แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
...........การหัวเราะครั้งสุดท้ายของคุณแม่.........
.....ดิฉันเศร้าโศกเสียใจมากจนไม่รู้สึกถึงความแข็งกระด้างของม้านั่ง
ในวัดที่นั่งอยู่ ดิฉันมาร่วมพิธีศพคุณแม่ผู้เป็นสหายที่ดิฉันรักมากที่สุด
คุณแม่จากไปหลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งอยู่นานมาก ดิฉันรู้สึกเศร้ามาก
จนแทบหายใจไม่ออกในบางครั้ง
....เมื่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นคนที่ตบมือดังที่สุด เมื่อตอนที่ดิฉันเล่น
ละครโรงเรียน ท่านเป็นคนถือกล่องกระดาษทิชชู่ให้ดิฉันเช็ดน้ำตา และปลอบ
ดิฉันตลอดเวลาเมื่อคราวที่คุณพ่อจากไป ท่านให้กำลังใจขณะที่ดิฉันเรียนอยู่
ในระดับมหาวิทยาลัย และสวดให้ดิฉันมาตลอดชีวิต
.....เมื่อตอนที่ตรวจพบว่าท่านเป็นมะเร็ง พี่สาวดิฉันให้กำเนิดลูกคนแรกพอดี
ขณะที่น้องชายดิฉันก็เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ดิฉันจึงเป็นลูกคนกลางที่ไม่มีพันธะ
ใดๆ และยินดีทำหน้าที่ดูแลคุณแม่ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ ที่มีเกียรติมาก
...ดิฉันตั้งคำถามในใจขนาดที่นั่งอยู่ในวัดว่า “แล้วตอนนี้ดิฉันมีหน้าที่อะไรหรือ
พระเจ้าข้า” ดิฉันคิดถึงวันข้างหน้าที่ดูมืดมนราวกับกำลังเดินอยู่ในเหวลึก น้อง
ชายดิฉันกำลังนั่งนิ่ง มองตรงไปที่กางเขน มือข้างหนึ่งกุมมือของภริยาไว้แน่น
ส่วนพี่สาวดิฉันก็นั่งอิงไหล่ของสามี ที่ใช้แขนทั้งสองโอบกอดเธอราวกับกำลัง
ปลอบเธออยู่ทุกคนต่างกำลังเศร้า จนไม่มีใครสังเกตว่าดิฉันกำลังนั่งอยู่ตาม
ลำพังอย่างเดียวดาย นี่ฉันเคยมีแม่อยู่เคียงข้างเสมอทุกวัน ดิฉันเตรียมอาหาร
ทุกมื้อให้ท่าน ช่วยพยุงขณะเดินไปด้วยกัน หรือไม่ก็พาท่านไปหาหมอให้ยากิน
ตามกำหนดเวลา และอ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน แต่ตอนนี้ท่านไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว
ดิฉันไม่มีอะไรทำอีกแล้วต้องอยู่คนเดียวต่อไป ....
การหัวเราะครั้งสุดท้ายของคุณแม่
....ขณะที่กำลังปล่อยใจล่องลอยไปอยู่นั้นดิฉันได้ยินเสียงเปิดประตู
อย่างดังที่ทางเข้าภายในวัด มีเสียงฝีเท้าเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาใกล้
ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ข้างๆ หันซ้ายหันขวาและบรรจงนั่งลง
ข้างดิฉัน เขาวางมือลงบนตักก้มศีรษะ ดิฉันสังเกตุเห็นน้ำตาของเขา
ไหลย้อยออกมา จากนั้นก็พึมพำว่า “ผมไม่น่ามาสายเลย”
หลังจากนั้นในพิธี มีการกล่าวคำอาลัยถึงคุณแม่อยู่ค่อนข้างนาน
ที่สุดเขาก็เอนศีรษะพูดเบาๆ กับดิฉันว่า “ทำไมคำกล่าวอาลัยถึงพูดแต่
ชื่อ มาร์กาเร็ตทั้งๆที่ผู้ตายชื่อ แมรี่มิใช่หรือ”
....ดิฉันจึงกระซิบตอบไปว่า “ก็ผู้ตายชื่อมาร์กาเร็ตนี่คะ ท่านไม่เคย
ชื่อแมรี่เลย” และดิฉันก็เริ่มสงสัยว่าหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังเศร้าโศก
อยู่ข้างๆนี้เป็นใครกันหนอ ดิฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ขณะเดียวกันเขา
ก็พูดซ้ำดังขึ้นกว่าเดิมอีกว่า “ไม่ใช่นะ เธอชื่อ แมรี่ปีเตอร์นะครับ
ถึงตอนนี้ หลายคนที่อยู่รอบๆเราเริ่มหันมามอง ที่เห็นเรากระซิบโต้ตอบกัน
ไปมา ดิฉันพูดสวนไปว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ” เขาจึงถามดิฉันว่า
“อ้าว นี่ไม่ใช่วัดลูเธอรันหรือครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ สงสัยคุณมาผิดงานแล้ว วัดลูเธอรันอยู่เยื้ยงไปอีกฝั่ง
หนึ่งค่ะ” “โอ้ เหรอครับ”
อย่างดังที่ทางเข้าภายในวัด มีเสียงฝีเท้าเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาใกล้
ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ข้างๆ หันซ้ายหันขวาและบรรจงนั่งลง
ข้างดิฉัน เขาวางมือลงบนตักก้มศีรษะ ดิฉันสังเกตุเห็นน้ำตาของเขา
ไหลย้อยออกมา จากนั้นก็พึมพำว่า “ผมไม่น่ามาสายเลย”
หลังจากนั้นในพิธี มีการกล่าวคำอาลัยถึงคุณแม่อยู่ค่อนข้างนาน
ที่สุดเขาก็เอนศีรษะพูดเบาๆ กับดิฉันว่า “ทำไมคำกล่าวอาลัยถึงพูดแต่
ชื่อ มาร์กาเร็ตทั้งๆที่ผู้ตายชื่อ แมรี่มิใช่หรือ”
....ดิฉันจึงกระซิบตอบไปว่า “ก็ผู้ตายชื่อมาร์กาเร็ตนี่คะ ท่านไม่เคย
ชื่อแมรี่เลย” และดิฉันก็เริ่มสงสัยว่าหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังเศร้าโศก
อยู่ข้างๆนี้เป็นใครกันหนอ ดิฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ขณะเดียวกันเขา
ก็พูดซ้ำดังขึ้นกว่าเดิมอีกว่า “ไม่ใช่นะ เธอชื่อ แมรี่ปีเตอร์นะครับ
ถึงตอนนี้ หลายคนที่อยู่รอบๆเราเริ่มหันมามอง ที่เห็นเรากระซิบโต้ตอบกัน
ไปมา ดิฉันพูดสวนไปว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ” เขาจึงถามดิฉันว่า
“อ้าว นี่ไม่ใช่วัดลูเธอรันหรือครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ สงสัยคุณมาผิดงานแล้ว วัดลูเธอรันอยู่เยื้ยงไปอีกฝั่ง
หนึ่งค่ะ” “โอ้ เหรอครับ”
....พิธีศพที่กำลังดำเนินอยู่อย่างเคร่งขรึม เมื่อเกิดเหตุความเข้าใจผิด
ของชายหนุ่ม ทุกคนถึงกับอมยิ้มดิฉันเองก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่รีบเอา
มือทั้งสองปิดหน้า เพื่อซ่อนเสียงหัวเราะที่ดังรอดออกมา ขณะที่ทุกคน
มองมาที่ดิฉัน ด้วยสีหน้าที่ฟ้องว่ากำลังขำกันอยู่ ดิฉันมองหน้าเขาที่กำลัง
หัวเราะอยู่เช่นกัน เขามองไปรอบๆ ก่อนจะตัดสินใจอยู่ในงานศพต่อ
เพราะใกล้จะจบพิธีแล้ว และเขาก็ไปงานศพที่ตั้งใจจะไปไม่ทันแล้ว
ดิฉันนึกภาพในใจว่าคุณแม่ดิฉัน ก็คงกำลังหัวเราะอยู่เช่นกัน
....เมื่อจบพิธี เราทั้งสองรีบออกไปที่จอดรถ เขายิ้มให้ดิฉันและพูดว่า
“สงสัยเรื่องของเรานี้คงเป็นที่กล่าวขวัญกันทั้งเมืองแน่”
เขาแนะนำตัวเองว่า ชื่อริก และเนื่องจากเขาไปงานศพของคุณป้า
ไม่ทันแล้ว เขาจึงเชิญดิฉันไปดื่มกาแฟด้วยกันและตลอดบ่ายนั้นดิฉันก็มี
เขาอยู่เคียงข้าง ถูกแล้วเขามาผิดงานแต่ก็มาอยู่ในสถานที่เหมาะเจาะพอดี
....หนึ่งปีผ่านไป เราทั้งสองได้แต่งงานกันในโบสถ์เดียวกันนี้
ในยามที่ดิฉันเป็นทุกข์ พระเป็นเจ้าโปรดให้ดิฉันได้หัวเราะ
ในยามที่ดิฉันรู้สึก เดียวดายพระองค์ทรงประทานความรักให้
หลายปีผ่านไป ทุกครั้ง
เมื่อมีคนถามว่าเราพบกันได้อย่างไรริกจะตอบว่า “คุณแม่ของเธอ
และคุณป้าของผมเป็น คนแนะนำเราทั้งสองให้รู้จักกันครับ”..............จบ
ของชายหนุ่ม ทุกคนถึงกับอมยิ้มดิฉันเองก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่รีบเอา
มือทั้งสองปิดหน้า เพื่อซ่อนเสียงหัวเราะที่ดังรอดออกมา ขณะที่ทุกคน
มองมาที่ดิฉัน ด้วยสีหน้าที่ฟ้องว่ากำลังขำกันอยู่ ดิฉันมองหน้าเขาที่กำลัง
หัวเราะอยู่เช่นกัน เขามองไปรอบๆ ก่อนจะตัดสินใจอยู่ในงานศพต่อ
เพราะใกล้จะจบพิธีแล้ว และเขาก็ไปงานศพที่ตั้งใจจะไปไม่ทันแล้ว
ดิฉันนึกภาพในใจว่าคุณแม่ดิฉัน ก็คงกำลังหัวเราะอยู่เช่นกัน
....เมื่อจบพิธี เราทั้งสองรีบออกไปที่จอดรถ เขายิ้มให้ดิฉันและพูดว่า
“สงสัยเรื่องของเรานี้คงเป็นที่กล่าวขวัญกันทั้งเมืองแน่”
เขาแนะนำตัวเองว่า ชื่อริก และเนื่องจากเขาไปงานศพของคุณป้า
ไม่ทันแล้ว เขาจึงเชิญดิฉันไปดื่มกาแฟด้วยกันและตลอดบ่ายนั้นดิฉันก็มี
เขาอยู่เคียงข้าง ถูกแล้วเขามาผิดงานแต่ก็มาอยู่ในสถานที่เหมาะเจาะพอดี
....หนึ่งปีผ่านไป เราทั้งสองได้แต่งงานกันในโบสถ์เดียวกันนี้
ในยามที่ดิฉันเป็นทุกข์ พระเป็นเจ้าโปรดให้ดิฉันได้หัวเราะ
ในยามที่ดิฉันรู้สึก เดียวดายพระองค์ทรงประทานความรักให้
หลายปีผ่านไป ทุกครั้ง
เมื่อมีคนถามว่าเราพบกันได้อย่างไรริกจะตอบว่า “คุณแม่ของเธอ
และคุณป้าของผมเป็น คนแนะนำเราทั้งสองให้รู้จักกันครับ”..............จบ