อย่าปล่อยให้คนชราหัวขาวต้องคำนับ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ต.ค. 24, 2018 2:14 pm

เป็นเรื่องสอนใจดีมาก...
วันนี้ ภายในห้องพิพากษาไม่มีที่นั่งว่าง เปิดศาลเพื่อตัดสินคดี ผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนงานชาย อายุ 30 กว่าปี ได้จับ ดช.อายุ 6 ขวบไปเรียกค่าไถ่

สิ่งที่ผู้คนโล่งใจ ก็คือ เด็กน้อยไม่ได้รับภัยอันตรายใดๆ ถึงแม้ไม่ได้เกิดเหตุร้ายแรง แต่เขายังคงต้องถูกพิจารณาจากศาล เพื่อรับโทษตาม กม.

เด็กน้อยที่ถูกคนงานจับไปนั้น เป็นลูกชายของเถ้าแก่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ทำงานด้วยเป็นเวลา 8เดือน แต่ไม่เคยได้รับเงินตอบแทนแม้แต่เซนเดียว

หลายครั้งที่เขาได้ขอร้องเถ้าแก่จ่ายเงินให้เขาก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเพียงไม่กี่ร้อยหยวนก็ตาม เขาเป็นเพียงเสาหลักเดียวของครอบครัว คุณแม่ป่วยเป็นโรคหัวใจหนัก ขาดยาไม่ได้แม้แต่วันเดียว ขณะที่ลูกๆก็ต้องไป รร.มีค่าใช้จ่าย

ซ้ำน้องสาวของเขา เกิดผิดหวังในความรัก กลายเป็นคนเสียสติ ต้องเฝ้ารักษาอาการป่วย เขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นน้องสาว วันๆผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินไปตามถนน

ทุกครั้งที่ขอเบิกเงินค่าแรง เถ้าแก่มักจะแสดงท่าทีสุดรำคาญ ทั้งๆที่เขาเพิ่งจะพูดได้ไม่กี่คำ ก็ถูกเถ้าแก่เรียก รปภ.ไล่ออกจาก สนง.

เมื่อเขาสุดจะทน จึงจับลูกชายของเถ้าแก่ไว้เรียกค่าไถ่ แต่เขาเกิดสำนึกได้ แม้จะสามารถหนีไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็เกรงเด็กน้อยอยู่ภายนอกคนเดียวจะเกิดอุบัติเหตุ กลัวว่า เด็กน้อยจะเกิดความหวาดกลัว จึงอุ้มเด็กไว้แนบอกตลอด พอ ตร.ปรากฎตัว เด็กน้อยก็หลับสนิทในอ้อมอกเขา

เขาถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี ผู้เข้าฟังทั้งหมด เสียใจแทนเขา เป็นเพราะความไม่รู้ กม. มิเช่นนั้น ก็ไม่ต้องชดใช้ด้วยโทษหนักขนาดนี้ แล้วครอบครัวที่โอนเอนใกล้ล้มเต็มที จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ขณะที่ศาลกำลังจะกล่าวเลิกศาล ได้มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นในกลุ่มคนที่เข้ารับฟังคำการตัดสิน
" ช้าก่อน ฉันมีอะไรจะพูด "

ทุกคนต่างหันไปมองที่ต้นเสียงเป็นหญิงชราคนหนึ่ง มีคนจำเธอได้ เธอคือ คุณย่าของเด็กน้อย เป็นคุณแม่ของเถ้าแก่

หลังจากที่เด็กน้อยถูถจับตัวไป หญิงชราก็ล้มป่วยลง ด้วยเด็กน้อยเป็นหลานชายสุดที่รักของเธอ อีกทั้งในบรรดาหลานๆ เด็กน้อยนั่นเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นเด็กชาย

จิตใจของผู้เข้าฟังคำตัดสินในคดี ทุกคนรู้สึกตึงเครียด หรือว่า หญิงชราต้องการเรียกร้องอื่นๆอีก คนงานคนนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว จะแบกรับอีกไหวหรือ ?

หญิงชราเดินช้าๆ ไปที่คอกจำเลย เธอยืนเผชิญหน้ากับจำเลย ทุกคนต่างมองเห็น ปากของเธอขยับขึ้นลง ภายในห้องโถงเงียบกริบ ไม่มีใครสามารถคาดเดาว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ทันใดนั้น หญิงชราได้โค้งคำนับต่อคนงานผู้เป็นจำเลย 3ครั้ง ทุกคนต่างพากันตะลึง รวมทั้งเถ้าแก่ที่อยู่ในคอกสำหรับโจทก์ เขาไม่เข้าใจว่า แม่ของเขากำลังคิดจะทำอะไร?

หญิงชราที่เส้นผมขาวโพลนขึ้นเงยหน้าน้ำตานองเต็มหน้า สักครู่ เธอพูดอย่างช้าๆว่า

"เด็กเอ๋ย คำนับที่หนึ่ง ฉันขอโทษแทนลูกชายฉัน เป็นเพราะฉันอบรมสั่งสอนไม่ดี ปล่อยให้เขาทำเรื่องที่ผิดต่อเธอ ผู้ที่สมควรถูกตัดสินลงโทษ ไม่ควรจะเป็นเธอเพียงผู้เดียว ต้องรวมถึงลูกชายของฉันด้วย เขานั่นแหละที่เป็นต้นเหตุก่อเกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมา"

"คำนับที่สอง ฉันขออภัยคนในครอบครัวของเธอ ลูกชายฉันไม่เพียงแต่กระทำผิดต่อเธอ ยังทำผิดต่อคนในครอบครัวของเธอด้วย ฉันผู้เป็นแม่ละอายใจจริงๆ”

“และคำนับที่สาม ฉันขอบใจเธอ ที่ไม่ได้ทำร้ายหลานชายฉัน ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาเกิดรอยมลทิน เธอมีจิตใจที่ดีงาม เด็กเอ๋ย เธอเทียบกับลูกชายฉันแล้ว เหนือกว่าเป็นร้อยเท่า"

คำพูดของหญิงชรา ทำให้ผู้ฟังทั้งหมดตื้นตัน นี่เป็นคุณแม่ที่ประเสริฐ เข้าใจหลักคุณธรรมยิ่งนัก ส่วนคนงานคนนั้น ร่ำไห้ออกมาเสียงดัง ด้วยความซาบซึ้ง และสำนึกผิด

บทจบของเรื่องราว ก็คือ ลูกชายของหญิงชรา ไม่เพียงแต่จ่ายค่าแรงคนงานครบถ้วน ยังไปรับคุณแม่และน้องสาวของคนงานเข้ามาในเมือง เพื่อทำการรักษาอาการป่วยไข้ต่อไป

เป็นเพราะการให้อภัยคนงานของหญิงชรา ความมีคุณธรรมของเธอ ได้ช่วยปลุกจิตวิญญานของลูกชายตนเอง ให้ตื่นจากความชั่วร้าย

เธอใช้วิธีการโค้งคำนับ3ครั้ง ไม่เพียงแต่โค้งให้คนงานเท่านั้น ยังเป็นการแสดงให้เห็นการรู้จักคุณธรรม ย้ำเตือนใจของลูกชายของตนว่า ไม่ควรกระทำเรื่องราวใดๆ ที่น่าละอายใจ ขัดต่อจิตสำนึกของตนเอง

ไม่ว่า คนเราจะเลือกเดินทางในชีวิตเช่นไร อันดับแรก ที่ต้องคำนึงถึงคือ คุณธรรม ละอายแก่ใจตนเอง ไม่ขัดต่อศีลธรรม อย่างน้อย ก็ไม่ควรกระทำเรื่องให้ผู้เป็นแม่ต้องโศกเศร้าเสียใจ ละอายใจ ถึงกับต้องก้มขออภัยแทนตัวเราเอง
---------

สรุปย่อบทความแปลจากบทความจีนของ 施淑珍
เรื่อง “อย่าปล่อยให้คนชราหัวขาวโพลน ต้องก้มหัวลงเพราะเรา”
สำเนาจาก : Niwat Run.
ภาพประกอบจากเว็บ ‭th.pngtree.com‬
ตอบกลับโพส