ความเงียบที่น่ายกย่อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2018 12:10 pm
"ผมชอบบทความนี้มาก
เพื่อนส่งมาให้
อยากให้ได้อ่านกัน"
"ความเงียบที่น่ายกย่อง"
"เบื้องหลังของความเงียบ
มันประกอบไปด้วยความอบอุ่นและความน่ายกย่อง
จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเราเองในประเทศเยอรมัน"
ในตอนเย็นวันหนึ่งของฤดูหนาว
เรากำลังเข้าแถวรอรถประจำทาง
มีคนรออยู่ในแถวห้าหกคน
ทุกคนล้วนยืนรอด้วยความสงบและเป็นระเบียบ
ในเวลาเดียวกัน มีคนจูงสุนัขเดินมาแต่ไกล
พอทั้งคู่เดินใกล้เข้ามา
ภาพที่ได้เห็นคือ
ชายหนุ่มสูงใหญ่ หลังตรงงามสง่า
มีสุนัขที่เดินนำหน้า เป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษ
มันถูกฝึกมาสำหรับคนพิการทางสายตาโดยเฉพาะ
สังเกตเห็นได้จากสายรัดคอของสุนัข
เป็นสายรัดที่มีสัญลักษณ์โดยเฉพาะ
เขาเป็นชายหนุ่มที่พิการทางสายตา
ชายหนุ่มค่อยๆเดินตรงมายังป้ายรถประจำทาง
แล้วก็หยุดยืนอยู่ห่างจากแถวพวกเราเล็กน้อย
ไม่มีใครทักทายให้เสียงกับชายหนุ่มคนนั้น
เรากำลังคิดจะเดินไปนำพาเขามาเข้าแถว
แต่คุณผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่หัวแถว
รีบเก็บพับหนังสือเล่มที่กำลังอ่าน
แล้วเดินตรงไปยืนอยู่หลังชายหนุ่ม
คนอื่นๆที่อยู่ในแถว ก็ทยอยเดินไปต่อแถวกันใหม่
ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวผมสั้นสีแเดงที่ยืนติดกับเรา
มองหน้าสุนัขอย่างครุ่นคิด
คงเกรงว่ากลิ่นบุหรี่จะไปรบกวนโสดประสาทการดมกลิ่นของสุนัข
เธอลังเลอยู่แป๊บหนึ่ง
ก่อนจะดับบุหรี่ที่เพิ่งจุด
แล้วก็เดินตามกันไปต่อแถวใหม่
แถวใหม่เกิดขึ้นอย่างเรียบร้อย
เป็นแถวที่ชายหนุ่มกับสุนัขของเขาอยู่หัวแถว
เป็นการร่วมกันกระทำของกลุ่มคนแปลกหน้า
เป็นการกระทำที่ไม่ได้นัดแนะ
เป็นการกระทำที่ไม่ต้องใช้เสียง
ทุกคนทำเหมือนเป็นหน้าที่
เรารู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก
ทุกคนยังคงรอคอยด้วยความเงียบสงบ
แล้วรถประจำทางก็มาถึง
"รอสักครู่ ผมจะลงไปรับ......"
พนักงานขับรถกำลังขยับตัวจะลุกจากที่นั่งคนขับ
"ขอบคุณครับ ไม่ต้องรบกวนหรอกครับ"
ชายหนุ่มรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ภายใต้การนำของสุนัขฝึกหัดตัวนั้น
ทั้งสองค่อยๆก้าวขึ้นรถไป
เวลานั้นเป็นเวลาหลังเลิกงาน
ผู้โดยสารก็เต็มคันรถอยู่แล้ว
แต่พอชายหนุ่มกำลังก้าวขึ้นรถ
ทุกคนรีบขยับตัวถอยร่นไปข้างหลัง
ทำให้มีพื้นที่ว่างที่บริเวณทางขึ้นทันที
ที่นั่งหลังคนขับ
มีเด็กผู้ชายอายุ 6-7 ขวบนั่งอยู่
คุณแม่รีบสะกิดลูกชายให้ลุกขึ้น
เพื่อสละที่นั่งให้ชายหนุ่ม
การกระทำที่ค่อนข้างกระทันหันของคุณแม่
ไม่ได้ทำให้เด็กผู้ชายงอแง
หนูน้อยรีบลุกขึ้นด้วยความเต็มใจ
สุนัขเห็นมีที่นั่งว่างอยู่
จึงนำพาเจ้าของเดินไปยังที่นั่ง
ส่วนตัวสุนัขเองก็นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆบนทางเดิน
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ใดๆทั้งสิ้น
"สวัสดีครับ จะไปลงรถที่ไหนครับ"
"สวัสดีครับ ผมจะไปถนนมอร์ครับ"
"พะยะค่ะ ฝ่าบาท......"
ทุกคนหัวเราะในคำหยอกล้อด้วยอารมณ์ขันของคนขับ
แล้วรถประจำทางก็นำพาผู้คนเดินทางต่อไปด้วยบรรยากาศของความสดใส
ทุกคนบนรถเฝ้าสังเกตดูท่าทีอันสง่างามของสุนัข
แม้เวลาเลี้ยวรถ
สุนัขก็จะพยายามเอี้ยวตัวเพื่อรักษาการทรงตัวของตน
สายตาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสุนัขที่เลี้ยงดูกันตามบ้าน
ไม่มีใครคิดจะยื่นมือไปลูบหัวสุนัข
ไม่มีใครนำเอามือถือออกมาถ่ายรูป
เด็กน้อยที่คิดจะยื่นขนมปังครึ่งชิ้นที่เหลืออยู่ในมือไปป้อนเขา
ก็ถูกคุณแม่ดึงมือกลับ
กระซิบข้างหูเด็กน้อยแบบเบาๆ
"เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มีงานต้องรับผิดชอบ อย่าไปรบกวน"
พอได้ยินคำว่า "ปฏิบัติหน้าที่"
เด็กน้อยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ
ไม่นานนักก็มาถึงจุดหมาย
เมื่ออำลากับคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถไป
ภายใต้การนำทางของสุนัขฝึกของเขา
รถประจำทางเดินทางต่อไป
แต่ความเงียบสงบยังคงครอบครองอยู่เต็มคันรถ
เราได้รับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่เกิดขึ้นภายใต้ความเงียบ
เป็นความน่ายกย่องที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก
ภายนอกรถ ลมหนาวเย็นยะเยือก
แต่ภายในใจ เต็มไปด้วยความอบอุ่น
เรื่องราวที่น่าประทับใจนี้
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนเดินไปต่อแถวใหม่หลังชายหนุ่ม
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนรีบขยับถอยร่นให้มีพื้นที่ว่างเกิดขึ้น
และก็ไม่ใช่เพียงเพราะเด็กน้อยสละที่นั่งให้
แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เป็นการกระทำที่ไร้เสียงแบบน่ายกย่องที่สุด
ความรัก ความห่วงใย ความเอื้ออาทรที่มีให้กับผู้อื่น
ไม่มีความจำเป็นต้องไปป่าวประกาศ
ไปเที่ยวบอกให้ผู้คนรับรู้ว่า
"พวกเรารักคุณ ห่วงใยคุณ"
บางเวลา
รักหรือห่วงใย ก็เป็นเรื่องเรียบๆง่ายๆ
แต่เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยด้วยใจ ด้วยความรู้สึก
ความก้าวหน้าของประเทศ
คงไม่ได้วัดกันด้วยสภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีวัฒนธรรมของสังคม
ที่จะช่วยชี้วัดความน่ายกย่องด้านจิตวิญญาณ.......
จิตวิญญาณอันสูงส่งของมวลมนุษยชาตินั้นๆ
ขจรศักดิ์ แปลและเรียบเรียง
Cr. FB ภูษิต ไล้ทอง
เพื่อนส่งมาให้
อยากให้ได้อ่านกัน"
"ความเงียบที่น่ายกย่อง"
"เบื้องหลังของความเงียบ
มันประกอบไปด้วยความอบอุ่นและความน่ายกย่อง
จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเราเองในประเทศเยอรมัน"
ในตอนเย็นวันหนึ่งของฤดูหนาว
เรากำลังเข้าแถวรอรถประจำทาง
มีคนรออยู่ในแถวห้าหกคน
ทุกคนล้วนยืนรอด้วยความสงบและเป็นระเบียบ
ในเวลาเดียวกัน มีคนจูงสุนัขเดินมาแต่ไกล
พอทั้งคู่เดินใกล้เข้ามา
ภาพที่ได้เห็นคือ
ชายหนุ่มสูงใหญ่ หลังตรงงามสง่า
มีสุนัขที่เดินนำหน้า เป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษ
มันถูกฝึกมาสำหรับคนพิการทางสายตาโดยเฉพาะ
สังเกตเห็นได้จากสายรัดคอของสุนัข
เป็นสายรัดที่มีสัญลักษณ์โดยเฉพาะ
เขาเป็นชายหนุ่มที่พิการทางสายตา
ชายหนุ่มค่อยๆเดินตรงมายังป้ายรถประจำทาง
แล้วก็หยุดยืนอยู่ห่างจากแถวพวกเราเล็กน้อย
ไม่มีใครทักทายให้เสียงกับชายหนุ่มคนนั้น
เรากำลังคิดจะเดินไปนำพาเขามาเข้าแถว
แต่คุณผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่หัวแถว
รีบเก็บพับหนังสือเล่มที่กำลังอ่าน
แล้วเดินตรงไปยืนอยู่หลังชายหนุ่ม
คนอื่นๆที่อยู่ในแถว ก็ทยอยเดินไปต่อแถวกันใหม่
ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวผมสั้นสีแเดงที่ยืนติดกับเรา
มองหน้าสุนัขอย่างครุ่นคิด
คงเกรงว่ากลิ่นบุหรี่จะไปรบกวนโสดประสาทการดมกลิ่นของสุนัข
เธอลังเลอยู่แป๊บหนึ่ง
ก่อนจะดับบุหรี่ที่เพิ่งจุด
แล้วก็เดินตามกันไปต่อแถวใหม่
แถวใหม่เกิดขึ้นอย่างเรียบร้อย
เป็นแถวที่ชายหนุ่มกับสุนัขของเขาอยู่หัวแถว
เป็นการร่วมกันกระทำของกลุ่มคนแปลกหน้า
เป็นการกระทำที่ไม่ได้นัดแนะ
เป็นการกระทำที่ไม่ต้องใช้เสียง
ทุกคนทำเหมือนเป็นหน้าที่
เรารู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก
ทุกคนยังคงรอคอยด้วยความเงียบสงบ
แล้วรถประจำทางก็มาถึง
"รอสักครู่ ผมจะลงไปรับ......"
พนักงานขับรถกำลังขยับตัวจะลุกจากที่นั่งคนขับ
"ขอบคุณครับ ไม่ต้องรบกวนหรอกครับ"
ชายหนุ่มรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ภายใต้การนำของสุนัขฝึกหัดตัวนั้น
ทั้งสองค่อยๆก้าวขึ้นรถไป
เวลานั้นเป็นเวลาหลังเลิกงาน
ผู้โดยสารก็เต็มคันรถอยู่แล้ว
แต่พอชายหนุ่มกำลังก้าวขึ้นรถ
ทุกคนรีบขยับตัวถอยร่นไปข้างหลัง
ทำให้มีพื้นที่ว่างที่บริเวณทางขึ้นทันที
ที่นั่งหลังคนขับ
มีเด็กผู้ชายอายุ 6-7 ขวบนั่งอยู่
คุณแม่รีบสะกิดลูกชายให้ลุกขึ้น
เพื่อสละที่นั่งให้ชายหนุ่ม
การกระทำที่ค่อนข้างกระทันหันของคุณแม่
ไม่ได้ทำให้เด็กผู้ชายงอแง
หนูน้อยรีบลุกขึ้นด้วยความเต็มใจ
สุนัขเห็นมีที่นั่งว่างอยู่
จึงนำพาเจ้าของเดินไปยังที่นั่ง
ส่วนตัวสุนัขเองก็นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆบนทางเดิน
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ใดๆทั้งสิ้น
"สวัสดีครับ จะไปลงรถที่ไหนครับ"
"สวัสดีครับ ผมจะไปถนนมอร์ครับ"
"พะยะค่ะ ฝ่าบาท......"
ทุกคนหัวเราะในคำหยอกล้อด้วยอารมณ์ขันของคนขับ
แล้วรถประจำทางก็นำพาผู้คนเดินทางต่อไปด้วยบรรยากาศของความสดใส
ทุกคนบนรถเฝ้าสังเกตดูท่าทีอันสง่างามของสุนัข
แม้เวลาเลี้ยวรถ
สุนัขก็จะพยายามเอี้ยวตัวเพื่อรักษาการทรงตัวของตน
สายตาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสุนัขที่เลี้ยงดูกันตามบ้าน
ไม่มีใครคิดจะยื่นมือไปลูบหัวสุนัข
ไม่มีใครนำเอามือถือออกมาถ่ายรูป
เด็กน้อยที่คิดจะยื่นขนมปังครึ่งชิ้นที่เหลืออยู่ในมือไปป้อนเขา
ก็ถูกคุณแม่ดึงมือกลับ
กระซิบข้างหูเด็กน้อยแบบเบาๆ
"เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มีงานต้องรับผิดชอบ อย่าไปรบกวน"
พอได้ยินคำว่า "ปฏิบัติหน้าที่"
เด็กน้อยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ
ไม่นานนักก็มาถึงจุดหมาย
เมื่ออำลากับคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวลงจากรถไป
ภายใต้การนำทางของสุนัขฝึกของเขา
รถประจำทางเดินทางต่อไป
แต่ความเงียบสงบยังคงครอบครองอยู่เต็มคันรถ
เราได้รับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่เกิดขึ้นภายใต้ความเงียบ
เป็นความน่ายกย่องที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก
ภายนอกรถ ลมหนาวเย็นยะเยือก
แต่ภายในใจ เต็มไปด้วยความอบอุ่น
เรื่องราวที่น่าประทับใจนี้
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนเดินไปต่อแถวใหม่หลังชายหนุ่ม
คงไม่ใช่เพียงเพราะผู้คนรีบขยับถอยร่นให้มีพื้นที่ว่างเกิดขึ้น
และก็ไม่ใช่เพียงเพราะเด็กน้อยสละที่นั่งให้
แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ
เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เป็นการกระทำที่ไร้เสียงแบบน่ายกย่องที่สุด
ความรัก ความห่วงใย ความเอื้ออาทรที่มีให้กับผู้อื่น
ไม่มีความจำเป็นต้องไปป่าวประกาศ
ไปเที่ยวบอกให้ผู้คนรับรู้ว่า
"พวกเรารักคุณ ห่วงใยคุณ"
บางเวลา
รักหรือห่วงใย ก็เป็นเรื่องเรียบๆง่ายๆ
แต่เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยด้วยใจ ด้วยความรู้สึก
ความก้าวหน้าของประเทศ
คงไม่ได้วัดกันด้วยสภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีวัฒนธรรมของสังคม
ที่จะช่วยชี้วัดความน่ายกย่องด้านจิตวิญญาณ.......
จิตวิญญาณอันสูงส่งของมวลมนุษยชาตินั้นๆ
ขจรศักดิ์ แปลและเรียบเรียง
Cr. FB ภูษิต ไล้ทอง