ศาสนาพุทธ ตายแล้ว ขึ้นสวรรค์ หลุดพ้น อิสระจากทุกสิ่ง
ศาสนาพราหมณ์, ฮินดู ตายแล้ว หลอมรวมกับพระเจ้า ใม่หลุดพ้น ไม่อิสระ
ศาสนาอิสลาม, คริสต์ ตายแล้ว เป็นทาสรับใช้พระเจ้า ไม่หลุดพ้น ไม่อิสระ
เราได้ไปถามคนอื่นๆมาว่าเปลี่ยนศาสนาจะบาปมั้ย(ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่) เขาก้อบอกว่า
'ศาสนาอิสลาม, คริสต์ ตายแล้ว เป็นทาสรับใช้พระเจ้า ไม่หลุดพ้น ไม่อิสระ' คุณคิดยังไงกับคำว่า ทาสรับใช้พระเจ้า สำหรับเรา เราคิดว่าถึงจะไม่พ้นจากความอิสระแต่พระเจ้าก็ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราไปไหน ตั้งแต่เราได้ฟังคำสอน เราก็คิดกับตัวเองว่า ไม่มีคำสอนศาสนาไหนที่ฟังแล้วสบายใจเท่าศาสนาคริสต์อีกแล้ว....
คุณคิดยังไงกับสามประโยคนี้
เราไม่ได้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าครับ แต่เราเป็น ลูก ของพระองค์
( กท 4:4-7 )
พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าจะทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่งเกิดมาอยู่ใต้ ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรก็คือ พระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า “อับบา พ่อจ๋า” ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า
( กท 4:4-7 )
พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าจะทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่งเกิดมาอยู่ใต้ ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรก็คือ พระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า “อับบา พ่อจ๋า” ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า
-
- โพสต์: 164
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 24, 2011 2:17 pm
ยอห์น 15
14 ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเราถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน
15 เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไรเราเรียกท่านเป็นมิตรสหายเพราะ เราได้แจ้งให้ท่านทราบทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจาก พระบิดาของเรา
มัทธิว 12
47 มีผู้ทูลพระเยซูว่า “มารดาและน้องชายของท่านมายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับท่าน”
48 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “ใครคือมารดาและใครคือพี่น้องของเรา?” 49 พระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าสาวกของพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50 เพราะผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราในสวรรค์ ผู้นั้นคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา”
โรม 8
14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า
15 ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ”
16 พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า
17 บัดนี้ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาทคือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย
กาลาเทีย 4
6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ”
ความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รู้เรื่องของศาสนาคริสต์เท่าใดหรอกครับถึงได้พูดไปอย่างนั้น ความสัมพันธ์ในศาสนาคริสต์มีลักษณะเป็น "ครอบครัว" ครับ เราจึงเรียกพระเจ้าว่า "พระบิดา" ครับ
14 ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเราถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน
15 เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไรเราเรียกท่านเป็นมิตรสหายเพราะ เราได้แจ้งให้ท่านทราบทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจาก พระบิดาของเรา
มัทธิว 12
47 มีผู้ทูลพระเยซูว่า “มารดาและน้องชายของท่านมายืนอยู่ด้านนอกต้องการจะพูดกับท่าน”
48 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “ใครคือมารดาและใครคือพี่น้องของเรา?” 49 พระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าสาวกของพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50 เพราะผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราในสวรรค์ ผู้นั้นคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา”
โรม 8
14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า
15 ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ”
16 พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า
17 บัดนี้ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาทคือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย
กาลาเทีย 4
6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ”
ความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รู้เรื่องของศาสนาคริสต์เท่าใดหรอกครับถึงได้พูดไปอย่างนั้น ความสัมพันธ์ในศาสนาคริสต์มีลักษณะเป็น "ครอบครัว" ครับ เราจึงเรียกพระเจ้าว่า "พระบิดา" ครับ
- siritawatss
- โพสต์: 559
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ย. 18, 2012 8:11 pm
- ที่อยู่: อ มะขาม จ จันทบุรี
- ติดต่อ:
ดีใจๆดีจังๆมีเพื่อนๆคอยช่วยเหลือเเนะนำกันเเละกัน ขอขอบพระคุณพระบิดาพระเจ้า อาเเมน
-
- โพสต์: 282
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 25, 2013 4:55 pm
เราไม่ใช่ทาส แต่เราคือ ลูกที่มีพ่อและแม่(พระบิดา)ค่ะ
พระเจ้าทรงให้อิสระเราทุกอย่าง
แม้ว่าเราจะผิดมากเพียงใด มาขอโทษพระองค์
เท่านี้เอง พระองค์ให้อภัยทุกอย่าง
พระองค์ไม่ทรงกักขังเราไว้
พระองค์ค่อยคุ้มกันเราอยู่ห่างๆ
ในยามที่เราประสบปัญหาพระองค์จะมาช่วยเรา
พระเจ้าทรงให้อิสระเราทุกอย่าง
แม้ว่าเราจะผิดมากเพียงใด มาขอโทษพระองค์
เท่านี้เอง พระองค์ให้อภัยทุกอย่าง
พระองค์ไม่ทรงกักขังเราไว้
พระองค์ค่อยคุ้มกันเราอยู่ห่างๆ
ในยามที่เราประสบปัญหาพระองค์จะมาช่วยเรา
ศาสนาพุทธไปสวรรค์ไม่หลุดพ้นนะครับ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เรียกว่าสวรรค์อยู่แค่ชั่วคราวครับ นิพพานถึงจะหลุดพ้น ซึ่งตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธแล้วก็เกิดอีกคนละหลายร้อยชาติครับกว่าจะได้เป็นพระอรหันต์
ส่วนศาสนาอิสลาม ถือว่าเป็นผู้รับใช้หรือบ่าวของอัลเลาะห์นั้นถูกต้องครับ
แต่ศาสนาคริสต์ ถือว่าเรามีฐานะบุตรพระเจ้าครับ และสวรรค์ที่คริสตศาสนาสอน เป็นสวรรค์นิรันดร์ครับ ไม่ใช่สวรรค์ที่อยู่ชั่วคราวบุญหมดต้องไปเกิดใหม่แบบทางพุทธ
ดังนั้นความรอดของคริสตชน จึงไม่ใช่แค่สวรรค์ หรือที่รับบำเน็จในการทำความดี แต่คือการกลับบ้านแท้ และคือ การกลับไปสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นบิดาแท้แห่งวิญญาณของเรา
ดังนั้นจึงไม่ใช่อะไรที่ไม่ถาวรหรือชั่วคราว เพราะถ้าเป็นแค่ที่รับบำเน็จจากการทำดี รางวัลหมด ก็อดอยู่ต่อ ก็ถูกต้องแล้ว แต่นี่คือการกลับบ้าน บ้านคือที่ที่เราอยู่กับพ่อแม่และคนที่เรารักตลอดไป
ยน 8:35
ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป
แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป
เพราะฉะนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ
ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง
---ดังนั้น ทาสทำความดีรับใช้เจ้านายเขาอยู่บ้านชั่วคราวรับค่าจ้างและต้องออกไป แต่ผู้ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบุตร โดยการกล่าวเรียกและยอมรับพระเจ้าว่าพระบิดา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะอยู่ตลอดไป
นั่นคือทำไม ความรอดพ้นของเรา จึงไม่ใช่สวรรค์แบบสวรรค์ในศาสนาอื่น และทำไม ผลการกลับคืนชีพของคริสตศาสนาจึงไม่ได้มาจากการทำความดีโดยไม่ต้องสนใจพระเจ้า เพราะพระบุตรเท่านั้นที่ปลดเราจากทาสมาเป็นบุตรพระเจ้าได้ คนใช้ทำดีอย่างไร ก็เป็นแค่คนใช้ ในเมื่อเราสามารถรับสิทธิ์การเป็นบุตร เราจะหยุดอยู่เพียงการเป็นคนรับใช้ทำไม
พระเยซูคริสต์ เข้ามาในโลกนี้เพื่อจะบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา เพื่อให้มนุษย์สามารถถูกนับเป็นพี่น้องของพระองค์ และเพื่อจะมีสิทธิ์กลับเป็นบุตรพระเจ้าร่วมกับพระองค์ และกลับคืนชีพในพระองค์ด้วย
1ธส 5:9
เพราะพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดให้เราต้องรับโทษ แต่ทรงกำหนดให้เราได้รับความรอดพ้นเดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เราจะได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์
ขอพระประสงค์ของพระองค์จงสำเร็จไป ในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ อาแมน
ส่วนศาสนาอิสลาม ถือว่าเป็นผู้รับใช้หรือบ่าวของอัลเลาะห์นั้นถูกต้องครับ
แต่ศาสนาคริสต์ ถือว่าเรามีฐานะบุตรพระเจ้าครับ และสวรรค์ที่คริสตศาสนาสอน เป็นสวรรค์นิรันดร์ครับ ไม่ใช่สวรรค์ที่อยู่ชั่วคราวบุญหมดต้องไปเกิดใหม่แบบทางพุทธ
ดังนั้นความรอดของคริสตชน จึงไม่ใช่แค่สวรรค์ หรือที่รับบำเน็จในการทำความดี แต่คือการกลับบ้านแท้ และคือ การกลับไปสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นบิดาแท้แห่งวิญญาณของเรา
ดังนั้นจึงไม่ใช่อะไรที่ไม่ถาวรหรือชั่วคราว เพราะถ้าเป็นแค่ที่รับบำเน็จจากการทำดี รางวัลหมด ก็อดอยู่ต่อ ก็ถูกต้องแล้ว แต่นี่คือการกลับบ้าน บ้านคือที่ที่เราอยู่กับพ่อแม่และคนที่เรารักตลอดไป
ยน 8:35
ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป
แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป
เพราะฉะนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ
ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง
---ดังนั้น ทาสทำความดีรับใช้เจ้านายเขาอยู่บ้านชั่วคราวรับค่าจ้างและต้องออกไป แต่ผู้ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบุตร โดยการกล่าวเรียกและยอมรับพระเจ้าว่าพระบิดา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะอยู่ตลอดไป
นั่นคือทำไม ความรอดพ้นของเรา จึงไม่ใช่สวรรค์แบบสวรรค์ในศาสนาอื่น และทำไม ผลการกลับคืนชีพของคริสตศาสนาจึงไม่ได้มาจากการทำความดีโดยไม่ต้องสนใจพระเจ้า เพราะพระบุตรเท่านั้นที่ปลดเราจากทาสมาเป็นบุตรพระเจ้าได้ คนใช้ทำดีอย่างไร ก็เป็นแค่คนใช้ ในเมื่อเราสามารถรับสิทธิ์การเป็นบุตร เราจะหยุดอยู่เพียงการเป็นคนรับใช้ทำไม
พระเยซูคริสต์ เข้ามาในโลกนี้เพื่อจะบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา เพื่อให้มนุษย์สามารถถูกนับเป็นพี่น้องของพระองค์ และเพื่อจะมีสิทธิ์กลับเป็นบุตรพระเจ้าร่วมกับพระองค์ และกลับคืนชีพในพระองค์ด้วย
1ธส 5:9
เพราะพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดให้เราต้องรับโทษ แต่ทรงกำหนดให้เราได้รับความรอดพ้นเดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เราจะได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์
ขอพระประสงค์ของพระองค์จงสำเร็จไป ในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ อาแมน
ถ้าเราเชื่อมั่นในพระเจ้าเราก็ต้องยึดคำสอนของศาสนาคริสครับ
ศาสนาอื่น ๆ จะว่าอย่างไรไม่สำคัญ
เราเชื่อในพระเจ้าเป็นพอ
เพราะ บางเรื่องถูกเปิดเผยให้พวกเรารู้เเต่ถูกปิดบังจากคนบางกลุ่ม
เพราะไม่เช่นนั้นพระองค์คงไม่ตรัสเป็นอุปมาอุปมัยบ่อย ๆ
ศาสนาอื่น ๆ จะว่าอย่างไรไม่สำคัญ
เราเชื่อในพระเจ้าเป็นพอ
เพราะ บางเรื่องถูกเปิดเผยให้พวกเรารู้เเต่ถูกปิดบังจากคนบางกลุ่ม
เพราะไม่เช่นนั้นพระองค์คงไม่ตรัสเป็นอุปมาอุปมัยบ่อย ๆ
-
- โพสต์: 282
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 25, 2013 4:55 pm
เยี่ยมมากค่ะ ^^ พระเจ้าอวยพรความเชื่อของคุณ yack นะค่ะ
-
- โพสต์: 5
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มิ.ย. 17, 2014 4:36 am
แก้ไขนะครับพุทธศาสนา คนที่จะหลุดพ้นไดันั้นมีแค่คนเดียวครับ คือพระพุทธเจ้าครับ นอกนั้นไม่มีครับ
เมี่อตายไปแล้วต่างต้องไปตามทางของคนนั้นๆครับไม่มีใครรับใช้ใครไม่มีใครหลุดพั้นครับ ทุกศาสนาย่อมมีทางเดินเป้นของต้วเองครับ
เราศรัทธาของเรา อย่าให้สิ่งเล็กๆน้อยๆมาทำให้ความเชื่อของเราน้อยลงครับ "จงเชื่อมั่นในพระองค์จนสุดกำลังครับพี่น้อง"พระเจ้าอวยพรครับ
เมี่อตายไปแล้วต่างต้องไปตามทางของคนนั้นๆครับไม่มีใครรับใช้ใครไม่มีใครหลุดพั้นครับ ทุกศาสนาย่อมมีทางเดินเป้นของต้วเองครับ
เราศรัทธาของเรา อย่าให้สิ่งเล็กๆน้อยๆมาทำให้ความเชื่อของเราน้อยลงครับ "จงเชื่อมั่นในพระองค์จนสุดกำลังครับพี่น้อง"พระเจ้าอวยพรครับ