หนูน้อยจิมมี่

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ เม.ย. 05, 2019 10:00 am

.............. หนูน้อยจิมมี่............

นางแซลลี่ถึงกับกระโดดตัวลอย เมื่อเห็นศัลยแพทย์เดินออกมาจากห้องผ่าตัด เธอยิงคำถามทันทีว่า“ ลูกชายฉันเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะหายเป็นปกติไหมดิฉันจะเข้าไปเยี่ยมได้เมื่อไร "---ศัลยแพทย์ตอบว่า“ ผมเสียใจที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า พวกเราทำเต็มที่แล้ว แต่เขาไม่ตอบสนองเลย"---แซลลี่พึมพำขึ้นว่า“ เด็กเล็ก ๆ ไม่น่าจะเป็นมะเร็งเลยพระเป็นเจ้าไม่ทรงสนพระทัยดูแลเด็กเล็ก ๆ แล้วหรือ พระองค์เสด็จไปที่ไหนหรือ ขณะที่ลูกน้อยของฉันกำลังต้องการพระองค์”

ศัลยแพทย์ถามขึ้นว่า“ คุณอยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกของคุณ สักครู่หนึ่งไหมครับ เพราะตอนนี้เหลือนางพยาบาลเฝ้าลูกคุณอยู่คนเดียว และอีกไม่นานทางโรงพยาบาลก็จะส่งลูกชายคุณไปที่มหาวิทยาลัยแล้ว” เธอตอบตกลงและเข้าไปในห้อง ที่มีร่างปราศจากชีวิตของลูก เธอลูบผมที่เป็นลอนสีแดงของลูกชายด้วยความอาลัยรัก นางพยาบาลถามเธอว่า“ คุณอยากจะเก็บผมไว้สักปอยหนึ่งไหมคะ "
แซลลี่ผงกศีรษะเป็นเชิงตกลง จากนั้นนางพยาบาลก็บรรจงใช้กรรไกรตัดผมปอยหนึ่งของหนูน้อยใส่ถุงพลาสติก และส่งให้
กับแซลลี่

แซลลี่รับซองที่มีผมของลูก พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ เป็นความคิดของ
จิมมี่เอง ที่จะบริจาคร่างให้กับมหาวิทยาลัย เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแกบอกว่า คนอื่นอาจได้ประโยชน์ไม่น้อยจากร่างของแก ตอนแรกดิฉันไม่เห็นด้วย แต่แกให้เหตุผลตามมาว่า“ แม่ครับเมื่อผมตายไปแล้วผมก็จะไม่ใช้ร่างกายของผมอีกต่อไป แต่อาจมีเด็กอื่นบางคน สามารถใช้อวัยวะบางอย่างของผมได้นะครับ" แกเป็นเด็กที่มีจิตใจดีทีเดียว ไม่เห็นแก่ตัว และคิดช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ

ครู่ต่อมาแซลลี่ก็ออกจากโรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ใช้เวลาเกือบเดือนเต็มเข้าออกโรงพยาบาลนี้แทบทุกวันเธอเก็บซองใส่ผมของจิมมี่ไว้ในกระเป๋าถือ และรู้สึกใจลอยขณะขับรถกลับบ้าน เธอรู้สึกทำใจยากยิ่งขึ้น เมื่อก้าวเข้าไปในบ้านที่ว่างเปล่า เธอนำข้าวของของลูก และซองใส่ผมไปที่ห้องของจิมมี่ จัดเรียงรถของเล่นรุ่นต่าง ๆ และของใช้ส่วนตัวของลูก ไว้อย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียง และสะอึกสะอื้น นอนกอดหมอนของลูก ก่อนจะหลับไปในที่สุด เธอตื่นขึ้นราวเที่ยงคืน และสังเกตเห็นกระดาษพับอยู่แผ่นหนึ่ง เมื่อคลื่ออกก็พบว่า เป็นจดหมายของจิมมี่ ในจดหมายเขียนว่า
“ คุณแม่ที่รักครับ
ผมรู้ว่าแม่จะต้องคิดถึงผม แต่แม่ก็ต้องทราบด้วยนะครับว่า แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่เคียงข้างแม่และพูดว่า“ ผมรักแม่ แต่ไม่มีวันที่ผมจะลืมแม่หรือหยุดรักแม่อย่างแน่นอน มีแต่ผมจะรักแม่เพิ่มมากขึ้น ทุกวันเวลาสักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก ก่อนจะถึงวันนั้นหากแม่อยากจะอุปการะเด็กสักคนแทนผม ผมก็จะไม่ว่าอะไรเลย ดีเสียอีกที่แม่จะได้ไม่รู้สึกว้าเหว่ที่ต้องอยู่คนเดียวผมอยากให้เด็กคนที่แม่จะอุปการะ ใช้ห้องและของเล่นที่ผมสะสมไว้ แต่หากเด็กที่แม่จะอุปการะเป็นเด็กหญิงเธออาจไม่เล่นของเล่นของผมก็ได้นะครับ ถ้าเช่นนั้นแม่ก็ซื้อตุ๊กตาและของเล่นที่เด็กผู้หญิงชอบเล่นกันก็ดีเหมือนกันครับ

คุณแม่ไม่ต้องคิดถึงผมมากนักก็ได้ เพราะที่ผมอยู่เบื้องบนนี้ เป็นบริเวณที่สวยงามที่สุดและกว้างใหญ่ไพศาลผมมีคุณปู่คุณย่ามารอรับ ท่านพาผมไปตามสถานที่สวยสดงดงามมากหลาย คงจะต้องใช้เวลานานมากทีเดียว กว่าไปทั่ว เหล่านิกรเทวดาก็แสนใจด ีผมชอบเฝ้ามองเวลาที่พวกเขาบินฉวัดเฉวียนไปมาและคุณแม่ทราบไหมครับว่า พระเยซูเจ้าดูแล้วไม่เหมือนกับในรูป ที่เราเห็นกันเลย แต่พอผมเห็นพระองค์แต่ไกลผมก็รู้ทันทีว่านั่นคือพระองค์จริง ๆ และก็เป็นพระเยซูที่ทรงอุ้มลูกไปหาพระบิดา! แล้วอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นหรือคุณแม่ทราบไหมครับ ... พระบิดาทรงอุ้มผมไปนั่งตัก ผมคุยกับพระองค์ราวกับผมเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งทีเดียว! ผมพูดกับพระบิดาว่าผมอยากจะเขียนจดหมายหาแม่ เป็นจดหมายบอกลาและเรื่องต่าง ๆ เช่นที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ ผมบอกพระองค์ว่า สิ่งที่ผม ขอคงเป็นไปไม่ได้ แต่คุณแม่ทราบไหมครับว่าพระองค์ทรงทำอะไรต่อพระองค์ทรงยื่นกระดาษพร้อมกับส่งปากกาส่วนพระองค์ให้ผมยืมเขียนจดหมายฉบับนี้ ผมคิดว่าคงเป็นอัครเทวดาที่มีชื่อว่ากาเบรียล” เป็นผู้นำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้คุณแม่

พระบิดาตรัสกับผมว่าจดหมายฉบับนี้คือหนึ่งในคำตอบ ที่คุณแม่ถามพระองค์ เมื่อตอนที่คุณแม่พึมพำเป็นคำถามว่า“ พระองค์เสด็จไปที่ไหนหรือ ขณะที่ลูกกำลังต้องการพระองค์พระองค์ตรัสตอบแล้วครับว่า พระองค์ประทับอยู่ในที่ที่ผมอยู่ เช่นเดียวกับประทับอยู่กับพระเยซูเจ้า ขณะที่ทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นแหละขณะเดียวกันก็ประทับอยู่ตลอดเวลา กับลูกทุกคนของพระองค์ด้วย

อ้อผมเกือบลืมบอกแม่ไปนะครับว่า จดหมายที่ผมเขียนฉบับนี้ มีแต่คุณแม่คนเดียวเท่านั้น ที่จะอ่านเห็นได้ เพราะสำหรับคนอื่นจดหมายฉบับนี้ เป็นเพียงกระดาษเปล่าเท่านั้นเจ๋งไหมล่ะครับ? เอาละครับได้เวลาที่ผม ต้องส่งปากกาคืนพระบิดาแล้วเพราะพระองค์ทรงกำลังต้องการใช้จดบันทึกชื่อผู้คนอีกหลายคน ในหนังสือแห่งชีวิต” ค่ำนี้ผมจะได้นั่งโต๊ะกินข้าวร่วมกับพระเยซูอาหารจะต้องเลิศรสอย่างแน่นอน

เกือบลืมไปอีกจนได้ คุณแม่ครับ ตอนนี้ผมไม่เจ็บปวดอีกแล้ว มะเร็งกลายเป็นอดีต ผมดีใจที่มันจากไปในที่สุด เพราะตอนนั้นผมทนไม่ไหวจริง ๆ พระเป็นเจ้าก็ทรงทนไม่ได้เช่นกัน ที่เห็นผมทนเจ็บปวดอย่างสุดประมาณ และก็เป็นเสี้ยวเวลานั้นเอง ที่พระองค์ทรงส่งเทวดาแห่งพระเมตตา มารับตัวผมไปในฐานะแขกพิเศษครับ
รักจากพระเป็นเจ้า, พระเยซูและลูกจิมมี่ ”

*****************

แปลและเรียบเรียง โดยกอบกิจ ครุวรรณ
ตอบกลับโพส