1. เรื่อง.... ความสำคัญของวันอาทิตย์.....
... คุณยายคนหนึ่ง มีความทุกข์ใจมากเพราะลูก 2 คนของเธอ เมื่อโตเป็น
หนุ่มแล้วไม่ยอมไปวัดในวันอาทิตย์ เธอพยายามสวดทุกๆวัน พยายามมี
ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า และไว้วางใจในพระเจ้า และยังไปวัดอย่างสม่ำเสมอ
....เรื่องผ่านไปหลายปีจนกระทั้่งลูกชายทั้งสองโตขึ้นได้ทำงานดีเป็นผู้จัดการ
เธอก็พยายามสวดเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะไม่สมหวังสักที เพราะลูกชาย
ทั้งสองก็ยังเย็นชา และเมินเฉยต่อความเชื่อ ต่อการไปวัดเหมือนเดิม
วันหนึ่งเมื่อคุณยายไปวัดตามปกติในวันอาทิตย์ ก็ต้องตกใจเพราะเห็นลูกของ
เธอ 2 คน เดินเข้าไปในวัดและนั่งข้างๆเธอ คุณยายคนนั้นก็ดีใจอย่างมาก
ที่เห็นลูกกลับใจมาวัด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ จึงกระซิบกับลูกในวัดว่า
"ลูกจ๋า ลูกทิ้งวัดมาเป็นเวลา สิบๆปีทั้ง 2 คน แม่พยายามเตือนสอน ทุกๆวัน
แม่ทั้งดุ ทั้งปลอบ ลูกก็ยังไม่ยอมมาวัด แต่วันนี้ทำไม ลูกถึงยอมมาวัดทั้ง2คนเลย"
....ลูกชายคนโตก็บอกกับแม่ว่า " แม่ครับ..ทางบริษัทส่งผม 2 คนไปพักร้อน
ขณะที่ไปพักร้อนอยู่นั้น เราก็เจอคุณยายคนหนึ่งเดินข้ามถนน ขณะที่ฝนตก
อย่างหนัก มีพายุมา เธอหกล้มกลางถนน เราทั้งสองคนเห็นจึงวิ่งไปช่วยทันที
ด้วยสภาพที่ทุลักทุเลทั้งสามคน หลังจากพยุงคุณยายขึ้นมาได้เดินข้ามถนน
ก็อดสงสัยไม่ได้คุณยายอายุตั้งเจ็ดสิบแปดสิบแล้ว ยังมาเดินตากฝนอยู่อย่างนี้
ทำไม? ลูกหลานไปไหน? และยายต้องการไปไหนกันแน่ "
ยายก็ขอบคุณหนุ่มๆทั้งสอง และพูดด้วยคำพูดที่ชัดเจนน่าประทับใจที่สุด
คุณยายบอกว่า " หนุ่มน้อยวันนี้เป็นวันอะไร "
หนุ่มทั้งสองคนก็ตอบ "เป็นวันอาทิตย์ "
คุณยาย " วันอาทิตย์ก็ต้องไปวัดสิ "
"เท่านั้นเอง ผมทั้งสองก็คิดได้ว่า อะไรล่ะที่ทำให้คุณยายแก่คนนี้ ฝ่าฝน
ฝ่าหนาว ฝ่าพายุ ฝ่ารถ ฝ่าน้ำท่วม ต้องมีสิ่งที่ที่พิเศษที่สุดในชีวิตแน่ๆ
นี่ละครับทำให้ผมถึงมาวัด....
เรื่องสั้น. อ่านสนุก จากหนังสือ by พ่อมี้ (1)
2.เรื่อง....กางเขนแห่งชัยชนะ
....โอกาสเลี้ยงฉลองครบรอบ 50 ปี ของคุณตาคุณยายคู่หนึ่ง ลูกหลานและ
เพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความยินดีกับความรักที่สวดสดงดงามเป็นแบบ
อย่างที่ดีให้กับชุมชน ระหว่างานคุณตาคุณยายก็ให้สัมภาษณ์ บรรดาแขก
เหรื่อก็เล็งมาที่คุณยาย และถามคุณยายว่ามีเคล็ดลับอะไรทำให้การแต่งงาน
ของคุณตาคุณยายยั่งยืน มีลูกมีหลาน เจริญก้าวหน้า และมีความสุขอย่างทุก
วันนี้ได้
....คุณยายก็ขึ้นเวทีตอบด้วยเสียงซื่อๆ เรียบง่ายอย่างน่าฟังและจัวใจว่า
" ฉันไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรพิเศษเลย แค่วันแต่งงานฉันนำไม้กางเขนไว้กลางบ้าน
ทุกครั้งที่ฉันหมดกำลังใจสิ้นหวัง ฉันและสามีของฉันก็มองไปที่กาวเขนกลางบ้าน
นั้นทุกครั้งเราก็เข้าใจดีถึงความยากลำบากและอดทนฟันฝ่าอุปสรรคนานับปการ
ด้วยกางเขนที่แขวนไว้กลางบ้านนี่แหละ ทำให้เรามีกำลังใจและอยู่กันอย่างดี
สอนลูกหลานได้อย่างดีมีความสุข จนถึงทุกวันนี้ "
....โอกาสเลี้ยงฉลองครบรอบ 50 ปี ของคุณตาคุณยายคู่หนึ่ง ลูกหลานและ
เพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความยินดีกับความรักที่สวดสดงดงามเป็นแบบ
อย่างที่ดีให้กับชุมชน ระหว่างานคุณตาคุณยายก็ให้สัมภาษณ์ บรรดาแขก
เหรื่อก็เล็งมาที่คุณยาย และถามคุณยายว่ามีเคล็ดลับอะไรทำให้การแต่งงาน
ของคุณตาคุณยายยั่งยืน มีลูกมีหลาน เจริญก้าวหน้า และมีความสุขอย่างทุก
วันนี้ได้
....คุณยายก็ขึ้นเวทีตอบด้วยเสียงซื่อๆ เรียบง่ายอย่างน่าฟังและจัวใจว่า
" ฉันไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรพิเศษเลย แค่วันแต่งงานฉันนำไม้กางเขนไว้กลางบ้าน
ทุกครั้งที่ฉันหมดกำลังใจสิ้นหวัง ฉันและสามีของฉันก็มองไปที่กาวเขนกลางบ้าน
นั้นทุกครั้งเราก็เข้าใจดีถึงความยากลำบากและอดทนฟันฝ่าอุปสรรคนานับปการ
ด้วยกางเขนที่แขวนไว้กลางบ้านนี่แหละ ทำให้เรามีกำลังใจและอยู่กันอย่างดี
สอนลูกหลานได้อย่างดีมีความสุข จนถึงทุกวันนี้ "
3. เรื่อง....คุณค่าของคน....
....เรื่องเล่าถึงผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ซึ่งถูกทนายล้อเลียนอยู่เรื่อยๆ
แต่ทุกคนก็ต้องแปลกใจ เพราะท่านไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธกับทนาย
คนนั้นเลย ไม่เคยเสียมารยาทในห้องพิพากษาเลย ทุกคนต่างประทับใจ
ในความอดทนของท่าน
....จนวันหนึ่งเพื่อนของท่านถามว่า " ทำไมถึงรักษาอารมณ์ได้ดี อดทน
มั่นคง ทั้งๆที่ทนายคนนั้นพูดจารับไม่ได้ ดูถูกถากถางและไม่มีเหตุผลเอา
เสียเลย " ผู้พิพากษาบอกเพื่อนว่า " นี่กลางคืนแล้ว ออกมานอกบ้าน
ดูพระจันทร์กัน " แล้วก็ชี้ให้ดูพระจันทร์และพูดว่า " พระจันทร์สวยไหม? "
เพื่อนตอบว่า "สวยมาก" ผู้พิพากษาพูดต่อไปว่า " เคยสังเกตุไหม? ไม่ว่า
สุนัขจะเห่าหอนอย่างไร พระจันทร์ก็ยังโดดเด่นและงดงามเหมือนเดิม
โดยไม่ต้องไปแยแสกับเสียงของสุนัขเลย" เพื่อนก็ยิ้มและเข้าใจทันทีถึง
ความอดทน และความมีน้ำใจของท่านผู้พิพากษา.
4. เรื่อง ...ความหมายของชีวิต.....
....เรื่องเล่าถึงน้ากับหลานคุยกันเรื่องปลูกต้นไม้ น้ากับหลานคุยกันว่า
"ต้นไม้เหมือนชีวิตคนจริงหรือเปล่าน้า" น้าตอบว่า "เป็นอย่างนั้นจริงๆ
บางคนก็รำ่รวย บางคนก็ยากจน บางคนก็ลำบากแสนเข็ญ บางคนก็มี
ชีวิตพอดีพอเหมาะ แตทุกคนก็มีคุณค่าเท่าเทียมกันเหมือนดอกไม้ที่เรา
ช่วยกันปลูกนี่แหละ บางต้นปลูกบนยอดเขามันก็งดงาม หลายต้นปลูกบน
เชิงเขามันก็งดงาม อีกหลายต้นขึ้นในน้ำ อีกหลายต้นขึ้นในกองขยะ และ
อีกหลายต้นขึ้นตามพื้นซีเมนต์ที่แตกแยก นั่นคือความหมายของชีวิตเรา
แต่ละคนที่ล้วนมีความหมายและมีคุณค่าในการดำเนินชีวิต
สร้างความดีเกิดดอกออกผลได้ทุกสถานะ"
....เรื่องเล่าถึงผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ซึ่งถูกทนายล้อเลียนอยู่เรื่อยๆ
แต่ทุกคนก็ต้องแปลกใจ เพราะท่านไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธกับทนาย
คนนั้นเลย ไม่เคยเสียมารยาทในห้องพิพากษาเลย ทุกคนต่างประทับใจ
ในความอดทนของท่าน
....จนวันหนึ่งเพื่อนของท่านถามว่า " ทำไมถึงรักษาอารมณ์ได้ดี อดทน
มั่นคง ทั้งๆที่ทนายคนนั้นพูดจารับไม่ได้ ดูถูกถากถางและไม่มีเหตุผลเอา
เสียเลย " ผู้พิพากษาบอกเพื่อนว่า " นี่กลางคืนแล้ว ออกมานอกบ้าน
ดูพระจันทร์กัน " แล้วก็ชี้ให้ดูพระจันทร์และพูดว่า " พระจันทร์สวยไหม? "
เพื่อนตอบว่า "สวยมาก" ผู้พิพากษาพูดต่อไปว่า " เคยสังเกตุไหม? ไม่ว่า
สุนัขจะเห่าหอนอย่างไร พระจันทร์ก็ยังโดดเด่นและงดงามเหมือนเดิม
โดยไม่ต้องไปแยแสกับเสียงของสุนัขเลย" เพื่อนก็ยิ้มและเข้าใจทันทีถึง
ความอดทน และความมีน้ำใจของท่านผู้พิพากษา.
4. เรื่อง ...ความหมายของชีวิต.....
....เรื่องเล่าถึงน้ากับหลานคุยกันเรื่องปลูกต้นไม้ น้ากับหลานคุยกันว่า
"ต้นไม้เหมือนชีวิตคนจริงหรือเปล่าน้า" น้าตอบว่า "เป็นอย่างนั้นจริงๆ
บางคนก็รำ่รวย บางคนก็ยากจน บางคนก็ลำบากแสนเข็ญ บางคนก็มี
ชีวิตพอดีพอเหมาะ แตทุกคนก็มีคุณค่าเท่าเทียมกันเหมือนดอกไม้ที่เรา
ช่วยกันปลูกนี่แหละ บางต้นปลูกบนยอดเขามันก็งดงาม หลายต้นปลูกบน
เชิงเขามันก็งดงาม อีกหลายต้นขึ้นในน้ำ อีกหลายต้นขึ้นในกองขยะ และ
อีกหลายต้นขึ้นตามพื้นซีเมนต์ที่แตกแยก นั่นคือความหมายของชีวิตเรา
แต่ละคนที่ล้วนมีความหมายและมีคุณค่าในการดำเนินชีวิต
สร้างความดีเกิดดอกออกผลได้ทุกสถานะ"
5.เรื่อง ...เพื่อพ่อ.....
....เรื่องเล่าถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยกกองฟางจากพื้น ทั้งๆที่ฝนตก
และเหน็ดเหนื่อยมาก บาทหลวงท่านหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้า ก็ถามหนุ่ม
น้อยว่าเหนื่อยมากไหม หนุ่มน้อยคนนั้นตอบว่า "ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยอะไร
ต้องรีบขน" บาทหลวงก็บอกให้พักสักครู่ก่อน กินน้ำกินท่า เดี๋ยวขนต่อ
หนุ่มน้อยคนนั้นก็ตอบอีกว่า "ต้องรีบขน เดี๋ยวพ่อจะว่าเอา" บาทหลวงคนนั้น
ก็โมโหนิดหน่อยพร้อมกับบอกว่า "พ่อของเธอนี่แย่มาก ใช้ลูกทำงานหนัก
ฝนตกก็ไม่ได้พัก เหนื่อยก็ไม่ได้กินน้ำ...แย่จริงๆ ไปเรียกพ่อเธอมาซิ"
....หนุ่มน้อยชาวนาคนนั้นก็ยิ้ม แล้วบอกบาทหลวงคนนั้นว่า
"พ่อของผมอยู่ใต้กองฟางนี่แหละครับ....คุณพ่อ"
6.เรื่อง ....เรารอยูดาส......
...เรื่องเล่าถึงบนเมืองสวรรค์วันสุดท้ายของการพิจราณาสิ้นพิภพ มีบันได
ทอดจากสวรรค์มาถึงโลก บรรดาผู้ที่กลับใจทุกคนไม่ว่าคนใดก็ตามเดิน
สู่สวรรค์เป็นขบวนยาว ทุกคนขึ้นสวรรค์ทำให้บรรดาเทวดาองค์อุปถัมย์ต่าง
ก็ดีใจ แต่พระเยซูเจ้าดูไม่ค่อยดีใจอยู่องค์เดียว พระองค์ทรงมองและพินิจ
มายังโลกตลอดเวลา
....จนที่สุดคนสุดท้ายก็ขึ้นถึงสวรรค์แล้ว พระองค์ก็ยังไม่สดชื่นและยังทรงมอง
มาบนโลกเหมือนเดิม บรรดาเทวดาและนักบุญก็ถามพระเยซูเจ้าว่า "พระองค์
รอใครอยู่" พระเยซูเจ้าก็ยิ้มๆและหันไปพูดว่า "รออีกคนหนึ่ง" ทุกคนก็นึกไม่ออก
พระเยซูเจ้าก็เลยบอกว่า "รอยูดาสอยู่ เผื่อว่ายูดาสจะกลับใจก่อนที่จะขาดใจ
ตาย เขาก็มีสิทธิ์ไปสวรรค์เหมือนกัน"
....เรื่องเล่าถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยกกองฟางจากพื้น ทั้งๆที่ฝนตก
และเหน็ดเหนื่อยมาก บาทหลวงท่านหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้า ก็ถามหนุ่ม
น้อยว่าเหนื่อยมากไหม หนุ่มน้อยคนนั้นตอบว่า "ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยอะไร
ต้องรีบขน" บาทหลวงก็บอกให้พักสักครู่ก่อน กินน้ำกินท่า เดี๋ยวขนต่อ
หนุ่มน้อยคนนั้นก็ตอบอีกว่า "ต้องรีบขน เดี๋ยวพ่อจะว่าเอา" บาทหลวงคนนั้น
ก็โมโหนิดหน่อยพร้อมกับบอกว่า "พ่อของเธอนี่แย่มาก ใช้ลูกทำงานหนัก
ฝนตกก็ไม่ได้พัก เหนื่อยก็ไม่ได้กินน้ำ...แย่จริงๆ ไปเรียกพ่อเธอมาซิ"
....หนุ่มน้อยชาวนาคนนั้นก็ยิ้ม แล้วบอกบาทหลวงคนนั้นว่า
"พ่อของผมอยู่ใต้กองฟางนี่แหละครับ....คุณพ่อ"
6.เรื่อง ....เรารอยูดาส......
...เรื่องเล่าถึงบนเมืองสวรรค์วันสุดท้ายของการพิจราณาสิ้นพิภพ มีบันได
ทอดจากสวรรค์มาถึงโลก บรรดาผู้ที่กลับใจทุกคนไม่ว่าคนใดก็ตามเดิน
สู่สวรรค์เป็นขบวนยาว ทุกคนขึ้นสวรรค์ทำให้บรรดาเทวดาองค์อุปถัมย์ต่าง
ก็ดีใจ แต่พระเยซูเจ้าดูไม่ค่อยดีใจอยู่องค์เดียว พระองค์ทรงมองและพินิจ
มายังโลกตลอดเวลา
....จนที่สุดคนสุดท้ายก็ขึ้นถึงสวรรค์แล้ว พระองค์ก็ยังไม่สดชื่นและยังทรงมอง
มาบนโลกเหมือนเดิม บรรดาเทวดาและนักบุญก็ถามพระเยซูเจ้าว่า "พระองค์
รอใครอยู่" พระเยซูเจ้าก็ยิ้มๆและหันไปพูดว่า "รออีกคนหนึ่ง" ทุกคนก็นึกไม่ออก
พระเยซูเจ้าก็เลยบอกว่า "รอยูดาสอยู่ เผื่อว่ายูดาสจะกลับใจก่อนที่จะขาดใจ
ตาย เขาก็มีสิทธิ์ไปสวรรค์เหมือนกัน"