รวมเรื่องสั้น ข้อคิดสกิดใจ (5)
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 16, 2020 3:57 pm
.....อาหารเช้าที่ร้านแมคโดนัลด์
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กินใจและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง...
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับมารดาที่มีลูก 3 คน (อายุ 14, 12 และ 3 ขวบตามลำดับ)
ขณะนั้นดิฉันกำลังเรียนวิชาสังคมวิทยาเป็นวิชาสุดท้ายก่อนจะจบการศึกษาระดับปริญญา อาจารย์ผู้สอนเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติที่ดิฉันอยากให้อาจารย์ผู้สอนทุกคนเป็นเช่นเธอ งานสุดท้ายที่ดิฉันได้รับมอบหมายเช่นเดียวกับนักศึกษาทุกคนในชั้นเรียนคือ “การยิ้ม” คือให้นักศึกษาในชั้นยิ้มให้บุคคลสามคน และเขียนรายงานบันทึกปฏิกิริยาตอบจากผู้ที่นักศึกษายิ้มให้
เนื่องจากดิฉันมีนิสัยเข้ากับคนง่าย ชอบยิ้มและกล่าวคำทักทายอยู่แล้ว ดิฉันจึงคิดว่างานนี้คงจะผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ หลังจากที่ได้รับมอบหมายงานแล้ว ดิฉันก็วางแผนการทำรายงานโดยตกลงกับสามีว่าจะพาลูกชายคนเล็กไปกินอาหารในร้านแมคโดนัลด์ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเข้าไปในร้าน เราก็ไปเข้าแถวรอรับบริการ ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในแถวก็พากันถอยกรูดออกจากแถวแม้แต่สามีของดิฉันเอง ดิฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิม และรู้สึกชะงักงันเมื่อหันไปพบกับสาเหตุของการแตกแถว
ขณะที่ดิฉันหันไปด้านหลัง ก็พบกับชายพเนจร 2 คนยืนอยู่ข้างหลัง เนื้อตัวของทั้งสอง “สกปรกสุด ๆ” พร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปโดยรอบ ชายคนเตี้ยที่ยืนติดกับดิฉัน“ส่งยิ้มให้” เขามีตาสีฟ้าที่สวยงามแสดงให้เห็นแสงสว่างของพระเจ้า ขณะที่เขากำลังรอการยอมรับจากบุคคลอื่น พร้อมกับการยิ้ม เขาก็กล่าวทักทายว่า “สวัสดีครับ” ขณะที่ในมือกำลังตรวจนับเงินสองสามเหรียญที่กำอยู่แน่นในมือ
ชายคนถัดไปซุกมืออยู่ยืนติดกับชายคนแรก มีลักษณะเป็นคนปัญญาอ่อนและอาศัยชายคนที่มีตาสีฟ้าเป็นที่พึ่ง
ดิฉันยังคงปักหลักยืนอยู่ที่เดิมเพราะภาพที่เห็นทำให้ดิฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ และเมื่อบริกรสาวถามชายคนแรกว่าจะสั่งอะไร ชายผู้นั้นก็ตอบว่า “กาแฟอย่างเดียวครับ” เพราะเงินทั้งหมดที่เขามีซื้อได้เพียงเท่านั้น (สาเหตุจริง ๆ ที่ทั้งสองเข้ามาในร้าน คงเป็นเพื่อหลบอากาศที่หนาวจัดข้างนอก และจำต้องซื้อกาแฟเพื่อจะได้มีสิทธิ์อยู่ในร้านที่อบอุ่น)
ดิฉันรู้สึกตื้นตันใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนแทบจะโอบกอดชายที่มีตาสีฟ้า ขณะนั้นเองดิฉันก็สังเกตว่าสายตาทุกคู่ของคนในร้านทุกคนกำลังจ้องมาที่ดิฉัน ดิฉันจึงยิ้มและสั่งอาหารเช้าเพิ่มอีก 2 ถาด จากนั้นดิฉันก็เดินไปยังมุมที่ชายทั้งสองกำลังนั่งพักดื่มกาแฟอยู่ ดิฉันวางถาดอาหารลงบนโต๊ะให้ชายทั้งสองพร้อมกับจับมือที่หนาวเย็นของชายที่มีตาสีฟ้า
เขาหันมามองดิฉันด้วยดวงตาสีฟ้าที่มีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ พร้อมกับกล่าวคำ “ขอบคุณ” ดิฉันจึงโยกตัวไปตบแขนอย่างเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า “ฉันมิได้เป็นคนให้อาหารคุณหรอก แต่เป็นพระเป็นเจ้าที่กำลังทำงานโดยทรงใช้ดิฉันเป็นเครื่องมือของพระองค์เพื่อให้คุณมีความหวัง”
ดิฉันร้องไห้ขณะเดินกลับไปหาสามีและลูกชาย และเมื่อดิฉันนั่งลงที่โต๊ะ สามีของดิฉันก็ส่งยิ้มให้และพูดว่า “เหตุที่พระเป็นเจ้าได้ประทานคุณให้แก่ผม ก็เพื่อให้ผมมีความหวังนั่นเอง”
เราจับมือกันไว้ครู่หนึ่ง และขณะนั้นเอง เราก็ทราบว่า เป็นเพราะพระหรรษทานของพระที่เราได้รับ ทำให้เราสามารถมีสิ่งของที่จะมอบให้แก่ผู้อื่นได้
วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันได้แลเห็นความรักที่แสนหวานแห่งแสงสว่างของพระเป็นเจ้า
ดิฉันกลับไปเข้าชั้นเรียนในตอนเย็นพร้อมกับรายงาน หลังจากที่อาจารย์ได้อ่านรายงานของดิฉันแล้ว เธอก็ถามดิฉันว่า “ขออ่านให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นฟังได้ไหมค่ะ?” ดิฉันผงกศีรษะเป็นเชิงอนุญาต จากนั้นอาจารย์ก็เริ่มอ่านให้ทุกคนฟัง สิ่งนี้ทำให้ดิฉันเข้าใจว่า ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์และเป็นส่วนหนึ่งในพระเป็นเจ้า เราต้องรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือกันและกัน
ในแง่หนึ่ง สิ่งที่ดิฉันทำนั้น สร้างความประทับใจแก่ผู้คนในร้านแมคโดนัลด์ แก่สามี, ลูกชาย, อาจารย์ และเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ในห้องเรียนซึ่งเป็นวันสุดท้ายในชีวิตการเป็นนักศึกษาของดิฉัน ดิฉันได้รับปริญญาพร้อมกับบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งในชีวิตคือ การยอมรับผู้อื่นโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ
มีผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของท่าน แต่ก็มีแต่ผู้ที่เป็นมิตรแท้เท่านั้นที่ฝากรอยประทับไว้ในใจของท่าน
จงใช้สมองในการดำเนินชีวิตของตนเอง และจงใช้หัวใจของท่านกับผู้อื่น พระเป็นเจ้าประทานอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่พระองค์ก็มิได้ทรงโยนอาหารให้นกจนถึงในรังของมัน รวบรวมเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
*****************
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กินใจและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง...
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับมารดาที่มีลูก 3 คน (อายุ 14, 12 และ 3 ขวบตามลำดับ)
ขณะนั้นดิฉันกำลังเรียนวิชาสังคมวิทยาเป็นวิชาสุดท้ายก่อนจะจบการศึกษาระดับปริญญา อาจารย์ผู้สอนเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติที่ดิฉันอยากให้อาจารย์ผู้สอนทุกคนเป็นเช่นเธอ งานสุดท้ายที่ดิฉันได้รับมอบหมายเช่นเดียวกับนักศึกษาทุกคนในชั้นเรียนคือ “การยิ้ม” คือให้นักศึกษาในชั้นยิ้มให้บุคคลสามคน และเขียนรายงานบันทึกปฏิกิริยาตอบจากผู้ที่นักศึกษายิ้มให้
เนื่องจากดิฉันมีนิสัยเข้ากับคนง่าย ชอบยิ้มและกล่าวคำทักทายอยู่แล้ว ดิฉันจึงคิดว่างานนี้คงจะผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ หลังจากที่ได้รับมอบหมายงานแล้ว ดิฉันก็วางแผนการทำรายงานโดยตกลงกับสามีว่าจะพาลูกชายคนเล็กไปกินอาหารในร้านแมคโดนัลด์ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเข้าไปในร้าน เราก็ไปเข้าแถวรอรับบริการ ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในแถวก็พากันถอยกรูดออกจากแถวแม้แต่สามีของดิฉันเอง ดิฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิม และรู้สึกชะงักงันเมื่อหันไปพบกับสาเหตุของการแตกแถว
ขณะที่ดิฉันหันไปด้านหลัง ก็พบกับชายพเนจร 2 คนยืนอยู่ข้างหลัง เนื้อตัวของทั้งสอง “สกปรกสุด ๆ” พร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปโดยรอบ ชายคนเตี้ยที่ยืนติดกับดิฉัน“ส่งยิ้มให้” เขามีตาสีฟ้าที่สวยงามแสดงให้เห็นแสงสว่างของพระเจ้า ขณะที่เขากำลังรอการยอมรับจากบุคคลอื่น พร้อมกับการยิ้ม เขาก็กล่าวทักทายว่า “สวัสดีครับ” ขณะที่ในมือกำลังตรวจนับเงินสองสามเหรียญที่กำอยู่แน่นในมือ
ชายคนถัดไปซุกมืออยู่ยืนติดกับชายคนแรก มีลักษณะเป็นคนปัญญาอ่อนและอาศัยชายคนที่มีตาสีฟ้าเป็นที่พึ่ง
ดิฉันยังคงปักหลักยืนอยู่ที่เดิมเพราะภาพที่เห็นทำให้ดิฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ และเมื่อบริกรสาวถามชายคนแรกว่าจะสั่งอะไร ชายผู้นั้นก็ตอบว่า “กาแฟอย่างเดียวครับ” เพราะเงินทั้งหมดที่เขามีซื้อได้เพียงเท่านั้น (สาเหตุจริง ๆ ที่ทั้งสองเข้ามาในร้าน คงเป็นเพื่อหลบอากาศที่หนาวจัดข้างนอก และจำต้องซื้อกาแฟเพื่อจะได้มีสิทธิ์อยู่ในร้านที่อบอุ่น)
ดิฉันรู้สึกตื้นตันใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนแทบจะโอบกอดชายที่มีตาสีฟ้า ขณะนั้นเองดิฉันก็สังเกตว่าสายตาทุกคู่ของคนในร้านทุกคนกำลังจ้องมาที่ดิฉัน ดิฉันจึงยิ้มและสั่งอาหารเช้าเพิ่มอีก 2 ถาด จากนั้นดิฉันก็เดินไปยังมุมที่ชายทั้งสองกำลังนั่งพักดื่มกาแฟอยู่ ดิฉันวางถาดอาหารลงบนโต๊ะให้ชายทั้งสองพร้อมกับจับมือที่หนาวเย็นของชายที่มีตาสีฟ้า
เขาหันมามองดิฉันด้วยดวงตาสีฟ้าที่มีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ พร้อมกับกล่าวคำ “ขอบคุณ” ดิฉันจึงโยกตัวไปตบแขนอย่างเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า “ฉันมิได้เป็นคนให้อาหารคุณหรอก แต่เป็นพระเป็นเจ้าที่กำลังทำงานโดยทรงใช้ดิฉันเป็นเครื่องมือของพระองค์เพื่อให้คุณมีความหวัง”
ดิฉันร้องไห้ขณะเดินกลับไปหาสามีและลูกชาย และเมื่อดิฉันนั่งลงที่โต๊ะ สามีของดิฉันก็ส่งยิ้มให้และพูดว่า “เหตุที่พระเป็นเจ้าได้ประทานคุณให้แก่ผม ก็เพื่อให้ผมมีความหวังนั่นเอง”
เราจับมือกันไว้ครู่หนึ่ง และขณะนั้นเอง เราก็ทราบว่า เป็นเพราะพระหรรษทานของพระที่เราได้รับ ทำให้เราสามารถมีสิ่งของที่จะมอบให้แก่ผู้อื่นได้
วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันได้แลเห็นความรักที่แสนหวานแห่งแสงสว่างของพระเป็นเจ้า
ดิฉันกลับไปเข้าชั้นเรียนในตอนเย็นพร้อมกับรายงาน หลังจากที่อาจารย์ได้อ่านรายงานของดิฉันแล้ว เธอก็ถามดิฉันว่า “ขออ่านให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นฟังได้ไหมค่ะ?” ดิฉันผงกศีรษะเป็นเชิงอนุญาต จากนั้นอาจารย์ก็เริ่มอ่านให้ทุกคนฟัง สิ่งนี้ทำให้ดิฉันเข้าใจว่า ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์และเป็นส่วนหนึ่งในพระเป็นเจ้า เราต้องรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือกันและกัน
ในแง่หนึ่ง สิ่งที่ดิฉันทำนั้น สร้างความประทับใจแก่ผู้คนในร้านแมคโดนัลด์ แก่สามี, ลูกชาย, อาจารย์ และเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ในห้องเรียนซึ่งเป็นวันสุดท้ายในชีวิตการเป็นนักศึกษาของดิฉัน ดิฉันได้รับปริญญาพร้อมกับบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งในชีวิตคือ การยอมรับผู้อื่นโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ
มีผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของท่าน แต่ก็มีแต่ผู้ที่เป็นมิตรแท้เท่านั้นที่ฝากรอยประทับไว้ในใจของท่าน
จงใช้สมองในการดำเนินชีวิตของตนเอง และจงใช้หัวใจของท่านกับผู้อื่น พระเป็นเจ้าประทานอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่พระองค์ก็มิได้ทรงโยนอาหารให้นกจนถึงในรังของมัน รวบรวมเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
*****************