จากพระเจ้าผู้แตะต้องไม่ได้ สู่ พระเยซูผู้แตะต้องได้

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 18, 2019 5:47 pm

จากพระเจ้าผู้แตะต้องไม่ได้ สู่ พระเยซูผู้แตะต้องได้

ในพระธรรมเดิม เราพบคำสอน และกฎเกณฑ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์มากมายเกี่ยวกับพระเจ้า ในความบริสุทธิ์สูงส่งนั้นมีกฎสำคัญอันหนึ่งเขียนกระจายเต็มไปหมดในพระธรรมเดิมนั่นคือพระเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนั้น ห้ามแตะต้อง โดยคนที่มีมลทิน หรือไม่มีมลทินแต่ไม่บริสุทธิ์พอ

ไม่ว่าจะเป็นพระวิหารชั้นใน ข้าวของต่างๆในพระวิหารที่ห้ามใครแตะนอกจากเหล่าสมณะ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามเข้าใกล้ใครเข้าใกล้ต้องถูกหินทุ่ม หีบพันธสัญญาที่ห้ามคนอื่นแตะนอกจากสมณะ(แถมมีเรื่องเล่าที่คนปรารถนาดีมาช่วยจับกลัวมันจะหล่น เกิดตายไปเพราะฝ่าฝืนไปจับเพราะหวังดีก็ตาม) หญิงมีประจำเดือนที่ห้ามเข้าเขตวิหารจนกว่าจะหมดประจำเดือนและชำระตัว คนยิวเองที่จะไม่เข้าบ้านคนต่างชาติ หรือไม่ให้คนมีมลทินชั่วช้ามาแตะต้องร่างกายอันบริสุทธิ์ของตน อันทำให้ชาวยิวมีลักษณะและบุคลิคของการรังเกียจคนอื่น และเหยียดหยามคนอื่น ในลักษณะ เหยียดเชื้อชาติ เหยียดศาสนา เหยียดเพศ ฯลฯ ที่ทำเป็นเรื่องปกติจนกลายเป็นความดีงามที่พึงปฏิบัติไปเลย

แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในโลก พระองค์เองทรงเป็นพระเจ้า และทรงรื้อทำลายวิธีคิดและวิธีปฏิบัติแบบเดิมๆ กลายเป็น "พระเจ้าที่ทุกคนสัมผัสจับต้องได้" และไม่เคยกีดกันหรือรังเกียจใครในการเข้าหาพระองค์เลย มีหลายเหตุการณ์ที่แสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้

-หญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ- พระเยซูทรงพบปะพูดคุยกับหญิงสะมาเรียซึ่งเป็นชนชาติลูกครึ่งยิวกับชนชาติอื่นจึงโดนยิวรังเกียจและไม่ให้ทำพิธีในพระวิหาร ชาวสะมาเรียจึงไปทำพิธีบนภูเขาของตัวเอง และชาวยิวรังเกียจไม่คบสะมาเรียโดยหาว่ามีความเชื่อผิดเพี้ยนไปจากตน ไม่บริสุทธิ์แม้จะเชื่อพระเจ้าเดียวกันก็ตาม พระเยซูกลับคุยกับเธอขอน้ำดื่มจากเธอจนเธองุนงง และยังบอกอีกว่า การนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องในอนาคต ไม่ใช่ต้องเป็นที่พระวิหารที่มีระเบียบกีดกันสะมาเรีย และไม่ใช่ด้วยศาลาธรรมของสะมาเรียเอง แต่จะเป็นด้วยจิตวิญญาณและความจริง

-หญิงตกโลหิต12ปี- หญิงเป็นโรคตกโลหิตหมดสิทธิ์เข้าพระวิหาร เนื่องจากมีระเบียบว่าห้ามหญิงมีประจำเดือนเข้าพระวิหาร หญิงตกโลหิตคนนี้ต้องทุกข์ทรมานมากเพราะนอกจากการทรมานจากโรคร้าย เธอยังหมดสิทธิ์เข้านมัสการพระเจ้านานถึง12ปี แต่แล้วมลทินที่แตะวิหารไม่ได้ กลับแตะพระเยซูได้ พระองค์ทรงถามว่าใครแตะต้องเราเมื่อเธอจับชายเสื้อพระองค์ และเธอได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์ จากคนหมดสิทธิ์เข้าพระวิหาร เมื่อเธอได้แตะพระเจ้าทั้งร่างที่มีมลทิน เธอกลับเข้าวิหารได้นับแต่นั้น

-หญิงชั่วที่งานเลี้ยง- พระเยซูทรงไปงานเลี้ยงของชาวฟาริสี มีหญิงคนบาปคนหนึ่งเข้ามาสัมผัสเท้าของพระองค์ร้องไห้และเอาผมเช็ดเท้าพระองค์ ชาวฟาริสีซึ่งเป็นยิวสุดเคร่ง พูดทันทีว่า ถ้าชายคนนี้มาจากพระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์จริงต้องไม่ยอมให้หญิงชั่วนี่มาแตะต้องตัว แต่พระเยซูกลับตำหนิฟาริสีและประทานพรยิ่งใหญ่แก่หญิงคนนั้น

-คนเก็บภาษี- คนบาปคือมนุษย์อีกจำพวกที่ยิวจะไม่เหยียบบ้านคือคนเก็บภาษีที่ยิวมองว่าขายชาติ แต่ซัคเคียส คนเก็บภาษีคือคนที่พระเยซูบอกว่า วันนี้เราจะไปกินอาหารในบ้านของท่าน

-เด็กๆที่กรูกันเข้ามา- ไม่ใช่แม้แต่ฟาริสี แต่แม้แต่ศิษย์ของพระเยซูเองที่อยู่กับพระองค์มานาน ก็ยังปกป้องพระองค์เกินกว่าเหตุ ไม่สมควรที่เด็กกะโปโลซุกซนไม่รู้มารยาทจะมาวุ่นวายนัวเนียก่อความรำคาญกับพระอาจารย์ผู้ทรงความรู้และศักดิ์สิทธิ์ อีกครั้งที่พระเยซูตำหนิศิษย์และสั่งว่า ให้เด็กๆมาหาเราเถิด

-นายร้อยชาวโรมัน- แน่นอนว่าชาวยิวไม่เข้าบ้านคนต่างชาติเพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองติดมลทินของพวกที่ไม่เชื่อพระเจ้าและไม่ปฏิบัติตัวสะอาดแบบพวกเขา เมื่อนายร้อยได้ขอให้พระเยซูรักษาบุตรของเขา พระเยซูตรัสว่า "จะไปที่บ้านเขา" นายร้อยรู้ธรรมเนียมยิวที่ไม่เข้าบ้านคนต่างชาติเกรงพระองค์จะเสียหาย จึงบอกพระองค์ว่า เขาไม่สมควรรับเสด็จพระองค์ที่บ้านขอตรัสเพียงพระวาจาเดียวแล้วบุตรเขาจะหาย คำพูดของนายร้อยคนนี้ต่อมากลายเป็นบทสวดก่อนรับศีลมหาสนิทของคาทอลิกว่า พระเจ้าข้าข้าพเจ้าไม่สมควรรับเด็จพระองค์มาประทับอยู่กับข้าพเจ้าแต่ขอตรัสเพียงพระวาจาเดียวและจิตใจของข้าพเจ้าก็จะบริสุทธิ์

-คริสตชนต่างชาติ- ในหนังสือกิจการ ยังมีเหตุการณ์ที่ น.เปโตรแยกโต๊ะกินอาหารกับคริสตชนต่างชาติที่ น.เปาโลนำมาเชื่อ เพราะเกรงใจคริสตชนยิวที่ยังถือธรรมเนียมยิว เปาโลลุกขึ้นตำหนิเปโตรอย่างซึ่งหน้าทันที และหลังจากนั้นท่าทีต่อผู้เชื่อต่างชาติของเปโตรก็เปลี่ยนไป ไม่อิงธรรมเนียมกีดกันตามแบบยิวเดิมอีก

---แม้ในพระคัมภีร์พระธรรมใหม่จะมีตัวอย่างของ ความรักที่ต้องมาก่อนความศักดิ์สิทธิ์ มีคำสอนที่เลิกรูปแบบพระเจ้าที่ห้ามแตะต้องเป็นพระเจ้าที่เข้าถึงทุกคนอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่เมื่อเวลาผ่านไปในธรรมเนียมปฏิบัติของเราก็มีเรื่องทำนองเดียวกันวนกลับมา เพราะหลายสิ่งเลียนแบบพิธีกรรม(ที่มีวิธีคิดแบบยิว)ในพระธรรมเดิม เราจึงนำวิธีคิดแบบ พระเจ้าผู้แตะต้องไม่ได้ กลับมาใช้ในจารีตและพิธีกรรมจำนวนมากของเราไปด้วย แต่ถ้าพระเยซูยังเป็นพระเยซูคนเดิม ศีลมหาสนิทของเราคือพระเยซูที่เรารู้จัก พระเยซูที่จะเข้าไปในบ้านของนายร้อยโรมันที่ไม่ได้เข้าสุหนัตหรือล้างบาป พระเยซูที่เข้าไปกินข้าวในบ้านโสเภณีเร่ขายตัวและคนเก็บภาษีชั่วเร่ขายชาติ พระเยซูที่ให้หญิงมีมลทินมาสัมผัสร่างกายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์และยินดีให้พวกเธอรับพร พระเยซูที่อุ้มและลูบหัวเด็กที่ไร้เดียงสา ที่พวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระบุตรพระเจ้าคืออะไร

ถ้านี่คือพระเยซูคนเดียวกันที่ไม่เคยสร้างเงื่อนไขที่ใครจะมาสัมผัสพระองค์ เราอาจลองถามตัวเองว่า เราได้ทำแบบสานุศิษย์ของพระองค์ในยุคนั้นหรือไม่ที่สร้างเงื่อนไขให้คนที่จะมาสัมผัสพระองค์ หรือกีดกันคนที่จะมาสัมผัสพระองค์ ด้วยความปรารถนาดีที่จะปกป้องพระองค์ในวิธีของเราเอง แต่ไม่ใช่วิธีที่พระองค์เคยกระทำ
ตอบกลับโพส