อยากทราบว่าเราจะใช้เกณฑ์ใดในการกำหนดว่าบาปนั้นเป็นบาปหนัก-เบา ครับ
เพราะปกติถ้าไม่มั่นใจก็จะแก้บาปทุกคน จนกลายเป็นเป็นคนที่แก้บาปทุกครั้งทีไปโบสถ์
เลยอยากจะสอบถามว่าจะใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณาบาปดีครับ
มีข้อมูลว่าจะเป็นบาปหนักก็ต่อเมื่อ
หนึ่ง... พฤติกรรมนั้นละเมิดกฎในข้อหนัก
สอง... เขาต้องรู้ตัวดีขณะที่ทำ
สาม....และเต็มใจที่จะกระทำ
ข้อ 2 และ 3 ยังเข้าใจครับ แต่ข้อ 1 นี่ เราจะทราบได้อย่างไรว่าพฤติกรรมนั้นเป็นบาปหนักหรือไม่
มีอยู่ในหนังสือคู่มือ หรือขึ้นอยู่กับมโนธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่ subjective ครับ
บางการกระทำค่อนข้างตัดสินยากว่าเป็นบาปหนัก ควรแก่การสารภาพบาป เพราะมิติในการกระทำค่อนข้างซับซ้อนครับ
เช่น การโกหกเพื่อให้ผู้อื่นสบายใจ การเลี่ยงพูดความจริงทั้งหมดเพราะเหตุจำเป็น การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเนื่องมาจากความเครียดและฮอร์โมนส์ การเกียจคร้านจากการทำงานหนัก ฯลฯ
อยากขอความกรุณาด้วยครับ
ปล. สารภาพบาปทุกสัปดาห์ก็โอเคอยู่นะครับ แต่บางทีก็คิดว่าหากเป็นบาปเบาอาจจะทำให้ผู้อื่นที่มีบาปหนักกว่าเสียเวลารึเปล่า บางทีคุณพ่ออาจจเข้าใจผิดว่า เราเป็นคนทำบาปสม่ำเสมอรึเปล่า อะไรทำนองนี้อ่ะครับ
คำถามเกี่ยวกับการพิจารณาบาปหนัก-เบา และการสารภาพบาปครับ
- truelove_name
- โพสต์: 137
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 26, 2011 8:54 pm
แก้ไขล่าสุดโดย truelove_name เมื่อ อาทิตย์ เม.ย. 24, 2016 2:16 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
สำหรับตัวผมนะครับ ก็ใช้เกณฑ์จากพระบัญญัติและบัญญัติพระศาสนจักรเป็นข้อกำหนด แล้วก็ค่อยลงดีเทลว่าทำไปโดยตั้งใจไหม รู้ตัวไหม ถ้าอันไหนผมผิดโดยรู้ทั้งรู้ว่าผิด แล้วผมยังทำต่อ ผมก็ถือเป็นบาปหนัก และถ้าสิ่งนั้นที่ผมทำให้ทำให้ใจออกห่างจากพระผมก็ถือว่าเป็นบาปหนักเช่นกัน
ส่วนเรื่องบาปที่มีมมิติมาก ที่ทำแล้วสำหรับผมไม่บาป คือ การเลี่ยงพูดความจริงทั้งหมดเพราะเหตุจำเป็น การเกียจคร้านจากการทำงานหนัก(พักได้ แต่ก็ไม่ใช่พักจนเกินงาม) การโกหกเพื่อให้ผู้อื่นสบายใจ(บางเรื่องที่ไม่ทำให้เป็นที่สะดุด)
สำหรับการช่วยตัวเองนั้นไม่ว่ากรณีไหนๆ เท่าที่เคยเห็นมาในหนังสือก็ถือว่าเป็นบาปอยู่แล้ว แต่ถ้ากรณีที่ป่วยเป็นโรคถึงจุดสุดยอดด้วยตัวเองอะไรแบบนี้ ก็ไม่น่าผิดเพราะมันเป็นอาการบกพร่องของร่างกาย
ปล. ไปแก้บาปบ่อยๆดีแล้วครับ ไม่มีใครเสียเวลาใครหรอกครับ แต่ถ้ากลัวจริงๆก็อาจเดินทางมาถึงวัดสักชั่วโมง แล้วไปขอแก้ตัวต่อตัวกับคุณพ่อไปเลย เพื่อความสบายใจ
ปล2. คุณพ่อท่านตระหนักดีอยู่แล้วว่าเราเป็นมนุษย์ ซึ่งอ่อนแอ จึงไม่แปลกที่จะบาปเดิมๆซ้ำๆบ่อยๆ เคยคุยกับคุณพ่อหลายๆองค์ ท่านก็ไม่เคยจำอยู่แล้วว่าใครทำบาปอะไรมา ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องของเรากับพระ อย่ายอมให้ความคิดแบบมนุษย์มาขวางไว้
อาจไม่ช่วยอะไรมาก แต่ก็พูดตามประสบการณ์คนแก้บาปบ่อยคนหนึ่ง หากผิดพลาดอย่างไรก็ขอให้พี่คนอื่นช่วยเสริมด้วยนะครับ
ส่วนเรื่องบาปที่มีมมิติมาก ที่ทำแล้วสำหรับผมไม่บาป คือ การเลี่ยงพูดความจริงทั้งหมดเพราะเหตุจำเป็น การเกียจคร้านจากการทำงานหนัก(พักได้ แต่ก็ไม่ใช่พักจนเกินงาม) การโกหกเพื่อให้ผู้อื่นสบายใจ(บางเรื่องที่ไม่ทำให้เป็นที่สะดุด)
สำหรับการช่วยตัวเองนั้นไม่ว่ากรณีไหนๆ เท่าที่เคยเห็นมาในหนังสือก็ถือว่าเป็นบาปอยู่แล้ว แต่ถ้ากรณีที่ป่วยเป็นโรคถึงจุดสุดยอดด้วยตัวเองอะไรแบบนี้ ก็ไม่น่าผิดเพราะมันเป็นอาการบกพร่องของร่างกาย
ปล. ไปแก้บาปบ่อยๆดีแล้วครับ ไม่มีใครเสียเวลาใครหรอกครับ แต่ถ้ากลัวจริงๆก็อาจเดินทางมาถึงวัดสักชั่วโมง แล้วไปขอแก้ตัวต่อตัวกับคุณพ่อไปเลย เพื่อความสบายใจ
ปล2. คุณพ่อท่านตระหนักดีอยู่แล้วว่าเราเป็นมนุษย์ ซึ่งอ่อนแอ จึงไม่แปลกที่จะบาปเดิมๆซ้ำๆบ่อยๆ เคยคุยกับคุณพ่อหลายๆองค์ ท่านก็ไม่เคยจำอยู่แล้วว่าใครทำบาปอะไรมา ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องของเรากับพระ อย่ายอมให้ความคิดแบบมนุษย์มาขวางไว้
อาจไม่ช่วยอะไรมาก แต่ก็พูดตามประสบการณ์คนแก้บาปบ่อยคนหนึ่ง หากผิดพลาดอย่างไรก็ขอให้พี่คนอื่นช่วยเสริมด้วยนะครับ
ส่วนตัวยึดบาปหนักตามพระบัญญัติ 10 ประการครับ และบาปนั้นได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าหรือตัวเราเองกับเพื่อนมนุษย์แย่ลง พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าที่จ้องจะลงโทษเมื่อเราทำผิดแต่พระองค์เปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตา มีคุณพ่อท่านหนึ่งอธิบายให้ฟังว่า กระบวณการให้อภัยเริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่เราคิดว่าจะมาแก้บาปแล้ว พระองค์พร้อมที่จะให้อภัยกับเราเสมอครับ