“ ความรักของพ่อที่ปกป้องลูก”

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 29, 2020 3:59 pm

ความรักระหว่างพ่อแม่ที่มีต่อลูกและพยายามปกป้องลูก มักกลายเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งอยู่เสมอ แม้บางครั้งมันจะลงเอยด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องเสมอไป

เหตุเกิดเมื่อเดือนมกราคม 2015 ที่ศูนย์การแพทย์ ทอมบอล ในรัฐเท็กซัส ทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่และคนไข้ เจอกับเหตุฉุกเฉินที่พาเอาแตกตื่นกันยกใหญ่ เมื่อนาย จอร์จ พิกเคอริง ที่สอง ควงปืนเข้าไปในโรงพยาบาล ตรงดิ่งไปยืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของ จอร์จ พิกเคอริง ที่สาม ลูกชายของเขา เขาไล่แพทย์และพยาบาลออกไปห่าง ๆ

ร้อนถึงตำรวจต้องยกขบวนกันมาปิดล้อมพื้นที่เพื่อควบคุมเหตุร้ายนี้ เจ้าหน้าที่วิ่งออกมาเล่าให้ตำรวจฟังว่า จอร์จใช้ปืนขู่ให้พวกเขาออกไปให้หมด

สาเหตุที่มาของเรื่องราวนี้เริ่มจาก จอร์จ พิกเคอริง ที่สามนั้นได้รับการดูแลอยู่ในส่วนคนไข้อาการหนัก ต้องใช้เครื่องพยุงชีพช่วยประคองอาการไว้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะจอร์จเป็นคนไข้ที่มีอาการชักเรื้อรัง และครั้งล่าสุดที่ต้องนำตัวมาเข้าโรงพยาบาลนั้นเพราะเส้นเลือดในสมองแตก

"พวกเขาเอาแต่พูดซ้ำ ๆ ว่าสมองของจอร์จตายแล้ว เขากลายเป็นผักแล้ว"
จอร์จ ผู้พ่อเล่าให้นักข่าวฟัง

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่รู้จักพ่อลูกจอร์จคู่นี้เล่าให้ตำรวจฟังว่า เขารู้สึกกังวลกับพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจของจอร์จผู้พ่อ เพราะเริ่มสังเกตเห็นอาการของจอร์จคนพ่อตั้งแต่เช้าแล้วว่าเขาอยู่ในสภาพมึนเมา มีท่าทีก้าวร้าว ทางโรงพยาบาลเลยเลือกโทรตามอดีตภรรยาของจอร์จและลูกชายอีกคนให้มาที่โรงพยาบาล แพทย์ลงความเห็นว่าจอร์จสมองตายแล้วจะไม่ฟื้นกลับมาได้ดังเดิมอีก เป็นการดีกว่าถ้าญาติจะเซ็นยินยอมให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ แล้วโรงพยาบาลยังโทรติดต่อองค์กรรับบริจาคอวัยวะ ให้มาคอยรับอวัยวะของจอร์จด้วย

"พวกเขาตัดสินใจอะไรกันปัจจุบันทันด่วนมาก ทั้งโรงพยาบาล ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล ทุกคนเลย"
จอร์จ ผู้พ่อบ่นด้วยความไม่พอใจ

"ผมรู้สึกสิ้นหวังมาก"
จอร์จ ตัวพ่อยอมรับว่าเขาเมาจริงและรู้สึกฉุนเฉียวมากในคืนนั้น แต่อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนเดียวที่ยังเชื่อมั่นว่าจอร์จ ที่สาม ยังไม่สมองตาย เพราะเขาก็เคยเป็นแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังกลับมาหายดีได้ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา

"ผมขอเวลาอีกเพียงแค่ 3 - 4 ชั่วโมงในคืนนั้น เพื่อให้ผมมั่นใจว่าสมองของจอร์จตายแล้วจริง ๆ"
จอร์จผู้พ่อบอกเหตุผลของเขา

"มาถึงจุดนี้ ผมไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว ผมรู้อย่างเดียวว่าผมต้องดึงเวลาของจอร์จไว้ให้ได้มากที่สุด"
และนั่นคือสาเหตุที่จอร์จผู้พ่อควงปืนเข้าไปยืนเฝ้าข้างเตียงจอร์จ ที่สาม กันไม่ให้ใครเข้ามาถอดเครื่องพยุงชีพของลูกชาย

เพื่อใช้แผนที่ละมุนละม่อมที่สุด ลูกชายอีกคนของจอร์จก็เข้าไปพูดจาเกลี้ยกล่อมพ่อ แล้วปลดปืนออกจากพ่อมาได้ ทุกคนหายใจหายคอได้มากขึ้น
อารมณ์ของไอ้หนุ่มตอนนั้น รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นฮีโรเลยละ เกลี้ยกล่อมพ่อแล้วปลดปืนจากมือพ่อได้สำเร็จ จอร์จก็ปล่อยให้ไอ้ลูกชายดีใจได้ครู่เดียว แล้วก็ควักปืนออกมาชู..........กูมีอีกกระบอก แล้วก็ไล่ไอ้ลูกชายคนนี้ออกไปนอกโรงพยาบาล

"ผมเคยเป็นลูกเสือมาก่อนนะ คิดว่าผมจะมีปืนแค่กระบอกเดียวงั้นเหรอ"
พอไล่ลูกชายอีกคนออกไปแล้ว เขาก็รูดม่านปิดรอบเตียง เหลือเขากับจอร์จ ที่สามอยู่ข้างในม่านนั้น ไม่ให้ใครมายุ่งไม่ให้ใครมองเห็นเขาแล้วทีนี้

สถานการณ์ที่เหมือนจะดี แต่กลับเลวร้ายลงไปอีก ข้างนอกก็ยิ่งวุ่นวายกันยกใหญ่ว่าจะเอาไงต่อไปดี ถึงตอนนี้หน่วย SWAT เข้ามาสมทบละ ส่งเจ้าหน้าที่นักเจรจาต่อรองเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้จอร์จยอมวางอาวุธเสียเถอะ แต่ก็ไม่ได้ผล จอร์จไม่สนไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น

เพราะตอนนี้เขายิ่งมีความหวังมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วว่าลูกชายของเขายังไม่ตาย เพราะเขาได้รับสัญญาณที่ทำให้เขามั่นใจสุด ๆ ..........ลูกชายบีบมือเขา
"ระหว่างที่ผมยื้อเวลาอยู่ได้ 3 ชั่วโมงนั้น จอร์จบีบมือผม 3-4 ครั้งได้ครับ"

การเจรจาระหว่างตำรวจกับจอร์จยังคงดำเนินต่อไป ตำรวจระดมสมองกันว่าจะใช้แผนไหนต่อไปดี สุดท้ายก็เลือกใช้ "หุ่นยนต์"

ตำรวจส่งหุ่นยนต์บังคับ แล่น...ดื๊บบบบบ เข้าไปถึงเตียง เข้าไปทำไมรู้มั้ยครับ เข้าไปรูดม่านเปิดออก แค่นั้นแหละ

ถึงตอนนี้จอร์จผู้พ่อสบายใจขึ้นหน่อยแล้ว เขาก็เลิกดึงดันต่อไปละ เขาได้สัญญาณยืนยันแล้วว่าลูกชายไม่ได้สมองตายตามที่แพทย์กล่าวอ้าง
จอร์จผู้พ่อยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่โดยดี แต่ก็ยืนกรานให้หมอตรวจอาการจอร์จผู้ลูกอีกทีเพราะเขาแสดงสัญญาณชีพด้วยการบีบมือพ่อหลายครั้ง

เป็นไปตามที่จอร์จผู้พ่อกล่าว จอร์จ ที่สาม สามารถหายดีกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แม้จอร์จผู้พ่อต้องเข้าคุกไปตามระเบียบ แต่เขาก็รับโทษด้วยความอิ่มเอมใจที่การกระทำของเขาไม่สูญเปล่า เขาได้ช่วยชีวิตลูกชายไว้ได้

หลายสัปดาห์จากเหตุวุ่นวายนั้น จอร์จผู้ลูกหายดีและได้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาใช้ชีวิตปกติที่บ้าน และเป็นวันที่แม่และพี่น้องเพิ่งเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าพ่อทำอะไรลงไปเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้
"มันเป็นการกระทำผิดกฏหมายก็จริงนะครับ แต่มันก็เป็นการผิดกฏหมายด้วยเหตุผลที่ดีงาม ที่ผมยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ได้ก็เพราะพ่อทำแบบนั้น ทั้งหมดมันคือความรัก มันคือความรักครับ"
จอร์จ พิกเคอริง ที่สาม ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว

ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ จอร์จ พิกเคอริง ได้ประพฤติปฏิบัติตัวเป็นนักโทษที่ดี ฟีบี สมิธ ทนายของจอร์จ ก็เดินเรื่องเสนอให้ศาลพิจารณาลดหย่อนโทษ ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จ จอร์จได้รับอิสรภาพหลังถูกคุมขังเป็นเวลา 11 เดือน
"คดีนี้มันเป็นเรื่องราวของพ่อที่พยายามปกป้องลูกชายในขณะที่ลูกชายของเขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้"
ฟีบี สมิธ ทนายของจอร์จกล่าว

"มันเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องปกป้องลูกของเขาและนั่นคือสิ่งที่พ่อผมทำ ทุกเรื่องราวดี ๆ จากผู้ชายที่นั่งข้างผมอยู่นี่ได้ทำลงไป ล้วนทำให้ผมเป็นผู้เป็นคนอยู่ทุกวันนี้"
จอร์จ พิกเคอริง ที่สาม กล่าวในวันที่พ่อของเขาได้รับอิสรภาพ
"สิ่งสำคัญที่สุดคือผมยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี พ่อผมได้กลับมาอยู่บ้าน เราได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง"

คดีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าบางครั้งอุปกรณ์การแพทย์ คำวินิจฉัยของแพทย์ ก็ยังแพ้ความรักความเชื่อมั่นระหว่างพ่อและลูก

ชอบเรื่องของเรา กดไลก์ กดแชร์ ให้ด้วยนะครับ
#TomballRegionalMedicalCenter #GeorgePickering #good2sharethailand
ตอบกลับโพส