ขอให้คุณอธิฐานดังนี้ถ้าคุณปรารถนาที่จะไห้พระเยซูยกโทษบาปให้แ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
syaoran
โพสต์: 267
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 06, 2009 8:42 pm
ที่อยู่: นครสวรรค์
ติดต่อ:

เสาร์ ต.ค. 05, 2013 7:26 pm

รูปภาพ

หนังสือ Our Daily Bread (มานาประจำวัน) ได้รับการตีพิมพ์และแจกจ่ายไปทั่วโลกและแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 40 ภาษา ภายใต้การดูแลของสำนักงานของพันธกิจอาร์บีซีทั่วโลก พันธกิจอาร์บีซียังได้ผลิตและกระจายสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าอีกด้วย พันธกิจอาร์บีซีไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน จากกลุ่มหรือองค์กรใดๆ แต่มีผู้คนมากมายที่ถวายทรัพย์แม้จำนวนเล็กน้อย ซึ่งทำให้พันธกิจอาร์บีซีสามารถนำพระวจนะของพระเจ้า ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้ไปถึงผู้อื่นได้... อ่

ถ้าคุณปรารถนาที่จะไห้พระเยซูยกโทษบาปให้แก่คุณแล้ว ขอให้คุณอธิฐานดังนี้

"ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย

ข้าพเจ้ารู้ดีว่าข้าพเจ้าทำบาปและสมควรได้รับโทษ

ขอพระองค์ทรงยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยวันนี้

ข้าพเจ้าขอเปิดประตูใจเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาในใจ

เพื่อชำระล้างความผิดบาปของข้าพเจ้า

และขอให้ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่าจะได้อยู่กับพระองค์

เมื่อข้าพเจ้าจากโลกนี้ไป และช่วยข้าพเจ้าที่จะไช้ชีวิตที่เหลือในโลกนี้

ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ด้วย

ข้าพเจ้าอธิษฐานทูลขอในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน"

ถ้าคุณได้อธิฐานตามข้างต้นนี้ด้วยความจริงใจแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เพราะคุณรอดแล้ว


Click Here
คำถาม/คำตอบ
วิญาณคืออะไร ?

ตอบ ท่านผู้อ่านที่รัก คุณเป็นมนุษย์ที่มีวิญญาณก็เพราะคุณมีวิญญาณนี่เองทำให้ชีวิตคุณมีค่า ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์ และถ้าเช่นนั้นวิญญาณของพวกเราเป็นอย่างไรล่ะ ? และหลังจากที่พวกเราตายไปแล้วจะไปที่ไหนล่ะ ซึ่งคำตอบของปัญหานี้ไม่มีทางที่นักวิทยาศาสตร์จะหาคำตอบได้เลย แต่ว่าพระคัมภีร์ได้บอกเราล่วงหน้าไว้แล้วอย่างชัดเจนว่า วิญญาณของพวกเรานั้นจะไม่มีทางศูนย์สลายเป็นนิจนิรันดร์ และร่างกายของเรานั้นก็จะเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น คือเป็นเพียงห้องหรือบ้านหลังหนึ่ง และวิญญาณของเราก็คือเจ้าของห้องหรือบ้านหลังนั้น แต่น่าเสียดายว่า ปัจจุบันนี้พวกเราก็ต่างก็ดูแลแต่เปลือกนอกของตัวเอง และละเลยวิญญาณของตัวเองที่เป็นนิจนิรันดร์ ทำให้สูญเสียคุณค่าชีวิตที่แท้จริงและความหมายของชีวิตไปและนีก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะต้องพบกับความพินาศเป็นนิจนิรันดร์ แท้จริงแล้ว ถ้าเราใช้เวลาตั้งมากในการดูแลร่างกายของตัวเองแล้ว เราก็ควรใช้เวลามากเป็นสิบเท่าพร้อมกับทุ่มเทในการไปดูแลจิตวิญญาณของตัวเองจึงจะถูก ก็เพราะว่าวิญญาณนั้นเป็น นิจนิรันดร์ แต่เนื้อหนังเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นและถ้าเอาความเป็นนิจนิรันดร์กับเวลาสั้น ๆ มาเปรียบเทียบกันดู จะเห็นว่ามันแตกต่างกันเป็นล้าน ๆ เท่า เพราะฉะนั้น การละเลยจิตวิญญาณของตัวเองจึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจจริง ๆ

เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ให้แก่พวกเรา และมาถูกตรึงตายบนไม้กางเขนก็เพื่อเรา พระองค์กระทำเช่นนี้เพราะอะไร ? นั่นก็เพราะว่าพระองค์ทรงรักวิญญาณของพวกเรา และพระคัมภีร์ได้ขนานนามพ่อของเราบนโลกว่า "บิดาที่ให้กำเนิดทางเนื้อหนัง" แต่ขนานนามพระเจ้าองค์ที่สร้างสรรพสิ่งว่า "พระบิดาของวิญญาณทั้งปวง" นั่นก็เพราะว่าที่แท้วิญญาณของพวกเรานั้นมีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า แต่เพราะมนุษย์ได้กระทำความผิดบาปจนลืมพระเจ้า และทำให้ความรู้สึกทางวิญญาณของตนสูญไป แต่วันนี้พระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้วิญญาณของพวกเราพบกับความพินาศ จึงได้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์โดยทางพระเยซูคริสต์เพื่อช่วยเราให้พ้นจากความผิดบาป และเพื่อจะให้พวกเรากลับคืนดีกับพระองค์ ได้เป็นลูกของพระองค์อีกครั้ง และยังได้อยู่กับพระเจ้า เป็นนิจนิรันดร์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีความสุขที่สุดหรือ ? แล้วทำไม คุณยังจะหลงเข้าใจผิดคิดว่ามนุษย์ไม่มีวิญญาณอีกเล่า ?

เมื่อหลังจากที่มนุษย์ตายแล้ว จะกลายเป็นผีใช่ไหม ?

ตอบ : ไม่ครับ / นี่เป็นแผนการของมารซาตาน ที่จะหลอกให้คนเชื่อว่า เมื่อคนตายแล้วจะกลายเป็นผี คนเลยวางใจในการติดต่อกับผี และก็เชื่อในคำบอกของผีในการไปทำบาป เช่น ทำร้ายตัวเองจนถึงกับฆ่าตัวตาย และ หลังจากตายไปแล้วก็จะต้องไปอยู่กับมันในนรกตลอดไป เพราะฉะนั้น ในโลกนี้มีหลายคนติดต่อกับผี และยังยกตัวเองว่าสามารถที่จะติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วคนนั้นได้ หรือยอมให้ผีเข้าไปสิงร่าง เพื่อจะตอบคำถามของคนที่ขอมัน แท้จริงแล้วผีสกปรกเหล่านี้ ได้ยืมเสียง ท่าทาง ของคนที่ตายแล้วมาหลอกคนเพื่อให้คนเชื่อมัน และถึงขั้นที่จะมอมเมาให้จนไม่มีทางที่จะหาพระเจ้าเที่ยงแท้ได้ ในที่สุดเขาจะต้องทำตามมันและจะต้องตายในความบาป และอาศัยอยู่กับมันในนรกเป็นนิจนิรันดร์

แท้จริงแล้วตามที่พระเยซูได้เล่าเรื่อง "เศรษฐีกับขอทาน ลาซารัส" (ดูในลูกา 16:19 - 31) หลังจากเศรษฐีตายไปแล้วก็ถูกวางไว้ในแดนคนตาย ในฝั่งที่เต็มไปด้วยไฟและแสนทุกข์ทรมาน และถึงแม้เขาจะคิดถึงพี่น้องของเขาอีก 5 คน ที่ชอบทำความผิดบาปอยู่เสมอ และไม่ยอมเชื่อว่าตายไปแล้วมีการพิพากษาก็ตาม เขาก็ไม่สามารถไปบอกพวกเขาได้เลยเขาทำได้แต่เพียงขอร้องให้อับราฮัมช่วยส่งลาซารัสให้ขึ้นไปบอกพวกเขา เพราะเขารู้ดีว่าคนบาปตายไปแล้วไม่สามารถที่จะปรากฏตัวบนโลกได้อีกเลย มีเพียงแต่การฟื้นจากความตายเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ แต่ อับราฮัมได้ปฏิเสธคำขอร้องของเรา และได้ชี้ให้เห็นว่าเขามีพระคัมภีร์และผู้รับใช้พระเจ้าในการที่จะบอกทางให้พวกเขาอย่างเพียงพอแล้ว

หรืออาจจะถามว่า ในเมื่อหลังจากความตายไปแล้วไม่สามารถกลับมายังโลกมนุษย์ได้อีก ถ้าเช่นนั้นข่าวคราวเกี่ยวกับผีในที่ต่าง ๆ ของโลก มันจะเป็นอย่างไรกันแน่ ? ตามที่มีคำอธิบายในพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่า ผีทั้งหมดในโลกต่างก็เป็น "พวกทูตสวรรค์ที่ทำบาป" (2 เปโตร 2:4) "ทูตสวรรค์ที่ละทิ้งถิ่นฐานที่เหมาะสม" (ยูดา 6) พวกมันได้เคยรับใช้พระเจ้าบนสวรรค์ ต่อมาตั้งต้นเป็นศัตรูกับพระเจ้าจึงถูกพระเจ้าขับไล่ไป และพวกมันคิดจะทำลายกิจการของพระเจ้าโดยการ หลอกลวง มอมเมา และวิธีต่าง ๆ มากมายในการที่จะดึงคนให้หนีห่างจากพระเจ้า และมันได้ก่อตั้งศาสนาเทียมเท็จและพระเจ้าปลอมแปลงต่าง ๆ ในการมาควบคุมจิตใจมนุษย์ แต่เมื่อพระเยซูได้ทำลายอำนาจของมันโดยการตายของพระองค์แล้วพวกมันก็ไม่มีวิธีที่จะทำร้ายคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูได้เลย แต่คนเหล่านั้นไม่ยอมเชื่อพระองค์ และกลับคิดว่าคนเราตายไปแล้วก็จะกลายเป็นผี ก็เลยถูกมอมเมาอยู่โดยไม่รู้ตัว

คนที่เชื่อพระเยซูนั้นไม่ไหว้บรรพบุรุษ ไม่อกตัญญูใช่หรือไม่ ?

ตอบ : พระคัมภีร์เน้นมากก็คือเรื่องต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ และนี่ก็เป็น 1 ในบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้า 4 ข้อแรกนั้นพูดถึงพระเจ้า 6 ข้อหลังพูดถึงคน และท่ามกลาง 6 ข้อหลังนั้น ข้อที่กตัญญูต่อพ่อแม่อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุด และพระคัมภีร์ยังได้บอกว่า คนที่ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่และกลับแช่งด่าพ่อแม่ ต้องโดนก้อนหินขว้างจนถึงตาย (เลเวนิติ 20 : 9) เพราะฉะนั้นคริสเตียนให้ความสำคัญกับการกตัญญูต่อพ่อแม่มาก

แต่การที่เรากตัญญูต่อพ่อแม่นั้น ไม่ได้หมายความว่ารอพวกเขาตายไปแล้วก็กราบไว้เขาเหมือนกับผู้วิเศษ เพราะถ้าหากตอนพ่อแม่มีชีวิตอยู่ ไม่กตัญญู ตายไปแล้วมากราบไหว้นั้นเป็นการหลอกลวงพ่อแม่ และไม่ว่าศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ อิสลาม หรือศาสนาใด ๆ ก็ตาม ต่างก็ไม่เชื่อว่าคนตายไปแล้วจะมีฤทธิ์เป็นผู้วิเศษ การที่ลูกหลานไปไหว้นั้นเป็นเพียงประเพณีที่สืบทอดกันมาเท่านั้น คุณลองคิดดูสิ การที่พ่อแม่หลายคนขณะที่ยังมีชีวิตทำความชั่วไว้มากมาย ตายไปแล้วก็กลายเป็นผู้วิเศษ สามารถที่จะคุ้มครองและประทานพรให้แก่ลูกหลานได้นั้น มันสมเหตุผลหรือไม่ ?

และถึงแม้คริสเตียนจะไม่กราบไหว้บรรพบุรุษ แต่เราก็มีพิธีที่จะระลึกและแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ได้อย่างดีที่สุด นั่นก็คือทุกครั้งที่เราไปทำความสะอาดหลุมฝังศพนั้น เราก็นำดอกไม้ไปวางและอธิฐานขอบคุณพระเจ้า และเล่าเรื่องการต่อสู้ของพ่อแม่เราให้แก่ลูกหลานฟัง และการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่การกตัญญูต่อพ่อแม่หรือ ? ทำไมต้องใช้การจุดธูปเทียนไหว้ถึงจะนับว่ากตัญญูต่อพ่อแม่หรือ ? (บางคนใจไม่ได้ระลึกถึงพ่อแม่แม้สักนิดเดียว) เพราะฉะนั้น การกตัญญูต่อพ่อแม่ที่แท้จริงนั้นมันขึ้นอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพิธีกรรม

นรกอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่ไหน แดนคนตายและเมืองบรมสุขเกษมนั้นเป็นสถานที่อย่างไร ?

ตอบ : คนที่ถามปัญหาเช่นนี้ เพราะตามความคิดของเขา เขาคิดว่าในจักรวาลไม่มีทางที่จะหา สถานที่ที่เรียกว่า สวรรค์หรือนรกได้อย่างแน่นอนสุดท้ายจึงไม่ยอมเชื่อว่านรกนั้นมีอยู่จริงแท้จริงแล้วความคิดนี้ไร้เดียงสาจริง ๆ เพราะประการแรก มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับจักรวาล นี้น้อยมากจริง ๆ ถ้าหากพระเจ้าบอกว่าสรรค์ นรกนั้นอยู่ในดวงดาวหนึ่งในกาแล็คซี่อันหนึ่งอันใดแล้ว พวกเรามีทางพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามีจริงล่ะ แท้จริงแล้วที่เรียกว่าสวรรค์ นรกเป็นสถานที่ที่พะรเจ้าสร้างไว้สำหรับลงโทษมนุษย์หรือทูตสวรรค์ที่ตกต่ำ (คือได้ใช้อิสระในการเลือกในทางที่ผิด) ขอเพียงแต่มีพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรม ก็จะต้องมีนรกและสวรรค์อยู่อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับคนที่ทำผิดกฎหมาย เขาไม่จำเป็นต้องถามว่า "คุกอยู่ที่ไหน" ขอเพียงแต่มีศาลที่ยุติธรรมเท่านั้นก็จะมีคุกเตรียมไว้ให้เขาอย่างแน่นอน (เพราะถ้าไม่เช่นนั้นหลังจากศาลตัดสินแล้ว นักโทษจะไปอยู่ที่ไหน) เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า เมื่อคนที่ทำบาปตายไปแล้ว พวกเขาจะต้องอยู่ใสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า "แดนคนตาย" ที่นั่นเต็มไปด้วยไฟและมีแต่ความทุกข์ทรมาน แต่นั่นเป็นเพียง "ที่กักขัง" ชั่วคราวเท่านั้น รอจนถึงวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษามนุษย์ (คือวันสุดท้ายของโลก) บรรดาคานบาปทุกคนจะฟื้นขึ้นมาใหม่ และจะต้องเผชิญกับการพิพากษาของพระเจ้า และเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ทำบาปจะถูกกำหนดโทษแล้วแต่การกระทำของเขาว่าหนักหรือเบา และหลังจากนั้นก็จะถูกทิ้งลงไปในนรกรับความทุกข์ทรมานเป็นนิจนิรันดร์ และเมื่อพูดถึงสวรรค์แล้ว พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า หลังจากพวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั้นได้ตายลง ก็จะไปที่ที่หนึ่งที่เรียกว่า "เมืองบรมสุขเกษม" ที่นั่นก็คือที่ที่พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ และพระเยซูยังทรงจัดเตรียมเมืองใหม่ให้แก่พวกเรา เมืองนี้เชื่อ "กรุงเยรูซาเล็มใหม่" เมืองนี้ก็คือเมืองสวรรค์ และในอนาคตบรรดาคนที่เชื่อพระเยซูและได้รับความรอดพวกเขาจะฟื้นจากความตาย หลังจากนั้นก็จะเข้าสวรรค์พร้อมกันและอาศัยอยู่กับพระเจ้าเป็นนิจนิรันดร์

พระเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ทำไมพระองค์จึงมีสิทธิ์พิพากษาฉัน

ตอบ: ถ้าหากพระเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตในดวงดาวอื่น พระองค์ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเรา พระองค์ก็ไปตามทางของพระองค์ เราก็ดำเนินไปตามทางของเรา ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับพระองค์ ไม่จำเป็นต้องมาดูแลหรือมามีสิทธิ์ที่จะพิพากษาพวกเราเลย แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างพวกเราทุกคนขึ้นมาและพระองค์ก็ทรงเป็นผู้สร้างฟ้า สวรรค์และจักรวาลนี้ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่พระองค์จำเป็นจะต้องทรงมีเป้าหมายและ มาตรฐานของพระองค์ในการสร้างพวกเรา และแน่นอนพระองค์ก็มีสิทธิ์ที่จะพิพากษาพวกเราด้วย ก็เหมือนกับว่าถ้าเราเป็นเจ้าของโรงงานวิทยุ เมื่อเราสร้างวิทยุขึ้นมา เราก็มีมาตรฐานในการสร้างวิทยุให้ได้ตามที่เราต้องการและตามความพอใจของเรา แต่ถ้าวิทยุเครื่องไหนมันดันไม่ได้ตามมาตรฐานที่พวกเรากำหนดไว้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะ "ซ่อมแซม" หรือ "ทำลาย" มันได้อย่างแน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเราก็เป็นเหมือนเช่นนี้แหละพวกเราที่เป็นมนุษย์ได้ทำความผิดบาปต่อพระเจ้าทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ การดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ที่ได้ทรงวางไว้ ทำให้พระสิริของพระเจ้าเสื่อมไป และทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นมลทิน และเช่นนั้น พระองค์จะไม่มีสิทธิ์พิพากษาพวกเราหรือ

เหตุใดพวกเราคริสเตียนจึงไม่กราบไหว้ศพ

ตอบ : พระคัมภีร์ได้ย้ำหลายตอนว่า "จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า" และ "ถ้าผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน โดยเฉพาะในครอบครัว (รวมทั้งพ่อแม่) ผู้นั้นชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อพระเจ้าเสียอีก" (1 ทิโมที 5:8 ) จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ทำให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์ให้พวกเราที่เป็น คริสเตียนดูแล ให้เกียรติในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด และการเลี้ยงดูพ่อแม่ของ คริสเตียนนั้นไม่ใช่หมายความว่า พ่อแม่อยากกินอะไรก็ซื้อให้กิน พ่อแม่อยากจะไปเที่ยวไหนก็พาไป พ่อแม่ไม่มีเงินก็ให้เงินพ่อแม่ใช้ นี่ไม่ใช่การเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ของคริสเตียน เพราะเช่นนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ที่อยากกินอะไรก็หาให้มันกิน พามันไปเดินเล่น อาบน้ำให้มัน กอดจูบมัน เวลาอารมณ์ดีก็จับมันมากอดจูบ เวลาอารมณ์เสียก็ตีมัน แต่การเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ของคริสเตียนนั้นจะไม่เพียงแต่ดูแลพ่อแม่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงการให้เกียรติแก่ท่าน ไม่ตะคอกท่านเสียงดัง ๆ ไม่ใช้สายตาขมึงถึงพ่อแม่ ไม่ทุ่มเถียงพ่อแม่ มีความสุภาพอ่อนน้อมต่อพ่อแม่ มีอะไรก็ปรึกษาพ่อแม่ จะทำอะไรก็นึกถึงพ่อแม่ นี่จึงเป็นการกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างแท้จริง และเมื่อถึงเวลาที่พ่อแม่จากโลกนี้ไป เราก็จัดงานศพและทำการฝังศพของท่านให้เรียบร้อย ในงานศพนั้นเราก็มีการจัดพิธีไว้อาลัยโดยสงบใจอธิฐานต่อพระเจ้า และใช้งานศพของท่านในการเตือนคนที่ยังอยู่ข้างหลังโดยการใช้พระวจนะของพระเจ้าให้เขาระลึกถึงชีวิตของตน และสำหรับญาติพี่น้องของผู้ตาย พระวจนะของพระเจ้าก็จะทำให้พวกเขาจะได้รับการปลอบประโลมและสันติสุขจากพระเจ้าในยามที่ต้องพบกับการพลัดพลากจากคนที่พวกเขารัก

ส่วนที่ว่าทำไมพวกเราที่เป็นคริสเตียนจึงไม่กราบไหว้ศพ (เราเชื่อว่าการมีใจจริงในการมาร่วมระลึกถึงผู้ตาย ก็ดีกว่ามาให้เกียรติผู้ตายโดยการเคารพแต่เพียงพิธี หลังจากนั้นก็กินเหล้า เล่นการพนัน) วิธีที่เราจัดงานศพก็คือ จัดช่อดอกไม้ และจัดบริเวณงานศพให้สวยงามสะอาดเรียบร้อยเพื่อให้เกียรติแก่ผู้ตาย (พวกเราจะไม่ลวก ๆ สกปรก หรือยังไงก็ได้เป็นอันขาด) หลังจากนั้นเราก็จะสงบใจหรือยืนไว้อาลัยแก่ผู้ตาย และกล่าวถึงชีวะประวัติของผู้ตายและของพระคุณพระเจ้าที่ทรงรับเขากลับบ้าน (ในกรณีผู้ตายเป็นคริสเตียน) และนี่ก็เป็นการจัดศพและไว้อาลัยแก่ผู้ตายของพวกเราที่เป็นคริสเตียน (แท้จริงแล้วถ้าเราถามตัวเราดูเองว่า เราอยากให้ลูกหลานของเรา หรือ เพื่อนพ้องของเราทำดีต่อเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วจึงค่อยมาทำและให้เกียรติ)

ไว้วันหลังหรือก่อนตายค่อยเชื่อพระเยซูได้ไหม ?

ตอบ : ได้รับ ขอเพียงคุณยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น คุณก็ยังมีโอกาสเชื่อพระเยซูได้ แต่ทว่าประสบการณ์ได้บอกพวกเราว่า ถ้าคุณรอวันหลังค่อยเชื่อ บางทีคุณอาจไม่มีโอกาสที่จะตัดสินใจเชื่อก็อาจเป็นไปได้ เพราะว่า

ถ้าคุณทิ้งช่วงเวลาที่จะตัดสินใจตอนนี้และคิดว่าวันหลังค่อยว่ากันใหม่แล้ว เมื่อคุณวางหนังสือเล่มนี้ลงและทำงานในอาชีพคุณต่อไป คุณก็จะต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ในที่สุดสภาพแวดล้อมก็ทำให้จิตใจที่อยากจะเชื่อพระเยซูก็ค่อย ๆ จางลง และมาซาตานก็ฉวยโอกาสตอนที่สภาพจิตใจของคุณกำลังเปลี่ยนไปนั้น มันก็จะบอกคุณหลายอย่างจนทำให้ความเชื่อของคุณจางลง ส่วนมากคำพูดที่มักจะใช้ก็คือ "การเชื่อพระเยซูยุ่งยากจริง ๆ" เดี๋ยวคนอื่นก็หัวเราะเยาะ" "เฮ้ย อย่าไปเชื่อ เดี๋ยวก็ไม่มีคนคบหรอก" "บ้าเหรอ ไปเชื่อพระเยซู" ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น และคุณก็ไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านเสียงกระซิบเหล่านี้ของมัน ในที่สุดการอยากตัดสินใจเชื่อของคุณก็ยืดออกไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด
คุณควรจะเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือ คุณไม่ทราบเลยว่าอีก 5 นาทีข้างหน้าจะมีอะไรบ้างเกิดขึ้นกับคุณ อุบัติเหตุที่อยู่ข้างหน้าคุณนั้นมันพร้อมจะอุบัติขึ้นได้ทุกเมื่อ มีหลายคนที่บอกว่าวันหลังค่อยเชื่อพระเยซูแต่ก็ถูกรถชนตายไปก่อน เขาไม่มีวันหลังที่จะให้เขาเชื่อแล้ว ผมขอถามคุณหน่อยเถิดว่าคุณสามารถที่จะควบคุมวันพรุ่งนี้ได้หรือ คุณคิดว่าคุณจะยังคงแข็งแรงเหมือนกับวันนี้หรือ คุณมั่นใจหรือว่า "พรุ่งนี้คุณจะไม่พบอุบัติเหตุ"
ถ้าหากวันนี้คุณเข้าใจผลดีของการเชื่อพระเยซูแล้ว และก็รู้อีกว่าวันนี้คุณสามารถพึ่งพระองค์ที่จะรอดพ้นจากความบาปและความตายในนรกแล้ว ทำไมจะต้องรอถึงวันหลังล่ะ หากวันนี้มีนักโทษคนหนึ่งที่ถูกจำคุกอยู่ วันหนึ่งพอรู้ว่าในหลวงทรงมีพระราชสารอภัยโทษให้ไปรับด่วน คุณคิดว่านักโทษคนนั้นจะรอดวันหลังหรือ ไม่มีทาง เขารีบไปรับสารนั้นอย่างเร็วที่สุด หรือคุณว่าไม่จริง
ตอบกลับโพส