ในอดีตกาลพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา และใส่อิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ซึ่วไม่เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างสัตว์ สัตว์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น พระเจ้าไม่ได้ประทานอิสระในการเลือกให้แก่มันเพราะฉะนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตตามชอบใจ แต่ต้องเดินตามวิถีชีวิตที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่มัน (สัตว์ถูกสร้างขึ้นมาไม่เหมือนกับมนุษย์มันไม่มีสภาพเป็นบุคคล ไม่มีมโนธรรม แต่มนุษย์ถูกสร้างตามพระลักษณะของพระเจ้า เขามีวิญญาณที่มีสภาพเป็นบุคคลมีมโนธรรม)
แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้นถึงแม้พระเจ้าทรงกำหนดวิถีชีวิตให้แก่เขา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงบังคับให้มนุษย์จะต้องเดินในวิถีที่พระองค์ทรงกำหนด แต่พระเจ้าทรงประทานอิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมีอิสระที่จะเลือกได้ว่าจะเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขา หรือจะไม่เดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขาก็ได้ โดยพระองค์จะทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า ถ้าเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา เลือกเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เดิน เขาจะไม่ตาแต่จะเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ แต่ถ้าหากเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขามาเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนด (เลือกเดินตามใจชอบของตนเอง) เขาจะต้องตายและตกเป็นทาสของบาป แต่น่าเศร้าที่มนุษย์คู่แรกกลับเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนดให้แก่เขา ดังนั้นตั้งแต่ นั้นมามนุษย์ทุกคนก็ต่างติดเชื้อแห่งความตายนี้ นั่นก็คือการแยกออกจากพระเจ้า การแยกออกจากพระเจ้านี้พระคัมภีร์เรียกว่าความตาย
"เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลกเพราะคนเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคนเพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขาในทางที่ผิด) (โรม 5:12)
"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย (ความตายนี้ไม่ใช่การหยุดทุกอย่าง แต่เป็นการรับผลที่เขาได้ทำ เหมือนกับผิดกฎหมายก็ต้องติดคุก) (โรม 6 : 23)
สรุปแล้ว
บาป ก็คือ การใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้ามอบให้ในทางที่ผิด
ความตาย คือ การแยกออกจากพระเจ้า(เหมือนกิ่งแยกออกจากต้น มันจะเริ่มตายหรืออาจจะพูดได้ว่ามันตายแล้ว)
ความตายเป็นผลมาจากความบาป เหมือนกับติดคุก เป็นผลมาจากผิดกฎหมาย ( ใช้อิสระที่ทำในสิ่งที่กฎหมาย ทั้ง ๆที่ตัวเองก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำตามกฎหมายหรือไม่ทำ)
และตั้งแต่มนุษย์คู่แรกของโลกเป็นต้นมา มนุษย์ทุกคนต่างก็ทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกของเขาในทางที่ผิด) ทำให้ชีวิตของเขาแยกออกจากพระเจ้าแน่นอน การแยกออกจากพระเจ้าก็เหมือนกิ่งไม้ที่แยกออกจากต้น มนุษย์ทุกคนจึงยิ่งมา ยิ่งเริ่มแห้งเหี่ยวเฉา เน่าเปื่อย และตายในที่สุด)
ถ้าเราสำรวจดูชีวิตของพวกเราก็จะเห็นว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นเป็นเหมือนกับกิ่งไม้ที่ถูกแยกออกจากต้นจริงๆ
กิ่งไม้ที่ถูกแยกออกจากต้น มนุษย์ที่ถูกแยกออกจากพระเจ้า
(ที่มาของความตาย ) (ที่มาของความตาย)
1. เริ่มแห้ง (ไม่อยากแห้งก็ต้องแห้ง) 1. เริ่มทำบาป (ไม่อยากทำบาปก็ต้องทำ)
2. เริ่มเหี่ยว 2. เริ่มมีการเจ็บปวดเจ็บไข้และปัญหา
3. เริ่มเน่าเปื่อย 3. เริ่มเก็บสะสมปกปิดความผิดที่ตนกระทำ
4. ตายสนิท 4. ตายทางร่างกาย
5. นำไปทำปุ๋ยหรือทำฟืน 5. เผชิญกับเหตุการณ์หลังความตาย
หลังจากตายแล้วจะพบกับอะไร
ในข้อที่ 5 ของช่องมนุษย์ที่เขียนว่า"เผชิญกับเหตุการณ์หลังความตาย" นั้น เขาจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไรหรือ ?
พวกเราที่เป็นคริสเตียนเราเชื่อว่านับตั้งแต่มนุษย์ทำบาปคือแยกตัวออกจากพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขาก็เริ่มมีการตาย 3 อย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิตของเขา คือ
ตายฝ่ายวิญญาณ(เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ในขณะที่คุณเป็นอยู่)
ตายฝ่ายร่างกาย จะเกิดแน่ในอนาคต
ตายในนรก(แยกจากพระเจ้าเป็นนิตย์จะพบกับความตายนี้หรือไม่ เรามีสิทธิ์เลือกเมื่อยังมีชีวิตอยู่)
ตอนนี้ให้เรามาดูกันทีละอย่าง
1. ความตายฝ่ายวิญญาณ
คือการไม่เอาพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต แต่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต เขาจะกำหนดวิถีชีวิตขึ้นมาเองเขาจะกำหนดว่าสิ่งใดถูกหรือผิดด้วยตัวเอง เขาจะวางมาตรฐานศีลธรรมของตนเอง นี่เป็นผลจากการแยกออกจากพระเจ้า นี่เป็นความตายฝ่ายวิญญาณที่มนุษย์ทุกคนในโลกกำลังประสบอยู่ ซึ่งการตายฝ่ายวิญญาณนี้จะสังเกตได้ง่าย ๆ 5 ประการในชีวิตมนุษย์ทุกคนก็คือ
ไม่สนใจพระเจ้า ไม่คิด ไม่แสวงหา ไม่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ลบหลู่พระองค์ เกลียดชังพระเจ้าและเรื่องบของพระเจ้าโดยไร้สาเหตุ ฯลฯ
ฉันทำผิดได้ไม่เป็นไร แต่คนอื่นห้ามทำผิด ฉันโกหกคนอื่นได้ไม่เป็นไร แต่ใครมาโกหกฉันน่าดู ฉันนินทาคนอื่นได้ไม่เป็นไร แต่คนอื่นห้ามนินทาฉันเด็ดขาด ฉันทำผิดเรื่องเพศได้ แต่ใครอย่ามาทำผิดเรื่องเพศกับครอบครัวฉัน
ถึงแม้จะมีกฎหมาย และมาตรฐานศีลธรรมของศาสนา แต่เขาก็ยึดไว้แต่ปาก ส่วนการดำเนินชีวิตของเขาดำเนินตามตัวเองเห็นชอบ
สอนได้ทำไม่ได้ - เช่น พ่อแม่สอนลูกว่าอย่าโกหก แต่ตัวเองโกหก ยิ่งมาก็ยิ่งหน้าซื่อใจคด มือถือสากปากถือศีล ถือศาสนาแต่เปลือกนอก แต่แก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ถือ
แสวงหาในสิ่งที่เอาไปไม่ได้ - รู้ไหมว่าตายแล้วเอาไปไม่ได้…. รู้แต่ก็ยังอยากได้… ทำไม ?
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก็เพราะมนุษย์ทุกคนนั้นกำลังตายฝ่ายวิญญาณ และความตายฝ่ายวิญญาณนี้กำลังนำพวกเขาไปสู่การตายที่น่ากลัวอีกกสองอย่าง
2. ตายฝ่ายร่างกาย
นี่คือการเหี่ยวแห้งหรือการถดถอยของสังขาร ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า ในชีวิตของพวกเราทุกคนที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แยกจากพระเจ้านี้จะเริ่มมีอาการปรากฏออกมาเรื่อยๆ เริ่มจากเด็ก และโตขึ้นจนถึงวัยชรา ร่างกายจะเริ่มเหี่ยวแห้งลง เหี่ยวลงและเหี่ยวลง และตายในที่สุด ดังนั้น จึงมีนักปรัชญาบางคนกล่าวว่า "การเริ่มต้นของชีวิตเป็นเรื่องที่เจ็บปวด เพราะมันเป็นการเริ่มต้นไปสู่จุดจบ" เบื้องหลังความคิดของเขาก็คือ เขากำลังบอกว่าถ้ามนุษย์เริ่มชีวิต และเมื่อไปถึงจุดที่เป็น "หนุ่มสาว" และหยุดอยู่ ณ จุดนี้ตลอดไปได้ ก็จะมีแต่ความสุข(นี่เป็นความคิดที่มีอยู่ในทุกคนทั่วโลก คือเด็กก็อยากเป็นผู้ใหญ่ คนชราก็อยากกลับไปเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถจะหยุดเวลาในช่วงนี้ได้เลย ดังนั้น เราจึงต้องพบกับความเจ็บปวดแห่งการพลัดพลากจากคนที่เรารักหรือคนที่รักเราคือการตายฝ่ายร่างกาย
3. การตายในนรก
พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีความรักและทรงมีความยุติธรรม ด้วยความรักพระองค์ไม่อยากจะลงโทษมนุษย์ (เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์เหมือนพ่อรักลูก) แต่เพราะความยุติธรรมจึงทำให้พระองค์จะต้องลงโทษความผิดบาป เพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงลงโทษความผิดบาปแล้ว พระองค์ก็ไม่มีความยุติธรรม
หลังจากมนุษย์ตายฝ่ายร่างกาย วิญญาณของเขาจะออกจากร่างกายไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง เรียกว่าแดนคนตายเพื่อรอการพิพากษาจากพระเจ้าและเมื่อวันพิพากษามาถึงวิญญาณของเขาจะมีร่างกายอีกร่างกายหนึ่งและเมื่อจะต้องถูกนำตัวมายังหน้าบัลลังก์พิพากษา และพระเจ้าจะพิพากษาตามการกระทำของเขาที่ทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก พระเจ้าจะทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรมรอบคอบที่สุด ผู้พิพากษาในโลกนี้อาจจะพิพากษาได้อย่างยุติธรรมในความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งและมีหลักฐานที่ชัดเจนเท่านั้น แต่การพิพากษาของพระเจ้านั้นยุติธรรม และพระองค์จะนำการกระทำทุกอย่างที่มนุษย์กระทำไม่ว่าในที่ลับที่แจ้งที่ชัดเจนหรือที่ปกปิดซ่อนไว้ในใจออกมาพิพากษาหมด
"พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มแจ้งกระจ่าง และจะทรงเผยความลับในใจของคนทั้งปวงด้วย" (1 โครินธ์4:5)
"พระเจ้าจะทรงพิพากษาตามข้อความที่ได้จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้นและตามที่เขาได้กระทำ" (วิวรณ์ 20: 12 )
และโทษของมนุษย์ที่ทำบาปจะได้รับก็คือ การตายในบึงไฟนรกซึ่งเป็นการตายครั้งที่ 2 (วิวรณ์ 20 : 13 - 15)
(การตายฝ่ายร่างกายเป็นการตายครั้งที่ 1 และการตายในนรกเป็นการตายครั้งที่ 2)
คุณยังจำคำพูดของคุณหมอที่พูดกับเศรษฐีตอนแรกได้ไหม "คุณไม่ได้กลัวตายหรอก แต่สิ่งที่คุณกลัวก็คือเบื้องหลังความตาย เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณจะต้องพบกับอะไรคุณไม่พร้อมที่จะตาย เพราะลึก ๆ คุณรู้ดีว่าเบื้องหลังความตายมีสิ่งที่น่ากลัวกำลังรอคุณอยู่"
เหตุที่มนุษย์ทุกคนกลัวตายก็เพราะเขาไม่พร้อมที่จะเผชิญกับมัน (เหมือนเศรษฐี) ทำไมพวกเขาไม่พร้อมที่จะเผชิญกับมัน ก็เพราะเขารู้ดีว่าในชีวิตของเขามีความผิดบาปมากมายซ่อนอยู่ และถ้าเราพินิจดูชีวิตของตัวเองแล้ว เราก็จะพบว่า ตัวเรานั้นก็มีความผิดบาปมากมายซ่อนอยู่ในชีวิตเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโกหก โลภ นินทา พูดเสียดสี ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนอื่น อิจฉาริษยาตาร้อน ยุยง ไม่ให้อภัย อวดตัว เกลียดชัง พูดคำหยาบ ขโมย โกง ใส่หน้ากาก คิดแก้แค้น ผิดสัญญา จองหอง เย่อหยิ่ง ลามกสกปรก ด่าพ่อด่าแม่ เถียงพ่อเถียงแม่ ฯลฯ
สิ่งต่าง ๆ ข้างต้นเหล่านี้หลังจากการตายครั้งที่ 1 แล้ว จิตวิญญาณของเราก็จะออกจากร่างกายไปพบกับการพิพากษาอันยุติธรรมของพระเจ้า แน่นอน ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่จะสามารถรอดพ้นจากการพิพากษาที่ยุติธรรมอันแสนน่ากลัวนี้ได้เลย เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (คือทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เขาทำ) (โรม 3.23) ทำไมลึก ๆมนุษย์ทุกคนจึงไม่พร้อมที่จะตาย เพราะเขารู้ดีว่าเบื้องหลังความตายจะต้องพบกับการพิพากษาและเขาก็หนีไม่พ้น เพราะเขาได้ทำบาปมากมายถึงแม้เขาจะพยายามที่จะทำดีเพื่อลบล้างความผิดดบาปที่เขาทำ ก็ไม่สามารถลบล้างความผิดที่เขาเคยทำมาได้เลย (เหมือนกับนักโทษเมื่อทำผิด เขาต้องรับโทษสถานเดียว ไม่มีทางทำดีเพื่อชดใช้ความผิดที่ตนได้กระทำมาได้เลย)การทำดีของเขานั้นช่วยเขาได้แค่เพียง "ทำให้ข้อหาน้อยลงหน่อยท่านั้นเอง"สุดท้ายเขาจะต้องพบกับความตายครั้งที่ 2 นั่นคือการตายในบึงไฟนรก
นรกเป็นอย่างไร
นรกเป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก (เป็นสถานที่ที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้าเป็นนิตย์ ธก 1.9) เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยไฟ ไฟมันจะเผาร่างกายฝ่ายวิญญาณ มันจะไม่ถูกไหม้จนเป็นผงธุลีแต่ยังจะคงสภาพของร่างกาย และจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานไม่มีสิ้นสุด ที่นรกนั้นคนที่ทำผิดบาปจะถูกทอดทิ้งไม่มีการปลอบโยน แต่จะเต็มไปด้วยการคร่ำครวญ การทุกข์ทรมาน ที่นรกคนยังมีความรู้สึกแต่ไม่ตายซึ่งอึดอัดมากเหมือนคุณต้องการอากาศจะหายใจแต่ไม่มี และคุณก็ไม่ตาย คุณรู้ว่าคุณจะรู้สึกอึดอัดมากเพียงใด
พระเจ้าไม่ได้สร้าง"นรก" สำหรับมนุษย์แต่สร้างสำหรับลงโทษบาป แต่เพราะเหตุที่มนุษย์ใช้อิสระในการเลือกของเขาในทางที่ผิดเขาจึงนำตัวของเขาเข้าไปสู่บึงไฟนรก ใครล่ะจะสามารถรอดจากบึงไฟนรกได้ พระคัมภีร์บอกว่าจะต้องเป็นผู้ไม่มีบาปเลย แล้วใครล่ะในโลกที่ไม่มีบาป เราทุกคนต่างก็มีบาปและทำบาปมาแล้วนับไม่ถ้วน
เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์จะมีทางที่รอดพ้นจากบึงไฟนรกได้ไหม
มนุษย์มีทางรอดจากความตายในนรกได้ไหม
ถ้าอาศัยกำลังหรือการกระทำของมนุษย์แล้ว พวกเขาไม่มีทางรอดจากนรกได้เลย เพราะว่าพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่า "ค่าจ้างของความบาปคือความตาย" เขาจะลบล้างความบาปโดยทางอื่นไม่ได้เลย นอกจากการตายในนรกเท่านั้น ไม่ว่าใครในโลกก็ไม่สามารถตายแทนกันได้เลย เพราะว่าทุกคนต่างก็ทำบาปและต้องรับโทษของตนเอง ดังนั้นด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษยชาติ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกมารับสภาพเป็นมนุษย์ พระบุตรของพระองค์ก็คือ "องค์พระเยซูคริสต์" เมื่อขณะที่พระเยซูอยู่ในสภาพของมนุษย์นั้น ถึงแม้ว่าพระองค์จะมีอิสระในการเลือกที่จะทำบาปหรือทำตามวิถีของตนเอง แต่พระองค์ก็ไม่ใช้อิสระในการเลือกของพระองค์เหมือนมนุษย์คนอื่น (คือทำตามความพอใจหรือความต้องการขอตนเอง)แต่พระองค์ทรงใช้อิสระในการเลือกที่พระองค์มีอยู่นั้นมาทำตามในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ดังนั้นพระคัมภีร์จึงได้บันทึกไว้ว่า "พระองค์ไม่ได้ทำบาป" "พระองค์ปราศจากบาป" (ฮีบรู 4:15) (1 เปโตร 2 : 22) เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์จึงทรงสามารถที่จะรับแบกบาปหรือใช้หนี้บาปในการตายในนรกให้แก่มวลมนุษย์ได้ (นั่นก็คือพระเยซูทรงสามารถที่จะรับโทษที่มนุษย์ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องรับคือความตายครั้งที่2 ได้) และเงื่อนไขในการรับโทษแทนพระเยซูคริสต์ ก็คือ เพียงแต่คนหนึ่งสำนึกในความผิดที่ตนทำ ยอมสารภาพต่อพระเจ้า และขอให้พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษแทนจากใจจริง (คือมีความเสียใจต่อความผิดบาปและตัดสินใจที่จะไม่ทำบาปอีก) ความผิดบาปตั้งแต่ที่เขาเคยทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ถูกยกและชำระล้างออกไปหมด (1 ยอห์น 1: 9)" นั่นก็หมายความว่า เมื่อเขาจากโลกนี้ไปวันใด เขาจะไม่ต้องถูกพิพากษาให้พบกับความตายครั้งที่ 2 (คือการตายในบึงไฟนรก)อีกต่อไป แต่วิญญาณของเขาจะได้ขึ้นไปอยู่ในสถานที่ที่งดงามพระคัมภีร์เรียกว่า "สวรรค์"
มีหลายคนถามว่า "ทำไมชีวิตของพระเยซูคริสต์เพียงชีวิตเดียวจึงสามารถรับโทษแทนมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ได้" คำตอบนี้ง่ายมาก คุณลองคิดดูซิว่าผมมีเงิน 1 ดอลล่าร์สหรัฐ ผมสามารถแลกเงินลาวได้กี่กีบ แน่นอนอาจจะแลกได้ถึง 1,000 กีบทำไมจึงแลกได้มากขนาดนั้น ก็เพราะค่าของเงินดอลล่าร์มีค่ามากกว่าเงินลาว ทำไมชีวิตของพระเยซูคริสต์ชีวิตเดียวจึงสามารถแลกได้กับชีวิตของคนมากมายได้ละ นั่นเป็นเพราะชีวิตของพระเยซูคริสต์มีค่ามากกว่าชีวิตของมนุษย์นั่นเอง (ดังนั้นการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์จึงสามารถรับโทษบาป (ตายแทน) แก่คนทั้งโลกได้)
ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อมาถึงจุดนี้ ผมขอให้คุณตรึกตรองดูชีวิตของคุณให้ดี ขอให้คุณถามตัวเองดูซิว่า พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตายแล้วหรือยัง ถ้าไม่พร้อมเพราะเหตุใด ใช่เพราะความผิดบาปที่ซ่อนอยู่ในชีวิตมากมายไหม ถ้าใช่ รีบกลับใจและขอพระเจ้าทรงยกโทษบาปให้แก่คุณเถิดครับ วันนี้คุณมีทางที่จะรอดจากความตายในนรกแล้ว (คุณมีสิทธิ์เลือกได้) วันนี้คุณมีทางเลือกต่อการเอาชนะความตายได้แล้วโดยการพึ่งในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์มาในโลกนี้ก็เพราะเหตุนี้
"โดยทางความตายของพระเยซูนั้น… พระองค์ได้ทรงทำลายผู้มีอำนาจแห่งความตาย คือ มารเสียได้ และจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้นพ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิตเพราะเหตุกลัวความตาย" (ฮีบรู 2 : 14 - 15)
"โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชะและเหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน เหล็กในของความตายนั้นคือบาป… สาธุการแด่พระเจ้าทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา"(1 โครินธ์ 15 : 55 - 57)
"ความตายครั้งที่ 2จะไม่มีอำนาจเหนือผู้นั้นทีอยู่ในพระคริสต์" (วิวรณ์ 20 : 6)
ทัศนะของคริสเตียนเกี่ยวกับความตาย
ในสมัยก่อนเมื่อคนเห็นปรากฎการณ์สุริยุปราคาก็ตกใจและมีความหวาดกลัวมาก บางคนนึกว่ามียักษ์มาอมหรือกลืนดวงอาทิตย์ แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้เมื่อคนเราได้เรียนรู้ความจริง ก็ไม่กลัวปรากฏการณ์นี้อีกต่อไป แต่เห็นเป็นเรื่อง "ธรรมดา" เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะพูดได้ว่า ถ้าเราได้รู้ว่าความจริงคืออะไรแล้วเราก็ไม่กลัวมันและจะมองเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
เช่นเดียวกันคนที่เป็นคริสเตียนนั้นเขาได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับความตาย และได้มีประสบการณ์กับผู้นั้นที่มีชัยชนะเหนือความตายคือพระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในใจของเขา (หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงตายบนไม้กางเขนแล้ว วันที่ 3พระองค์ก็ได้ฟื้นจากความตายและยังทรงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ การฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในความเชื่อของคริสเตียน เพราะถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้ฟื้นขึ้นจากความตายและมีอยู่จนถึงทุกวันนี้จริง ๆแล้ว ศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาที่โกหกหลอกลวงมนุษย์และน่าสมเพชที่สุด แต่ความจริงแล้วพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นจากความตาย และยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้จริง ๆ )
ในเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นจากความตายและมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราที่เป็น คริสเตียนจึงไม่กลัวความตายอีกต่อไป ประวัติศาสตร์ของโลกหรือประวัติศาสตร์ของคริสเตียนก็ได้บันทึกคำพยานของคริสเตียนหลายล้านคนทั่วโลกที่มีสันติสุขและความหวังใจอย่างเหลือล้นเมื่อขณะที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตายฝ่ายร่างกาย ทำไมคนเหล่านี้จึงไม่กลัวกับความตายที่อยู่เบื้องหน้าของเขา นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความตายและเขาก็พร้อมที่จะเผชิญกับความตายด้วยความมั่นใจ เพราะเขามั่นใจว่าบาปที่พวกเขาเคยมีและเคยทำนั้นได้รับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซู่คริสต์แล้ว ในความคิดของคริสเตียนนั้นเรามองความตายว่าเป็น…
1. การนอนหลับ (ความหวังใจ) "ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านได้ทราบความจริงเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความหวัง เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้นพระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลีบไปแล้วนั้นกับพระองค์" (1เธสะโลนิกา 4:13 - 14)
เมื่อมีการตายก็โศกเศร้า ไม่ว่าเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนต่างก็เหมือนกัน แต่ความโศกเศร้าของคริสเตียนนั้นไม่ใช่เหมือนกับคนอื่นที่ไม่มีหวัง แน่นอนเราโศกเศร้าก็เพราะจากกันไป แต่เราก็มีความหวังว่าวันหนึ่งในอนาคตเราจะพบกันอีกบนสวรรค์ เพราะพระเจ้าสัญญากับพวกเราอย่างชัดเจนว่า ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้านั้น เมื่อเขาตายไปแล้วจะมีวันหนึ่งที่เขาฟื้นจากความตายเหมือนกับพระเยซูคริสต์และจะไม่มีวันตายอีกเลยดังนั้นพระคัมภึร์จึงบอกว่า "การตาย" ของคริสเตียนนั้นเป็น "การนอนหลับ" และวันหนึ่งเขาก็จะตื่นขึ้น มีใครบ้างที่กลัวการนอนหลับ ดังนั้นพวกเราที่เป็นคริสเตียนไม่กลัวตาย
2. การถึงวาระพัก (สิ้นสุดงานในโลก)
"และข้าพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ว่า "จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปคนทั้งหลายที่ตายเพื่อพระองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข" จริงอย่างนั้น เขาได้หยุดพักจากการงานเขา เพราะการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป" (วิวรณ์ 14:13)
หลายคนในโลกคิดว่า "ความตาย" เป็นการสิ้นสุดของชีวิต (คือสงบแล้ว/ไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว) แต่พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราอีกต่อไปว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพราะการตายเป็นการเดินทางเข้าสู่ความทุกข์ทรมานเป็นนิจนิรันดร์ (เพราะมนุษย์ทุกคนจะต้องรับผลการกระทำของเขาที่เขาทำในขณะที่เขายังอยู่ในโลก)
แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่สำนึกผิดและยอมรับการใช้หนี้บาปแทนของพระเยซูคริสต์ (พวกคริสเตียน) จะถือว่า "การตาย" เป็น "การถึงวาระพักผ่อน" นั่นก็คือเราได้สิ้นสุดงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ทำในโลกนี้แล้ว พวกเรามีความเชื่อว่า การที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้สำเร็จ (นั่นคือการประกาศข่าวประเสริฐ) เมื่อเสร็ฐงานแล้วพระองค์ก็จะทรงเรียกเรากลับคืนไป ดังนั้นวันนี้พวกเราที่เป็นคริสเตียนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะพระเจ้ายังทรงมีงานให้เราทำ ถ้าวันใดพระองค์เห็นว่าเราหมดวาระหน้าทีในโลกนี้แล้ว พระองค์ก็จะทรงรับเรากลับบ้านบนสวรรค์ และจะทรงประทานบำเหน็จรางวัลให้แก่เราตามที่เรากระทำในโลกนี้ ดังนั้นพวกเราที่เป็นคริสเตียนจึงไม่กลัว "ความตาย"
3. เป็นการออกจากโลก (ย้ายบ้าน)
"ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่าข้าพเจ้า มีความปรารถนาที่จากไปอยู่กับพระคริสต์ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก" (ฟิลิปปี 1:23)
พวกเราที่เป็นคริสเตียนมองว่าการตายก็เป็นเหมือนกับการย้ายบ้าน ย้ายจากดินแดนที่ไม่แน่นอน ไปสู่ดินแดนที่มั่นคง ย้ายจากดินแดนที่สับสนวุ่นวายมีแต่ความทุกข์ไปสู่สถานที่งดงามและเต็มไปด้วยสันติสุข ย้ายจากการอยู่ร่วมกับมนุษย์ในโลกนี้ ไปสู่การอยู่ร่วมกับพระเจ้าบนสวรรค์
ในโลกนี้เต็มไปด้วยการคร่ำครวญ การร้องให้ การเจ็บปวด การทุกข์ทรมาน แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียนจะได้ไปอยู่นั้น จะไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการร้องไห้ ไม่มีการเจ็บปวด ไม่มีการทุกข์ทรมานและไม่มีการตายอีกต่อไป พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป* การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป (วิวรณ์ 21:1 - 4) ที่นั่นเราจะได้เห็น สัมผัส พูดคุยกับพระเยซูคริสต์ผู้ที่เรารัก รอคอยอยากจะพบ พระองค์จะโอบกอดเราและเช็ดน้ำตาทุกหยดออกจากตาของเรา และเราจะอยู่กับพระองค์เป็นนิจนิรันดร์ ดังนั้นพวกเราที่เป็นคริสเตียนจึงไม่กลัว "ความตาย"
คนในโลกนี้คิดว่าความตายคือ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียนไม่ได้คิดเช่นนั้นเราเชื่อว่า ไปแล้วกลับ หลับแล้วตื่น ฟื้นต้องมี หนีต้องพ้น โดยการพึ่งในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา