เราอยากเป็นคริสต์คาทอลิก แต่แม่ไม่อนุญาติ ทำอย่างไรดี?

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
sunling
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 22, 2012 10:06 pm

จันทร์ ม.ค. 23, 2012 4:50 pm

ตามหัวข้อเลยนะค่ะ
พอดีทางบ้านเราเป็นพุทธทุกคนรวมตัวเองด้วย
เราเคยไปขอคุณแม่แล้ว แต่แม่เราไม่อนุญาติ เราควรทำอย่างไรดีค่ะ
ช่วยเราด้วยนะค่ะ เราอยากนับถือมากจริงๆ เพราะเราเองก็อยากมอบความรักให้กับทุกคนที่กำลังประสบปัญหา มีเรื่องทุกข์ใจ เราอยากช่วยคนเหล่านั้นจริงๆนะค่ะ ขอคำแนะนำด้วยนะค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Cherval
โพสต์: 566
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2011 7:17 pm
ที่อยู่: เชียงราย

จันทร์ ม.ค. 23, 2012 5:41 pm

สวดให้มากๆครับ แล้วพระเจ้าจะปูหนทางให้
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ ม.ค. 23, 2012 5:41 pm

สวัสดีครับ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

ตอนนี้คุณแม่ไม่อนุญาต เราก็สามารถสวดภาวนาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ครับ
การมอบความรักให้กับคนที่มีปัญหาและเรื่องทุกข์ใจ สามารถทำได้ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปครับ
ถึงคุณแม่ไม่อนุญาตในเวลานี้ แต่ถ้าคุณแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ
เชื่อเถอะครับว่า พระเจ้าจะมีหนทางสำหรับคุณเองครับ ไม่ต้องกังวลครับ

ถ้ามีโอกาสนะครับ
ก็ทำตัวเหมือนคริสตชนคนหนึ่ง ถ้าไปวัดได้ก็ไปครับ สวดภาวนาเสมอ
ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี รักพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

จันทร์ ม.ค. 23, 2012 7:12 pm

ก็อย่างที่พี่บาร์โธโลมิวบอกครับ ผมก็เป็นเหมือนกันพระอวยพรครับ :s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
~~~พระเจ้าทรงคุ้มครอง~~~
โพสต์: 139
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ค. 18, 2009 12:13 am

อังคาร ม.ค. 24, 2012 9:19 pm

ผมก็มีปัญหานี้อยู่เหมือนกันคับ :s012: ทำอย่างที่คุณ Batholomew บอกนะครับ แล้วพระเจ้าจะช่วยคุณเอง ที่ตอนนี้แม่ยังไม่ยอมอาจจะเพราะว่า ยังไม่โตพอ(รึป่าว??) หรือเหตุผลอื่นๆ ยังไงก็แล้วแต่คับ ถ้าเรามีความเชื่อซะอย่าง พระเจ้าต้องทำให้เราได้เป็นลูกของพระองค์อย่างแน่นอน สู้ๆครับ :s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อังคาร ม.ค. 24, 2012 10:55 pm

ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วคะ? ถึง 20 รึยัง?
sunling
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 22, 2012 10:06 pm

พุธ ม.ค. 25, 2012 1:10 pm

~@Little lamb@~

อายุเราแค่ 19 เองค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 31, 2012 4:56 pm

ขอแม่พระสิครับ ให้แม่พระช่วยภาวนาให้คุณแม่ใจอ่อน แล้วก็พยายามทำตัวให้ดีกว่าเดิม ให้แม่เห็นว่า พระเจ้าเปลียนแปลงเรายังไง คุณแม่อาจจะใจอ่อน และเห็นว่าเราเป็นเด็กดี ไม่เสียหายอะไร พอถึงตอนนั้น ไม่ใช่แค่น้องจะได้รับพระเยซูเข้ามาในชีวิต คุณแม่อาจจะใจอ่อนด้วยก็ได้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

(อย่างไรก็ดี ผมเองไม่ใช่ว่าจะดีอะไรมากมาย หลายๆครั้ง ผมยังทำไม่ค่อยจะได้เลย เพราะหลายครั้งเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวมักจะทำให้ผมท้อเสมอ แต่ก็ต้องบอกตัวเองว่า อืมวันนึงจะทำให้เค้าเห็นว่าเราได้ดีให้ได้ แบบนี้อ่ะครับ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
เลย์
โพสต์: 1845
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 05, 2009 12:27 am
ที่อยู่: ในอ้อมพระหัตถ์พระเป็นเจ้า
ติดต่อ:

เสาร์ มี.ค. 03, 2012 7:57 pm

สวดภาวนามากๆครับ เชื่อว่าสักวันคุณเเม่ของน้อง ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูครับ .. ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

เสาร์ มี.ค. 03, 2012 8:26 pm

sunling เขียน:~@Little lamb@~

อายุเราแค่ 19 เองค่ะ
คือถ้าถึง 20 ก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะ สามารถตัดสินใจเองได้น่ะค่ะ
ถ้าอย่างไร ระหว่างนี้ก็ลองเรียนคำสอน หรือ รับหนังสือไปอ่านก่อน

แล้วคุณแม่ท่านให้เหตุผลว่าอย่างไรคะ ถึงไม่ให้
ภาพประจำตัวสมาชิก
yack
โพสต์: 816
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 11, 2008 11:01 am

เสาร์ มี.ค. 03, 2012 9:31 pm

จะ 22 เเล้ว เเต่ ที่ บ้าน ก็ ไม่ อนุญาตฺ ซะที เเต่ เดี๋ยวนี้ไม่เเคสื่อเเล้ว
วิธีที่ง่ายที่สุด คือ สวด ขอ บางครั้งพระอาจจะ มีเเผนการสำหรับเรา อาจจะช้าไปบ้าง เเต่ เชื่อ เถอะว่า คุ้มค่ามาก ๆ ^^
khim_kha
โพสต์: 17
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 13, 2011 12:31 pm

พุธ เม.ย. 18, 2012 1:33 pm

เราก็เป็นนะ ตอนแรกแม่ต่อต้านมาก แต่หลังๆเหมือนโอนอ่อนขึ้นแล้ว แม่พูดทำนองว่ามีศาสนาก็ดี
ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่สุดท้ายแม่ก็ยังอยากให้เราอยู่ในศาสนาพุทธอยู่ดี เข้าทำนองเดิมคืออยากให้เราไปปฏิบัติธรรม เข้าวัดสวดมนต์ บังคับให้ไปใส่บาตร เชื่อมั้ยเราไม่ได้สบายใจเลยตอนแม่จพให้เราเข้าวีดถวายสังฆทาน เราเลยภาวนา ขอ เชื่อมั้ย ฝนตกใหญ่เลย เริ่มตกตั้งแต่ตั้งใจจะออกจากบ้าน
ตกนานมาก ตกแรงด้วย ตกจนกระทั่งแม่เปลี่ยนใจ เราเชื่อว่ามันคือปาฏิหาริย์ ^^
เราคิดว่าถ้าเราจะเปลี่ยน มันต้องเริ่มที่ใจเรา เมื่อเราเปิดใจรับ เราจะรู้สึกว่าพระองค์อยู่กับเราเสมอ อยู่ในใจเรา ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทุกข์ สุข อย่างไร เราจะได้ไม่พลาดพลังทำผิดทำบาป เราจะลึกเสมอและจะขอบคุณพระองค์ให้ได้ในทุกๆวัน ดังนั้นเราตั้งใจไว้ว่าเพื่อความสบายใจของแม่ เราก็จะยังเฉยๆไปก่อน รอเราโตกว่านี้ ทำงานมีเงินเดือนแล้ว เราจะค่อยไปล้างบาป เพราะนั่นคงเป็นทางออกสุดท้ายของเราแล้ว
แล้วปัญหาปัจจุบันนี้ก็คือถ้าแม่จะให้เราไปปฏิบัติธรรมจริงเราคงต้องตกที่นั่งลำบาก แต่เราจะพยายามอย่างดีที่สุด เรารู้ว่าเราเชื่ออะไร และต่อให้ตายก็ไม่มีใครมาเปลี่ยนใจเราได้
wiccaner
โพสต์: 26
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 01, 2012 7:36 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2012 8:10 pm

คำถามคือ เมื่อพ่อแม่ ไม่เห็นด้วยเราจะขัดบทบัญญัติไหมครับ

ในเมื่อ เราเชื่อและศรัทธา แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย

เจตนามันย่อมสวนทางกัน เราจะถือไม่เคารพพ่อแม่ไหม

"พระคริสต์สอนให้ละเครื่องบูชาไว้ คืนดีกับครอบครัวก่อนค่อยมาบูชาพระเจ้า"

"พระคริสต์สอนให้นับถือพ่อแม่ของตน"


ผมไม่กล้าถามคำถามนี้กับคุณพ่อที่วัด แต่ผมสงสัยมาก รบกวนฝากคำถามนี้หน่อยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ค. 18, 2012 10:08 pm

wiccaner เขียน:คำถามคือ เมื่อพ่อแม่ ไม่เห็นด้วยเราจะขัดบทบัญญัติไหมครับ

ในเมื่อ เราเชื่อและศรัทธา แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย

เจตนามันย่อมสวนทางกัน เราจะถือไม่เคารพพ่อแม่ไหม

"พระคริสต์สอนให้ละเครื่องบูชาไว้ คืนดีกับครอบครัวก่อนค่อยมาบูชาพระเจ้า"

"พระคริสต์สอนให้นับถือพ่อแม่ของตน"


ผมไม่กล้าถามคำถามนี้กับคุณพ่อที่วัด แต่ผมสงสัยมาก รบกวนฝากคำถามนี้หน่อยนะครับ
"ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา
ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา"
มัทธิว 10:37
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ พ.ค. 19, 2012 1:17 am

wiccaner เขียน:คำถามคือ เมื่อพ่อแม่ ไม่เห็นด้วยเราจะขัดบทบัญญัติไหมครับ

ในเมื่อ เราเชื่อและศรัทธา แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย

เจตนามันย่อมสวนทางกัน เราจะถือไม่เคารพพ่อแม่ไหม

"พระคริสต์สอนให้ละเครื่องบูชาไว้ คืนดีกับครอบครัวก่อนค่อยมาบูชาพระเจ้า"

"พระคริสต์สอนให้นับถือพ่อแม่ของตน"


ผมไม่กล้าถามคำถามนี้กับคุณพ่อที่วัด แต่ผมสงสัยมาก รบกวนฝากคำถามนี้หน่อยนะครับ
ผมพบว่ามีคนจำนวนมาก ขัดใจพ่อแม่ด้วยเรื่องที่เล็กน้อยกับชีวิตเขามากกว่านี้มาก เช่นอยากไปเที่ยวกับเพื่อน หรือแอบไปเที่ยว

หรือแม้แต่เรื่องสำคัญบางอย่างเช่น คณะที่เรียน คนรักที่จะแต่งงานด้วย หรืองานการที่เลือกทำ หลายคนขัดใจพ่อแม่ของตนในเรื่องเหล่านี้มาแล้ว

แต่พอเรื่องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิตคือการเชื่อในพระเจ้าและเข้ามีชีวิตใหม่ กลับเกิดการกลัวขัดใจขึ้นมา ซึ่งน่าสนใจว่า บทบัญญติการนับถือบิดามารดานั้น เป็นบทถัดมาจากบทที่เชื่อพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

พระเยซูเจ้าสอนอย่างชัดเจนว่า รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ รักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง พระเจ้าคือบิดาผู้ให้กำเนิดวิญญาณอันเป็นนิรันดร์ พ่อแม่ในโลกให้กำเนิดร่างกายในโลกนี้ และความสัมพันธ์มีอยู่ในชั่วอายุของแต่ละคน

ดังนั้นหากเราต้องเคารพรักเชื่อฟังพ่อแม่ในโลกนี้เช่นไร เราก็ย่อมต้องเคารพรักเชื่อฟังพ่อฝ่ายวิญญาณของเรามากกว่าฉันนั้น

ผมยกตัวอย่างแบบเรียบง่ายมาก เราต้องเชื่อฟังพ่อแม่ แต่ถ้าพ่อแม่สั่งให้เราไปฆ่าคน เราจะต้องทำไหม จะเห็นว่าโดยสามัญสำนึกแล้ว การเชื่อฟัง"พระธรรม"ของพระเจ้ามาก่อน "คำสั่ง"ของพ่อแม่อยู่แล้วโดยธรรมชาติครับ

ขอพระเจ้าประทานพระพร และประทานความเข้าใจแก่ครอบครัวของคุณครับ
wiccaner
โพสต์: 26
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 01, 2012 7:36 pm

อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 2:17 pm

ขอบคุณมากครับๆ
preeyanuch20
โพสต์: 119
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 5:37 pm

จันทร์ ก.ย. 30, 2013 11:46 pm

สวัสดีคะ

แม่หนูก้อไม่ให้เหมือนกัน พี่น่าจะมึโอกาสไปโบสน์นะคะ ยังดีค่ะ ดีกว่าหนูอีก หนูต้องสวดบทภาวนาที่ตัวเองหามา แบบหลบๆซ่อนๆ เพราะศรัธทาในพระเจ้า ไม่มีโอกาสได้ไปโบสน์.... เพราะท่านไม่ให้จึงไปไม่ได้ เวลาหนูเล่น นิวมานา หนูก้อต้องเล่นแบบหลบๆซ่อนๆ แต่ถึงจะลำบาก แต่มันก้อเป็นความตั้งใจของหนู ยังไงหนูขอภาวนาให้พี่สมหวังที่จะเปลี่ยนเป็นคาทอลิกนะคะ แล้วพี่จะพบหนทางที่พระเจ้าจะนำให้พี่นะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรมากๆนะคะ
Piccino
โพสต์: 118
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ย. 15, 2011 10:20 am

อังคาร ต.ค. 01, 2013 9:01 am

สวดภาวนาไปเรื่อยๆค่ะ สักวันน้องก็ได้เป็นนะ
พี่เชื่อในพระเจ้าตั้งแต่เด็กๆแล้ว และเริ่มลองสวดภาวนาตั้งแต่อายุ 13
สวดแบบไม่ได้ท่องบทอะไร แค่นึกถึงพระเจ้าแล้วขอพรทุกวัน
แต่ก็มีหยุดไปตอน ม.ปลาย ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง
เลยแอบลืมไปช่วงนึง แต่ความเขื่อยังมีอยู่
จนมีอยู่วันนึงแม่พี่เปลี่ยนเป็นคริสต์เองเลย อยู่ๆก็เดินเข้าโบสถ์เอง
แล้วแม่ก็มาบอกพี่ พี่เลยรีบเปลี่ยนด้วยทันที
ขอแม่ไปโบสถ์ด้วย แล้วก็เข้าโบสถ์มาเรื่อยๆตลอด
ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างบาป แต่สักวันนึงต้องได้แน่ๆ
พระเจ้าอวยพรนะคะ
syaoran
โพสต์: 267
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 06, 2009 8:42 pm
ที่อยู่: นครสวรรค์
ติดต่อ:

เสาร์ ต.ค. 05, 2013 7:21 pm

ทำอย่างไรดี?เราอยากเป็นคริสต์คาทอลิก แต่แม่ไม่อนุญาต ลองวิธีนี้เลย หยิบเรื่องนี้มาพูด

คุณพร้อมหรือยัง ?
เจาะลึกความจริงเกี่ยวกับความตาย
ความตายกับมนุษย์
1. มนุษย์ทุกคนต้องตาย

นี่เป็นสิ่งแท้จริงแน่นอน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรวยหรือจน คุณก็ต้องตาย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีการศึกษาสูงหรือคนที่ไร้การศึกษา คุณก็ต้องตายไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีอำนาจ มีตำแหน่งหรือเป็นคนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกงคุณก็ต้องตาย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีอวัยวะครบ 32 ประการ หรือ เป็นคนพิการ คุณก็ต้องตาย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนจีน คนลาว คนฝรั่ง คนอินเดียหรือคนไทยคุณก็ต้องตายและไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่กลัวตายหรือไม่กลัวตาย คุณก็ต้องตายอยู่ดี

ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาตินั้นมีคนมากมายหลายคนที่จะพยายามที่จะเอาชนะความตาย แต่ก็ต้องพบกับความล้มเหลวเช่น

จิ๋นซีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่
ผู้ที่ได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ของโลกเมื่อมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต พระองค์ก็เกิดกลัวตายและไม่อยากตายพระองค์จึงได้ส่งคนไปยังทะเลตะวันออกเพื่อจะเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะที่กินแล้วจะไม่ตายผลสุดท้ายเมื่อพระองค์ครองราชมาถึงปีที่ 37 ก็ถูกกลบลงในดิน ปัจจุบันนี้กำแพงเมืองจีนยังอยู่จิ๋นซีฮ่องเต้ไปไหนแล้ว
สตาลิน (ผู้ก่อตั้งลัทธิคอมมิวนิสต์)
ก็เป็นหนึ่งที่อยากจะได้ยาที่กินแล้วไม่ตาย จึงสนับสนุนบรรดานักวิทยาศาสตร์ในเวลานั้นให้คิดค้นประดิษฐ์ยาที่กินแล้วไม่ตาย ผลสุดท้ายบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ทำการค้นคว้าทดลองเหล่านั้นก็ตายไปทีละคนทีละคน และต่อมาสตาลินก็เข้าร่วมขบวนการตายนี้กับพวกเขาด้วย
มีคนหนึ่งเคยพูดว่า "ถ้าเราหยุดเวลาได้ เราคงไม่ตาย"
แน่นอนถ้าพวกเราทำได้เช่นนี้ เราก็ไม่ตาย แต่ในเมื่อความเป็นจริงแล้วพวกเราไม่สามารถหยุดเวลาได้เลย ดังนั้นพวกเราทุกคนหนีมันไม่พ้น นั่นก็คือพวกเราทุกคนต้องตาย
2. มนุษย์ทุกคนต้องตาย

หลายคนเมื่อได้อ่านหัวข้อนี้ อาจจะพูดในใจของตนทันทีว่า "ไม่จริงหรอก ในโลกนี้มีหลายคนที่ไม่กลัวตาย ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่กลัวตาย ทำไมคุณมาด่วนสรุปว่าทุกคนต้องกลัวตายด้วยล่ะ"

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความหมายของคำว่า "กลัวตาย"นั้น ไม่ใช่หมายถึงการไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตายมีหลายคนในโลกที่ยอมเสียสละชีวิตของตนเรื่องของความถูกต้อง เรื่องของประเทศชาติหรืออารมณ์ชั่ววูบ จึงทำให้พวกเขาเหล่านี้ดูเหมือนว่า "ไม่กลัวตาย"แต่คนที่ไม่กลัวตายเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจความลึกลับของความตายหรือมีความมั่นใจที่จะเอาชนะความตายได้แล้ว ตรงกันข้ามพวกเขารู้ดีว่าความตายนั้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดและน่ากลัว แต่เพราะ"อารมณ์" ของพวกเขาในเวลานั้นหรือบางสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในเวลานั้น ทำให้เขามองเห็นว่าสำคัญกว่าการตายของชีวิตของเขา หรือจะยุติได้ด้วยการตายของชีวิตของเขา (กรณีการฆ่าตัวตาย)เพราะฉะนั้นจึงปลุกใจของตนเองไม่ให้กลัวความตาย แต่แท้จริงแล้วการไม่กลังตายของพวกเขาก็เพราะมีเรื่องเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญกว่าให้เขาเปรียบเทียบในเวลานั้นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะ "ความตาย" มันไม่น่ากลัวอย่างแน่นอน ถ้าเอาเข้าจริง ๆ ลองคิดถึงความตายเพียงอย่างเดียวไม่ต้องมีองค์ประกอบใด ๆ แล้ว พวกเราทุกคนต่างก็กลัวตายกันอยู่ดี

คุณคงเคยได้ยินสำนวนจีนว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" กันมาแล้ว เบื้องหลังของคนที่พูดประโยคนั้นก็คือเขาคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่กลัวตาย แต่เมื่อมาถึงจุดหรือวินาทีที่ต้องพบกับความตาย เขาก็เกิดความกลัวขึ้นมาทันที(หลายคนบอกว่า "ฉันไม่กลัวตาย" ส่วนมากก็อยู่ในขอบเขตสำนวนอันนี้คือแท้จริงกลัวตาย แต่ปากแข็งหรือเถียงเพื่อต้องการเอาชนะ)

หลายคนกลัวตายเพราะเขารู้สึกว่าจะต้อง "เจ็บ" ก่อนจึงจะตาย ซึ่งเป็นจริงในหลายคนแต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะบางคนไม่เจ็บก็ตายได้ เช่นการไหลตาย(นอนหลับแล้วตายไปเลย) เพราะฉะนั้นการ "กลัวเจ็บ" ไม่ใช่หมายความว่า"กลัวตาย"

ในเมื่อการไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตายไม่ใช่หมายความว่า กลัวตาย การกลัวเจ็บไม่ใช่หมายความว่า กลัวตาย ถ้าเช่นนั้น การกลัวตาย คือการกลัวอะไร

มีเรื่องเล่าว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งไปหาหมอเพราะรู้สึกว่าตนเองเจ็บหน้าอก เมื่อคุณหมอตรวจเช็คอาการเสร็จแล้วก็บอกเศรษฐีว่าเขาเป็นมะเร็งในปอดระยะสุดท้าย อยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือน เศรษฐีนั้นหน้าซีดทันทีแล้วพูดกับคุณหมอว่า

เศรษฐี คุณหมอช่วยผมด้วย

หมอ คุณกลัวตายหรือ

เศรษฐี กลัวซิ ไม่กลัวผมจะมาหาหมอทำไม

หมอ ทุกวันเห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกคุณกลังไหม

เศรษฐี ผมจะกลัวทำไม ดวงอาทิตย์ขึ้นดวงอาทิตย์ตกมันเป็นเรื่องธรรมดา

หมอ เห็นไหมว่าคุณไม่ได้กลัวตาย คุณก็รู้ว่ามนุษย์เรามีเกิดก็มีตาย คุณตายก็เป็นเรื่องธรรมดา คุณไม่ตายสิเป็นเรื่องปิดปกติ

เศรษฐี ในเมื่อผมไม่ได้กำลังกลัวความตายถ้าเช่นนั้นผมกำลังกลัวอะไรอยู่ล่ะหมอ

หมอ คุณกำลังกลัวว่าคุณตายไปแล้วคุณจะพบกับอะไร คุณไม่พร้อมที่จะเผชิญกับมัน เพราะลึก ๆ คุณรู้ดีว่า เบื้องหลังความตายนั้นมันมีสิ่งที่น่ากลัวรอ คุณอยู่
สิ่งที่น่ากลัวที่คุณหมอพูดถึงคืออะไร ต่อไปเราจะกล่าวถึงมัน แต่ตอนนี้ให้เรารู้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม เราทุกคนต่างก็มีความ "กลัวตาย" ชนิดนี้ฝังอยู่ในความคิดลึก ๆ ในใจของเรา

3. ทุกเพศทุกวัยมีสิทธิ์ตายได้หมด

เมื่อพูดถึงความตายหลายหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวของเขาแต่เอาเข้าจริง ๆ เป็นเรื่องไกลตัวของคุณจริงหรือ คุณคิดว่ามีเพียงคนแก่จึงจะตายหรือ คุณคิดว่ามีเพียงคนป่วยจึงจะตายหรือ ไม่ใช่เช่นนั้นนะครับ ถ้าเราดูโลงศพ เราจะเห็นว่ามีหลายขนาด นั่นแสดงว่า คนเราไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือทารก เด็กเล็ก เด็กใหญ่ วัยรุ่น หนุ่มสาว วัยกลางคนคนชรา ต่างก็มีโอกาสที่จะตายได้ทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น อย่าคิดว่า "ความตาย" เป็นสิ่งที่ไกลตัวของคุณอีกต่อไปเลยครับ

4. ทุกคนไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่

"เครื่องบินสายการบิน… แอร์ไลน์ ตกกลางป่า มีคนเสียชีวิต 260 คน"

"รถบัสประทะกับรถสิบล้อ ตาย 52 คน บาดเจ็บระนาว"

นี่เป็นข่าวที่พวกเรามักจะเห็นปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายงานวันต่าง ๆ แต่ผมจะขอถามคุณข้อเดียว "ถ้าคนเหล่านั้นรู้ก่อนว่า เครื่องบินที่เขาโดยสาร รถที่พวกเขานั่งนั้นจะต้องตกหรือต้องคว่ำ คุณคิดว่าพวกเขาจะนั่งไหม "ไม่มีทางแน่นอน นั่นแสดงว่าพวกเราทุกคนไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่

5. ทุกคนไม่รู้ว่าตายแล้วจะพบกับอะไร

นี่เป็นปัญหาที่ลึกลับดำมืดสำหรับมนุษย์ทุกคน เกี่ยวกับความตายเบื้องหลังนี้ แต่ละชาติ แต่ละวัฒนธรรม แต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละศาสนา ต่างก็มีความคิดแตกต่างกันออกไป แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทุกชาติ ทุกวัฒนธรรม ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกศาสนานั้น ถึงแม้พวกเขาจะมีความเชื่อของเขาว่า ตายไปแล้วจะพบกับอะไรก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจ 100 % เลยว่า เมื่อพวกเขาตายไปจะพบกับสิ่งที่เขาเชื่อและเข้าใจนั้นจริงหรือเปล่า ดังนั้นถ้าคุณถามคนไทยสักคนหนึ่งว่า "ถ้าวันนี้คุณจากโลกไป (คือตาย)คุณคิดว่าคุณจะไปไหน" คุณอาจจะได้หลายคำตอบ แต่คำตอบที่คุณจะได้ยินจากพวกเขามากที่สุดก็คือ "ไม่รู้เหมือนกัน" หรือ"แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรม" คำตอบเหล่านี้มันแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่เขารู้และเข้าใจเลย ถ้าเช่นนั้นจริง ๆแล้วเมื่อมนุษย์ตายไปเขาจะพบกับอะไร ก่อนที่เราจะดูกันว่า "ตายแล้วจะพบกับอะไร" หรือ"อะไรอยู่เบื้องหลังความตาย" กันนั้น ก่อนอื่นให้เรามาดูกันว่า "ความตายคืออะไร" และ "ความตายมาจากไหน

ความตายคืออะไรและมาจากไหน
ความคิดเกี่ยวกับความตายของคนทั่วไปส่วนมากคิดว่าความตายก็คือการหยุดหายใจ ซึ่งก็ถูกต้อง 100 % แต่สำหรับคริสเตียนได้ให้ความหมายของความตายว่า "การแยกออก" หรือ"แยกจาก" พวกเราที่เป็นคริสเตียนเชื่อแน่ว่า มนุษย์เรานอกจากจะมีร่างกายแล้ว เรายังมีจิตตวิญญาณอีกด้วย ซึ่งจิตวิญญาณนี้เหมือนกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้าน ส่วนร่างกายนั้นเปรียบเสมือนที่พักอาศัย พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า ตอนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้น มนุษย์จะไม่มีวันตายเลย ไม่ว่าฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวิญญาณ แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์แยกออกจากพระเจ้า มนุษย์จึงเริ่มตายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ดังนั้นแม้จะมีอากาศมากมาย แต่ร่างกายของมนุษย์เมื่อมาถึงจุดเสื่อม ก็ไม่สามารถที่จะหายใจเอาอากาศที่อยู่รอบตัวเข้ามาในร่างกายกได้ร่างกายก็หยุดเคลื่อนไหว และวิญญาณก็ออกจากร่างของเขา ซึ่งเราเรียกว่าการตายฝ่ายร่างกาย (รายละเอียดเราพูดกันในบทต่อไป)

ร่างกายมนุษย์จะต้องมีอากาศจึงจะเคลื่อนไหวได้ เช่นเดียวกันจิตวิญญาณของมนุษย์จะต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างมันจิตวิญญาณจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้ามนุษย์คนใดไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเขาก็จะต้องพบกับความตายฝ่ายวิญญาณซึ่งจะนำเขาไปพบกับสิ่งที่น่ากลัวมาก

เพื่อที่จะเข้าได้ง่าย ผมจะยกภาพภาพหนึ่งให้คุณเห็น ถ้าเราปลูกมะม่วงต้นหนึ่งแน่นอนมันจะต้องมีกิ่งก้านสาขามากมาย และตราบใดที่กิ่งก้านสาขานั้นยังติดอยู่กับลำต้น (ไม่แยกจากต้น)มันก็ไม่มีทางที่จะแห้ง เหี่ยวเฉา เน่าเปื่อยและตายได้เลย (บางคนอาจจะพูดว่า บางต้นกิ่งที่ติดกับต้นอาจจะตายได้อย่าลืมว่าผมกำลังพูดถึงภาพเปรียบเทียบ) แต่ถ้าต่อมามันถูกหักหรือแยกออกจากต้น ไม่นานมันก็ยิ่งมายิ่งแห้ง เหี่ยวเฉาเน่าเปื่อย และก็ตายไปในที่สุด (อิสยาห์ 64:6)
syaoran
โพสต์: 267
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 06, 2009 8:42 pm
ที่อยู่: นครสวรรค์
ติดต่อ:

เสาร์ ต.ค. 05, 2013 7:23 pm

รูปภาพ

ในอดีตกาลพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา และใส่อิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ซึ่วไม่เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างสัตว์ สัตว์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น พระเจ้าไม่ได้ประทานอิสระในการเลือกให้แก่มันเพราะฉะนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตตามชอบใจ แต่ต้องเดินตามวิถีชีวิตที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่มัน (สัตว์ถูกสร้างขึ้นมาไม่เหมือนกับมนุษย์มันไม่มีสภาพเป็นบุคคล ไม่มีมโนธรรม แต่มนุษย์ถูกสร้างตามพระลักษณะของพระเจ้า เขามีวิญญาณที่มีสภาพเป็นบุคคลมีมโนธรรม)

แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้นถึงแม้พระเจ้าทรงกำหนดวิถีชีวิตให้แก่เขา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงบังคับให้มนุษย์จะต้องเดินในวิถีที่พระองค์ทรงกำหนด แต่พระเจ้าทรงประทานอิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมีอิสระที่จะเลือกได้ว่าจะเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขา หรือจะไม่เดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขาก็ได้ โดยพระองค์จะทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า ถ้าเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา เลือกเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เดิน เขาจะไม่ตาแต่จะเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ แต่ถ้าหากเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขามาเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนด (เลือกเดินตามใจชอบของตนเอง) เขาจะต้องตายและตกเป็นทาสของบาป แต่น่าเศร้าที่มนุษย์คู่แรกกลับเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนดให้แก่เขา ดังนั้นตั้งแต่ นั้นมามนุษย์ทุกคนก็ต่างติดเชื้อแห่งความตายนี้ นั่นก็คือการแยกออกจากพระเจ้า การแยกออกจากพระเจ้านี้พระคัมภีร์เรียกว่าความตาย

"เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลกเพราะคนเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคนเพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขาในทางที่ผิด) (โรม 5:12)

"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย (ความตายนี้ไม่ใช่การหยุดทุกอย่าง แต่เป็นการรับผลที่เขาได้ทำ เหมือนกับผิดกฎหมายก็ต้องติดคุก) (โรม 6 : 23)

สรุปแล้ว

บาป ก็คือ การใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้ามอบให้ในทางที่ผิด
ความตาย คือ การแยกออกจากพระเจ้า(เหมือนกิ่งแยกออกจากต้น มันจะเริ่มตายหรืออาจจะพูดได้ว่ามันตายแล้ว)

ความตายเป็นผลมาจากความบาป เหมือนกับติดคุก เป็นผลมาจากผิดกฎหมาย ( ใช้อิสระที่ทำในสิ่งที่กฎหมาย ทั้ง ๆที่ตัวเองก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำตามกฎหมายหรือไม่ทำ)

และตั้งแต่มนุษย์คู่แรกของโลกเป็นต้นมา มนุษย์ทุกคนต่างก็ทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกของเขาในทางที่ผิด) ทำให้ชีวิตของเขาแยกออกจากพระเจ้าแน่นอน การแยกออกจากพระเจ้าก็เหมือนกิ่งไม้ที่แยกออกจากต้น มนุษย์ทุกคนจึงยิ่งมา ยิ่งเริ่มแห้งเหี่ยวเฉา เน่าเปื่อย และตายในที่สุด)

ถ้าเราสำรวจดูชีวิตของพวกเราก็จะเห็นว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นเป็นเหมือนกับกิ่งไม้ที่ถูกแยกออกจากต้นจริงๆ

กิ่งไม้ที่ถูกแยกออกจากต้น มนุษย์ที่ถูกแยกออกจากพระเจ้า
(ที่มาของความตาย ) (ที่มาของความตาย)
1. เริ่มแห้ง (ไม่อยากแห้งก็ต้องแห้ง) 1. เริ่มทำบาป (ไม่อยากทำบาปก็ต้องทำ)
2. เริ่มเหี่ยว 2. เริ่มมีการเจ็บปวดเจ็บไข้และปัญหา
3. เริ่มเน่าเปื่อย 3. เริ่มเก็บสะสมปกปิดความผิดที่ตนกระทำ
4. ตายสนิท 4. ตายทางร่างกาย
5. นำไปทำปุ๋ยหรือทำฟืน 5. เผชิญกับเหตุการณ์หลังความตาย

หลังจากตายแล้วจะพบกับอะไร
ในข้อที่ 5 ของช่องมนุษย์ที่เขียนว่า"เผชิญกับเหตุการณ์หลังความตาย" นั้น เขาจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไรหรือ ?

พวกเราที่เป็นคริสเตียนเราเชื่อว่านับตั้งแต่มนุษย์ทำบาปคือแยกตัวออกจากพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขาก็เริ่มมีการตาย 3 อย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิตของเขา คือ

ตายฝ่ายวิญญาณ(เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ในขณะที่คุณเป็นอยู่)
ตายฝ่ายร่างกาย จะเกิดแน่ในอนาคต
ตายในนรก(แยกจากพระเจ้าเป็นนิตย์จะพบกับความตายนี้หรือไม่ เรามีสิทธิ์เลือกเมื่อยังมีชีวิตอยู่)
ตอนนี้ให้เรามาดูกันทีละอย่าง

1. ความตายฝ่ายวิญญาณ

คือการไม่เอาพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต แต่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางในการดำเนินชีวิต เขาจะกำหนดวิถีชีวิตขึ้นมาเองเขาจะกำหนดว่าสิ่งใดถูกหรือผิดด้วยตัวเอง เขาจะวางมาตรฐานศีลธรรมของตนเอง นี่เป็นผลจากการแยกออกจากพระเจ้า นี่เป็นความตายฝ่ายวิญญาณที่มนุษย์ทุกคนในโลกกำลังประสบอยู่ ซึ่งการตายฝ่ายวิญญาณนี้จะสังเกตได้ง่าย ๆ 5 ประการในชีวิตมนุษย์ทุกคนก็คือ

ไม่สนใจพระเจ้า ไม่คิด ไม่แสวงหา ไม่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ลบหลู่พระองค์ เกลียดชังพระเจ้าและเรื่องบของพระเจ้าโดยไร้สาเหตุ ฯลฯ
ฉันทำผิดได้ไม่เป็นไร แต่คนอื่นห้ามทำผิด ฉันโกหกคนอื่นได้ไม่เป็นไร แต่ใครมาโกหกฉันน่าดู ฉันนินทาคนอื่นได้ไม่เป็นไร แต่คนอื่นห้ามนินทาฉันเด็ดขาด ฉันทำผิดเรื่องเพศได้ แต่ใครอย่ามาทำผิดเรื่องเพศกับครอบครัวฉัน
ถึงแม้จะมีกฎหมาย และมาตรฐานศีลธรรมของศาสนา แต่เขาก็ยึดไว้แต่ปาก ส่วนการดำเนินชีวิตของเขาดำเนินตามตัวเองเห็นชอบ
สอนได้ทำไม่ได้ - เช่น พ่อแม่สอนลูกว่าอย่าโกหก แต่ตัวเองโกหก ยิ่งมาก็ยิ่งหน้าซื่อใจคด มือถือสากปากถือศีล ถือศาสนาแต่เปลือกนอก แต่แก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ถือ
แสวงหาในสิ่งที่เอาไปไม่ได้ - รู้ไหมว่าตายแล้วเอาไปไม่ได้…. รู้แต่ก็ยังอยากได้… ทำไม ?
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก็เพราะมนุษย์ทุกคนนั้นกำลังตายฝ่ายวิญญาณ และความตายฝ่ายวิญญาณนี้กำลังนำพวกเขาไปสู่การตายที่น่ากลัวอีกกสองอย่าง

2. ตายฝ่ายร่างกาย

นี่คือการเหี่ยวแห้งหรือการถดถอยของสังขาร ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า ในชีวิตของพวกเราทุกคนที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แยกจากพระเจ้านี้จะเริ่มมีอาการปรากฏออกมาเรื่อยๆ เริ่มจากเด็ก และโตขึ้นจนถึงวัยชรา ร่างกายจะเริ่มเหี่ยวแห้งลง เหี่ยวลงและเหี่ยวลง และตายในที่สุด ดังนั้น จึงมีนักปรัชญาบางคนกล่าวว่า "การเริ่มต้นของชีวิตเป็นเรื่องที่เจ็บปวด เพราะมันเป็นการเริ่มต้นไปสู่จุดจบ" เบื้องหลังความคิดของเขาก็คือ เขากำลังบอกว่าถ้ามนุษย์เริ่มชีวิต และเมื่อไปถึงจุดที่เป็น "หนุ่มสาว" และหยุดอยู่ ณ จุดนี้ตลอดไปได้ ก็จะมีแต่ความสุข(นี่เป็นความคิดที่มีอยู่ในทุกคนทั่วโลก คือเด็กก็อยากเป็นผู้ใหญ่ คนชราก็อยากกลับไปเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถจะหยุดเวลาในช่วงนี้ได้เลย ดังนั้น เราจึงต้องพบกับความเจ็บปวดแห่งการพลัดพลากจากคนที่เรารักหรือคนที่รักเราคือการตายฝ่ายร่างกาย

3. การตายในนรก

พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีความรักและทรงมีความยุติธรรม ด้วยความรักพระองค์ไม่อยากจะลงโทษมนุษย์ (เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์เหมือนพ่อรักลูก) แต่เพราะความยุติธรรมจึงทำให้พระองค์จะต้องลงโทษความผิดบาป เพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงลงโทษความผิดบาปแล้ว พระองค์ก็ไม่มีความยุติธรรม

หลังจากมนุษย์ตายฝ่ายร่างกาย วิญญาณของเขาจะออกจากร่างกายไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง เรียกว่าแดนคนตายเพื่อรอการพิพากษาจากพระเจ้าและเมื่อวันพิพากษามาถึงวิญญาณของเขาจะมีร่างกายอีกร่างกายหนึ่งและเมื่อจะต้องถูกนำตัวมายังหน้าบัลลังก์พิพากษา และพระเจ้าจะพิพากษาตามการกระทำของเขาที่ทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก พระเจ้าจะทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรมรอบคอบที่สุด ผู้พิพากษาในโลกนี้อาจจะพิพากษาได้อย่างยุติธรรมในความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งและมีหลักฐานที่ชัดเจนเท่านั้น แต่การพิพากษาของพระเจ้านั้นยุติธรรม และพระองค์จะนำการกระทำทุกอย่างที่มนุษย์กระทำไม่ว่าในที่ลับที่แจ้งที่ชัดเจนหรือที่ปกปิดซ่อนไว้ในใจออกมาพิพากษาหมด

"พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มแจ้งกระจ่าง และจะทรงเผยความลับในใจของคนทั้งปวงด้วย" (1 โครินธ์4:5)

"พระเจ้าจะทรงพิพากษาตามข้อความที่ได้จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้นและตามที่เขาได้กระทำ" (วิวรณ์ 20: 12 )

และโทษของมนุษย์ที่ทำบาปจะได้รับก็คือ การตายในบึงไฟนรกซึ่งเป็นการตายครั้งที่ 2 (วิวรณ์ 20 : 13 - 15)
(การตายฝ่ายร่างกายเป็นการตายครั้งที่ 1 และการตายในนรกเป็นการตายครั้งที่ 2)

คุณยังจำคำพูดของคุณหมอที่พูดกับเศรษฐีตอนแรกได้ไหม "คุณไม่ได้กลัวตายหรอก แต่สิ่งที่คุณกลัวก็คือเบื้องหลังความตาย เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณจะต้องพบกับอะไรคุณไม่พร้อมที่จะตาย เพราะลึก ๆ คุณรู้ดีว่าเบื้องหลังความตายมีสิ่งที่น่ากลัวกำลังรอคุณอยู่"

เหตุที่มนุษย์ทุกคนกลัวตายก็เพราะเขาไม่พร้อมที่จะเผชิญกับมัน (เหมือนเศรษฐี) ทำไมพวกเขาไม่พร้อมที่จะเผชิญกับมัน ก็เพราะเขารู้ดีว่าในชีวิตของเขามีความผิดบาปมากมายซ่อนอยู่ และถ้าเราพินิจดูชีวิตของตัวเองแล้ว เราก็จะพบว่า ตัวเรานั้นก็มีความผิดบาปมากมายซ่อนอยู่ในชีวิตเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโกหก โลภ นินทา พูดเสียดสี ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนอื่น อิจฉาริษยาตาร้อน ยุยง ไม่ให้อภัย อวดตัว เกลียดชัง พูดคำหยาบ ขโมย โกง ใส่หน้ากาก คิดแก้แค้น ผิดสัญญา จองหอง เย่อหยิ่ง ลามกสกปรก ด่าพ่อด่าแม่ เถียงพ่อเถียงแม่ ฯลฯ

สิ่งต่าง ๆ ข้างต้นเหล่านี้หลังจากการตายครั้งที่ 1 แล้ว จิตวิญญาณของเราก็จะออกจากร่างกายไปพบกับการพิพากษาอันยุติธรรมของพระเจ้า แน่นอน ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่จะสามารถรอดพ้นจากการพิพากษาที่ยุติธรรมอันแสนน่ากลัวนี้ได้เลย เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (คือทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เขาทำ) (โรม 3.23) ทำไมลึก ๆมนุษย์ทุกคนจึงไม่พร้อมที่จะตาย เพราะเขารู้ดีว่าเบื้องหลังความตายจะต้องพบกับการพิพากษาและเขาก็หนีไม่พ้น เพราะเขาได้ทำบาปมากมายถึงแม้เขาจะพยายามที่จะทำดีเพื่อลบล้างความผิดดบาปที่เขาทำ ก็ไม่สามารถลบล้างความผิดที่เขาเคยทำมาได้เลย (เหมือนกับนักโทษเมื่อทำผิด เขาต้องรับโทษสถานเดียว ไม่มีทางทำดีเพื่อชดใช้ความผิดที่ตนได้กระทำมาได้เลย)การทำดีของเขานั้นช่วยเขาได้แค่เพียง "ทำให้ข้อหาน้อยลงหน่อยท่านั้นเอง"สุดท้ายเขาจะต้องพบกับความตายครั้งที่ 2 นั่นคือการตายในบึงไฟนรก

นรกเป็นอย่างไร
นรกเป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก (เป็นสถานที่ที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้าเป็นนิตย์ ธก 1.9) เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยไฟ ไฟมันจะเผาร่างกายฝ่ายวิญญาณ มันจะไม่ถูกไหม้จนเป็นผงธุลีแต่ยังจะคงสภาพของร่างกาย และจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานไม่มีสิ้นสุด ที่นรกนั้นคนที่ทำผิดบาปจะถูกทอดทิ้งไม่มีการปลอบโยน แต่จะเต็มไปด้วยการคร่ำครวญ การทุกข์ทรมาน ที่นรกคนยังมีความรู้สึกแต่ไม่ตายซึ่งอึดอัดมากเหมือนคุณต้องการอากาศจะหายใจแต่ไม่มี และคุณก็ไม่ตาย คุณรู้ว่าคุณจะรู้สึกอึดอัดมากเพียงใด

พระเจ้าไม่ได้สร้าง"นรก" สำหรับมนุษย์แต่สร้างสำหรับลงโทษบาป แต่เพราะเหตุที่มนุษย์ใช้อิสระในการเลือกของเขาในทางที่ผิดเขาจึงนำตัวของเขาเข้าไปสู่บึงไฟนรก ใครล่ะจะสามารถรอดจากบึงไฟนรกได้ พระคัมภีร์บอกว่าจะต้องเป็นผู้ไม่มีบาปเลย แล้วใครล่ะในโลกที่ไม่มีบาป เราทุกคนต่างก็มีบาปและทำบาปมาแล้วนับไม่ถ้วน

เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์จะมีทางที่รอดพ้นจากบึงไฟนรกได้ไหม

มนุษย์มีทางรอดจากความตายในนรกได้ไหม
ถ้าอาศัยกำลังหรือการกระทำของมนุษย์แล้ว พวกเขาไม่มีทางรอดจากนรกได้เลย เพราะว่าพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่า "ค่าจ้างของความบาปคือความตาย" เขาจะลบล้างความบาปโดยทางอื่นไม่ได้เลย นอกจากการตายในนรกเท่านั้น ไม่ว่าใครในโลกก็ไม่สามารถตายแทนกันได้เลย เพราะว่าทุกคนต่างก็ทำบาปและต้องรับโทษของตนเอง ดังนั้นด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษยชาติ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกมารับสภาพเป็นมนุษย์ พระบุตรของพระองค์ก็คือ "องค์พระเยซูคริสต์" เมื่อขณะที่พระเยซูอยู่ในสภาพของมนุษย์นั้น ถึงแม้ว่าพระองค์จะมีอิสระในการเลือกที่จะทำบาปหรือทำตามวิถีของตนเอง แต่พระองค์ก็ไม่ใช้อิสระในการเลือกของพระองค์เหมือนมนุษย์คนอื่น (คือทำตามความพอใจหรือความต้องการขอตนเอง)แต่พระองค์ทรงใช้อิสระในการเลือกที่พระองค์มีอยู่นั้นมาทำตามในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ดังนั้นพระคัมภีร์จึงได้บันทึกไว้ว่า "พระองค์ไม่ได้ทำบาป" "พระองค์ปราศจากบาป" (ฮีบรู 4:15) (1 เปโตร 2 : 22) เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์จึงทรงสามารถที่จะรับแบกบาปหรือใช้หนี้บาปในการตายในนรกให้แก่มวลมนุษย์ได้ (นั่นก็คือพระเยซูทรงสามารถที่จะรับโทษที่มนุษย์ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องรับคือความตายครั้งที่2 ได้) และเงื่อนไขในการรับโทษแทนพระเยซูคริสต์ ก็คือ เพียงแต่คนหนึ่งสำนึกในความผิดที่ตนทำ ยอมสารภาพต่อพระเจ้า และขอให้พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษแทนจากใจจริง (คือมีความเสียใจต่อความผิดบาปและตัดสินใจที่จะไม่ทำบาปอีก) ความผิดบาปตั้งแต่ที่เขาเคยทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ถูกยกและชำระล้างออกไปหมด (1 ยอห์น 1: 9)" นั่นก็หมายความว่า เมื่อเขาจากโลกนี้ไปวันใด เขาจะไม่ต้องถูกพิพากษาให้พบกับความตายครั้งที่ 2 (คือการตายในบึงไฟนรก)อีกต่อไป แต่วิญญาณของเขาจะได้ขึ้นไปอยู่ในสถานที่ที่งดงามพระคัมภีร์เรียกว่า "สวรรค์"

มีหลายคนถามว่า "ทำไมชีวิตของพระเยซูคริสต์เพียงชีวิตเดียวจึงสามารถรับโทษแทนมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ได้" คำตอบนี้ง่ายมาก คุณลองคิดดูซิว่าผมมีเงิน 1 ดอลล่าร์สหรัฐ ผมสามารถแลกเงินลาวได้กี่กีบ แน่นอนอาจจะแลกได้ถึง 1,000 กีบทำไมจึงแลกได้มากขนาดนั้น ก็เพราะค่าของเงินดอลล่าร์มีค่ามากกว่าเงินลาว ทำไมชีวิตของพระเยซูคริสต์ชีวิตเดียวจึงสามารถแลกได้กับชีวิตของคนมากมายได้ละ นั่นเป็นเพราะชีวิตของพระเยซูคริสต์มีค่ามากกว่าชีวิตของมนุษย์นั่นเอง (ดังนั้นการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์จึงสามารถรับโทษบาป (ตายแทน) แก่คนทั้งโลกได้)

ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อมาถึงจุดนี้ ผมขอให้คุณตรึกตรองดูชีวิตของคุณให้ดี ขอให้คุณถามตัวเองดูซิว่า พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตายแล้วหรือยัง ถ้าไม่พร้อมเพราะเหตุใด ใช่เพราะความผิดบาปที่ซ่อนอยู่ในชีวิตมากมายไหม ถ้าใช่ รีบกลับใจและขอพระเจ้าทรงยกโทษบาปให้แก่คุณเถิดครับ วันนี้คุณมีทางที่จะรอดจากความตายในนรกแล้ว (คุณมีสิทธิ์เลือกได้) วันนี้คุณมีทางเลือกต่อการเอาชนะความตายได้แล้วโดยการพึ่งในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์มาในโลกนี้ก็เพราะเหตุนี้

"โดยทางความตายของพระเยซูนั้น… พระองค์ได้ทรงทำลายผู้มีอำนาจแห่งความตาย คือ มารเสียได้ และจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้นพ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิตเพราะเหตุกลัวความตาย" (ฮีบรู 2 : 14 - 15)

"โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชะและเหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน เหล็กในของความตายนั้นคือบาป… สาธุการแด่พระเจ้าทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา"(1 โครินธ์ 15 : 55 - 57)

"ความตายครั้งที่ 2จะไม่มีอำนาจเหนือผู้นั้นทีอยู่ในพระคริสต์" (วิวรณ์ 20 : 6)

ทัศนะของคริสเตียนเกี่ยวกับความตาย
ในสมัยก่อนเมื่อคนเห็นปรากฎการณ์สุริยุปราคาก็ตกใจและมีความหวาดกลัวมาก บางคนนึกว่ามียักษ์มาอมหรือกลืนดวงอาทิตย์ แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้เมื่อคนเราได้เรียนรู้ความจริง ก็ไม่กลัวปรากฏการณ์นี้อีกต่อไป แต่เห็นเป็นเรื่อง "ธรรมดา" เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะพูดได้ว่า ถ้าเราได้รู้ว่าความจริงคืออะไรแล้วเราก็ไม่กลัวมันและจะมองเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

เช่นเดียวกันคนที่เป็นคริสเตียนนั้นเขาได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับความตาย และได้มีประสบการณ์กับผู้นั้นที่มีชัยชนะเหนือความตายคือพระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในใจของเขา (หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงตายบนไม้กางเขนแล้ว วันที่ 3พระองค์ก็ได้ฟื้นจากความตายและยังทรงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ การฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในความเชื่อของคริสเตียน เพราะถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้ฟื้นขึ้นจากความตายและมีอยู่จนถึงทุกวันนี้จริง ๆแล้ว ศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาที่โกหกหลอกลวงมนุษย์และน่าสมเพชที่สุด แต่ความจริงแล้วพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นจากความตาย และยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้จริง ๆ )

ในเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นจากความตายและมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราที่เป็น คริสเตียนจึงไม่กลัวความตายอีกต่อไป ประวัติศาสตร์ของโลกหรือประวัติศาสตร์ของคริสเตียนก็ได้บันทึกคำพยานของคริสเตียนหลายล้านคนทั่วโลกที่มีสันติสุขและความหวังใจอย่างเหลือล้นเมื่อขณะที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตายฝ่ายร่างกาย ทำไมคนเหล่านี้จึงไม่กลัวกับความตายที่อยู่เบื้องหน้าของเขา นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความตายและเขาก็พร้อมที่จะเผชิญกับความตายด้วยความมั่นใจ เพราะเขามั่นใจว่าบาปที่พวกเขาเคยมีและเคยทำนั้นได้รับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซู่คริสต์แล้ว ในความคิดของคริสเตียนนั้นเรามองความตายว่าเป็น…

1. การนอนหลับ (ความหวังใจ) "ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านได้ทราบความจริงเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความหวัง เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้นพระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลีบไปแล้วนั้นกับพระองค์" (1เธสะโลนิกา 4:13 - 14)

เมื่อมีการตายก็โศกเศร้า ไม่ว่าเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนต่างก็เหมือนกัน แต่ความโศกเศร้าของคริสเตียนนั้นไม่ใช่เหมือนกับคนอื่นที่ไม่มีหวัง แน่นอนเราโศกเศร้าก็เพราะจากกันไป แต่เราก็มีความหวังว่าวันหนึ่งในอนาคตเราจะพบกันอีกบนสวรรค์ เพราะพระเจ้าสัญญากับพวกเราอย่างชัดเจนว่า ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้านั้น เมื่อเขาตายไปแล้วจะมีวันหนึ่งที่เขาฟื้นจากความตายเหมือนกับพระเยซูคริสต์และจะไม่มีวันตายอีกเลยดังนั้นพระคัมภึร์จึงบอกว่า "การตาย" ของคริสเตียนนั้นเป็น "การนอนหลับ" และวันหนึ่งเขาก็จะตื่นขึ้น มีใครบ้างที่กลัวการนอนหลับ ดังนั้นพวกเราที่เป็นคริสเตียนไม่กลัวตาย

2. การถึงวาระพัก (สิ้นสุดงานในโลก)

"และข้าพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ว่า "จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปคนทั้งหลายที่ตายเพื่อพระองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข" จริงอย่างนั้น เขาได้หยุดพักจากการงานเขา เพราะการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป" (วิวรณ์ 14:13)

หลายคนในโลกคิดว่า "ความตาย" เป็นการสิ้นสุดของชีวิต (คือสงบแล้ว/ไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว) แต่พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราอีกต่อไปว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพราะการตายเป็นการเดินทางเข้าสู่ความทุกข์ทรมานเป็นนิจนิรันดร์ (เพราะมนุษย์ทุกคนจะต้องรับผลการกระทำของเขาที่เขาทำในขณะที่เขายังอยู่ในโลก)

แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่สำนึกผิดและยอมรับการใช้หนี้บาปแทนของพระเยซูคริสต์ (พวกคริสเตียน) จะถือว่า "การตาย" เป็น "การถึงวาระพักผ่อน" นั่นก็คือเราได้สิ้นสุดงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ทำในโลกนี้แล้ว พวกเรามีความเชื่อว่า การที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้สำเร็จ (นั่นคือการประกาศข่าวประเสริฐ) เมื่อเสร็ฐงานแล้วพระองค์ก็จะทรงเรียกเรากลับคืนไป ดังนั้นวันนี้พวกเราที่เป็นคริสเตียนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะพระเจ้ายังทรงมีงานให้เราทำ ถ้าวันใดพระองค์เห็นว่าเราหมดวาระหน้าทีในโลกนี้แล้ว พระองค์ก็จะทรงรับเรากลับบ้านบนสวรรค์ และจะทรงประทานบำเหน็จรางวัลให้แก่เราตามที่เรากระทำในโลกนี้ ดังนั้นพวกเราที่เป็นคริสเตียนจึงไม่กลัว "ความตาย"

3. เป็นการออกจากโลก (ย้ายบ้าน)

"ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่าข้าพเจ้า มีความปรารถนาที่จากไปอยู่กับพระคริสต์ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก" (ฟิลิปปี 1:23)

พวกเราที่เป็นคริสเตียนมองว่าการตายก็เป็นเหมือนกับการย้ายบ้าน ย้ายจากดินแดนที่ไม่แน่นอน ไปสู่ดินแดนที่มั่นคง ย้ายจากดินแดนที่สับสนวุ่นวายมีแต่ความทุกข์ไปสู่สถานที่งดงามและเต็มไปด้วยสันติสุข ย้ายจากการอยู่ร่วมกับมนุษย์ในโลกนี้ ไปสู่การอยู่ร่วมกับพระเจ้าบนสวรรค์

ในโลกนี้เต็มไปด้วยการคร่ำครวญ การร้องให้ การเจ็บปวด การทุกข์ทรมาน แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียนจะได้ไปอยู่นั้น จะไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการร้องไห้ ไม่มีการเจ็บปวด ไม่มีการทุกข์ทรมานและไม่มีการตายอีกต่อไป พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป* การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป (วิวรณ์ 21:1 - 4) ที่นั่นเราจะได้เห็น สัมผัส พูดคุยกับพระเยซูคริสต์ผู้ที่เรารัก รอคอยอยากจะพบ พระองค์จะโอบกอดเราและเช็ดน้ำตาทุกหยดออกจากตาของเรา และเราจะอยู่กับพระองค์เป็นนิจนิรันดร์ ดังนั้นพวกเราที่เป็นคริสเตียนจึงไม่กลัว "ความตาย"

คนในโลกนี้คิดว่าความตายคือ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียนไม่ได้คิดเช่นนั้นเราเชื่อว่า ไปแล้วกลับ หลับแล้วตื่น ฟื้นต้องมี หนีต้องพ้น โดยการพึ่งในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ตอบกลับโพส