ขอระบายความในใจ ถ้ายังคิดจะฟังกัน
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 09, 2013 1:45 am
......ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอพูดความรู้สึกทุกอย่างตรงนี้เลยก็แล้วกัน
กระทู้นี้เราจะ(พยายาม)ไม่พูดพาดพิงพระเจ้า (ขอกลับมาเรียกแบบปกติก็แล้วกัน แต่อย่าเข้าใจผิด ทำตามอารมณ์เท่านั้น เพราะคนที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ย่อมไม่สามารถสื่อสารอะไรกับใครได้) หรือศาสนจักร หรือศาสนาใด ๆ ในโลก หรือเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยตาหรือหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่จะอยากให้เป็นการพูดกับคนด้วยกันในนี้เท่านั้น หรือถ้าจะมีการอิงบุคคลหรือสิ่งที่กล่าวข้างต้น จะพยายามพูดถึงให้น้อยที่สุด
กระทู้นี้ขอให้มีแต่ "คน" เท่านั้น คุยกันในฐานะที่เรามองคุณเป็น "คน" เหมือนกัน และคงต้องขอให้มองเราเป็น "คน" ด้วยเหมือนกัน ขอใช้หลักสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แน่นอนเราไม่ว่าถ้าคุณจะพูดอะไรกับเราแรง ๆ แต่ก็ขอให้เป็นการพูดกันด้วยเหตุและผล และอะไรที่เคยเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจกันก็ขอให้เคลียร์กันตรงนี้ไปเลย
แต่ถ้าใครคนไหนคิดว่าตัวเองเป็นผู้สูงส่ง ได้รับความรักและพระพรเปี่ยมล้นเต็มที่ จนเป็นชนชั้นสูง คนคิดต่างหรือมีรสนิยมแตกต่างคือคนที่ขัดต่อคำสอนคือคนบาป สมควรลงนรกน่ะดีแล้ว ใครที่คิดงี้ ไม่ต้องมาคุยกัน
(ขอบอกไม่อ้อมค้อมเลยว่า คนบางคนในบอร์ดนี้ ทำให้เรารู้สึกแบบนี้จริง ๆ ถ้าเราเข้าใจผิดก็ขอโทษ และคุยกันในนี้ได้ตามปกติค่ะ)
*เสริมเพิ่ม เราใช้คำว่าค่ะ คะ เพราะแบบนี้สื่อความรู้สึกของเราได้ดีกว่า โอเคนะคะ
เข้าเรื่องจริง ๆ ละ
ก่อนอื่นเลย เราขอพูดคำว่า "ขอโทษ" สำหรับหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา และจะไม่ขอให้ลืมหรือว่าทำเป็นไม่เห็น เพราะตราบที่เวลายังเดินเป็นเส้นตรง ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับมัน
ขอโทษค่ะ
ต่อไป อยากจะบอกว่า จริง ๆ เราก็พอเข้าใจอะไร ๆ บ้าง เพราะจริง ๆ เราก็โตแล้วในระดับหนึ่ง ว่าจากการแสดงออกของเรา ทำให้หลาย ๆ ท่านหรืออาจจะทุกท่านเลยไม่ชอบใจ ซึ่งก็ไม่ขอปฏิเสธว่าเราก็แรงไปจริง ๆ หลายครั้งเพราะเราจงใจที่จะแรงเอง แต่บางทีอารมณ์มันก็พาไปเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วที่มันดูเหมือนเด็ก ๆ (จริง ๆ เราก็ยอมรับเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน และยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองเซ้นซิทิฟแล้วจะออกตัวแรงกว่าปกติมาก และเป็นคนเครียดง่าย ขี้กังวล และมักจะคิดมากจนบางทีทำให้อะไร ๆ เลวร้ายกว่าเดิม)
แล้วทำไมถึงยังทำอยู่ล่ะหือ? ก็นั่นแหละที่อยากจะพูดต่อไปนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ฟังเราบ้าง ถือซะว่าเป็นการฟังเสียงในอีกมุมมองหนึ่งก็แล้วกัน ยุคสมัยนี้แล้ว คงไม่มีใครคิดแบบพวกล่าแม่มดคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองอีกแล้วใช่ไหมคะ
พูดตามตรง หลายครั้งเราไม่พอใจ และกดดันมากนะคะ เวลามีใครมาทำตัวเป็นทายอายุเราเพียงเพราะเห็นเราพูดอะไรแรง ๆ เพราะเราก็คน มีศักดิ์ศรี เมื่อดีใจก็หัวเราะเป็น เมื่อเสียใจก็ร้องไห้เป็น เมื่อโกรธไม่พอใจอะไรก็คงไม่อยากเฟคด้วยการทำเป็นพูดจาหวาน ๆ และหลายครั้ง(อาจไม่ใช่ทุกครั้ง) เราก็มีเหตุผลที่จะไม่พอใจ ไม่ชอบใจ และคาดหวังมากจนผิดหวังแล้วจะแสดงอาการออกมา การที่มาพูดเหมือนกับว่า เราไม่มีสิทธิ์จะโกรธ เราไม่มีสิทธิ์ร้องไห้ ไม่มีสิทธิ์ระบายความในใจเนี่ย มันไม่เป็นการปิดกั้นกันไปหน่อยหรอกหรือคะ
ยอมรับค่ะ หลายครั้งเราแรงไป ยิ่งถ้าโพสในอารมณ์ที่แบบว่า ขึ้นมาก ปรี๊ดแตก เนี่ย แทบจะหาความเกรงใจกันไม่เจอ เอาจริง ๆ บางทีมาอ่านทีหลังยังตกใจเองเลยว่า เราพูด(พิมพ์)ออกไปได้ไงวะเนี่ย ก็เข้าใจค่ะว่ารู้สึกไม่ดีกัน แต่ตรงนี้ เราอยากขอร้องทุกท่านหน่อยว่า
"อยากให้ทำความเข้าใจกับเหตุผล ในแต่ละครั้งของเรากันบ้างค่ะ"
การที่ตัดสินหรือทำเป็นตั้งคำถามเหมือนยั่วกันเนี่ย มันเหมือนกับไม่คิดจะฟังเหตุผลของเราเลย เสียความรู้สึกนะคะ
เราก็มีหัวสมองเหมือนกัน อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่า ที่นี่เป็นบอร์ดศาสนา และก่อนหน้านี้เราก็ไว้ใจคนหลายคนอยู่เหมือนกัน ถึงมันอาจจะเป็นการคาดหวังมากเกินไปก็ตาม แต่ก็เพราะเราก็ยังเชื่อใจนะคะ เชื่อใจว่า คนที่นี่จะช่วยเราได้บ้าง หรือบางทีที่เราทำเป็นแย้ง ก็อาจเพราะต้องการคำตอบที่มากขึ้นไปอีก หรือต้องการคำยืนยัน (บางทีเราก็ต้องการให้สวดให้ อธิษฐานเผื่อ อะไรก็ว่าไปด้วยก็ได้) เพียงแต่บางครั้งบางอารมณ์ที่แปรปรวน ทำให้ยากจะสื่อสารออกมาดี ๆ ได้
(มันยากนะคะ ที่เวลายังทำใจอะไรไม่ได้ แล้วจะเรียบเรียงอะไรต่อมิอะไรให้มันรื่นหูได้ แน่นอนรู้อยู่หรอกว่า โพสที่บอร์ดสาธารณะอย่างพันทิบอะไรเนี่ย โดนแบนโดนแจ้งลบไม่ก็ล่าแม่มดไปแล้วแหง ๆ )
บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เอ๊ะ ถ้าพระองค์ช่วยเราไม่ได้ คนในนี้ก็ไม่น่าจะช่วยได้ แต่ทำไมยังมารบเร้า มากระจองอแงใส่อยู่อีกล่ะ อันนี้ยอมรับว่าคำตอบคงกวนส้นเท้าเกินไปต้องขอโทษจริง ๆ แต่ว่า
บางที....เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไปทำไม
บางทีก็รู้สึกแค่ว่า เพราะไม่มีที่ไหนอีกแล้วถ้าขนาดที่นี่ยังไม่ได้ล่ะมั้ง
พูดจาเหมือนเอาแต่ใจ ใช่ ก็เอาแต่ใจจริง ๆ นั่นแหละ....
แล้วก็ขอพูดนิดนึง เราเองถ้าเลือกได้ ก็ไม่ได้อยากมีสภาพในแบบที่เป็นนี้หรอกค่ะ ยอมรับว่าเราค่อนข้าง inability แทบทุกเรื่อง เรียกว่าถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้เลย ไม่ใช่อะไรที่รู้สึกภูมิใจกับตัวเองได้สักนิดเดียว แล้วก็ อาจจะเพราะพัฒนาการ รวมถึงสิ่งที่เจอ การตีความ อะไรต่อมิอะไร อาจมีมุมมองที่ต่างจากที่นี่ ด้วยพื้นฐานถูกปลูกฝังการมองโลกในแง่ร้ายมาตลอด และความอ่อนไหวต่อสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้ง่ายมาก ๆ บางทีสิ่งที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเราก็อาจจะ impact มาก ๆ ก็ได้ เอาจริง ๆ บางทีก็อาจเป็นเพราะเราเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยก็ได้
แต่พอหลัง ๆ มานี่ มีเรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้น รวมถึงแผลเก่าที่ไม่จางหายบางทีมีเหตุการณ์ให้ฝังลึกขึ้นไปอีก แต่เราก็แสวงหาทางที่จะหนีให้พ้นจากมันเหมือนกันแต่ก็ไม่สำเร็จสักที
มาตอนนี้ขออธิบายสภาพปัจจุบันของเราก่อนละกันว่า ในตอนนี้
- ไม่สามารถมีความเชื่อหรือศรัทธาแบบเมื่อก่อนได้ เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เราไม่สามารถไว้วางใจ
- ไม่สามารถสวด หรืออธิษฐานด้วยตัวเองได้
- สูญเสียแรงจูงใจ ที่จะเข้าโบสถ์ หรืออ่านพระคัมภีร์ บางทีก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้สองข้อแรกฝังลึกกว่าเดิม
เพราะต่อให้พยายามจะทำ ความสับสนและขัดแย้งในใจจะคอยขัดขวาง และปฏิเสธมัน หนึ่งในเหตุผลนั้นคือเพราะมันช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความคาดหวังในความรัก ความถูกต้อง คุณธรรม ซึ่งยิ่งนับวันเรายิ่งต้องแยกออกมาคิดในแบบของตัวเองมากกว่าจะฟังศาสนาอย่างเดียว เพราะโลกนี้ไม่ง่ายและโหดร้าย หลายอย่างอย่าเพิ่งคิดว่าเราคิด เราเข้าใจในแง่ลบ เพราะมารพาไป เพราะต่อให้มีส่วนก็ตาม อยากให้มองในแง่รูปธรรม ว่าอะไรทำให้เราคิดแบบนั้นมากกว่า
บางครั้งเราก็เลยไม่พอใจเวลามีคนพูดจาตัดสินเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย และบางคนเหมือนจะไม่ยอมเข้าใจด้วย ตั้งแง่กับเราด้วยความคิดแบบเดิม ๆ แต่ทำไมไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะสื่อเลยสักคน
ถึงเราจะเกรียนแตกยังไง แต่อยากให้เข้าใจกันบ้างว่า ใจลึก ๆ เราก็ไม่อยากให้มันจบลงแค่คิดเห็นขัดแย้งแล้วทะเลาะกันแค่นั้น แต่บางครั้งเราก็อยากเรียกร้องหรือให้ลองปรับทัศนคติกันบ้างเหมือนกัน
เช่นเรื่องชายหญิงที่เราชอบพูดเนี่ย หลายทีอาจดูแรง แต่ไหน ๆ แล้วขอพูดตรงนี้ว่า ในมุมมองเราจริง ๆ ก็คือ
-ถึงแม้ตามหลัก ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ชายข่มผู้หญิงเพราะถือว่าตนแข็งแรงกว่าและมีบทบาทบางเรื่องมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การข่มเหงทางเพศมันก็ยังมีอยู่จริง แค่พูดอธิบายเท่านี้มันสามารถแก้ไขปัญหาได้รึเปล่า?
-ต่อให้มันแตกต่างกัน แต่ในกรณีที่ผู้ชายบางคนชอบละเอียดอ่อนทำงานของผู้หญิง หรือผู้หญิงบางคนแรงเยอะทำงานของผู้ชายได้เนี่ย เราว่าไม่ควรไปดูถูกหรือมองว่าเขาแปลกแยก หรือเบียดเบียนกีดกันเขาหากสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่เขารักชอบจะทำ แต่ในความเป็นจริง กลับมีคนคิดเช่นนี้อยู่มากมาย
-พระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้อ้างเพื่อการนั้น แต่ในความเป็นจริงก็มีคนทำ ยังไม่ต้องพูดถึงสมัยล่าแม่มดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่หมดไป
พวกนี้หากมันไม่มีจริงในโลก เราคงไม่รู้จะพูดทำไม และจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรคิดหาทางแก้ไขมันในชีวิตประจำวันหรอกเหรอ? มันจะหายไปเมื่อสามารถรุมด่าเราหมดสภาพเรียบร้อยอย่างเดียวงั้นหรือ?
ที่อยากบอกอีกเรื่องก็..... รู้หรือไม่ เราเคยเห็นเพจหรือกลุ่มพวก Atheist ในเฟซบุ๊คหรืออะไรทำนองนี้มาแล้ว บอกตรง ๆ แม้ตอนนี้เราจะทำตัวกบฎยังไง เราก็ทำใจเข้าเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นไม่ลงจริง ๆ (มันยิ่งกว่าเราอีก เข้าขั้นเลวร้ายหรือสติแตกเลยก็ว่าได้) และถึงคนที่นี่จะไม่เชื่อ เราก็อยากบอกว่าเราก็ไม่ชอบเหมือนกันเวลามีใครมาว่าอะไรพระเจ้าและศาสนาคริสต์ ไม่อ่านเลยก็เยอะ แต่ที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือ ข้อกล่าวหาหลายข้อ มันไม่ต่างอะไรกับข้อครหาที่ยังเป็นความจริง และเรื่องเสีย ๆ ที่มีอยู่จริงก็เยอะมากเกินกว่าจะปฏิเสธ
แต่ก็มีบางคนที่ปฏิเสธพระเจ้า แล้วเราเข้าใจเหตุผลของเค้า เพราะความผิดหวังกับบางเรื่องของแต่ละคน บางคนก็เหมือนกับเรา คือเข้าใจพระเจ้าในแง่ร้าย ชอบแย่งชิงความสุขของมนุษย์ตามใจชอบ ฯลฯ โดยที่หลายครั้งมันยากจะปฏิเสธความคิดนั้น เพราะสภาพแวดล้อม หรือหลักความสมเหตุสมผล รวมถึงบางคนก็พยายามปฏิเสธนรกสวรรค์ด้วยความกลัว แค่พูดว่า "จงเชื่อ" มันไม่เพียงพอจริง ๆ เพราะเราก็เป็นแบบเค้าเหมือนกัน และอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าต้องลงนรกทั้งแบบนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เราว่านะ เท่าที่เห็น คริสตชนส่วนใหญ่ ยึดติดกับความคิดที่ว่า พระเจ้ากำหนด หรือมารล่อลวง มากไปรึเปล่า เราเห็นมาหลายทีแล้ว ทั้งที่บางเรื่อง มันน่าจะเน้นมองที่ปัญหาก่อนมากกว่านะ เช่นเรื่องเพศที่สาม อะไรงี้ ก็ใช่ มันก็ถูกที่ว่ามีปัญหาในแง่การสืบพันธุ์ แต่อยากให้มองที่จิตใจและความเป็นคนกันก่อนมากกว่า ไม่อยากให้ยึดติดว่าคนเรารักกันเพื่อต้องคลอดลูกเสมอไป (อย่าอ้างว่าถ้าเป็นทั้งโลกไม่สูญพันธุ์หมด เพราะเราไม่คิดหรอกว่าจะไม่มีคู่รักชายหญิงเลย)
ตอนนี้เราเองก็เปลี่ยนไปในแง่ที่อาจจะเลวลง เพราะแม้จะโทษตัวเอง โทษบาปตัวเองแค่ไหน แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็มักจะลากมาโทษด้วย เพราะมีเหตุการณ์ทำให้รู้สึกว่า แค่โทษตัวเองฝั่งเดียวมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงไม่รุ้เหมือนกันว่าตอนนี้ทำไปแล้วมันได้อะไรจริง ๆ รึเปล่าก็เถอะนะ
ร่ายมายาว สรุปที่เราต้องการสื่อก็คือ
หากคริสตชนเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนพระเจ้าในชีวิตของเขาจริง แต่แค่กับคนแบบเรายังรับมือไม่ได้ แล้วจะสามารถประกาศพระต่อผู้ไม่เชื่ออีกหลายคนได้หรือไร?
.........ที่อยากพูดก็คงมีแค่นี้แหละ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกนะ เพราะคนอย่างเราเนี่ย เวลาพูดอะไรแบบนี้ มักจะโดนหาว่าเข้าข้างตัวเอง ทำตัวให้ดูดี ทุกทีนั่นแหละ
แต่เราก็อยากประเมินเหมือนกัน ว่าอดีตที่เคยร่วมความเชื่อด้วยกันมาก่อนแม้แค่สั้น ๆ เนี่ย จะยังมีค่าพอให้จดจำอยู่ไหม
กระทู้นี้เราจะ(พยายาม)ไม่พูดพาดพิงพระเจ้า (ขอกลับมาเรียกแบบปกติก็แล้วกัน แต่อย่าเข้าใจผิด ทำตามอารมณ์เท่านั้น เพราะคนที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ย่อมไม่สามารถสื่อสารอะไรกับใครได้) หรือศาสนจักร หรือศาสนาใด ๆ ในโลก หรือเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยตาหรือหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่จะอยากให้เป็นการพูดกับคนด้วยกันในนี้เท่านั้น หรือถ้าจะมีการอิงบุคคลหรือสิ่งที่กล่าวข้างต้น จะพยายามพูดถึงให้น้อยที่สุด
กระทู้นี้ขอให้มีแต่ "คน" เท่านั้น คุยกันในฐานะที่เรามองคุณเป็น "คน" เหมือนกัน และคงต้องขอให้มองเราเป็น "คน" ด้วยเหมือนกัน ขอใช้หลักสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แน่นอนเราไม่ว่าถ้าคุณจะพูดอะไรกับเราแรง ๆ แต่ก็ขอให้เป็นการพูดกันด้วยเหตุและผล และอะไรที่เคยเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจกันก็ขอให้เคลียร์กันตรงนี้ไปเลย
แต่ถ้าใครคนไหนคิดว่าตัวเองเป็นผู้สูงส่ง ได้รับความรักและพระพรเปี่ยมล้นเต็มที่ จนเป็นชนชั้นสูง คนคิดต่างหรือมีรสนิยมแตกต่างคือคนที่ขัดต่อคำสอนคือคนบาป สมควรลงนรกน่ะดีแล้ว ใครที่คิดงี้ ไม่ต้องมาคุยกัน
(ขอบอกไม่อ้อมค้อมเลยว่า คนบางคนในบอร์ดนี้ ทำให้เรารู้สึกแบบนี้จริง ๆ ถ้าเราเข้าใจผิดก็ขอโทษ และคุยกันในนี้ได้ตามปกติค่ะ)
*เสริมเพิ่ม เราใช้คำว่าค่ะ คะ เพราะแบบนี้สื่อความรู้สึกของเราได้ดีกว่า โอเคนะคะ
เข้าเรื่องจริง ๆ ละ
ก่อนอื่นเลย เราขอพูดคำว่า "ขอโทษ" สำหรับหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา และจะไม่ขอให้ลืมหรือว่าทำเป็นไม่เห็น เพราะตราบที่เวลายังเดินเป็นเส้นตรง ทำอะไรไว้ก็ต้องยอมรับมัน
ขอโทษค่ะ
ต่อไป อยากจะบอกว่า จริง ๆ เราก็พอเข้าใจอะไร ๆ บ้าง เพราะจริง ๆ เราก็โตแล้วในระดับหนึ่ง ว่าจากการแสดงออกของเรา ทำให้หลาย ๆ ท่านหรืออาจจะทุกท่านเลยไม่ชอบใจ ซึ่งก็ไม่ขอปฏิเสธว่าเราก็แรงไปจริง ๆ หลายครั้งเพราะเราจงใจที่จะแรงเอง แต่บางทีอารมณ์มันก็พาไปเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วที่มันดูเหมือนเด็ก ๆ (จริง ๆ เราก็ยอมรับเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน และยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองเซ้นซิทิฟแล้วจะออกตัวแรงกว่าปกติมาก และเป็นคนเครียดง่าย ขี้กังวล และมักจะคิดมากจนบางทีทำให้อะไร ๆ เลวร้ายกว่าเดิม)
แล้วทำไมถึงยังทำอยู่ล่ะหือ? ก็นั่นแหละที่อยากจะพูดต่อไปนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ฟังเราบ้าง ถือซะว่าเป็นการฟังเสียงในอีกมุมมองหนึ่งก็แล้วกัน ยุคสมัยนี้แล้ว คงไม่มีใครคิดแบบพวกล่าแม่มดคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองอีกแล้วใช่ไหมคะ
พูดตามตรง หลายครั้งเราไม่พอใจ และกดดันมากนะคะ เวลามีใครมาทำตัวเป็นทายอายุเราเพียงเพราะเห็นเราพูดอะไรแรง ๆ เพราะเราก็คน มีศักดิ์ศรี เมื่อดีใจก็หัวเราะเป็น เมื่อเสียใจก็ร้องไห้เป็น เมื่อโกรธไม่พอใจอะไรก็คงไม่อยากเฟคด้วยการทำเป็นพูดจาหวาน ๆ และหลายครั้ง(อาจไม่ใช่ทุกครั้ง) เราก็มีเหตุผลที่จะไม่พอใจ ไม่ชอบใจ และคาดหวังมากจนผิดหวังแล้วจะแสดงอาการออกมา การที่มาพูดเหมือนกับว่า เราไม่มีสิทธิ์จะโกรธ เราไม่มีสิทธิ์ร้องไห้ ไม่มีสิทธิ์ระบายความในใจเนี่ย มันไม่เป็นการปิดกั้นกันไปหน่อยหรอกหรือคะ
ยอมรับค่ะ หลายครั้งเราแรงไป ยิ่งถ้าโพสในอารมณ์ที่แบบว่า ขึ้นมาก ปรี๊ดแตก เนี่ย แทบจะหาความเกรงใจกันไม่เจอ เอาจริง ๆ บางทีมาอ่านทีหลังยังตกใจเองเลยว่า เราพูด(พิมพ์)ออกไปได้ไงวะเนี่ย ก็เข้าใจค่ะว่ารู้สึกไม่ดีกัน แต่ตรงนี้ เราอยากขอร้องทุกท่านหน่อยว่า
"อยากให้ทำความเข้าใจกับเหตุผล ในแต่ละครั้งของเรากันบ้างค่ะ"
การที่ตัดสินหรือทำเป็นตั้งคำถามเหมือนยั่วกันเนี่ย มันเหมือนกับไม่คิดจะฟังเหตุผลของเราเลย เสียความรู้สึกนะคะ
เราก็มีหัวสมองเหมือนกัน อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่า ที่นี่เป็นบอร์ดศาสนา และก่อนหน้านี้เราก็ไว้ใจคนหลายคนอยู่เหมือนกัน ถึงมันอาจจะเป็นการคาดหวังมากเกินไปก็ตาม แต่ก็เพราะเราก็ยังเชื่อใจนะคะ เชื่อใจว่า คนที่นี่จะช่วยเราได้บ้าง หรือบางทีที่เราทำเป็นแย้ง ก็อาจเพราะต้องการคำตอบที่มากขึ้นไปอีก หรือต้องการคำยืนยัน (บางทีเราก็ต้องการให้สวดให้ อธิษฐานเผื่อ อะไรก็ว่าไปด้วยก็ได้) เพียงแต่บางครั้งบางอารมณ์ที่แปรปรวน ทำให้ยากจะสื่อสารออกมาดี ๆ ได้
(มันยากนะคะ ที่เวลายังทำใจอะไรไม่ได้ แล้วจะเรียบเรียงอะไรต่อมิอะไรให้มันรื่นหูได้ แน่นอนรู้อยู่หรอกว่า โพสที่บอร์ดสาธารณะอย่างพันทิบอะไรเนี่ย โดนแบนโดนแจ้งลบไม่ก็ล่าแม่มดไปแล้วแหง ๆ )
บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เอ๊ะ ถ้าพระองค์ช่วยเราไม่ได้ คนในนี้ก็ไม่น่าจะช่วยได้ แต่ทำไมยังมารบเร้า มากระจองอแงใส่อยู่อีกล่ะ อันนี้ยอมรับว่าคำตอบคงกวนส้นเท้าเกินไปต้องขอโทษจริง ๆ แต่ว่า
บางที....เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไปทำไม
บางทีก็รู้สึกแค่ว่า เพราะไม่มีที่ไหนอีกแล้วถ้าขนาดที่นี่ยังไม่ได้ล่ะมั้ง
พูดจาเหมือนเอาแต่ใจ ใช่ ก็เอาแต่ใจจริง ๆ นั่นแหละ....
แล้วก็ขอพูดนิดนึง เราเองถ้าเลือกได้ ก็ไม่ได้อยากมีสภาพในแบบที่เป็นนี้หรอกค่ะ ยอมรับว่าเราค่อนข้าง inability แทบทุกเรื่อง เรียกว่าถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครก็คงไม่สามารถอยู่รอดได้เลย ไม่ใช่อะไรที่รู้สึกภูมิใจกับตัวเองได้สักนิดเดียว แล้วก็ อาจจะเพราะพัฒนาการ รวมถึงสิ่งที่เจอ การตีความ อะไรต่อมิอะไร อาจมีมุมมองที่ต่างจากที่นี่ ด้วยพื้นฐานถูกปลูกฝังการมองโลกในแง่ร้ายมาตลอด และความอ่อนไหวต่อสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้ง่ายมาก ๆ บางทีสิ่งที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเราก็อาจจะ impact มาก ๆ ก็ได้ เอาจริง ๆ บางทีก็อาจเป็นเพราะเราเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยก็ได้
แต่พอหลัง ๆ มานี่ มีเรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้น รวมถึงแผลเก่าที่ไม่จางหายบางทีมีเหตุการณ์ให้ฝังลึกขึ้นไปอีก แต่เราก็แสวงหาทางที่จะหนีให้พ้นจากมันเหมือนกันแต่ก็ไม่สำเร็จสักที
มาตอนนี้ขออธิบายสภาพปัจจุบันของเราก่อนละกันว่า ในตอนนี้
- ไม่สามารถมีความเชื่อหรือศรัทธาแบบเมื่อก่อนได้ เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เราไม่สามารถไว้วางใจ
- ไม่สามารถสวด หรืออธิษฐานด้วยตัวเองได้
- สูญเสียแรงจูงใจ ที่จะเข้าโบสถ์ หรืออ่านพระคัมภีร์ บางทีก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้สองข้อแรกฝังลึกกว่าเดิม
เพราะต่อให้พยายามจะทำ ความสับสนและขัดแย้งในใจจะคอยขัดขวาง และปฏิเสธมัน หนึ่งในเหตุผลนั้นคือเพราะมันช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความคาดหวังในความรัก ความถูกต้อง คุณธรรม ซึ่งยิ่งนับวันเรายิ่งต้องแยกออกมาคิดในแบบของตัวเองมากกว่าจะฟังศาสนาอย่างเดียว เพราะโลกนี้ไม่ง่ายและโหดร้าย หลายอย่างอย่าเพิ่งคิดว่าเราคิด เราเข้าใจในแง่ลบ เพราะมารพาไป เพราะต่อให้มีส่วนก็ตาม อยากให้มองในแง่รูปธรรม ว่าอะไรทำให้เราคิดแบบนั้นมากกว่า
บางครั้งเราก็เลยไม่พอใจเวลามีคนพูดจาตัดสินเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย และบางคนเหมือนจะไม่ยอมเข้าใจด้วย ตั้งแง่กับเราด้วยความคิดแบบเดิม ๆ แต่ทำไมไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะสื่อเลยสักคน
ถึงเราจะเกรียนแตกยังไง แต่อยากให้เข้าใจกันบ้างว่า ใจลึก ๆ เราก็ไม่อยากให้มันจบลงแค่คิดเห็นขัดแย้งแล้วทะเลาะกันแค่นั้น แต่บางครั้งเราก็อยากเรียกร้องหรือให้ลองปรับทัศนคติกันบ้างเหมือนกัน
เช่นเรื่องชายหญิงที่เราชอบพูดเนี่ย หลายทีอาจดูแรง แต่ไหน ๆ แล้วขอพูดตรงนี้ว่า ในมุมมองเราจริง ๆ ก็คือ
-ถึงแม้ตามหลัก ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ชายข่มผู้หญิงเพราะถือว่าตนแข็งแรงกว่าและมีบทบาทบางเรื่องมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การข่มเหงทางเพศมันก็ยังมีอยู่จริง แค่พูดอธิบายเท่านี้มันสามารถแก้ไขปัญหาได้รึเปล่า?
-ต่อให้มันแตกต่างกัน แต่ในกรณีที่ผู้ชายบางคนชอบละเอียดอ่อนทำงานของผู้หญิง หรือผู้หญิงบางคนแรงเยอะทำงานของผู้ชายได้เนี่ย เราว่าไม่ควรไปดูถูกหรือมองว่าเขาแปลกแยก หรือเบียดเบียนกีดกันเขาหากสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่เขารักชอบจะทำ แต่ในความเป็นจริง กลับมีคนคิดเช่นนี้อยู่มากมาย
-พระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้อ้างเพื่อการนั้น แต่ในความเป็นจริงก็มีคนทำ ยังไม่ต้องพูดถึงสมัยล่าแม่มดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่หมดไป
พวกนี้หากมันไม่มีจริงในโลก เราคงไม่รู้จะพูดทำไม และจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรคิดหาทางแก้ไขมันในชีวิตประจำวันหรอกเหรอ? มันจะหายไปเมื่อสามารถรุมด่าเราหมดสภาพเรียบร้อยอย่างเดียวงั้นหรือ?
ที่อยากบอกอีกเรื่องก็..... รู้หรือไม่ เราเคยเห็นเพจหรือกลุ่มพวก Atheist ในเฟซบุ๊คหรืออะไรทำนองนี้มาแล้ว บอกตรง ๆ แม้ตอนนี้เราจะทำตัวกบฎยังไง เราก็ทำใจเข้าเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นไม่ลงจริง ๆ (มันยิ่งกว่าเราอีก เข้าขั้นเลวร้ายหรือสติแตกเลยก็ว่าได้) และถึงคนที่นี่จะไม่เชื่อ เราก็อยากบอกว่าเราก็ไม่ชอบเหมือนกันเวลามีใครมาว่าอะไรพระเจ้าและศาสนาคริสต์ ไม่อ่านเลยก็เยอะ แต่ที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือ ข้อกล่าวหาหลายข้อ มันไม่ต่างอะไรกับข้อครหาที่ยังเป็นความจริง และเรื่องเสีย ๆ ที่มีอยู่จริงก็เยอะมากเกินกว่าจะปฏิเสธ
แต่ก็มีบางคนที่ปฏิเสธพระเจ้า แล้วเราเข้าใจเหตุผลของเค้า เพราะความผิดหวังกับบางเรื่องของแต่ละคน บางคนก็เหมือนกับเรา คือเข้าใจพระเจ้าในแง่ร้าย ชอบแย่งชิงความสุขของมนุษย์ตามใจชอบ ฯลฯ โดยที่หลายครั้งมันยากจะปฏิเสธความคิดนั้น เพราะสภาพแวดล้อม หรือหลักความสมเหตุสมผล รวมถึงบางคนก็พยายามปฏิเสธนรกสวรรค์ด้วยความกลัว แค่พูดว่า "จงเชื่อ" มันไม่เพียงพอจริง ๆ เพราะเราก็เป็นแบบเค้าเหมือนกัน และอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าต้องลงนรกทั้งแบบนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เราว่านะ เท่าที่เห็น คริสตชนส่วนใหญ่ ยึดติดกับความคิดที่ว่า พระเจ้ากำหนด หรือมารล่อลวง มากไปรึเปล่า เราเห็นมาหลายทีแล้ว ทั้งที่บางเรื่อง มันน่าจะเน้นมองที่ปัญหาก่อนมากกว่านะ เช่นเรื่องเพศที่สาม อะไรงี้ ก็ใช่ มันก็ถูกที่ว่ามีปัญหาในแง่การสืบพันธุ์ แต่อยากให้มองที่จิตใจและความเป็นคนกันก่อนมากกว่า ไม่อยากให้ยึดติดว่าคนเรารักกันเพื่อต้องคลอดลูกเสมอไป (อย่าอ้างว่าถ้าเป็นทั้งโลกไม่สูญพันธุ์หมด เพราะเราไม่คิดหรอกว่าจะไม่มีคู่รักชายหญิงเลย)
ตอนนี้เราเองก็เปลี่ยนไปในแง่ที่อาจจะเลวลง เพราะแม้จะโทษตัวเอง โทษบาปตัวเองแค่ไหน แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็มักจะลากมาโทษด้วย เพราะมีเหตุการณ์ทำให้รู้สึกว่า แค่โทษตัวเองฝั่งเดียวมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงไม่รุ้เหมือนกันว่าตอนนี้ทำไปแล้วมันได้อะไรจริง ๆ รึเปล่าก็เถอะนะ
ร่ายมายาว สรุปที่เราต้องการสื่อก็คือ
หากคริสตชนเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนพระเจ้าในชีวิตของเขาจริง แต่แค่กับคนแบบเรายังรับมือไม่ได้ แล้วจะสามารถประกาศพระต่อผู้ไม่เชื่ออีกหลายคนได้หรือไร?
.........ที่อยากพูดก็คงมีแค่นี้แหละ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกนะ เพราะคนอย่างเราเนี่ย เวลาพูดอะไรแบบนี้ มักจะโดนหาว่าเข้าข้างตัวเอง ทำตัวให้ดูดี ทุกทีนั่นแหละ
แต่เราก็อยากประเมินเหมือนกัน ว่าอดีตที่เคยร่วมความเชื่อด้วยกันมาก่อนแม้แค่สั้น ๆ เนี่ย จะยังมีค่าพอให้จดจำอยู่ไหม