย่างที่เราซึ่งอยู่ในอิทธิพลของพุทธศาสนาเข้าใจ แต่เป็นการเกิดใหม่ในพระจิตคือการกลับใจ เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่มาในหนทางพระเจ้า ดังนั้นคริสตชนจึงยึดถือธรรมเนียมเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว ตายแล้วก็ได้รับการพิพากษาตัดสินจากพระเจ้า ทีนี้ก็เกิดมีคำถามว่าการพิพากษาตัดสินนั้นเกิดเมื่อไรหลังจากความตาย พิพากษาทันทีหรือต้องรอไปก่อน (นี่คือวิธีคิดของเราที่อยูาภายในกาลเวลาแต่ภาวะนอกกาลเวลาคำถามนี้อาจไม่มีความหมายเลยก็ได้) อันนี้ก้เข้าอยู่ในปัญหาของวิชาอันตกาลวิทยาหรืออวสานวิทยาซึ่งพวกคุณพ่อทุกคนต้องเรียนแต่ผมไม่กล่าว ณ ที่นี้

ในแวดวงของคริสต์ศาสนานั้นจะมีนักการศาสนาที่คอยปกป้องความเชื่อจากความคิดที่เห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อพื้นฐานความเชื่อของคริสตศาสนา เราเรียกกลุ่มนักการศาสนานี้ว่า Apologistsที่หลายคนเป็นทั้งนักการศาสนาและนักปรัชญา คริสตศาสนาได้พัฒนาปรัชญาของตนเองมาจากหลายสาย เป็นต้นปรัชญากรีกที่มีอิทธิพลมากในยุโรปยุคโบราณก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเกิดขึ้น นักปรัชญาเหล่านี้ได้นำเอาหลักเหตุผลของพลาโต้ (428-348 BC) อาริสโตเติล (348-322 BC) และของคนอื่นๆมาดัดแปลงอธิบายคำสอนของคริสต์ศาสนาเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเหตุผลแบบตะวันตกจึงคู่กับคำสอนของคริสต์ศาสนาเรื่อยมารวมทั้งคำสอนด้านจริยธรรมต่าง ๆ ด้วย ในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดหรือการกลับชาติมาเกิดนั้น นักคิดและนักปรัชญาชาวคริสต์พวก Apologistst เขายึดหลักอะไรถึงไม่ยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ? จากหนังสือ Handbook of Christian Apologetics เขาให้เหตุผลดังนี้คือ

เขาเห็นว่าเรื่องเวียนว่ายตายเกิดนั้นขัดกับเรื่องการรับเอากายหรืออวตารของพระเยซูเจ้าเพื่อไถ่บาป และทำให้เห็นว่าแผนการของพระเจ้าในการกอบกู้มนุษยชาตินั้นเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง และนอกนั้นยังทำให้เข้าใจว่าการตายของพระองค์เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น พวกเขาเห็นว่าหากเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแล้วพระเยซูเจ้าก็ไม่ผิดอะไรกับนักปรัชญาคนหนึ่งเท่านั้นเองแทนที่จะเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่คริสตชนเชื่อ

คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น นำมาใช้อธิบายแผนการความรอด แผนการกอบกู้มนุษยชาติและเรื่องของบาปไม่ได้

ถ้าเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดก้เหมือนกับยอมรับว่าพระเจ้าวางแผนผิดพลาดเมื่อให้วิญญาณมาเกิดในร่างกายเรา และร่างกายก็ถูกมองว่าเป็นเพียงที่คุมขังวิญญาณเท่านั้นเอง ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับความเชื่อของคริสตชนที่ว่าร่างกายเป็นวิหารของพระจิตเจ้า

คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเป็นการปฎิเสธคำสอนเรื่องจิตและร่างกายเป็นหนึ่ง ร่างกายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าสร้างมาตามภาพลักษณ์ของพระองค์

คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้นทำให้มองร่างกายเป็นเพียงคุกขังวิญญาณและเป็นการลงโทษวิญญาณ การมาเกิดเป็นเพียงการใช้โทษผิดของอดีตเท่านั้น

ถ้าเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดจะทำให้เกิดความสับสนอย่างมากในเรื่องบาป เรื่องความโง่เขลา เรื่องอิสระเสรี

ความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดทำให้มองว่าเราเกิดมาเพื่อขัดเกลากิเลศและชดเชยความผิดที่ได้กระทำ แต่ปัญหาคือเมื่อคนเราเกิดมาแล้วก็ไม่จำสิ่งที่ได้ทำในอดีตเช่นนี้แล้วจะขัดเกลาได้อย่างไร และการชดใช้ความผิดในอดีตที่ตัวเราไม่รู้นั้น ก็ขัดกับความยุติธรรม และขัดกับเรื่องเจตจำนงเสรี การเรียนรู้ก็เช่นกัน เราต้องมีความทรงจำก่อนจึงจะเรียนรู้ได้ แต่นี่เราไม่เคยจำอะไรในอดีตเลย การเกิดมาเพื่อเรียนรู้และพัฒนาจากจุดที่ได้ขาดไปเพราะความตายนั้นจะทำได้อย่างไร?

ข้ออ้างที่ว่ามีคนจำอดีตชาติก่อนได้นั้น ดูจากจำนวนคนที่จำได้หรืออ้างว่าจำได้นั้นก็มีน้อยนิดเหลือเกินกับจำนวนคนที่เกิดมาในโลกนี้ ทำให้ไม่มีน้ำหนักพอ และอีกอย่างปรากฎการณ์จำอดีตได้นั้นก็สามารถอธิบายด้วยวิธีอื่น ได้เช่นบางคนสามารถติดต่อกับวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วได้ เพราะฉะนั้นอาจเป็นได้ที่วิญญาณนั้นมาบอกอดีตของเขากับคนนั้น ๆ ดังนี้เป็นต้น

คำสอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่น่าเชื่อถือเพราะมีคำถามว่า

- เหตุใดวิญญาณถึงต้องถูกขังในร่างกาย?

- ชีวิตเป็นเพียงการทำโทษความผิดในอดีตเท่านั้นเองหรือ?

- ถ้านับชีวิตย้อนหลังไปยังชาติแรกสุดก่อนมาเกิดครั้งที่สองเพื่อชดเชยความผิดนั้น ชีวิตสมบูรณ์อยู่แล้วหรือเปล่า? ถ้าสมบูรณ์ครบครันอยู่แล้วทำผิดได้อย่างไร? ถ้าสมบูรณ์อยู่แล้วต้องเกิดใหม่ทำไม? ถ้าเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดนั่น หมายความว่าเรากำลังวกไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์นั้นอีกครั้งใช่หรือไม่? ถ้าสมบูรณ์อยู่แล้วต้องมาเกิดเพื่อวกไปสู่ความเป็นอันเดิมนั้นทำไม? แล้วเมื่อไหร่จะสิ้นสุดสักที

- ถ้าเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดก็มองได้ว่าชีวิตเป็นเพียงเกมส์อย่างหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น เกมส์เทวะเช่นนี้คงจะเกมส์ที่โง่เง่าสิ้นดี เพราะถ้าพระเจ้าเปี่ยมด้วยความสมบูรณ์จริงพระองค์คงไม่เล่นเกมส์ประเภทที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้แน่ หรือว่าพระเจ้าเองก็ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าบอกว่าพระเจ้าไม่สมบูรณ์ก็ไม่ใช่ความเชื่อของคริสต์ศาสนาและไม่ใช่พระเจ้าของคริสตชนแน่นอน

- ถ้าเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เราจะไม่สามารถอธิบายธรรมล้ำลึกของพระเยซูเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพได้เลย และถ้าเชื่อเช่นนั้นก้เท่ากับว่าโครงสร้างของระบบคำสอนในคริสต์ศาสนากำลังจะพังทลาย

ปัญหาที่ยังเป็นปัญหาอีกต่อไป

จากข้ออ้างและหลักการของ Apologists ดังกล่าวข้างบนนั้นเป็นหลักการที่มีพื้นฐานมาจากเหตุผลของทางตะวันตกและที่สำคัญเป็นการปฏิเสธแนวคิดเรื่องการเกิดใหม่ที่มีอยู่ในยุโรปยุคแรก พวกเขามิได้ศึกษากับคำสอนเรื่องนี้จากทางฮินดูหรือพุทธศาสนาโดยตรง เพราะอย่างที่ทราบเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของแต่ละศาสนานั้นก็อธิบายต่างกันออกไปไม่เป็นระบบเดียวกัน ดังนั้น แม้คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของฮินดูและพุทธเองก็มีจุดบกพร่องและไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน คนที่พอรู้เรื่องนี้บ้างก็นำไปตีความเพิ่มเติมตามสภาพแวดล้อมของตนซึ่งก็ยิ่งทำให้วุ่นวายจับต้นชนปลายไม่ถูกมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญมันเป็นเรื่องของความเชื่อถือที่พิสูจน์อะไรได้ยาก คนที่สอนเรื่องนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ของการระลึกชาติเองและก็จำจากตำรามาว่ากันทั้งสิ้น ดังนั้นปัญหานี้ก็จะยังคงเป็นปัญหาที่ลึกลับอีกต่อไป คนที่มีคำถามก็จะตั้งคำถามจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมของตัวเองต่อคำสอนซึ่งส่วนใหญ่มาจากการพยายามอธิบายตำรา เช่น ครั้งหนึ่งผมไปเยี่ยมญาติที่ฝรั่งเศสในวงสนทนานั้นเราหยิบปัญหาของการเวียนว่ายตายเกิดมาถกปัญหากัน มีคนหนึ่งให้ความคิดว่า สำหรับเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อถือ โดยให้เหตุผลว่าดูพลเมืองของโลกสินับวันจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าหากวิญญาณที่ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ หรือวิญญาณของเรามาจากวิญญาณเก่ามาเกิดใหม่ จำนวนพลเมืองในอดีตมีน้อยกว่าในปัจจุบันมาก วิญญาณใหม่ ๆ นั้นมาจากไหน? มาจากการแบ่งวิญญาณหรือ? ถ้าแบ่งวิญญาณจริง ผลของกรรมที่ทำในอดีตจะมีการแบ่งด้วยหรือไม่? ถ้าแบ่งไปในอนาคตเรื่อย ๆ เอาอะไรมาวัด ดีทางสังคม ดีทางการเมือง หรือดีทางเชื้อชาติ เขาพูดตลกขื่น ๆ ว่า ถ้าเขาเลือกได้ชาติหน้าเขาอยากเกิดเป็นแมวฝรั่งเศส เพราะคนฝรั่งเศสนั้นทะนุถนอมและเลี้ยงดูแมวด้วยความรักยิ่งกว่าลูกของตัวเองเสีย…

โดยส่วนตัว ผมเองก็ไม่เชื่อถือในการเวียนว่ายตายเกิด เพราะมันอธิบายในสิ่งที่ค้างคาในใจหลาย ๆ เรื่องไม่ได้ (โดยไม่ต้องพูดเรื่องที่มันอธิบายความเชื่อและธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าไม่ได้) และอีกประการหนึ่งยิ่งคิด ก็ยิ่งหมดหวังในชีวิตเพราะโดยลำพังตัวเองแล้วไม่แน่ใจนักว่าความดีงามที่ทำอยู่นี้จะมีพลังพอที่จะทำให้หลุดจากวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดได้ แน่นอนผมเคารพในมโนธรรมของคนที่ศรัทธาและเชื่อถือในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและไม่คิดดูหมิ่น ที่ไม่ศรัทธาเพราะผมหาคำตอบแบบจะ ๆ ในเรื่องนี้ไม่ได้เท่านั้นเอง อันที่จริงการอธิบายเรื่องที่มันเป็นความเชื่อถือนั้นก็อธิบายไม่ได้บริบูรณ์อยู่แล้วล่ะ นอกจากบุคคลนั้นจะได้สัมผัสและมีประสบการณ์เองเนื่องจากศาสนาไม่ใช่เรื่องของปรัชญาอย่างเดียวแต่เป็นเรื่องของเทววิทยาด้วย กล่าวคือไม่ใช่เรื่องของเหตุผลอย่างเดียวแต่เป็นเรื่องของความเชื่อ เพราะไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ใช่ศาสนา สรุปแล้วปัญหานี้จะยังคงเป็นปัญหาอีกต่อไปอีกนานและท้าทายนักคิดให้พยายามหาคำอธิบายและคำตอบที่น่าพอใจ

ที่มา http://library.uru.ac.th/webdb/images/009.htm
saroonram
โพสต์: 160
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 16, 2007 3:20 pm

พุธ มิ.ย. 08, 2011 2:38 pm

แต่ก่อนมีการเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแต่ต่อมานานเเข้นานเข้าทางเทวะวิทยาทางคริสก็ปฎิเสธการเวียนว่ายตายเกิดครับ ยกบางตอนในพระคำภีร์เช่น ตอนที่ เหล่าสาวกมองเห็นแสงสวางครอบคลุมกายพระเยซูและพูดกันว่าหรือว่าปกาศกเอลียากลับชาติมาเกิดเป็นต้น ไม่ทราบว่าบทใหนเหมือนกันประมาณนี้ เลงให้เห็นว่าชาวยิวเมือก่อนเชื่อการกลับชาติมาเกิดในสมัยนั้น
francisco xavier
โพสต์: 300
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am

พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2011 11:55 am

เวียนว่ายตายเกิด เชื่อแล้วได้ประโยชน์อะไร หรือ ถ้ามันเป็นจริงมันจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ผมก็เห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะไปคิดถึงหรือเชื่อ เพราะคนเราพอเกิดมาก็เหมือนนับ 1 ใหม่ เริ่มเรียนรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วใหม่ ตัดสินใจว่าจะทำดีหรือทำชั่วใหม่ ดังนั้นการต้องการหาคำตอบว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ อาจจะด้วยวิธีการใด ๆ ผมเห็นว่าเป็นความรู้ที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อการดับทุกข์ทั้งปวง รังแต่จะก่อให้เกิดทุกข์ เพราะมัวแต่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราเป็นอันนี้ เป็นอันนั้น ไม่รู้จักจบสิ้น
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2011 1:02 pm

francisco xavier เขียน:เวียนว่ายตายเกิด เชื่อแล้วได้ประโยชน์อะไร หรือ ถ้ามันเป็นจริงมันจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ผมก็เห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะไปคิดถึงหรือเชื่อ เพราะคนเราพอเกิดมาก็เหมือนนับ 1 ใหม่ เริ่มเรียนรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วใหม่ ตัดสินใจว่าจะทำดีหรือทำชั่วใหม่ ดังนั้นการต้องการหาคำตอบว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ อาจจะด้วยวิธีการใด ๆ ผมเห็นว่าเป็นความรู้ที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อการดับทุกข์ทั้งปวง รังแต่จะก่อให้เกิดทุกข์ เพราะมัวแต่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราเป็นอันนี้ เป็นอันนั้น ไม่รู้จักจบสิ้น
ทางพุทธเค้าสอนแนวทางนี้ ก็คงจะเพื่อให้คนทำดี ปฎิบัติดี เกรงกลัวต่อบาป หรือไม่ก็เป็นกุสโลบายให้คนไปทำบุญเยอะๆ เพื่อชาติหน้าของตัวเองจะเกิดมาในภพภูมิที่ดี ร่ำรวย มีวาสนาจะได้ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ร่ายแล้วมันยาว......
ตอบกลับโพส