ศิษย์อีกคนที่ไม่ถูกเอ่ยชื่อว่าพบพระเยซูที่เอ็มมาอุส
อาจเพราะเธอเป็นผู้หญิง
เราอาจคุ้นเคยในงานศิลปะภาพวาดภาพเขียนที่วาดภาพศิษย์ชายสองคนพบพระเยซูบนถนน แต่เขาจำพระองค์ไม่ได้ และยังมีภาพในที่โต๊ะอาหารที่พวกเขาจำพระองค์ได้ตอนกำลังบิปัง ซึ่งล้วนนิยมเขียนภาพชาย3คน คือศิษย์ชาย2คน รวมพระเยซูอีก1คน
เรื่องราวการพบพระเยซูผู้กลับคืนชีพของศิษย์2คนระหว่างเดินทางไปเอ็มมาอุส บันทึกในพระคัมภีร์ไว้ว่าคนหนึ่งชื่อเคโอปัส แล้วละชื่ออีกคนไปเฉยๆ นักวิชาการด้านพระคัมภีร์ในยุคนี้บางคนเสนอว่า อาจเพราะเธอเป็นหญิง และอาจเป็นมารีย์ ภรรยาของเคโอปัส ผู้ถูกระบุไว้ในตอนอื่นๆในช่วงเวลาใกล้กันของพระคัมภีร์ว่า อยู่ที่เชิงกางเขน และยังเป็นพยานที่สุสานว่างเปล่าพร้อม มารีย์ ชาวมักดาลา
1. พระคัมภีร์ถูกเขียนในยุค สังคมชายเป็นใหญ่ ซึ่งชอบเขียนถึงผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
พระคัมภีร์เขียนโดยผู้ชาย เล่าเรื่องผู้ชาย และเน้นให้ผู้ชายอ่าน เรามักพบโครงสร้างปกติที่วรรณกรรมในยุคชายเป็นใหญ่หลายร้อยหลายพันปีก่อน นิยมเล่าเรื่องวีรกรรมของชาย โดยผู้หญิงมีฐานะเป็นเพียงตัวประกอบวีรกรรมนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่ทำไปเพื่อกดขี่ทางเพศ หากแต่เป็นการมุ่งเน้นที่ผู้อ่านซึ่งเป็นชายเพื่อจะสอนชายเหล่านั้น เราจึงพบว่า พระคัมภีร์มักเรียกผู้อ่านด้วยสรรพนามผู้ชาย เช่นบุตรของเราเอ๋ย นอกจากนี้พระคัมภีร์พูดถึงผู้หญิงน้อยอยู่แล้ว และผู้ที่ถูกเขียนถึงยาวๆ มีเพียงผู้หญิงที่ถูกยกระดับเป็นวีรสตรี เช่น เอสเธอร์ และ จูดิท(ในสาระบบที่สอง) ส่วนสตรีอื่นๆนั้น เป็นดังตัวประกอบในตัวประกอบแม้แต่มารีย์มารดาพระคริสต์ผู้เป็นสตรีที่มีบทพูดยาวที่สุดในพระธรรมใหม่ และถูกพาดพิงถึงบ่อยที่สุด และหลายบทหลายตอนทีสุดในพระธรรมใหม่ ก็ยังมีเนื้อที่น้อยพอที่จะถูกเอามาอ้างเพื่อนำออกจากคริสตจักรที่ต้องการตัดเรื่องการเคารพให้เกียรติมารีย์มารดาพระเยซูออกจากคริสตจ้กรตน ว่า "ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญในพระคัมภีร์" และ "ไม่ถูกยกย่องให้เกียรติพิเศษในพระคัมภีร์" ได้
2. ธรรมเนียมชายเป็นใหญ่ในยุค2000ปีก่อน สตรีไม่มีตัวตนทางสังคม
เราพบวิธี "ละสตรีไว้ในฐานที่เข้าใจ" โดยไม่เขียนถึงในพระคัมภีร์อีกหลายตอน เช่น เมื่อพระเยซูทวีขนมปัง นับผู้ชายได้5000คน พระคัมภีร์บันทึกเพียงจำนวนผู้ชายไม่นับสตรีและเด็ก ซึ่งเป็นธรรมเนียมปกติของสังคมสมัยก่อน เมื่อหญิงยังไม่แต่งงานเธอมีฐานะเหมือนเด็กในบ้านอยู่ใต้การดูแลของพ่อแม่ และเมื่อเธอแต่งงานก็อยู่ใต้การดูแลของสามี ในทางการและทางราชการต่างๆของคนยุคนั้น เวลาบันทึกเอกสารต่างๆก็จะเขียนชื่อผู้ชาย และละชื่อผู้หญิง อาจบันทึกเพียง มีภรรยามาด้วย มีลูกสาวสองคน ฯลฯ ดังที่เราพบในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆเช่นในลำดับวงค์ตระกูลต่างๆในพระธรรมเดิมที่เขียนชื่อลูกชาย แต่ไม่เขียนชื่อลูกสาว และเรามักพบการเขียนชื่อผู้ชายเมื่อต้องการเจาะจงว่าเป็นลูกชายใคร แต่ไม่เขียนว่าเป็นสามีใคร เพราะชื่อผู้หญิงนั้นไม่สำคัญ เช่น ยากอบบุตรเศเบดี ไม่มีการเขียนว่า ยากอบสามีนาง.... เช่นที่เราไม่เคยรู้เลยว่า ภรรยาเปโตรและแม่ยายเปโตรชื่ออะไร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หลักเกณฑ์บังคับ มีการเขียนถึงชื่อผู้หญิงบางคนอย่างจงใจอยู่บ้างในพระคัมภีร์ แต่เมื่อเทียบไปแล้วก็น้อยมาก
ดังนั้นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ยุคใหม่นำเสนอว่าการที่พระคัมภีร์บอกว่ามีศิษย์2คน แต่เขียนชื่อศิษย์เพียงคนเดียวว่า เคโอปัส แล้วละชื่ออีกคนไปเลย เป็นไปได้ว่าน่าจะเพราะอีกคนเป็นหญิง และยังเป็นภรรยาของเขาอีกด้วย
(ยอห์น 19:25) ผู้ที่ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระเยซูได้แก่มารดาของพระองค์ น้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของโคลปัส และมารีย์ชาวมักดาลา
วิธีพูดของศิษย์ ชวนให้คิดว่าเป็นครอบครัวและคนที่อยู่บ้านเดียวกัน
(ลูกา 24:29) พวกเขาก็คะยั้นคะยอให้พระองค์อยู่ และบอกว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว ใกล้มืดแล้วด้วย ไปพักกับพวกเราก่อนเถอะ” พระเยซูจึงเข้าไปพักอยู่กับพวกเขา
ไม่แปลกเลยถ้ามารีย์ภรรยาของเคโอปัสจะต้องเดินทางกลับพร้อมสามีของเธอ เพราะการเดินทางไกล ถึงมืดค่ำ ผู้หญิงตัวคนเดียวสมัย2000ปี เดินกลับบ้านเองคนเดียวไม่ได้แน่ และอันตรายมาก นอกจากนี้ การพักด้วยกันและชวนร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ก็ดูเป็นภาพของครอบครัวปกติอีกด้วย
การถกเถียงกับข่าวของผู้หญิง
ตั้งแต่ต้นการเล่าเรื่องนี้ พระคัมภีร์บอกว่าศิษย์ทั้งสองกำลังเถียงกันตอนเจอพระเยซู และเมื่อเขาเล่าว่าเถียงกันเรื่องอะไร โครงเรื่องเป็นลักษณะว่า
-พวกศิษย์ล้วนเห็นพระเยซูตายบนกางเขน
-แต่พวกผู้หญิงเห็นพระคูหาว่างเปล่าและเห็นทูตสวรรค์ แล้วกลับมาแจ้งข่าว
-แต่พระคัมภีร์ก็บันทึกในบทนั้นเหมือนกันว่า พวกผู้ชายไม่เชื่อเลยคิดว่าพวกผู้หญิงพูดเหลวไหล
-และพวกศิษย์ชายพอตามไปก็เห็นแค่คูหาว่าง
-พวกผู้ชายก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นจึงมีการวิเคราะห์อีกว่า ภรรยาของเคโอปัส กำลังเถียงกับสามียืนยันสิ่งที่เธอและเพื่อนๆเห็นกับตา แต่สามีไม่เชื่อนั้นเอง เลยถกเถียงกันมาตลอดทาง
บางคนอาจตั้งคำถามว่า ถ้าใช่ผู้หญิงขึ้นมาจริงๆแล้วไง สำคัญตรงไหน
ถ้าเป็นผู้หญิงหรือครอบครัวขึ้นมาจริงๆแล้ว ความหมายของสาระการสำแดงองค์ของพระเยซูที่เอ็มมาอุส จะลึกล้ำขึ้นไปกว่าเดิมมาก เพราะนอกจากพระองค์จะสำแดงการกลับคืนพระชนม์ชีพกับผู้หญิงก่อนแล้ว พระองค์ยังไขแสดงให้ครอบครัวหนึ่งได้เข้าใจธรรมล้ำลึกเรื่องชีวิตและการกลับคืนชีพ พระองค์หยุดการถกเถียงที่ขัดแย้งของคู่สามีภรรยา โดยการสำแดงว่าพระองค์อยู่ร่วมกับพวกเขา ร่วมเป็นหนึ่งในครอบครัวคริสตชนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์นี้จะเป็นภาพสะท้อนว่าพระองค์คือลูกแกะปัสกา ที่ในหนังสืออพยพบอกว่า ลูกแกะจะถูกฆ่าและถูกกินบนโต๊ะอาหารของครอบครัวชาวยิว การที่ศิษย์สองคนไม่ใช่แค่เพื่อนแต่กลายเป็นครอบครัว และจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิปัง ซึ่งในเทววิทยาเรื่องศีลมหาสนิทหมายถึงเนื้อของพระองค์ ก็จะสะท้อนธรรมล้ำลึกที่ประกาศการเปลี่ยนผ่านพระธรรมเดิมสู่พระธรรมใหม่ชัดเจนขึ้นอีกว่า
พระเยซูคือลูกแกะปัสกาที่แท้จริง ที่เราต้องกินเนื้อของพระองค์ทางศีลมหาสนิท แทนการกินเนื้อแกะย่างในเทศกาลปัสกาตามธรรมเนียมยิวดั้งเดิม(ที่ถูกสั่งว่าต้องทำเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าช่วยให้รอดจากการเป็นทาสในอียิปต์) พระเยซูก็จะคือลูกแกะที่แท้จริงที่ถูกกระทำซ้ำทุกวันบนแท่นบูชาเพื่อระลึกถึงการทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดนั่นเอง
ปัจจุบันมีศิลปินมากมาย กล้าที่จะวาดภาพเหตุการณ์ที่เอ็มมาอุสเป็นชายและหญิงมากขึ้น ท่านที่สนใจสามารถดูได้ตามลิงค์
https://artandtheology.org/2017/04/28/t ... f-cleopas/
Cr. facebook.com/holysmn
CR. : จิต ศรัทธา