โธมัสอัครสาวกผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 11, 2019 8:15 pm

โธมัสอัครสาวกผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ

ผิดหรือที่สงสัย ผิดไหมถ้าพิสูจน์

ความเชื่อ หรือความศรัทธา ดูจะเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ถูกพร่ำสอนในคริสตศาสนา และบางคนที่มีอคติ ก็ชอบสบประมาทดูถูกศาสนาคริสต์กล่าวหาว่า การสอนให้เชื่อหรือศรัทธา ทำให้คนงมงายไม่ใช้เหตุผล ทั้งที่จริงศาสนาคริสต์ไม่เคยห้ามการสงสัย และไม่เคยกลัวการพิสูจน์ โดยเฉพาะหนึ่งในอัครสาวกของพระเยซู ผู้เป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆอย่าง โธมัส ซึ่งความสงสัยของท่าน นำสู่การพิสูจน์ และประกาศความเชื่อที่สำคัญในพระคัมภีร์ และเป็นอัครสาวกผู้นำความศรัทธาในพระเยซูไปเผยแผ่ไกลถึงอินเดีย

“จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น” (1 เธสะโลนิกา 5:21)

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ชื่อของ โธมัสอัครสาวก ชัดเด่นขึ้นในพระคัมภีร์ คือเหตุการณ์ เมื่อพระเยซูกลับคืนชีพ และกลับมาพบเหล่าสาวกที่พากันหลบในห้องเพราะหวาดกลัวพวกยิวจะจับไปฆ่าแบบพระเยซู โธมัสนั้นพลาดโอกาส พบพระเยซูในครั้งแรก ขนาดบรรดาเพื่อนๆยืนยันว่า พบพระเยซูแล้วจริงๆ เขาก็ยังไม่เชื่อและพูดว่า

ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย (ยอห์น 20:25)

หลังจากนั้น8วัน พระเยซูปรากฎกายกับพวกอัครสาวกอีกครั้ง คราวนี้โธมัสอยู้ด้วย พระองค์พูดกับโธมัสทันทีว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ”

พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนว่าโธมัสลองแยงนิ้วดูตามที่พูดไหม แต่เขาประกาศความเชื่อทันทีว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า”

พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”

----------------------------------------

เรื่องราวนี้ทำให้มีวลี “โธมัสขี้สงสัย” (Doubting Thomas) จนบางคนเข้าใจไปว่า ความสงสัยนั้นผิด ความเชื่อโดยไม่สงสัยจึงจะดี แต่หากเราตระหนักความจริงต่างๆเหล่านี้เราจะรู้ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นเลย

1 พระเยซูเลือกอัครสาวก12คนด้วยตนเอง และทรงทราบว่าใครมีนิสัยอย่างไร และนิสัยการขอพิสูจน์ก่อนเชื่อของโธมัสก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการเป็นอัครสาวกของพระองค์เลย
2พระเยซูไม่ได้ตำหนิโธมัสเลย ตรงข้าม เป็นความเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ พระองค์เข้าใจว่าเรื่องนี้มันเหลือเชื่อ พระองค์เรียกเขาเข้ามาพิสูจน์ให้พอใจจะได้หายสงสัย คำว่า "อย่าสงสัยเลยแต่จงเชื่อ" ไม่ใช่การดุว่า แต่เป็นการปลอบประโลมจิตใจอันสับสนของเขา ให้เกิดสันติสุข เหมือนกับพ่อที่บอกกับลูกที่จำพ่อไม่ได้ว่า "นี่พ่อเองนะลูก"
3เมื่อพระเยซูพูดว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” พระองค์ไม่ได้ตำหนิหรือประณามความสงสัยโธมัสเลย แต่พระองค์สงสารคนแบบโธมัส เพราคนแบบเขานั้นที่ต้องพิสูจน์ทุกอย่างก่อน ย่อมจะทุกข์และเครียดจากความกังวลสับสนเป็นเวลานาน

ยิ่งไปกว่านั้น นับจากนี้ เหล่าอัครสาวก จะต้องไปประกาศประสบการณ์ชีวิตที่พวกเขาเห็นให้คนอื่นที่ไม่เคยเจอพระเยซูตัวเป็นๆแบบพวกเขาให้มีความเชื่อ นับจากนี้ผู้คนอื่นๆจะรับเชื่อจากคำบอกเล่าของเหล่าสาวกแม้ไม่ได้เห็นพระเยซู ดังนั้นหากใครพูดแบบโธมัสว่า ขอเห็นก่อนถึงเชื่อ เขาอาจต้องรอนานกว่า8วัน หรืออาจทั้งชีวิต ดังนั้นการพิสูจน์เรื่องพระเยซูจากนี้จึงไม่ใช่จาก"การเห็น"พระเยซูปรากฎกายอีก แต่คือจากชีวิตของเหล่าผู้ประกาศความเชื่อนั้นเอง พระองค์จึงพูดประโยคนี้ไม่ใช่ด้วยเจตนาจะกล่าวโทษโธมัสเลย

ความสงสัยที่แท้จริง ย่อมนำสู่การพิสูจน์ความจริง และการพิสูจน์นำสู่การค้นพบความจริง และพระเจ้าพึงพอใจผู้แสวงหาพระองค์เสมอ

“เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์29:13พระคัมภีร์ในสาระบบหลักบันทึกเรื่องราวของโธมัสไว้เท่านี้ แต่ในธรรมประเพณี และหนังสือนอกสาระบบของคริสตจักรออโธดอกซ์ มีการบันทึกเรื่องราวของ โธมัสผู้นี้อีกคราวนี้ในเหตุการณ์ขึ้นสู่สวรรค์ของมารีย์มารดาของพระคริสต์ และคราวนี้อีกเช่นเคย โธมัสผู้ไปเผยแผ่ความศรัทธาในพระเยซูของเขาไกลถึงอินเดีย เดินทางกลับมาไม่ทันในเวลาที่มารีย์ ผู้เป็นมารดาของเหล่าศิษย์ที่พระเยซูทรงรักได้จากไป เขามาช้าไปสามวัน และเขายังคงเป็นโธมัสคนเดิม ผู้ขอไปให้สุดในทุกสิ่ง เขาได้ขอไปยังคูหาที่ฝังศพของพระมารดา เพื่อจะได้เห็นร่างที่ไร้ชีวิตนั้นว่า แม่พระจากพวกเขาไปแล้วจริงๆ แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเพราะคูหานั้นว่างเปล่า และพระมารดาพระเจ้าก็เอ็นดูเขาเหมือนที่พระเยซูเอ็นดูเขา แม่ไม่อยากเห็นเขาต้องทุกข์กับความกังวลและสับสนเช่นเคย แม่พระที่กำลังถูกเหล่าทูตสวรรค์ยกขึ้นสู่สวรรค์ ได้ถอดผ้าคาดเอวของตนแล้วหย่อนลงมาให้โธมัส เขาได้เงยหน้าและได้เห็นการถูกยกขึ้นสวรรค์ของพระมารดา และเขาก็มีหลักฐานยืนยันให้อัครสาวกคนอื่นได้เชื่อคือผ้าคาดเอวของแม่พระที่เหลืออยู่

หากเปโตร ต้องพูดว่า "รักพระเยซู" สามครั้ง เพื่อแก้การปฏิเสธพระองค์สามครั้ง โธมัส ก็ได้แก้ตัวเป็น โธมัสผู้พิสูจน์ความจริงแทนโธมัสขี้สงสัย

โธมัสกลับไปประกาศความเชื่อเรื่องพระเยซูที่อินเดีย อย่างกล้าหาญและเป็นมรณสักขีราว ค.ศ. 72 ใกล้เมืองเชนไนในประเทศอินเดีย ศรัทธาที่แรงกล้าของคนที่พิสูจน์ก่อนเชื่อก็ พิสูจน์ด้วยชีวิตของท่านเองว่า ศรัทธา กล้าหาญ เข้มแข็งไม่แพ้ใครดังที่ท่านเคยประกาศไว้ต่อหน้าเพื่อนอัครสาวกว่า

“ให้เราไปด้วยกันกับพระองค์เพื่อจะได้ตายกับพระองค์”(ยอห์น 11:16)

พระธาตุผ้าคาดเอวของแม่พระนี้ อยู่กับพระธาตุ(ศพ)ของนักบุญโธมัสที่อินเดีย จนคศ.394 พระธาตผ้าคาดเอวของแม่พระถูกย้ายไปเก็บรักษาที่โบสถ์แม่พระแห่งผ้าคาดเอวศักดิ์สิทธิ์(Saint Mary Church of the Holy Belt)ในซีเรีย ปัจจุบัน เป็นพระธาตุที่สำคัญชิ้นหนึ่งในพระศาสนจักร ออโธดอกซ์

cr. www.facebook.com/holysmn
ตอบกลับโพส