ทำไมคริสตชนไทยต้องอ่านพระคัมภร์เดิม?

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 15, 2019 11:05 am

ทำไมคริสตชนไทยจึงต้องอ่านพระคัมภีร์เดิม?
เขียนโดย โดย ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย | ฮิต: 496
พระคัมภีร์เดิมเป็นของคนยิวพวกเดียวหรือเป็นของคริสตชนด้วย

ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่า พระคัมภีร์เดิม เป็นพระคัมภีร์ของคนยิวพวกเดียว เราเป็นคริสตชน เราได้รับความรอดแล้ว เราไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมอีกต่อไป เราอ่านแต่พระคัมภีร์ใหม่ก็พอ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง พระคัมภีร์ของคริสตชนนั้นประกอบด้วยพระคัมภีร์เดิมและใหม่ เมื่อคริสตชนพูดถึงพระคัมภีร์หมายถึงพระคัมภีร์เดิมและใหม่

ในสมัยของพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงกล่าวถึงพระคัมภีร์ พระองค์หมายถึงพระคัมภีร์เดิม เพราะในสมัยของพระองค์ พระคัมภีร์ใหม่ยังไม่ได้เกิดขึ้น พระเยซูได้อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์นั้น แท้ที่จริงเป็นพระสัญญาของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ได้ปรากฏกับสาวกของพระองค์หลายครั้ง ครั้งหนึ่งได้ปรากฏขณะที่พวกเขากำลังประชุมอยู่

พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราบอกไว้กับท่านทั้งหลายขณะที่เรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาถ้อยคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ”แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สามและจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์เรื่องการกลับใจใหม่ เพื่อการยกบาป โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม” ( ลูกา 24:44-47)

พระเยซูคริสต์ทรงอ้างพระคัมภีร์เดิมครบทั้งสามหมวด คือหมวดธรรมบัญญัติ หมวดผู้เผยพระวจนะ และหมวดเพลงสดุดีหรือหมวดข้อเขียน ซึ่งวิธีการแบ่งหมวดที่พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวถึงนี้เป็นการแบ่งหมวดตามการแบ่งหมวดของคนยิว พระองค์ได้ย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์นั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม และเป็นสิ่งที่จะต้องประกาศไปทั่วโลก ดังนั้น หากเราไม่อ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะไม่มีเนื้อหาที่จะประกาศเรื่องราวในพระคัมภีร์ใหม่ไม่ใช่เรื่องแต่ง
ในสมัยคริสตจักรยุคแรกอัครสาวกเปโตรถูกกล่าวหาว่าเอาเรื่องนิยายมาเล่าให้ฟัง ท่านจึงได้ตอบโต้ว่า

“เพราะว่าเราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เมื่อเราได้ประกาศให้พวกท่านทราบถึงฤทธานุภาพ และการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย แต่เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์เพราะว่าคราวเมื่อพระองค์ทรงได้รับพระเกียรติและพระสิริจากพระเจ้าพระบิดา และพระสุรเสียงจากพระสิริอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเราและเป็นที่รักของเรา เราพอใจท่านผู้นี้มาก”พวกเราเองก็ได้ยินพระสุรเสียงนี้จากสวรรค์ ขณะที่เราอยู่กับพระองค์ที่ภูเขาบริสุทธิ์นั้นและเรามีคำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าพวกท่านจะเอาใจใส่คำนั้น เพราะคำนั้นเป็นเสมือนตะเกียงที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวรุ่งจะผุดขึ้นในใจของพวกท่านท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์เลย แต่มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา (2 เปโตร 1:16-21)

เมื่อเราอ่านพระธรรมตอนนี้ เราจะพบว่าอัครสาวกเปโตรได้แก้ข้อหา 2 ประเด็นใหญ่เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นทั้งในสมัยของผู้เขียนและสมัยของเราในปัจจุบัน พวกที่ต่อต้านคำสอนของคริสตชนได้กล่าวหาว่า ความเชื่อเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด และความเชื่อเรื่องนี้เกิดจากการตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะผิดไป แต่อัครสาวกเปโตรได้โต้แย้งว่า ความเชื่อนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนนิยาย แต่ตั้งอยู่บนสักขีพยานซึ่งตัวท่านเปโตรและอัครสาวกอีก 2 คนได้เห็นพระเยซูคริสต์ตอนที่พระองค์ทรงจำแลงพระกาย และพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงจากฟ้าด้วย อัครสาวกเปโตรถือว่าการจำแลงพระกายของพระคริสต์นั้นเป็นการเปิดเผยถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพราะขณะที่ท่านอยู่บนภูเขาตอนที่ท่านเห็นพระเยซูทรงจำแลงพระกาย ท่านเองได้ยินพระสุรเสียงจากพระเจ้ายืนยันว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า การเชื่อมโยงเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูกับการจำแลงพระกายนี้ก็ปรากฏในพระคัมภีร์ตอนอื่นด้วยคือ ในพระธรรมมาระโก 8:38-9:8

นอกจากนี้ประโยคที่อัครสาวกเปโตรได้ยินนั้นเป็นประโยคที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระธรรมสดุดี 2:7ที่บันทึกว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว” ท่านได้ตีความหมายพระคัมภีร์ตอนนี้ว่าเป็นการเผยพระวจนะถึงพระเยซูคริสต์ และได้อ้างว่าการตีความของท่านนั้นได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่อ้างถึงพระคัมภีร์ พวกเขาหมายถึงพระคัมภีร์เดิม เพราะในสมัยของพวกเขายังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ พวกที่ต่อต้านความเชื่อนี้กล่าวหาว่า ความคิดนี้มาจากความคิดของมนุษย์ แต่อัครสาวกเปโตรโต้แย้งว่า ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมนั้นได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก่อนแล้วว่ามาจากพระเจ้าโดยตรง แสดงว่าผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่นั้นมีความมั่นใจในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เดิม สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ใหม่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์เดิม

การเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมมีทั้งที่สำเร็จแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ และยังไม่สำเร็จ
หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าคำเผยพระวจนะที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิมนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้ว และเสนอว่าเราไม่จำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมอีกแล้ว คำเผยพระวจนะหลายอย่างที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จในสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้วก็จริง เช่น เรื่องการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ แต่ก็ยังมีคำเผยพระวจนะอีกหลายตอนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิมที่ยังไม่สำเร็จ เช่น เรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์

หากเราพิจารณาคำเผยพระวจนะในพระธรรมวิวรณ์ซึ่งมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้น ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ได้ถูกกล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมอยู่แล้ว เช่น ในวิวรณ์ 21:24-25 ได้กล่าวถึงว่านครเยรูซาเล็มใหม่ จะไม่ต้องมีการปิดประตูทั้งกลางวันและกลางคืนเพราะประชาชาติต่างๆ จะเดินโดยอาศัยแสงสว่างจากนครนั้น และกษัตริย์ทั้งหลายในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้าในนครนั้น และคำเผยพระวจนะในลักษณะนี้ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในอิสยาห์ 60:11 ความว่า

“บรรดาประตูเมืองของเจ้าจะเปิดอยู่เสมอ

มันจะไม่ถูกปิดทั้งกลางวันและกลางคืน

เพื่อคนจะนำความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติมายังเจ้า

และบรรดาพระราชาของเขาจะถูกนำให้เข้าร่วมขบวน”

ในพระธรรมวิวรณ์ 22:1 ได้มีการบรรยายว่า ท่านยอห์นได้เห็นแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต ไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า ในทำนองเดียวกันท่านเอเสเคียลได้เผยพระวจนะในพระธรรมเอเสเคียล 47:1 ว่า พระนิเวศหลังใหม่จะมีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระนิเวศ และยิ่งกว่านั้นน้ำนี้จะไหลไปยังทะเลตาย (ดูพระธรรมเอเสเคียล 47:8 ที่กล่าวถึงอารบาห์) และทำให้เกิดสิ่งมีชิวิตขึ้นมามากมาย ซึ่งในปัจจุบันนี้เราก็รู้ว่า ไม่มีปลาอยู่ในทะเลตายเลย เพราะความเค็มของน้ำนั้นเค็มมาก ปลาอยู่ไม่ได้ แต่คำเผยพระวจนะนี้กลับบอกว่าจะมีปลามากมาย ซึ่งปัจจุบันนี้เหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ในพระธรรมเอเสเคียล 47:12 ยังบันทึกว่า ตามสองฝั่งของแม่น้ำจะมีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหารปลูกไว้ ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ ทุกเดือน ซึ่งคำเผยพระวจนะนี้สอดคล้องกับที่บันทึกไว้ในพระธรรมวิวรณ์ 22:2ดังนั้นเราจะเห็นว่าคำเผยพระวจนะที่ยังไม่สำเร็จในพระคัมภีร์เดิม ถูกนำมาเผยซ้ำในพระคัมภีร์ใหม่ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนั้น ในพระธรรมวิวรณ์ 22:2 ยังได้กล่าวถึงต้นไม้แห่งชีวิตที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในพระธรรมปฐมกาล 2:9และไม่ได้ถูกกล่าวถึงอีกเลย เพราะเมื่อมนุษย์คู่แรกทำบาป ก็ไม่ได้มีโอกาสกินผลจากต้นไม้นี้เลย จนกว่าจะได้กินในอนาคต

ดังนั้น คำเผยพระวจนะหรือคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวอ้างในพระคัมภีร์ใหม่ และยังรอคอยเวลาที่จะสำเร็จครบถ้วนในอนาคต เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า เนื้อหาของพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่มีความเกี่ยวข้องกัน และยังต่อเนื่องกันอีกด้วย พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้มาแทนที่พระคัมภีร์เดิม เราจึงยังคงต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมต่อไป

พระเยซูอ้างอิงพระคัมภีร์เดิมเมื่อพระองค์ทรงสอน
เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนประชาชนอิสราเอล พระองค์มักจะอ้างคำสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม เช่น เมื่อพวกฟาริสีมาสอบถามพระองค์เรื่องการหย่าร้าง (พระธรรมมัทธิว 19:3-6)พระองค์ก็ได้อ้างพระธรรม 2 ตอนในปฐมกาล (พระธรรมปฐมกาล 1:27 และ 2:24) มาอธิบายให้พวกเขาฟังการอ้างพระธรรมทั้งสองตอนนี้

พระองค์อ้างสิทธิอำนาจของพระธรรมทั้งสองตอนนี้ ด้วยการอ้างพระธรรมทั้งสองข้อนี้ พระเยซูทรงปฏิเสธการตีความหมายของคนยิวบางกลุ่มที่อ้างว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้มีการหย่าร้าง แต่มีกรณียกเว้นคือ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ซื่อสัตย์ หรือทำผิดประเวณี ซึ่งโดยหลักการแล้วเป็นการล้มเลิกการแต่งงานไป พระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้มีการหย่า (พระธรรมมัทธิว 5:32) พระองค์ยังคงอ้างพระธรรมในพระคัมภีร์เดิมอีกหลายเล่ม เช่น พระองค์อ้างพระธรรมอพยพ 16:4, 5 ในพระธรรมยอห์น 6:13ทรงอ้างพระธรรมเลวีนิติ 20:9ในพระธรรมมาระโก 7:10 ทรงอ้างพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติถึง 3 ครั้งเมื่อถูกมารทดลอง ดูพระธรรมมัทธิว 4:4, 7, 10 ซึ่งอ้างพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3; 6:16; 6:13

พระธรรมสดุดีเป็นพระธรรมอีกเล่มหนึ่งที่ถูกกล่าวอ้างโดยพระคัมภีร์ใหม่บ่อยมาก และเป็นเล่มที่พระเยซูโปรดปรานเล่มหนึ่ง ตัวอย่างเช่นในพระธรรมมัทธิว 21:42

พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือ ที่ว่า

‘ศิลาที่บรรดาช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว

กลับกลายเป็นศิลามุมเอก

สิ่งนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

เป็นสิ่งอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา’ (อ้างอิงมาจากพระธรรมสดุดี 118:22-23)

ดังนั้น เราไม่ควรมองข้ามความสำคัญของพระคัมภีร์เดิม เพราะแม้แต่พระเยซูคริสต์เองยังทรงให้ความสำคัญต่อพระคัมภีร์เดิมอย่างมาก

พยานหลักฐานจากหนังสือม้วนทะเลตาย
Norman L. Geisler [Baker Encyclopedia of Christian Apologetics, Baker Reference Library (Grand Rapids, MI: Baker Books, 1999)หน้า 187]ผู้เขียนบทความเรื่อง หนังสือม้วนทะเลตายได้สรุปให้เราเห็นว่าการค้นพบหนังสือม้วนทะเลตายนั้นยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรู เพราะพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูซึ่งคัดลอกต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนานกว่าพันปีนั้นมีข้อผิดพลาดน้อยมาก เมื่อมีการเปรียบเทียบพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายซึ่งเป็นเอกสารโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี (ปี 100 ก่อน ค.ศ.) กับพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรูโบราณที่คัดลอกต่อเนื่องกันมาซึ่งมีอายุห่างกันประมาณ 1,000 ปี (ค.ศ. 900) แล้วพบว่ามีความแตกต่างกันน้อยมาก

เราแน่ใจได้ว่าข้อความในพระคัมภีร์เดิมที่ถูกอ้างอิงโดยพระคัมภีร์ใหม่นั้น ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่อย่างแน่นอน เพราะพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายนั้นปรากฏอยู่ก่อนพระคัมภีร์ใหม่ประมาณเกือบ 200 ปี นั่นคือส่วนที่เป็นคำเผยพระวจนะหรือคำพยากรณ์นั้นไม่ใช่เขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นข้อความเดิมที่ถูกกล่าวไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานานก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น

ก่อนจะมีการบันทึกพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เดิมก็ได้ถูกแปลจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีกซึ่งถูกเรียกว่า ฉบับเซปทัวจินต์ (LXX) เพราะในเวลานั้นภาษากรีกเป็นภาษาสากล และคนยิวจำนวนมากอ่านภาษาฮีบรูไม่ได้ ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่เมื่อจะอ้างอิงพระคัมภีร์เดิมนั้นมักจะอ้างจากพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีก ดังนั้นความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์
ตอบกลับโพส