หน้า 1 จากทั้งหมด 1

“เรื่อง การเต้นแท็ปถวายพระ “ มี 5 ตอน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 19, 2020 4:17 pm
โดย rosa-lee
เรื่องต่อไป​ คือ​ "เรื่องการเต้นแท็ปถวายพระ" ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างยาว​
จึงขอแบ่งออกเป็น​ทั้งหมด​(5) ตอน​ ดังนี้
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (1)

โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
บทสัมภาษณ์ เดวิด ไรเดอร์ (David Rider) ผู้มีอนาคตที่สดใสกับการเต้นแท็ปที่โรงละครบรอดเวย์ นิวยอร์ค
แต่ต่อมาได้ตัดสินใจเลือกรับใช้พระเจ้ามากกว่า
เดวิด ไรเดอร์ วัย 27 ปี เป็นเณรคนหนึ่งที่กำลังศึกษาเทววิทยาที่สมณวิทยาลัย อเมริกาเหนือ
กรุงโรมเพื่อเตรียมตัวบวชเป็นพระสงฆ์ ก่อนหน้านั้น 3 ปี
ท่านเป็นหนึ่งในนักเต้นแท็ปที่มีชื่อเสียงที่สุดของสหรัฐอเมริกา นิตยสาร Dance Spirit Magazine
จัดให้เขาเป็นหนึ่งในนักเต้นแท็ป 20 คนแรกที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามอยู่มาวันหนึ่ง
โดยไม่คาดฝัน เดวิดได้อำลาชื่อเสียง ความสำเร็จของชีวิตและเสียงปรบมือของผู้ชม เพื่อไปศึกษาเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์คาทอลิก
ผู้สัมภาษณ์รู้สึกทึ่งมากต่อการเปลี่ยนเส้นทางเดินอย่างฉับพลันของเดวิด
และขอสัมภาษณ์เขาขณะที่กำลังศึกษาอยู่ที่กรุงโรม ท่านเป็นคนร่าเริง
แบ่งปันเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจด้วยความสุภาพและด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
(-) เด็กที่มีแววดี
คุณไรเดอร์ครับ ช่วยเล่ารายละเอียดชีวิตในวัยเด็กหน่อยครับ
ผมเกิดในปี 1984 ที่เมืองไฮด์ ปาร์ก อัปสเตด รัฐนิวยอร์ค
ผมอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมกับพ่อแม่และพี่สาว 4 คนที่ชอบเรียนเต้นแท็ปมาก
พ่อแม่ก็อยากให้ผมเต้นเป็นด้วยจึงส่งผมเรียนเมื่อผมอายุได้ 3 ขวบ ขณะนั้นผมไม่ได้สนใจมากนัก
ผมแค่เต้นสนุกไปกับพวกพี่ ๆ และเมื่อผมอายุราว 12-13 ปี ผมก็เลิกเต้นแท็ปเพราะอยากเรียนอย่างอื่นมากกว่า เนื่องจากได้ยินมาว่าการเต้นแท็ปเหมาะสำหรับผู้หญิง (-) คุณตัดสินใจเป็นนักเต้นแท็ปอาชีพเมื่อไรครับ
ตอนนั้นผมอายุ 13 ปีและได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Singin’ in the Rain นำแสดงโดยยีน เคลลี่ (Gene
Kelly) ผมตกตะลึงกับท่าเต้นที่สวยงามอย่างไม่มีที่ติ ผมไม่เคยเห็นผู้ชายเต้นได้สง่างามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
นับแต่วันนั้นผมทุ่มเทกายใจให้กับการเต้นแท็ปโดยมียีน เคลลี่ เป็นเทพบุตรของผม
คุณพ่อคุณแม่ต้องอดออมอย่างมากเพื่อทำความฝันของผมให้เป็นจริงและที่สุดผมก็ได้เรียน กับอาจารย์สอนการเต้นแท็ปที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้ (-) เป็นความจริงหรือที่คุณเคยเปิดโรงเรียนสอนการเต้นแท็ปเอง
อาจารย์ที่สอนผมหลายท่านแนะนำให้ผมฝึกฝนการเต้นแท็ปให้มากที่สุด
และไม่นานต่อมาพื้นที่ห้องนั่งเล่นที่ผมฝึกเต้นที่บ้านเริ่มเป็นข้อจำกัดการฝึกซ้อมของผม
ที่สุดคุณแม่เสนอให้ผมเปิดสอนโรงเรียนสอนฯ โดยใช้ชื่อของผมเพื่อใช้สอนนักเรียนและฝึกเต้นแท็ปไปด้วย
และดังนั้นผมจึงเปิดโรงเรียนสอนการเต้นแท็ปเมื่ออายุ 15 ปีโดยมีนักเรียน 1 คน
ในช่วงเวลานั้นการเต้นแท็ปคือชีวิตของผม โปรดติดตามตอนที่ (2)

Re: “เรื่อง การเต้นแท็ปถวายพระ “

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 19, 2020 4:21 pm
โดย rosa-lee
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (2)

โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ เป็นพระเยซูคริสตเจ้าอย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท
(-) คุณเริ่มมีกระแสเรียกติดตามพระเยซูเจ้าเมื่อไร

ตอนที่ผมอายุ 17 ปี ผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อการเต้นแท็ป
และแม้ว่าผมไม่เคยปฏิเสธความเชื่อคาทอลิกที่ผมได้รับมาแต่เด็ก แต่ผมก็รู้สึกเฉย ๆ กับพระเจ้าและพระศาสนา
ขณะนั้นผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนแม่พระเมืองลูร์ด ของคณะภราดาแม่พระซึ่งมีวิชาพระศาสนาอยู่ในหลักสูตรด้วย
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเรียนวิชานี้เป็นพิเศษ จนวันหนึ่งขณะที่กำลังเรียนเรื่องการปฏิรูปของโปรแตสแต็นท์
ในวิชาประวัติพระศาสนจักร เพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นอธิบายถึงความเชื่อคาทอลิก เกี่ยวกับการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ผมซาบซึ้งกับคำอธิบายข้อความเชื่อของเธอเป็นอย่างมาก
เธออธิบายว่าเป็นพระเยซูคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ทั้งครบอย่างแท้จริง เป็นพระกาย พระโลหิต
พระวิญญาณและพระเทวภาพของพระองค์ ภายใต้รูปปรากฏของปังและเหล้าองุ่น
อาจเป็นเพราะผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือผมไม่ได้ตั้งใจฟังตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ก็ได้ จะอย่างไรก็ตาม
ความคิดที่ว่าองค์พระเยซูคริสตเจ้าประทับอยู่ในศีลมหาสนิทอย่างแท้จริงเริ่มรบกวนผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
(-) ในช่วงเวลานั้นมีใครช่วยชี้ทางออกให้คุณบ้างไหมครับ
หลังจากที่ผมครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ระยะหนึ่ง วันหนึ่งผมตัดสินใจไปขอความกระจ่างกับคุณครูปีเตอร์ ลีอองส์
ผู้สอนวิชาคำสอนชั้น ม. 5 และเป็นครูที่ผมให้ความเคารพมาก ผมถามท่านว่า “คุณครูเชื่อจริง ๆ
หรือครับว่าเป็นองค์พระเยซูคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ในศีลมหาสนิท?” คุณครูตอบผมทันทีว่า “แน่นอนที่สุด”
หลังจากนั้นคุณครูก็อ้างถึงพระวรสารโดยนักบุญยอห์นที่ว่า
“ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย
เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้” (ยน 6:54-55)
คุณครูให้หนังสือผมเล่มหนึ่งเรื่อง (air quotes left)อัศจรรย์ที่เกิดจากศีลมหาสนิท(air quotes right) ผมอ่านด้วยใจจดใจจ่อ
พระธรรมล้ำลึกที่ผมเริ่มค้นพบนี้ได้เปลี่ยนวิธีการมองชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง
บางครั้งถึงกับหยุดอ่านกลางคันและตั้งคำถามกับตัวเองว่า “หากพระเยซูเจ้าประทานพระองค์เองในศีลมหาสนิท
และศีลมหาสนิทส่งผ่านมาถึงเราโดยทางพระศาสนจักร
ถ้าเช่นนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องเริ่มเอาใจใส่อย่างจริงจังทั้งกับพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักร”
(-) ช่วงเวลาแห่งการกลับใจ
ความเชื่อในเรื่องศีลมหาสนิทอย่างเดียวหรือที่ดลใจให้คุณกลับใจ
ผมเริ่มรู้สึกถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้บาปด้วยความจริงใจและเด็ดขาด
และคงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกเช่นนี้นับแต่การรับศีลอภัยบาปหลายครั้งที่ผ่านมา
เมื่อพระสงฆ์โปรดบาปครั้งนี้ให้ ผมรู้สึกว่าดวงวิญญาณที่ก่อนหน้านั้นเป็นเหมือนแผ่นกระจกที่สกปรก
มีสภาพสะอาดบริสุทธิ์และมีแสงสว่างแห่งพระพรส่องผ่านดวงวิญญาณของผม
เป็นประสบการณ์ที่มีพลังมหาศาล และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ผมเข้าใจว่ามีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นศูนย์กลางชีวิตของผม
แม้ว่าผมจะยังไม่รู้จักกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ก็ตาม โปรดติดตามตอนที่ (3)

Re: “เรื่อง การเต้นแท็ปถวายพระ “ มี 5 ตอน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 19, 2020 4:24 pm
โดย rosa-lee
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (3)

โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)หลังจากนั้นชีวิตของคุณมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างครับ
เปลี่ยนไปแทบทุกอย่างเลยครับ ประสบการณ์ที่ได้รับในขณะนั้นคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของชีวิตผม
นิสัยการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมเริ่มไปฟังมิสซาทุกเช้า และทุกสองสัปดาห์ผมไปแก้บาป
ผมสวดภาวนาทุกวันและถวายกิจการต่าง ๆ ที่ทำทุกวันแด่พระองค์ ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์และรำพึง

ผมอ่านเกี่ยวกับการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมาและรู้สึกได้ถึงความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์
โดยเฉพาะในเรื่องการสวดสายประคำ นอกจากนั้นผมยังมีคุณพ่อเยสุอิตที่ดีเป็นคุณพ่อวิญญาณารักษ์ด้วย
วิถีชีวิตใหม่ของผมทำให้ผมมีจิตใจที่สงบและเป็นสุขที่สุด เป็นความปีติยินดีที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แม้แต่เมื่อตอนที่ผมประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตการเป็นนักเต้นแท็ป
ผมเริ่มเข้าใจว่าความชื่นชมยินดีที่ผมเพิ่งลิ้มรสเป็นครั้งแรกนี้เกิดจากศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ผมได้รับโดยผ่านทางพระสงฆ์
ผมจึงได้ข้อสรุปว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลที่สำคัญเพราะท่านเป็นพาหนะที่นำความยินดีให้กับมวลมนุษย์
จากความเข้าใจในเรื่องนี้ ผมก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นการผูกมัดตัวเองในฐานะพระสงฆ์ เพื่อจะสามารถเป็นผู้ให้ความสุขที่ผมค้นพบนี้กับผู้อื่นได้เช่นกัน
(*)ถนนสาย 42 กลางนิวยอร์ค
หลังจากนั้นคุณก็เข้าบ้านเณรเลยใช่ไหมครับ
ยังครับ ผมยังคงเป็นนักเต้นแท็ปอยู่เหมือนเดิม เมื่อผมจบชั้นมัธยม ผมก็เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม
แมนฮัตตันซึ่งเป็นสถาบันของคณะสงฆ์เยสุอิต ผมเรียนวิชาปรัชญาและเทววิทยาพร้อมกับทำงานเป็นนักเต้นแท็ป
หลังจากเรียนจบปีที่ 1 ผมได้งานเป็นนักเต้นแท็ปที่โรงละครบรอดเวย์ ถนนสาย 42 ที่โด่งดังกลางกรุงนิวยอร์ค
ที่นี่ผมมีประสบการณ์การทำงานที่ดีมาก และการแสดงก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
คณะของเราเปิดการแสดงไปทั่วประเทศรวมทั้งต่างประเทศด้วย ไปไกลจนถึงประเทศญี่ปุ่น
ก่อนจบการแสดงไปตามเมืองต่าง ๆ มีเหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อจิตใจของผมเป็นอย่างมาก
คือการสวรรคตของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทุกท่านคงจำได้ดีว่า
ในช่วงเวลานั้นมีการตีพิมพ์เรื่องของพระองค์ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
รวมทั้งเป็นรายการสำคัญของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องด้วย ผมจึงทราบจากหลายแหล่งข่าวว่า
เมื่อเป็นหนุ่มพระองค์โปรดการแสดงละครมาก
จนถึงวันที่พระองค์จะต้องเลือกระหว่างการแสดงบนเวทีกับการเป็นพระสงฆ์
ผมจำได้ว่าได้ดูพิธีปลงศพของพระองค์ทางโทรทัศน์ขณะที่อยู่ในโรงแรมที่พักระหว่างตระเวนการแสดงไปตาม เมืองต่าง ๆ ผมได้เห็นพลังความดีมหาศาลที่พระองค์ทรงมีต่อชาวโลก อันเป็นผลจากการตัดสินพระทัยเลือกที่จะเป็นพระสงฆ์ของพระเจ้า
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบเรียกของพระจิตเจ้าจากเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และจากแบบอย่างของมหาบุรุษพระองค์นี้ที่จูง
ใจให้ผมเลือกเส้นทางเดินเดียวกัน โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )

Re: “เรื่อง การเต้นแท็ปถวายพระ “ มี 5 ตอน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 19, 2020 4:25 pm
โดย rosa-lee
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (4)

โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ มีเหตุการณ์อื่นอีกไหมที่กระตุ้นคุณให้เดินไปตามเส้นทางตามที่ตั้งใจ
มีครับ เมื่อผมได้รู้จักกับกิจกรรมคาทอลิกของ “องค์กรโฟโคลาเร”
ผมยังคงเก็บความทรงจำที่ดีไว้ไม่รู้ลืม คณะโฟโคลาเรตั้งขึ้นในประเทศอิตาลีในปี 1943
ผมรู้จักกับสมาชิกชายหญิงของคณะที่มาจากทุกชนชั้น
พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะนำพระวาจาออกปฏิบัติในชีวิตจริง
ผมประทับใจมากที่เห็นสมาชิกทุกคนดื่มด่ำในความเชื่อ ความร่าเริง และความรัก ผมเริ่มอ่านบทความต่าง ๆ
ที่เขียนโดยเคียร่า ลูบิค (Chiara Lubich) ผู้ก่อตั้งคณะ และเข้าร่วมประชุมกับพวกเขาในที่ทำการท้องถิ่น ของคณะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเกิดของผม

ขณะนั้นเคียร่ายังมีชีวิตอยู่ มีอยู่หลายครั้งที่เธอกล่าวย้ำว่าชีวิตเป็นสมบัติล้ำค่า
และเราต้องใช้ชีวิตของเราให้ดี เพราะเรามีเพียงชีวิตเดียว ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องใช้ชีวิตในความรัก
คำพูดประโยคหนึ่งที่จับใจผมคือ “เมื่อถึงวันปิดฉากชีวิตบนโลกนี้หลังจากที่กิจการต่าง ๆ
ของเราจบสิ้นแล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ต่อไปคือความรักของเราเท่านั้น”
เมื่อผมได้พิจารณาถึงทางเดินชีวิตทั้งหมดในอนาคตซึ่งได้แก่ (1) การแต่งงานและใช้ชีวิตเป็นฆราวาสธรรมดา
(2) การเป็นฆราวาสที่ถวายตัวแด่พระเจ้า (3) การเป็นนักบวช หรือ เป็นพระสงฆ์ของสังฆมณฑล
ผมรู้สึกว่าทางเลือกสุดท้ายน่าจะเป็นทางเลือกที่เรียกร้องความรักของผมมากที่สุด
ทางเลือกนี้เร้าใจผมนับแต่เมื่อผมกลับมาค้นพบความเชื่ออีกครั้งหนึ่ง
คือเป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ผมได้เป็นผู้แจกจ่ายศีลศักดิ์สิทธิ์แก่บรรดาสัตบุรุษ นอกจากนั้น
ผมยังรู้สึกมีจิตใจที่สงบกับความคิดที่ว่าวันหนึ่งผมจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเมื่อผมจากโลกนี้ไป
และถวายรายงานชีวิตที่ได้ดำเนินไปในรูปแบบต่างๆ ของความรักที่พระสงฆ์ของสังฆมณฑลเป็นผู้มอบให้แก่ประชากรของพระองค์ จนถึงขั้นยอมสละชีวิตเพื่อพวกเขา
(*)ความกังวลใจสุดท้าย
ยังครับ ผมไม่ได้เข้าบ้านเณรทันที
ผมคงเป็นเหมือนเด็กหนุ่มอีกหลายคนที่ใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ที่น่าหวั่นเกรง ผมรู้สึกว่าไม่คู่ควรและไม่มีคุณสมบัติพอ อย่างไรก็ตามมีอยู่วันหนึ่งขณะที่กำลังออกจากวัด
ผมเหลือบไปเห็นสตรีชาวยิวคนหนึ่งที่ผมรู้จักมาก่อน
เธอกลับใจเป็นคาทอลิกหลังจากหายจากอาการเจ็บที่หลังอย่างอัศจรรย์
หลังจากนั้นเธอก็เป็นคริสตังใจศรัทธาร้อนรนและสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องในเรื่องจิตวิญญาณได้
ในวันนั้นทันทีที่เธอเห็นผม เธอก็พูดขึ้นว่า “เดวิด เธอมัวแต่ทำอะไรกับชีวิตของเธออยู่น่ะ?”
ผมเล่าให้เธอฟังว่าผมยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องกระแสเรียก เธอตอบผมทันควันว่า “เดวิด
เธอรู้ไหมว่าเธอมีกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์ของสังฆมณฑล ถึงเวลาที่เธอจะต้องตัดสินใจเข้าบ้านเณรได้แล้ว”
เมื่อผมค้านว่า ผมแทบไม่มีคุณสมบัติเดินตามกระแสเรียกนี้เลย เธอตอบผมว่า
“เธอคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวก 12 คนเพราะพวกเขามีคุณสมบัติพร้อมหรือ? เปล่าเลย
พระองค์ทรงเรียกพวกเขาเพราะพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอ และเพื่อที่ทุกคนจะได้ทราบว่า
ความสำเร็จของพวกเขาเกิดจากการทำงานของพระเจ้าที่ทรงทำงานผ่านพวกเขาเท่านั้น
เราต้องเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ และหากพระองค์ทรงเรียกเรา
เราต้องมีความเชื่อและวางใจในพระองค์” ก่อนจากกัน เธอปกมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะของผม
และสวดภาวนาสั้น ๆ และลาจากไป ผมรู้สึกแปลกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะผมไม่เคยพูดกับคนที่มาวัดนี้เกี่ยวกับความกังวลใจของผมในเรื่องกระแสเรียกเลยโดยเฉพาะกับสตรีชาวยิวผู้
นี้ ผมรู้สึกว่าคำพูดของเธอเป็นการดลใจจากพระจิตเจ้า ผมจึงกลับเข้าไปในวัดอีกครั้งหนึ่ง
คุกเข่าลงต่อหน้าตู้ศีลและกราบทูลพระเยซูเจ้าว่า “ลูกยอมแล้วครับ”
โปรดติดตามตอนที่ (5)

Re: “เรื่อง การเต้นแท็ปถวายพระ “ มี 5 ตอน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 19, 2020 4:27 pm
โดย rosa-lee
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (5)

โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(.)หลังจากนั้นคุณยังมีปัญหาอะไรอีกไหมครับ
ก็มีอีกจนได้ เป็นปัญหาสุดท้ายจริงๆ คือเมื่อผมบอกทุกคนเรื่องการตัดสินใจที่แน่นอนแล้ว
และขณะที่กำลังดำเนินการปิดกิจการโรงเรียนสอนเต้นแท็ปอยู่

มีโทรศัพท์ดังขึ้นจากผู้อำนวยการการแสดงที่เสนอรายได้สูงมาก หากผมจะร่วมเดินทางไปกับคณะแสดงด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการแสดงที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ข้อเสนอนี้ทำให้ผมต้องคิดหนักอีกครั้งหนึ่ง ชะรอยจะเป็นกับดักของปีศาจ
หรือว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับผมว่าผมเลือกทางเดินชีวิตผิด
ทันใดนั้นสมองของผมก็คิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของนักบุญอิกญาซิโอ แห่งโลโยลา ที่กล่าวว่า
“หากจะมีอะไรเกิดกับคณะเยสุอิต (ที่ท่านเป็นผู้ตั้ง) สิ่งที่ผมจะทำคือขอเวลาเฝ้าศีล 15 นาที
จากนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ยอมรับได้ด้วยความสบายใจ”
ผมจึงเลียนแบบท่านนักบุญด้วยการไปเฝ้าศีลโดยคิดรำพึงถึงเรื่องการต่อสู้ของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีตามเนื้อ
หาในหนังสือที่เพื่อนคนหนึ่งเพิ่งให้ผมในวันนั้นเอง หลังจากที่ผมเฝ้าศีลได้ราว 15 นาที จิตใจของผมก็สงบไร้กังวล
ผมรู้สึกว่าพระเจ้าทรงให้ผมวางใจในพระองค์และให้ผมทำตามกระแสเรียกที่พระองค์โปรดให้ผมทราบอย่างชัดแจ้ง
อยู่แล้ว แม้ว่าการเดินตามกระแสเรียกนี้หมายถึงการปฏิเสธโอกาสทองทางโลกก็ตาม
หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่โรงเรียนสอนการเต้นแท็ป
และโทรศัพท์ตอบปฏิเสธการรับงานด้วยเหตุผลส่วนตัว ถูกแล้วเป็นการตัดสินใจที่ยากทีเดียว
แต่ทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ ผมก็ตระหนักในบัดดลว่า สิ่งที่ผมเพิ่งกระทำลงไปนั้น
คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้จัดลำดับให้พระเจ้าอยู่เหนืออาชีพการงานของผมอย่างสมพระเกียรติ
ผมคุกเข่าลงบนพื้นเวทีเต้นแท็ป และเริ่มสวดภาวนาด้วยน้ำตานองหน้า
ขณะเดียวกันผมก็หยั่งทราบถึงเสียงของหัวใจที่สื่อถึงผมว่า
ขณะนั้นพระมารดาประทับอยู่เบื้องหน้าผมและสื่อถึงผมในใจว่า “เดวิด ลูกได้ตอบรับพระบุตรของแม่
ต่อแต่นี้ไปแม่สัญญาจะอยู่กับลูกตลอดการเดินทางของลูก”
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยหวั่นไหวในเรื่องกระแสเรียกอีกเลย
(.)การเต้นแท็ปยังมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณอีกบ้างไหมครับ?
หลังจากที่ผมเรียนจบปีแรกที่บ้านเณร ผมพบพระคุณเจ้าทิโมที โดลัน (Timothy Dolan)
พระอัครสังฆราชแห่งนิวยอร์ค ซึ่งได้รับเลือกเป็นพระคาร์ดินัลเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อพระคุณเจ้าทราบถึงภูมิหลังชีวิตของผมที่แตกต่างจากเณรคนอื่น พระคุณเจ้ากล่าวกับผมว่า “อย่าเลิกเต้นแท็ป
เราจำเป็นต้องใช้พระพรทุกอย่างที่เราได้รับในการนำผู้คนมาหาพระเยซูคริสต์”
ชีวิตของผมในปัจจุบันมิใช่เป็นการเตรียมตัวเป็น ‘พระสงฆ์นักเต้นแท็ป’ (tap dancing priest)
ผมต้องการเป็นเพียงพระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ของสังฆมณฑล และผมวางแผนชีวิตที่จะได้ทำมิสซา โปรดศีลอภัยบาป
โปรดศีลล้างบาปแก่ทารก และเทศน์สอนพระวาจาของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม
หากเป็นที่แน่ชัดว่าการเต้นแท็ปของผมอาจเป็นโอกาสที่จะช่วยให้บางคนเข้าใกล้ชิดพระเจ้าและความรักของพระ
องค์ละก็ ผมจะไม่รีรอที่จะสวมรองเท้าเต้นแท็ปอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน (จบบริบูรณ์)