ส่งโทรจิต เพื่อผู้อื่นกันดีไหม?

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
salvation7
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 522
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 31, 2010 1:05 am
ติดต่อ:

ศุกร์ ต.ค. 21, 2011 5:18 pm

:s002: :s002: :s002:

ช่วงนี้น้ำท่วม..หลายพื้นที่เป็นกำลังใจให้น๊ะค่ะ

ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และเขตใกล้เคียง รอลุ้น ๆ... เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะมา

โปรดใช้วิจารณ์ญาณในการอ่าน...

ช่วงนี้หวนนึกถึง พลังจิตใต้สำนึก ดังนั้นเราต้องใช้ (พลัง) จิตใต้สำนึก ของเราช่วยกัน..
ขอมีเวลาเล็กน้อย ก่อนนอนสัก 15 นาที เหมือนฝึกสมาธิ แต่เราจะใช้จิตใต้สำนึกของเราแทน

ทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ที่จับต้องได้ สัมผัสได้ ดมกลิ่นได้ ใช่ไหมค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจากความคิดเป็นอันดับแรก

การส่งโทรจิต เป็นการส่งพลังความคิด : ความต้องการอย่างแรงกล้าออกไปเชื่อมโยงกับคนที่มีข้อมูลหรือวิธีการที่เรากำลังต้องการ ความคิดของเราสามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ด้วยพลังงานที่เกิดจากการระเหยของความชื้นร่างกายที่เรียกว่า

อีเทอริค( Etheric : ของเหลวที่ใช้ไอระเหยเป็นยาสลบ ทำงานคล้าย ๆ กลิ่นกำยาน) ข้อความที่ส่งเชื่อมโยงกัน ระหว่างบุคคลทางโทรจิต จะไปถึงอีกฝ่ายหนึ่งตามจุดจักระต่างๆ ในร่างกาย

ซึ่งเป็นจุดที่สามารถถูกกระตุ้นในเกิดอารมณ์ และความรู้สึกได้ เช่น ฉันรูู้สึกแปลก ๆ .. , ฉันมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ว่า... , หากคุณสนิทกับใครบางคนมาก ๆ มักจะมีความคิดคล้าย ๆ กัน พูดพร้อม ๆ กัน , ใช้ประโยคแบบเดียวกัน นี่คือสิ่งที่เกิดจากการทำงานของโทรจิต ซึ่งเป็นเรื่องการส่งพลังงานจากคน ๆ หนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างจิตใต้สำนึกและคลื่นสมอง

ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็สามารถส่งพลังได้เสมอ ขอให้ความถี่ระหว่างเครื่องรับกับเครื่องส่งตรงกันก็พอ

"คนที่ไม่รู้จักขอบคุณพระเจ้า เขาจะได้รับเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นเขาก็จะถูกตัดขาดจากพระเจ้า เพราะเท่ากับเขาไม่ยอมรับว่ามีพลังอำนาจในระดับที่สูงขึ้นไปอีก แล้วพระเจ้าก็จะไม่ยอมรับเขา"
:s002: :s002: :s002:

ดังนั้น ช่วงวิกฤติระยะนี้ เรานั่งสมาธิ กำหนดจิต (เพ่งญาณ) ถึงพระกำหนดหายใจเข้า-ออก นำความรักในตัวเราออกมาสู่โลก ดันพลังที่โสมม ออกไป ขอแม่พระ พระเยซูให้ประเทศไทย ผ่านวิกฤต นี้ไปได้ด้วยดี สุดแต่น้ำพระทัยพระองค์
:s002: :s002: :s002:
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

เสาร์ ต.ค. 22, 2011 3:03 pm

สวดเอาง่ายกว่าไหม
โทรจิต งงอ่า
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

เสาร์ ต.ค. 22, 2011 6:54 pm

ส่งโทรจิต ด้วยการสวดสายประคำ ดีค่ะ เห็นด้วยค่ะ

ที่บ้าน สวดกันทั้งครอบครัวเป็นประจำอยู่บ่อยๆ แล้วค่ะ ช่วงนี้สวดเป็นพิเศษสำหรับผู้เดือนร้อนจากภัยน้ำท่วมค่ะ

ชวนเพื่อนๆ สวดสายประคำให้เพื่อนพี่น้องที่เดือดร้อนจากอุทกภัยกันนะคะ
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

อาทิตย์ ต.ค. 23, 2011 1:12 am

ช่วยสวดด้วยคนค่ะ ถึงน้ำจะผ่านไปแล้วก็ยังมีผลกระทบหลังน้ำลดอีก
ตอนนี้จะพยายามพลีกรรมวอนขอพระเมตตาเพิ่มด้วย
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ พ.ย. 04, 2011 7:20 am

อันตน เขียน:สวดเอาง่ายกว่าไหม
โทรจิต งงอ่า
เห็นด้วยครับ :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 04, 2011 9:45 am

โทรจิตกับกระแสจิต ต่างกันไหม... :s030:
ภาพประจำตัวสมาชิก
salvation7
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 522
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 31, 2010 1:05 am
ติดต่อ:

จันทร์ พ.ย. 14, 2011 11:21 am

วิวัฒนาการของระบบสื่อสารของมนุษย์ได้ก้าวออกมาจากร่างของพวกเขา กระโดดขึ้นบนหลังสัตว์
เหินฟ้าไปกับขานก (พิราบ) และมาบัดนี้ล่องหนหายตัวไปกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณไฟฟ้า คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ หรือคลื่นแสง
ระบบสื่อสารของมนุษย์กำลังพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มันกำลังก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตกาล

แต่ขณะเดียวกัน มันกำลังถอยหลังกลับเข้าสู่ทางเดิมของมัน นั่น คือ

ร่างกายของมนุษย์ แหล่งกำเนิดคลื่นพลังจิตของโทรจิต : ระบบสื่อสารแห่งอนาคต

โทรจิต หรือ Telephaty

คือ การรับรู้ความรู้สึกพิเศษจากความคิดของบุคคลอื่นหรือ
หมายถึงการติดต่อสื่อสารทางจิตจากจิตหนึ่งไปสู่อีกจิตหนึ่ง คำๆ นี้อนุพันธ์มาจากภาษากรีด
คือ tele หรือโทร ซึ่งหมายถึง “หนทางไกล” (distance)
และ pathe หรือ จิต หมายถึง “ความรู้สึก” (felling)
หรือ “เกิดความรู้สึกขึ้น” (occurrance)
และนอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ ที่อธิบายปรากฎการณ์นี้อีก เช่น
“การติดต่อสื่อสารทางชีวภาค” (biocommunication)

ความจริงแล้วมนุษย์เราได้สัมผัสกับปรากฏการณ์ทางโทรจิตมาตังแต่สมัยบรรพกาลแล้ว แต่คนสมัยก่อนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เช่น การเกิดลางสังหรณ์ หรือฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

อันที่จริงมนุษย์สมัยโบราณมีการติดต่อกันด้วยพลังจิตดีกว่าคนสมัยนี้เสียอีกเพราะภาวะจิตใจไม่ถูกรบกวน
และภาษาในสมัยนั้นก็ไม่สลับซับซ้อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญลักษณ์ หรือ รูปภาพ
ซึ่งสามารถเข้าใจและถ่ายทอดกันได้ง่าย

แต่พอความศิวิไลซ์ของมนุษย์ก้าวเข้ามา อำนาจพิเศษในด้านพลังจิตของมนุษย์นั้นก็ถูกบดบังไปอย่างน่าเสียดาย
และมิหนำซ้ำ กลับกลายเป็นว่าเรื่องของอำนาจจิตเป็นเรื่องของพวกคลั่งศาสนาและไสยศาสตร์ไปเสียอีก

นักวิทยาศาสตร์เพิ่มจะหันมาสนใจเรื่องของโทรจิตเมื่อไม่กี่สิบปีมานี่เอง
นักวิทยาศาสตร์ชาติที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้มากที่สุด คือ รัสเซีย
เหตุที่ทำให้รัสเซียสนใจเรื่องราวของการติดต่อด้วยพลังจิตนี้ก็เพราะแรงกระตุ้นจากนักแสดงละครสัตว์
ชื่อ วลาดิมีร์ ดูรอฟ เขาเป็นนักฝึกสัตว์ที่มีความชำนิชำนาญมาก
ดูรอฟเชื่อว่าสัตว์ที่เขาฝึกสามารถอ่านจิตใจของเขาออก และมันสามารถจับกระแสจิตของเขาได้ อย่างในการสั่งให้สนุขวิ่งไปที่โต๊ะแล้วคาบเอาหนังส่อที่วางอยู่บนนั้นมาให้ เขา

ดูรอฟก็จะเริ่มการส่งโทรจิตด้วยการจับหัวสุนัขตัวนั้นเข้ามาไว้ในระหว่างมือทั้งสองข้าง
แล้วก็จ้องมองมันตาเขม็ง จากนั้นเขาจะค่อยๆ ถ่ายทอดคลื่นความคิดเข้าไปในดวงจิตของมัน อธิบายถึงสิ่งที่จะให้มันทำทีละขั้นตอนด้วยจิตต่อจิตโดยไม่ปริปากพูดเลยสัก คำ แล้วสุนัขแสนรู้ของเขาก็วิ่งปร๋อเข้าไปคาบหนังสือมาให้เขาดังประสงค์
สร้างความประหลาดใจและประทับใจแก้ผู้ชมยิ่งนัก

หลังจากที่เฝ้าดูละครสัตว์ของดูรอฟแสดงอยู่ได้ไม่นาน
วลาดิมีร์ เบคห์เทเรฟ (พ.ศ.2400-2470) นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโซเวียต
ก็อดรนทนไม่ไหวต้องกระโดดเข้ามาศึกษาในเรื่องนี้ และผลการศึกษาก็เป็นที่น่าพอใจมาก เพราะดูรอพสามารถส่งกระแสจิตให้สุนัขของเขาทำตามคำสั่งได้แม้ว่าสุนัขตัว นั้นจะไม่เห็นตัวเขาก็ตาม

และที่ทำให้เบคห์เทเรฟปักใจเชื่อในเรื่องการส่งถ่ายความคิดนี้ยิ่งก็คือ
คำสั่งเหล่านั้นเขารู้เพียงคนเดียวโดยที่ดูรอพไม่เคยรู้มาก่อนเลย

จากงานทดลองร่วมกับดูรอพนี่เองที่ทำให้เบคห์เทเรฟมีแรงหนุนเนื่องให้หันมาศึกษาเรื่องของโทรจิตอย่างจริงจัง

หลังจากนั้นเขาก็ได้เป็นหัวหน้าสถาบันวิจัยสมอง แห่งมหาวิทยาลัยเลนินกราด

ในปี 2465 เขาตั้งคณะกรรมการเพื่อการศึกษาการสะกดจิต และทดลองส่งกระแสจิตระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ขึ้นในการทดลองครั้งหนึ่งบันทึกไว้ว่า

ส่ง : รูปสามเหลี่ยมที่มีรูปวงกลมอยู่ข้างใน ผู้รับก็สนองตอบในทันที (วาดรูปเป้า)

ส่ง : ภาพเครื่องจักรวาดด้วยดินสอแบบง่ายๆ ผู้รับก็ปฏิบัติตามได้อย่างแน่นอนและยังตรวจดูเส้นร่างรูปของเครื่องจักรใหม่อีกตั้งหลายครั้ง

ในปี พ.ศ. 2467 เบคห์เทเรฟได้ตัวผู้ที่อุทิศตนให้กับการทดลองทางโทรจิตอีกคนหนึ่ง
คือ ลีโอนิค แอล. วาซิลิเอฟ (พ.ศ. 2434 – 2509) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาเอง (ต่อมาได้เป็นศาสตรจารย์ทางประสาทสรีระวิทยาประจำสถาบันวิจัยสมอง)

วาซิลิเอฟปักใจเชื่อในเรื่องของโทรจิตที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เนื่องจากประสบการณ์ที่เขาต้องเอาชีวิตเข้าแลก ตอนอายุ 12 ขวบ
เขาตกลงไปในแม่น้ำและเกือบจะจมน้ำตายเขาบอกผู้ปกครองของเขาฟังว่า
เธอเห็นเขากำลังจะจมน้ำและยังเห็นรายละเอียดอีกด้วยว่า
หมวกสีขาวใบใหม่ของเขาถูกพัดพาไปับกระแสน้ำด้วยนี่เอง
ที่ทำให้วาซิลิเอฟต้องหันเหชีวิตมาทุ่มเทให้กับการศึกษาทางโทรจิต
เพื่อหาข้ออรรถาธิบายทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้

อีกสองปีต่อมา วาซิลิเอฟได้ดำเนินชุดการทดลองของเขาเองที่โรงพยาบาลเลนิน กราด ซึ่งเป็นการศึกษาการสะกดคนให้คนที่ถูกสะกดจิตแสดงกิริยาท่าทางอันน่ารำคาญ เล็กๆ น้อยๆ
เช่น ให้ยกแขน ยกขา หรือแม้กระทั่งเกาจมูก
เขาประสบความสำเร็จ 16 ครั้งจากการทดลอง 19 ครั้ง

ภายหลังจากการที่ทดลองซ้ำ เขาก็ประกาศว่าการเคลื่อนไหวของร่างกายเนื่องจากจิตสำนึก
หรือจิตไร้สำนึก อาจมีสาเหตุมาจากการสะกดจิตเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้แล้ววาซิลิเอฟยังพบอีกว่ามันเป็นไปได้ที่จะทำให้บางคนหลับหรือตื่นได้
โดยการควบคุมทางจิตระยะไกลแม้ว่าระยะจะไกลถึง 1600 กิโลเมตร ยิ่งกว่านั้นเขายังพบอีกว่า

แม้จะจับเอาผู้ส่งกระแสจิตเข้าอยู่ใน กรงฟาราเดย์
(Faraday cage : ในนั้นเกือบจะไม่มีรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าใดๆ ผ่านเข้าไปได้เลย)
ก็ไม่มีผลใดๆ ต่ออัตราความสำเร็จของเขา

แต่อย่างไรก็ตามวาซิลิเอฟก็ยังประสบความล้มเหลวในจุดมุ่งหมายหลักของเขา
ในการที่จะหาคำอธิบายพื้นฐานทางฟิสิกส์เกี่ยวกับโทรจิต
(ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขามีเสียงเล่าลือกันว่าเขาได้ทำการวิจัยอย่างลับๆ ให้กับรัฐบาลโซเวียตเพื่อศึกษาและนำเอากลไกของโทรจิตมาประยุกต์ใช้กับงานทาง ด้านการทหาร)

โทรจิตเป็นระบบการสื่อสารที่เกิดขึ้นได้เองโดยธรรมชาติ

มิเกล คูนิ นักพลังจิตอีกคนหนึ่งที่สนใจงานพัฒนาด้านนี้
เชื่อว่าความกดดันทางอารมณ์สูงสุดที่เกิดขึ้นทันทีทันใดของคนเรา
เป็นสาเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ทางอำนาจจิตได้ จากการศึกษางานด้านพลังจิตกับคนจำนวนมาก

เขาพบว่าอารมณ์ของคนเรานั้น เป็นสวตซ์ปิดเปิดการส่งโทรจิตธรรมชาติได้โดยอัตโนมัติอย่างเช่น

เมื่อเราต้องประสบกับเหตุการณ์รุนแรง หรือเกิดอุบัติเหตุกับญาติพี่น้องหรือคนสนิท อารมณ์ที่เครียดสูงสุดนี้ก็จะเป็นตัวเปิดสวิตซ์การส่งหรือรับโทรจิตโดยฉับ พลันทันที

อย่างในกรณีที่เกิดกับทหารเรือดำน้ำรัสเซียคนหนึ่งซึ่งป่วยและต้องนอนพักอยู่ที่ฐานทัพ
จึงไม่ได้เดินทางออกไปกับเรือเที่ยวนั้น

พอตกบ่ายเขาก็ฝันไปว่า เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือในขณะที่เรือกำลังดำลง
เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปในเรือได้ ตัวเขาค่อยๆ จมลงไปในน้ำพร้อมกับเรือ
เขาสำลักน้ำเข้าไปหลายอึกและรู้สึกว่ากำลังจะจมน้ำตาย

จนบัดนี้เขายังจำฝันร้ายนั้นได้ติดตา เพราะหลังจากที่เราเข้าเทียบท่าที่ฐานทัพ เขาก็ทราบว่าเพื่อนของเขาจมน้ำตายเนื่องจากติดอยู่บนดาดฟ้าเรือในขณะที่เรือ กำลังดำลงสู่ใต้ผิวน้ำ

นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า โทรจิตเป็นประสาทสัมผัสที่ 6 ของคนเรา ที่นอกเหนือไปจาก หู , ตา , ลิ้น , จมูก และกายซึ่งทุกคนมีความสามารถพิเศษทางโทรจิตนี้แฝงอยู่ หากแต่ถูกบดบังด้วยจิตใจที่หม่นหมอง ดังที่มีคำกล่าวอ้างกันอยู่เสมอว่าอำนาจทางโทรจิตของคนเรานั้นมีอยู่มากในคน รุ่นบรรพกาล และมาเหือดหายไปเมื่อมนุษย์มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น

ยูริ คาเมนสกี้ นักชีวฟิสิกส์ นักส่งกระแสจิต ผู้ร่วมทดลองกับคาร์ล นิโคลิเอฟ
นักแสดงพลังจิตผู้ลือชื่อของรัสเซีย ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า

ความจริงแล้วคนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ก็มีความสามารถในการส่งและรับกระแสจิตด้วยกันทั้งนั้น
แต่ความสามารถพิเศษนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและแน่นอน

บางคนอาจมีความสามารถพิเศษนี้มากกว่าคนอื่นๆ
ในวิชาปรจิตวิทยา (Parapsychology) ของรัสเซียนั้นถือว่าผู้ส่งและผู้รับกระแสจิตนั้นมีความสำคัญเท่ากัน เพราะถ้าผู้ส่งกระแสจิตส่งมโนภาพที่เลือนลางมาให้เราก็จะได้แต่ภาพที่เลือน ลางนั้นด้วย

ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้รับและผู้ส่งข่าวสารทางจิตจักต้องฝึกปรือ กันมาอย่างดี และต้องสามารถสร้างมิตรสัมพันธ์ทางจิตหรือรับคลื่นกระแสจิตให้เข้ากันได้ เป็นอย่างดีด้วย

คาเมนสกี้ ให้คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการเป็นนักโทรจิตว่า

จงทำตัวให้สบายผ่อนคลายอารมณ์ ลดภาวะความตรึงเครียดทางกายและทางใจลง และควรจะกำจัดความกังวล
หรืออารมณ์ที่ขุ่นมัวออกให้หมดสิ้น จงทำให้มีความเชื่อมั่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเริ่มส่งข่าวสารทางจิตไปยังผู้รับนั้น ปล่อยใจให้ล่องลอยจงแน่วแน่อยู่กับข่าวสารและข้อมูลที่จะส่ง

พร้อมกับนึกถึงหน้าของผู้รับกระแสข่าวสารทางจิตจากเราให้กระจ่างอยู่ในดวงจิต
เมื่อท่านฝึกเช่นนี้บ่อยๆ จนมีความคุ้นเคยและสามารถปรับคลื่นกระแสจิตเข้ากันได้แล้ว
ในไม่ช้าไม่นานท่านก็จะเปรียบเสมือนมี โทรจิเตอร์ (เครื่องรับส่งโทรจิตยังไงละครับ)
ติดตัว ใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่และทุกสภาวะดินฟ้าอากาศ

ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะนักฟิสิกส์ชาวรัสเซียเชื่อว่าอำนาจจิตธรรมชาตินั้น
น่าจะเกิดมาจากความสอดคล้องกันระหว่างคลื่นสมองของผู้ส่งและผู้รับ
ที่มีอำนาจสัมพันธ์กันซึ่งเรื่องนี้คนทั่วไปสามารถฝึกปรับระดับจิตของพวกเขาให้เข้ากันได้ภายใน 3 เดือน
(จริงหรือไม่คุณลองฝึกเอาดูแล้วกัน)

แล้วยังมีข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า การฝึกโทรจิต ถ้าจะให้ได้ผลสูงสุด
นอกจากจะปฏิบัติตามข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว
เราควรจะมีการนัดหมายเวลาเพื่อให้ปฏิบัติพร้อมเพรียงและสอดคล้องกัน
(ในที่นี้หมายถึงต้องสอดคล้องกันทั้งทางกาย จิตใจ และเวลาด้วย)

ดร.อิปโปลิท โคแกน เป็นนักวิทยาศาสตร์รัสเซียอีกท่านหนึ่งที่มีความสนใจในงานด้านโทรจิต และได้นำเอาระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษางานด้านนี้ที่สำคัญคือ

เขาได้นำเอาเครื่องมือทดสอบอีอีจี หรือเครื่องวัดคลื่นสมอง (Electroencephalograph)
มาใช้ในการทดลองการส่งและรับกระแสจิต
ซึ่งจะแสดงให้เห็นตำแหน่งของการโฟกัสคลื่นความคิดในสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น
เมื่อผู้รับได้รับภาพ ก็จะทำให้เกิดคลื่นกระตุ้นที่สมองส่วนออกซิปิตอล (occipital lobe)

ซึ่งเป็นสมองส่วนที่กี่ยวกับการมองเห็นหรือถ้าได้รับกระแสจิตเกี่ยวกับเสียงเข้ามา
ก็จะเกิดคลื่นกระตุ้นขึ้นที่สมองส่วนเทมพอรอล (temporal lobe)
ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวกับการได้ยินเสียง

เมื่อรัสเซียก้าวเข้าสู่สมัยอวกาศ มีการส่งดาวเทียมขึ้นโคจรรอบโลก และส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปล่องลอยในอวกาศการทดลองทางโทรจิตของเขาก็ก้าวตาม ขึ้นไปด้วย

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้แย้มเรื่องราวดังกล่าวเมื่อครั้งที่ไปประชุมเกี่ยวกับมนุษย์อวกาศที่กรุงปารีส
ในประเทศฝรั่งเศส พ.ศ.2509 ว่า

นักวิทยาศาสตร์ระดับมันสมองของพวกเขาจำนวนมากเชื่อว่า การวิจัยค้นคว้าทางพลังจิตนั้นนับว่ามีความสำคัญต่อความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีใหม่ๆ มาก
โดยเฉพาะในการผจญภัยในอวกาศนั้น มนุษย์ควรนำเอาพลังจิตไปใช้ในกาสื่อสาร

เป็นที่ทราบกันดีว่ารัสเซียพยายามอย่างยิ่งที่จะฝึกมนุษย์อวกาศของพวกเขาให้มีความสามารถ
ที่จะนำเอาโทรจิตไปใช้เป็นระบบสื่อสารส่วนบุคคลในอวกาศ

พวกเขาได้ฝึกการเพ่งสมาธิตามหลักการฝึกพลังจิตของโยคี และฝึกการส่งและรับกระแสจิตติดต่อกันระหว่างมนุษย์อวกาศกับผู้ที่อาศัยอยู่ บนโลกนับครั้งไม่ถ้วน

และนอกจากนี้แล้วยังฝึกหัดการสะกดจิตตัวเองเพื่อนำไปใช้ในการเดินทางท่องอวกาศ
เป็นเวลานานแสนนานอีกด้วยอย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ก็รู้มาเพียงระแคะระคายเท่านั้น
เพราะข้อมูลและผลการทดลองนั้น พี่รัสเซียเขาเก็บไว้เป็นความลับ
ที่รั่วไหลออกมาก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง

เพราะจริงๆ แล้วรัสเซียกำลังนำเอาพลังจิตไปใช้ในงานทางด้านการทหาร
ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ
เพื่อเสริมความแข่งแกร่งให้แก่ข่ายการติดต่อสื่อสารแบบที่เรียกว่าศัตรูตรวจจับไม่ได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
salvation7
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 522
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 31, 2010 1:05 am
ติดต่อ:

จันทร์ พ.ย. 14, 2011 11:33 am

กระแสจิตมีจริง

จิตของคนที่ฝึกมาดี จิตที่ปราศจากอคติ ปราศจากโทสะ
ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงงมงาย ไม่อยากได้อยากมี
ไม่อิจฉาริษยา ไม่โกรธแค้นอาฆาตพยาบาท มีใจสงบนิ่ง
เป็นจิตที่ละเอียดอ่อน และมีพลัง จะสามารถหยั่งรู้ใจคน
และอ่านความคิดคนอื่นได้


กระแสจิตของคนเรา เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีความถี่สูง
และละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
กำลังความคิดของแต่ละคนที่ส่งออกไปนอกตัว
สามารถไปกระทบจิตของคนที่มีความสามารถในการรับคลื่นกระแสจิตได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสจิตที่ส่งมาจากคนที่เรารู้สึกผูกพันใกล้ชิดสนิทสนม
จะสามารถติดต่อกันทางโทรจิตได้
บุคคลที่มีความสัมพันธ์กันทางอารมณ์อยู่แล้ว
จะมีประสาทสัมผัสรับรู้พิเศษถึงกันได้

"คลื่นกระแสจิต" เป็นพลังงาน ที่มีความละเอียดสูงมาก
จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆในปัจจุบันจะวัดได้
คนเราทุกคน เป็นได้ทั้งผู้รับคลื่นกระแสจิต และเป็นผู้ส่งคลื่นฯ

“โทรจิต” (Telepathy) เป็นความสามารถถ่ายทอดความรู้สึก
หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้
โดยการส่งกระแสจิตออกไปถึงผู้รับ


ดังนั้น “ความคิด” ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา
จึงเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้


ถ้าคนๆ นั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆ เข้ามา

เซลล์แต่ละอันในร่างกายมนุษย์
ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่นกัน
และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอัน
ในร่างกายตนเองได้ด้วย

ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ
เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์
เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง

การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี
จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์
บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ
ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา…

คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง:

สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ
ความโกรธ ความหลง ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง
ความเกียจคร้าน ความอิจฉาริษยา อคติ เหล่านี้ ไหลเข้ามาสู่ตัวเรา

คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา:

คลื่นความคิดจำพวก ความรัก ความเมตตา ความหวังดี ความห่วงใย
ความเอื้ออาทร การมองโลกในแง่บวก การให้อภัย ความกระตือรือล้น
ความร่าเริงแจ่มใส เหล่านี้ ให้ไหลเข้ามาสู่ตัวเรา

ความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต
เราควรฝึก “ควบคุมใจ” ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมด
สามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเราจึงจะแข็งแรง และมีอายุยืนยาว

เราทุกคนสามารถทำได้เช่นเดียวกัน
หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่างเที่ยงธรรม
มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
และมีความคิดในเชิงบวก
เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน
ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน

แต่คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ “ใจ”
หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย"เท่านั้น
ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรงมาเป็นหลักของชิวิต
เราจึงควรพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้…

“คลื่นความคิด” ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง
ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว
มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต
แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียว
เหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน
หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง
และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง….
จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่นหรือวัตถุอื่น…

นักพลังจิตเชื่อว่า
ความกดดันทางอารมณ์สูงสุดที่เกิดขึ้นทันทีทันใดของคนเรา
เป็นสาเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ทางอำนาจจิตได้
อารมณ์ของคนเรานั้น
เป็นสวิตซ์ปิดเปิดการส่งโทรจิตธรรมชาติได้โดยอัตโนมัติ

อย่างเช่น เมื่อเราต้องประสบกับเหตุการณ์รุนแรง
หรือเกิดอุบัติเหตุกับญาติพี่น้องหรือคนสนิท
อารมณ์ที่เครียดสูงสุดนี้
ก็จะเป็นตัวเปิดสวิตซ์การส่งหรือรับโทรจิตโดยฉับพลันทันที

อย่างในกรณีที่เกิดกับทหารเรือดำน้ำรัสเซียคนหนึ่งซึ่งป่วย
และต้องนอนพักอยู่ที่ฐานทัพ จึงไม่ได้เดินทางออกไปกับเรือเที่ยวนั้น
พอตกบ่ายเขาก็ฝันไปว่า
เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือในขณะที่เรือกำลังดำลง
เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปในเรือได้
ตัวเขาค่อยๆ จมลงไปในน้ำพร้อมกับเรือ
เขาสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก และรู้สึกว่ากำลังจะจมน้ำตาย

จนบัดนี้เขายังจำฝันร้ายนั้นได้ติดตา
เพราะหลังจากที่เราเข้าเทียบท่าที่ฐานทัพ
เขาก็ทราบว่าเพื่อนของเขาจมน้ำตายเนื่องจากติดอยู่บนดาดฟ้าเรือ
ในขณะที่เรือกำลังดำลงสู่ใต้ผิวน้ำ

โทรจิตเป็นประสาทสัมผัสที่ 6 ของคนเรา
ที่นอกเหนือไปจาก ตา หู จมูก ลิ้น และกาย
ซึ่งทุกคนมีความสามารถพิเศษทางโทรจิตนี้แฝงอยู่
หากแต่ถูกบดบังด้วยจิตใจที่หม่นหมอง


ความจริงแล้วคนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ก็มีความสามารถในการส่ง
และรับกระแสจิตด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสามารถพิเศษนี้
จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและแน่นอน


บางคนอาจมีความสามารถพิเศษนี้มากกว่าคนอื่นๆ
ผู้ส่งและผู้รับกระแสจิตนั้นมีความสำคัญเท่ากัน เพราะถ้าผู้ส่งกระแสจิต
ส่งมโนภาพที่เลือนลางมาให้เราก็จะได้แต่ภาพที่เลือนลางนั้นด้วย

ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้รับและผู้ส่งข่าวสารทางจิต
จักต้องฝึกปรือกันมาอย่างดี และต้องสามารถสร้างมิตรสัมพันธ์ทางจิต
หรือรับคลื่นกระแสจิตให้เข้ากันได้เป็นอย่างดีด้วย

จงทำตัวให้สบายผ่อนคลายอารมณ์
ลดภาวะความตรึงเครียดทางกายและทางใจลง
และควรจะกำจัดความกังวล หรืออารมณ์ที่ขุ่นมัวออกให้หมดสิ้น
จงทำให้มีความเชื่อมั่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเริ่มส่งข่าวสารทางจิตไปยังผู้รับนั้น
ปล่อยใจให้ล่องลอยจงแน่วแน่อยู่กับข่าวสารและข้อมูลที่จะส่ง
พร้อมกับนึกถึงหน้าของผู้รับกระแสข่าวสารทางจิตจากเรา
ให้กระจ่างอยู่ในดวงจิต เมื่อท่านฝึกเช่นนี้บ่อยๆ จนมีความคุ้นเคย
และสามารถปรับคลื่นกระแสจิตเข้ากันได้แล้ว
ในไม่ช้าไม่นานท่านก็จะเปรียบเสมือนมีเครื่องรับส่งโทรจิตติดตัว
ใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่และทุกสภาวะดินฟ้าอากาศ

ทั้งนี้ทั้งนั้น อำนาจจิตธรรมชาตินั้น น่าจะเกิดมาจากความสอดคล้องกัน
ระหว่างคลื่นสมองของผู้ส่งและผู้รับ ที่มีอำนาจสัมพันธ์กัน ซึ่งเรื่องนี้
คนทั่วไปสามารถฝึกปรับระดับจิตของพวกเขาให้เข้ากันได้ภายใน 3 เดือน

แล้วยังมีข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า การฝึกโทรจิต ถ้าจะให้ได้ผลสูงสุด
นอกจากจะปฏิบัติตามข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว
เราควรจะมีการนัดหมายเวลาเพื่อให้ปฏิบัติพร้อมเพรียงและสอดคล้องกัน
(ในที่นี้หมายถึงต้องสอดคล้องกันทั้งทางกาย จิตใจ และเวลาด้วย)

ก็ขอให้ทุกๆคน มีความรู้สึกนึกคิดที่ดี
กระแสจิตที่ส่งออกมานอกตัว จะได้เป็นกระแสที่ร่มเย็น
เป็นความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน

ส่วนคนที่มีกระแสความคิดเป็นในทางลบ
เช่น อิจฉา หมั่นไส้ โกรธ เกลียด อคติ
ก็ควรพยายามควบคุมกำลังความคิดของตนเองให้เป็นไปในทางบวก
เป็นไปในทางสร้างสรรค์ มีสันติสุข มีความสงบในใจ
เพราะผู้รับคลื่นกระแสจิตจากคุณ เขาจะได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ
และพลอยมีใจสงบร่มเย็นไปด้วย

-----
ลองฝึกกันดู อิอิ เครื่อง รับ เครื่อง ส่ง ต้องเปิด รับ พร้อมกันน๊ะ ไม่งัน จูน ไม่ตรงกัน อิอิ ตอนแรก ๆๆ ก็ :s030: :s030: :s030: บังเอิญมั๊ง พอหลาย ๆๆ ครั้ง ก็พอเข้าใจ... แต่ก็ไม่ต้องพูดให้โอเวอร์ หรือโอ้อวด

ถ้าเกิน 4-5 ครั้ง เป็นที่เข้าใจกัน...ว่าคุณได้สัมผัสแล้วหล่ะ เพราะบางสิ่งบางอย่าง มันเหนือธรรมชาติ...คนอื่นไม่เคยประสบ ก็จะหาว่าเราโอ้อวดสรรพคุณ

สู่ นิ่งและปฏิบัติ และให้เห็นเองจะดีกว่า??..
ตอบกลับโพส