“ การชำระหนี้ที่ไม่ต้องใช้เงิน “
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 17, 2020 2:20 pm
.......การชำระหนี้ที่ไม่ต้องใช้เงิน........
เรื่องจริง เล่าโดย Anna E. Paradise เมือง Carmillus รัฐนิวยอร์ค จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “I want to be repaid”
แม้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณแม่ แต่ดิฉันก็รู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่มีโอกาสเล่าเรื่องของท่าน ตามที่ดิฉันรับทราบหลังพิธีฝังศพคุณแม่เมื่อมีชายสูงอายุท่านหนึ่งเดินมาแสดงความเสียใจกับดิฉัน และได้เล่าเรื่องนี้ให้ดิฉันฟัง ดังนี้
ชายผู้นั้นเล่าว่า เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เขาได้พัวพันกับสตรีคนหนึ่งที่ไม่ใช่ภรรยาของเขา ค่ำวันหนึ่งขณะที่เขากำลังรับประทานอาหารในภัตตาคารสองต่อสองกับเธอ คุณพ่อและคุณแม่ของดิฉันเข้าไปในภัตตาคารนั้นพอดี แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ในวันต่อมา คุณแม่ดิฉันได้โทรศัพท์ไปหาเขาและเชิญให้เขามาหาที่บ้านเพื่อกินขนมพายที่คุณแม่ทำเอง
เขากล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่เขาตอบรับคำเชิญก็เพราะฝีมือทำขนมพายของคุณแม่ยังไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธคำเชิญเลย แต่สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่าคือ คำเชิญของคุณแม่มีลักษณะเป็นการบังคับให้ต้องมาตามคำเชิญแฝงอยู่ด้วย
เขาไปตามเวลาที่นัดกันไว้และรับประทานขนมพายด้วยความเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นคุณแม่ก็บอกเขาว่า ได้เห็นเขาอยู่สองต่อสองกับสตรีคนหนึ่งในภัตตาคารคืนก่อนนั้น เขาพยายามปฏิเสธว่าเป็นการเข้าใจผิดพร้อมกับยกหาเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่คุณแม่ก็ไม่ยอมถอย ที่สุดคุณแม่พูดขึ้นว่า
“เธอจำตอนที่เธอตกงานอยู่หลายเดือนได้ไหม ตอนนั้นฉันให้เงินและอาหารเพื่อให้ครอบครัวของเธออยู่รอดได้”
เขาก็รับว่าเป็นความจริงตามนั้น คุณแม่จึงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ฉันต้องการให้เธอใช้หนี้คืน”
เขารีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินฟ่อนใหญ่ออกมา แต่คุณแม่รีบพูดต่อว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ต้องการเงินคืนเลย แต่ฉันอยากขอร้องให้เธอทำอย่างหนึ่งเป็นการใช้หนี้จะได้ไหม”
เขาตกลงทันทีและพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อเป็นการใช้หนี้คืน ดังนั้นคุณแม่ดิฉันจึงได้หันไปเปิดลิ้นชักข้าง ๆ และหยิบสายประคำออกมาสายหนึ่ง คุณแม่วางสายประคำนั้นลงบนมือของเขา และบอกให้เขาไปฟังมิสซาทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และให้สวดสายประคำ 1 สายทุกวันก่อนหรือหลังมิสซาก็ได้
คุณแม่ยังบอกเขาด้วยว่า ขณะที่สวดสายประคำอยู่นั้น ในการสวดแต่ละเม็ดให้คิดถึงสิ่งที่ดีของภรรยาหรือของลูกๆ หรือชีวิตในครอบครัวที่สมาชิกทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
คุณแม่ปิดท้ายด้วยการพูดว่า “เมื่อครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว หากเธอยังคิดว่าสตรีคนนั้นดีกว่าภรรยาของเธอ ก็ช่วยเอาสายประคำนี้ส่งคืนมาทางไปรษณีย์ และฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ไม่ว่าจะกับตัวเธอหรือกับภรรยาของเธอ อย่างไรก็ตาม หากเธอตัดสินใจเลือกที่จะอยู่กับภรรยาของเธอต่อไป ก็ให้เก็บสายประคำนี้ไว้พร้อมกับคำภาวนาและการอวยพรของฉัน”
เมื่อเล่าถึงตอนนี้ ชายผู้เล่าเรื่องก็แบมือข้างหนึ่งออกมาพร้อมกับพูดว่า “นี่ไงสายประคำที่คุณแม่ของคุณได้ให้ไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว เป็นสายประคำที่ภรรยาและผมได้ใช้สวดกันอยู่ทุกวันนับจากวันนั้นเป็นต้นมาครับ” ผู้รวบรวม : กอบกิจ ครุวรรณ
เรื่องจริง เล่าโดย Anna E. Paradise เมือง Carmillus รัฐนิวยอร์ค จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “I want to be repaid”
แม้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณแม่ แต่ดิฉันก็รู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่มีโอกาสเล่าเรื่องของท่าน ตามที่ดิฉันรับทราบหลังพิธีฝังศพคุณแม่เมื่อมีชายสูงอายุท่านหนึ่งเดินมาแสดงความเสียใจกับดิฉัน และได้เล่าเรื่องนี้ให้ดิฉันฟัง ดังนี้
ชายผู้นั้นเล่าว่า เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เขาได้พัวพันกับสตรีคนหนึ่งที่ไม่ใช่ภรรยาของเขา ค่ำวันหนึ่งขณะที่เขากำลังรับประทานอาหารในภัตตาคารสองต่อสองกับเธอ คุณพ่อและคุณแม่ของดิฉันเข้าไปในภัตตาคารนั้นพอดี แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ในวันต่อมา คุณแม่ดิฉันได้โทรศัพท์ไปหาเขาและเชิญให้เขามาหาที่บ้านเพื่อกินขนมพายที่คุณแม่ทำเอง
เขากล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่เขาตอบรับคำเชิญก็เพราะฝีมือทำขนมพายของคุณแม่ยังไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธคำเชิญเลย แต่สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่าคือ คำเชิญของคุณแม่มีลักษณะเป็นการบังคับให้ต้องมาตามคำเชิญแฝงอยู่ด้วย
เขาไปตามเวลาที่นัดกันไว้และรับประทานขนมพายด้วยความเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นคุณแม่ก็บอกเขาว่า ได้เห็นเขาอยู่สองต่อสองกับสตรีคนหนึ่งในภัตตาคารคืนก่อนนั้น เขาพยายามปฏิเสธว่าเป็นการเข้าใจผิดพร้อมกับยกหาเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่คุณแม่ก็ไม่ยอมถอย ที่สุดคุณแม่พูดขึ้นว่า
“เธอจำตอนที่เธอตกงานอยู่หลายเดือนได้ไหม ตอนนั้นฉันให้เงินและอาหารเพื่อให้ครอบครัวของเธออยู่รอดได้”
เขาก็รับว่าเป็นความจริงตามนั้น คุณแม่จึงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ฉันต้องการให้เธอใช้หนี้คืน”
เขารีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินฟ่อนใหญ่ออกมา แต่คุณแม่รีบพูดต่อว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ต้องการเงินคืนเลย แต่ฉันอยากขอร้องให้เธอทำอย่างหนึ่งเป็นการใช้หนี้จะได้ไหม”
เขาตกลงทันทีและพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อเป็นการใช้หนี้คืน ดังนั้นคุณแม่ดิฉันจึงได้หันไปเปิดลิ้นชักข้าง ๆ และหยิบสายประคำออกมาสายหนึ่ง คุณแม่วางสายประคำนั้นลงบนมือของเขา และบอกให้เขาไปฟังมิสซาทุกวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และให้สวดสายประคำ 1 สายทุกวันก่อนหรือหลังมิสซาก็ได้
คุณแม่ยังบอกเขาด้วยว่า ขณะที่สวดสายประคำอยู่นั้น ในการสวดแต่ละเม็ดให้คิดถึงสิ่งที่ดีของภรรยาหรือของลูกๆ หรือชีวิตในครอบครัวที่สมาชิกทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
คุณแม่ปิดท้ายด้วยการพูดว่า “เมื่อครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว หากเธอยังคิดว่าสตรีคนนั้นดีกว่าภรรยาของเธอ ก็ช่วยเอาสายประคำนี้ส่งคืนมาทางไปรษณีย์ และฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ไม่ว่าจะกับตัวเธอหรือกับภรรยาของเธอ อย่างไรก็ตาม หากเธอตัดสินใจเลือกที่จะอยู่กับภรรยาของเธอต่อไป ก็ให้เก็บสายประคำนี้ไว้พร้อมกับคำภาวนาและการอวยพรของฉัน”
เมื่อเล่าถึงตอนนี้ ชายผู้เล่าเรื่องก็แบมือข้างหนึ่งออกมาพร้อมกับพูดว่า “นี่ไงสายประคำที่คุณแม่ของคุณได้ให้ไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว เป็นสายประคำที่ภรรยาและผมได้ใช้สวดกันอยู่ทุกวันนับจากวันนั้นเป็นต้นมาครับ” ผู้รวบรวม : กอบกิจ ครุวรรณ