“ คนสามฤดู “
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 24, 2020 6:35 pm
........."คนสามฤดู".......
มีอยู่วันหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื้อกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าสำนัก มีคนแปลกหน้าผ่านมาแล้วถามเขาว่า
"เจ้าพำนักอยู่สำนักขงจื้อหรือ"
"ใช่ครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขงจื้อครับ" เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ
"ดีมาก ถ้าเช่นนั้นผมขอถามคำถามคุณสักข้อ"
"ได้เลยครับ เรียนเชิญ" ลูกศิษย์ตอบ ในใจเขาคิดว่าคงเป็นพวกปัญหาแปลกประหลาดพิสดารไม่เหมือนใคร
คนแปลกหน้าถามว่า "โลกนี้ปีหนึ่งมีกี่ฤดู"
ลูกศิษย์คิดในใจว่า คำถามง่ายๆแบบนี้ยังเอามาถามได้ จึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า "ปีหนึ่งมีสี่ฤดู"
คนแปลกหน้าสั่นหัว "ไม่ถูก ปีหนึ่งมีแค่สามฤดู"
"คุณคงเข้าใจผิด สี่ฤดูแน่นอนอยู่แล้ว"
"สามฤดู" คนแปลกหน้าเถียงอย่างมีน้ำโห
ฝ่ายลูกศิษย์พยายามแจกแจงรายละเอียดของทั้งสี่ฤดูให้ฟังอย่างครบถ้วน แต่คนแปลกหน้าก็ไม่ยอมรับรู้
ทั้งสองโต้เถียงกันไม่ยอมจบ เลยตกลงกันว่าต้องมีเดิมพันกันหน่อย หากเป็นสี่ฤดู คนแปลกหน้าต้องโค้งคำนับฝ่ายลูกศิษย์ไปสามครั้ง แต่หากคำตอบคือสามฤดู ฝ่ายลูกศิษย์ต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับ
ก็พอดีเป็นจังหวะที่ขงจื้อเดินออกมาหน้าสำนักตน ลูกศิษย์จึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง พร้อมถามคำถามที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ "ตกลงปีหนึ่งมีกี่ฤดูครับ อาจารย์"
ขงจื้อใช้สายตามองคนแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบเขาว่า "ถ้าเจ้าจะเชื่อว่าปีหนึ่งมีสามฤดู มันก็ไม่ผิด”
ลูกศิษย์ทั้งตกใจและแปลกใจในคำตอบ แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอาจารย์
คนแปลกหน้าดีใจอย่างมาก “มาโค้งคำนับข้าเร็ว"
ลูกศิษย์จำใจต้องทำตามสัญญา ด้วยการโค้งคำนับคนแปลกหน้าไปสามครั้ง
เมื่อคนแปลกหน้าจากไปแล้ว ลูกศิษย์จึงถามขงจื้อด้วยความสงสัยว่า
"อาจารย์ครับ ปีหนึ่งมีสี่ฤดูชัดๆ แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่ามีแค่สามฤดู"
ขงจื้อมองหน้าลูกศิษย์ ก่อนจะตอบอย่างใจเย็นว่า "เจ้าไม่เห็นหรือว่า คนแปลกหน้าคนนั้นนุ่งเขียวห่มเขียวมาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้าจึงอยากเปรียบเปรยเขาเป็นดั่งพวกตั๊กแตน ตั๊กแตนเกิดในฤดูใบไม้ผลิ และตายในฤดูใบไม้ร่วง พวกมันจึงไม่เคยได้พบเจอฤดูหนาวเลย คนแปลกหน้าคนนั้นอาจมาจากแดนไกลที่แทบจะไม่มีฤดูหนาว ถ้าบอกเขาว่า ปีหนึ่งมีสามฤดู เขาก็จะพอใจ แต่ถ้าบอกเขาว่าโลกนี้มีสี่ฤดู คงต้องทะเลาะโต้เถียงกันไม่จบไม่สิ้น แม้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ยังจะหาบทสรุปไม่ได้ การที่เจ้ายอมคำนับเขาไปสามครั้ง เสียเปรียบหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเสียหายมาก เรื่องจะได้จบกันเสียที จงอย่าเสียเวลาไปโต้เถียงกับคนพวกนี้ให้เสียอารมณ์โดยใช่เหตุ"
************
เพื่อนๆหลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้แล้ว ก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเจอคนที่ไม่ยอมคุยด้วยเหตุผล หรือเอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่ ก็จะโกรธ อารมณ์เสีย อยากเถียงให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย แต่เดี๋ยวนี้เลิกอารมณ์ขุ่นมัวกับคนพวกนี้แล้ว เพราะคิดได้ว่าคนพวกนี้เป็นแค่ "คนสามฤดู" จิตใจก็จะสบายขึ้น
"คนสามฤดู" จะยืนกรานว่าตนมีเหตุผล รู้จริงและถูกต้องเสมอ ยากที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอความจริงที่บ่งบอกถึงความเข้าใจผิดของพวกเขา หรืออาจเพราะความดื้อรั้นในตัวเขา เพราะฉะนั้น หากเรามัวแต่เสียอารมณ์ไปโกรธคนพวกนี้ ก็เท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเราเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าเจอ”คนสามฤดู”....
ไม่แย่งชิงคือความสงบ
ไม่โต้เถียงคือความชาญฉลาด
ให้อภัยคือการหลุดพ้น
ยุติให้เป็นคือการปล่อยวาง
โลกเรานั้น
มี "คนสามฤดู" เยอะแยะไปหมด
จงจำนิทานเรื่องนี้ให้ดี
แล้วนำออกมาใช้ในจังหวะที่จำเป็น
มีประโยชน์ต่อคุณแน่นอน
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
มีอยู่วันหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื้อกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าสำนัก มีคนแปลกหน้าผ่านมาแล้วถามเขาว่า
"เจ้าพำนักอยู่สำนักขงจื้อหรือ"
"ใช่ครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขงจื้อครับ" เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ
"ดีมาก ถ้าเช่นนั้นผมขอถามคำถามคุณสักข้อ"
"ได้เลยครับ เรียนเชิญ" ลูกศิษย์ตอบ ในใจเขาคิดว่าคงเป็นพวกปัญหาแปลกประหลาดพิสดารไม่เหมือนใคร
คนแปลกหน้าถามว่า "โลกนี้ปีหนึ่งมีกี่ฤดู"
ลูกศิษย์คิดในใจว่า คำถามง่ายๆแบบนี้ยังเอามาถามได้ จึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า "ปีหนึ่งมีสี่ฤดู"
คนแปลกหน้าสั่นหัว "ไม่ถูก ปีหนึ่งมีแค่สามฤดู"
"คุณคงเข้าใจผิด สี่ฤดูแน่นอนอยู่แล้ว"
"สามฤดู" คนแปลกหน้าเถียงอย่างมีน้ำโห
ฝ่ายลูกศิษย์พยายามแจกแจงรายละเอียดของทั้งสี่ฤดูให้ฟังอย่างครบถ้วน แต่คนแปลกหน้าก็ไม่ยอมรับรู้
ทั้งสองโต้เถียงกันไม่ยอมจบ เลยตกลงกันว่าต้องมีเดิมพันกันหน่อย หากเป็นสี่ฤดู คนแปลกหน้าต้องโค้งคำนับฝ่ายลูกศิษย์ไปสามครั้ง แต่หากคำตอบคือสามฤดู ฝ่ายลูกศิษย์ต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับ
ก็พอดีเป็นจังหวะที่ขงจื้อเดินออกมาหน้าสำนักตน ลูกศิษย์จึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง พร้อมถามคำถามที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ "ตกลงปีหนึ่งมีกี่ฤดูครับ อาจารย์"
ขงจื้อใช้สายตามองคนแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบเขาว่า "ถ้าเจ้าจะเชื่อว่าปีหนึ่งมีสามฤดู มันก็ไม่ผิด”
ลูกศิษย์ทั้งตกใจและแปลกใจในคำตอบ แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอาจารย์
คนแปลกหน้าดีใจอย่างมาก “มาโค้งคำนับข้าเร็ว"
ลูกศิษย์จำใจต้องทำตามสัญญา ด้วยการโค้งคำนับคนแปลกหน้าไปสามครั้ง
เมื่อคนแปลกหน้าจากไปแล้ว ลูกศิษย์จึงถามขงจื้อด้วยความสงสัยว่า
"อาจารย์ครับ ปีหนึ่งมีสี่ฤดูชัดๆ แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่ามีแค่สามฤดู"
ขงจื้อมองหน้าลูกศิษย์ ก่อนจะตอบอย่างใจเย็นว่า "เจ้าไม่เห็นหรือว่า คนแปลกหน้าคนนั้นนุ่งเขียวห่มเขียวมาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้าจึงอยากเปรียบเปรยเขาเป็นดั่งพวกตั๊กแตน ตั๊กแตนเกิดในฤดูใบไม้ผลิ และตายในฤดูใบไม้ร่วง พวกมันจึงไม่เคยได้พบเจอฤดูหนาวเลย คนแปลกหน้าคนนั้นอาจมาจากแดนไกลที่แทบจะไม่มีฤดูหนาว ถ้าบอกเขาว่า ปีหนึ่งมีสามฤดู เขาก็จะพอใจ แต่ถ้าบอกเขาว่าโลกนี้มีสี่ฤดู คงต้องทะเลาะโต้เถียงกันไม่จบไม่สิ้น แม้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ยังจะหาบทสรุปไม่ได้ การที่เจ้ายอมคำนับเขาไปสามครั้ง เสียเปรียบหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเสียหายมาก เรื่องจะได้จบกันเสียที จงอย่าเสียเวลาไปโต้เถียงกับคนพวกนี้ให้เสียอารมณ์โดยใช่เหตุ"
************
เพื่อนๆหลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้แล้ว ก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเจอคนที่ไม่ยอมคุยด้วยเหตุผล หรือเอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่ ก็จะโกรธ อารมณ์เสีย อยากเถียงให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย แต่เดี๋ยวนี้เลิกอารมณ์ขุ่นมัวกับคนพวกนี้แล้ว เพราะคิดได้ว่าคนพวกนี้เป็นแค่ "คนสามฤดู" จิตใจก็จะสบายขึ้น
"คนสามฤดู" จะยืนกรานว่าตนมีเหตุผล รู้จริงและถูกต้องเสมอ ยากที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอความจริงที่บ่งบอกถึงความเข้าใจผิดของพวกเขา หรืออาจเพราะความดื้อรั้นในตัวเขา เพราะฉะนั้น หากเรามัวแต่เสียอารมณ์ไปโกรธคนพวกนี้ ก็เท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเราเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าเจอ”คนสามฤดู”....
ไม่แย่งชิงคือความสงบ
ไม่โต้เถียงคือความชาญฉลาด
ให้อภัยคือการหลุดพ้น
ยุติให้เป็นคือการปล่อยวาง
โลกเรานั้น
มี "คนสามฤดู" เยอะแยะไปหมด
จงจำนิทานเรื่องนี้ให้ดี
แล้วนำออกมาใช้ในจังหวะที่จำเป็น
มีประโยชน์ต่อคุณแน่นอน
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง