หน้า 1 จากทั้งหมด 1

อัศจรรย์แห่งการสวดสายประคำ (1)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:14 pm
โดย rosa-lee
.........การนัดหมายกับคู่รัก.........
เรื่องจริงเล่าโดย Pete Vere เมือง Nokomis รัฐฟลอริด้า จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “An Engaging Encounter”

ในโลกปัจจุบัน เป็นการยากอยู่ไม่น้อยที่จะพบนักศึกษาสาวที่กำลังหาคู่ครองและเจริญชีวิตตามคำสอนของพระศาสนจักร ตั้งแต่การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ของเรา ผมทราบดีว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ “ใช่เลย” สำหรับผม แต่ก็ติดอยู่ที่ปัญหาหนึ่งคือเธอไม่เป็นคาทอลิก แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยทุกประการกับคำสอนของพระศาสนจักรรวมทั้งหลักเกณฑ์ศีลธรรมในเรื่องเพศ แต่เธอก็ไม่สนใจคิดเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิก หรือศึกษาข้อความเชื่อของคาทอลิกใด ๆ
เมื่อคบกันใหม่ ๆ ผมเคยคิดว่าคงไม่เป็นเรื่องยากกับการทำให้เธอกลับใจ ดังนั้นผมจึงสานความสัมพันธ์กับเธอเรื่อยมา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ดูใจกันมานานพอควรแล้ว ผมรู้สึกว่านับวันเธอยิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อคาทอลิกและความสัมพันธ์ของเราก็ไม่หวานชื่นดังเดิม ผมเริ่มตั้งคำถามว่า เราทั้งสองยังคงจะแต่งงานกันต่อหน้าพระหรือไม่ ตามแผนที่วางไว้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ปัญหาเรื่องศาสนาที่สำคัญเนื่องจากเธอมีพื้นเพเป็นโปรเตสแตนท์ “เอวังเจลิคัล” และอีกปัญหาหนึ่งคือขณะนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของสันตะสำนักเพื่อเตรียมตัวเป็นนักกฎหมายพระศาสนจักร (canonist) ซึ่งหมายถึงอนาคตผมคงจะทำงานเกี่ยวกับระบบกฎหมายของพระศาสนจักร
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นระหว่างเรา ผมมักจะคำนึงถึงแต่เรื่องกฎเกณฑ์ของพระศาสนจักร ทำให้เราลืมนึกถึงเรื่องการใช้พระพรของพระในการพูดคุยกันในเรื่องข้อความเชื่อ และดังนั้นคู่รักของผมจึงมีทัศนคติเป็นลบต่อศาสนาคาทอลิก
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งอยู่ในห้องพักและรู้สึกได้ถึงปัญหาที่รุมเร้าอยู่ในใจ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองว่า ผมควรจะวางมือเรื่องกฎหมายพระศาสนจักรสักหนึ่งวันและเดินทางไปสักการสถานแม่พระที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในชนบท ที่มีคริสตังจากต่างถิ่นมาแสวงบุญสวดสายประคำกันทุกวันสุดสัปดาห์ และผมก็น่าจะเชิญคู่รักไปพักผ่อนด้วยกันด้วยในวันนั้น
เป็นเรื่องแปลกที่เธอแทบไม่ลังเลใจเลยในการตอบตกลง ผมจึงตัดสินใจทันทีที่จะเช่ารถและขับไปรับเธอที่ห้องเช่าที่เธอพักอยู่ เราขับรถไปตามภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาของประเทศแคนาดาและเปิดเพลงฟังระหว่างการเดินทาง ซึ่งมีทั้งเพลงทางโลกและเพลงทางศาสนา เราหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันในโรงเตี๊ยมชนบทที่แปลกตา สรุปคือการขับรถไปตามถนนชนบทในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีของเช้าวันนั้นเป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์ทีเดียว
กระนั้นก็ดี ลึก ๆ แล้วเราทั้งสองยังคงมีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องศาสนาคาทอลิกอยู่ แม้จะไม่มีการพูดออกมาก็ตาม เมื่อขับรถไปถึงสักการสถานแม่พระ ผมรีบสวดสั้น ๆ ในใจขอความช่วยเหลือจากพระแม่ และรู้สึกมั่นใจว่าความตึงเครียดของเราทั้งสองจะสิ้นสุดลงก่อนค่ำวันนั้น
เราเริ่มออกเดินแสวงบุญไปยังบริเวณข้อรำพึงแรก ผมออกเสียงสวดบทวันทามารีย์ เมื่อสวดเสร็จ เธอก็บอกให้ผมหยุด และถามขึ้นว่า “ฉันว่า ฉันเคยได้ยินข้อความเหล่านี้มาแล้วนะ”
ผมจึงตอบเธอว่า “คุณคงจะเคยอ่านพบในตอนต้นของพระคัมภีร์โดยนักบุญลูกา เพราะตอนต้นของบทสวดนี้เป็นคำกล่าวของเทวทูตคาเบรียล เมื่อเริ่มทักทายพระนางมารีย์ ต่อด้วยคำกล่าวของเอลิซาเบธญาติของพระนางมารีย์”
เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำตอบของผมและถามขึ้นว่า “จริงหรือนี่ คุณหมายถึงว่า บทสวดนี้มาจากพระคัมภีร์หรือ?”
ผมตอบเธอว่า “ถูกต้องแล้ว ที่จริงบทวันทามารีย์ก็คือการมีพระคัมภีร์ฉบับจิ๋วติดตัวไว้ บทสวดส่วนใหญ่ก็เป็นบทวันทามารีย์และบทข้าแต่พระบิดาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนอัครสาวกให้รู้จักสวดนั่นเอง ส่วนข้อรำพึงต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสวงบุญก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระชนมชีพของพระเยซูคริสต์ตามพระวรสาร”
เธอครุ่นคิดถึงคำตอบของผม ขณะที่ผมกำลังรำพึงถึงการรับเอากายเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความงดงามของบทสวดที่กำลังถูกนำลงปลูกฝังอยู่ในหัวใจของเธอ เมื่อเราเดินไปถึงบริเวณข้อรำพึงที่สองของภาคชื่นชมยินดี เธอหันหน้ามาและขอให้ผมช่วยสอนเธอสวดบทวันทามารีย์
ขณะนั้นผมตระหนักได้ทันทีเลยว่าหัวใจของเราทั้งสองกำลังคลายความเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างการรำพึงในภาคชื่นชมยินดีตามเส้นทางที่เหลือ ผมสวดช้า ๆ เพื่อให้เธอสวดตามได้ และเมื่อเราเข้าร่วมกลุ่มนักแสวงบุญจากที่อื่น ในการรำพึงตามภาคมหาทรมาน เธอก็สามารถสวดบทวันทามารีย์ได้อย่างคล่องแคล่ว ราวเป็นคาทอลิกมาตั้งแต่เกิด ไม่มีนักแสวงบุญสักคนในกลุ่มนั้นทราบว่าเธอไม่ได้เป็นคาทอลิก
เมื่อเราแสวงบุญเสร็จถึงภาคสิริรุ่งโรจน์ก็เป็นเวลาเย็นพอดี เมฆฝนตั้งเค้า เราทั้งสองเดินไปหาที่หลบฝนในรถ และกำลังจะขับรถต่อเพื่อไปหาอาหารเย็นในภัตตาคารดี ๆ ในเมือง ก่อนออกรถ เธอขอไปที่ร้านขายของที่ระลึกในบริเวณสักการสถานก่อนร้านปิด... เธอรีบตรงเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกและชี้ไปยังสายประคำคริสตัลสีน้ำเงินที่ส่องแสงเป็นประกายอยู่ในตู้โชว์ จากนั้นก็ส่งบัตรเครดิตให้กับพนักงานขาย... ขณะที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยในรถ เธอบอกผมว่า “ตอนนี้ฉันสามารถสวดพร้อมกับคุณและลูก ๆ ในอนาคตของเราได้แล้ว”
ผมร้องไห้ออกมา ผมเพิ่งเป็นพยานถึงอัศจรรย์ที่เกิดจากพลังแห่งสายประคำและการเสนอคำวิงวอนของพระนางพรหมจารี นี่มิใช่อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการรักษาโรคทางกาย แต่เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะหัวใจของเธอเปิดต้อนรับชีวิตจิตตามแนวทางของพระเยซูคริสตเจ้าแล้ว นี่คือการที่สายประคำช่วยให้ชีวิตแต่งงานของผมราบรื่น ตั้งแต่ก่อนวันแต่งงานของเรา!
เกือบสี่ปีผ่านไปนับแต่วันที่เกิดอัศจรรย์ขึ้นในหัวใจของเรา พระเจ้าทรงอวยพรชีวิตแต่งงานของเรา ลูกสาวคนแรกของเราน่ารักมาก และตั้งแต่วันที่เกิดอัศจรรย์กับเธอในหัวใจ เธอไปวัดเคียงข้างผมทุกวันอาทิตย์และในวันฉลองบังคับ เพราะเราสวดภาวนาเป็นครอบครัวด้วยกันเสมอ
*****************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ

Re: อัศจรรย์แห่งการสวดสายประคำ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:17 pm
โดย rosa-lee
..........ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในสายประคำ.......
โดย Juliette Levivier

นักบุญเปโตรรู้สึกไม่สบายใจที่หลายครั้งมีวิญญาณเข้าไปอาณาจักรสวรรค์ โดยที่ท่านไม่ทราบ ท่านคิดว่าคงมีช่องแตกตามกำแพงเมืองสวรรค์ หรือไม่วิญญาณเหล่านี้คงเข้ามาโดยมี “เส้นสายภายในที่ซับซ้อนและยังไม่เป็นที่รู้จักกัน” ท่านจึงขอให้อัครเทวดามีคาแอลช่วยสำรวจตรวจตราป้อมปราการโดยรอบ ร่วมกับท่านอย่างละเอียด และทั้งสองก็พบว่าที่หอสูงแห่งหนึ่ง มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ทั้งสองสังเกตเห็นพระนางมารีย์นั่งอยู่บนป้อมสูง ทำท่าเหมือนกำลังนั่งตกปลาซาร์ดีนอยู่! ที่ปลายของคันเบ็ดมีสายประคำห้อยอยู่ นักบุญเปโตรรู้สึกแปลกใจเป็นยิ่งนักเพราะไม่เคยเห็นการตกปลาเช่นนี้มาก่อน และต่อมาท่านก็แลเห็นพระนางมารีย์บรรจงยกคันเบ็ดขึ้นอย่างนิ่มนวล โดยมีวิญญาณกลุ่มหนึ่งเกาะแน่นอยู่ที่สายประคำนั้น จากนั้นพระนางก็ปลดดวงวิญญาณเหล่านั้นออก และส่งมอบให้กับพระบุตรของพระนางที่นั่งอยู่ติดกัน เมื่อพระบุตรได้รับแล้วก็นำวิญญาณเหล่านั้นตรงเข้าไปในสรวงสวรรค์ ด้วยความทนุถนอม... นี่คือการจับปลาแบบใหม่ที่น่าอัศจรรย์ทีเดียว!

สายประคำคืออาวุธลับของพระนางมารีย์ เป็นวิธีการนำเราเข้าหาพระนาง แต่ที่จริงมิใช่เพื่อให้เราไปหาพระนาง แต่เพื่อที่จะนำเราไปยังพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระนาง สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงพระอักษรว่า “สายประคำที่เป็นเรื่องของพระนางมารีย์นั้น อันที่จริงเป็นการสวดภาวนาที่มีพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง”
บทวันทามารีอาที่เราหันหน้าหาพระนางมารีย์ขณะที่เราสวดนั้น เมื่อพระนางได้ยินแล้ว พระนางก็จะนำเราไปหาพระเยซูเจ้าต่อ “ศูนย์ถ่วงของบทวันทามารีอาที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างตอนที่หนึ่งและตอนที่สองก็คือพระนามของพระเยซูเจ้า ในบางครั้งเมื่อเราสวดบทนี้เร็วเกินไป ศูนย์ถ่วงนี้จะหายไป และทำให้การเชื่อมโยงถึงรหัสธรรมของพระคริสตเจ้าที่เราคิดคำนึงถึงขณะที่เราสวดภาวนาขาดหายไปด้วย ดังนั้นความสำคัญและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการสวดสายประคำ จึงเป็นการเน้นถึงพระนามของพระเยซูเจ้าและรหัสธรรมของพระองค์นั้นเอง”
บางครั้งเรารู้สึกประหลาดใจที่เห็นสตรีสูงอายุใจศรัทธาสวดสายประคำกัน ราวกับรถด่วน ทั้งที่จริงการสวดสายประคำมิใช่เป็นการวิ่งแข่ง 100 ม. แต่เป็นการเดินทางที่ล้ำลึก เป็นการสวดภาวนาจากใจ เป็นการคิดรำพึง จุดประสงค์มิใช่การรีบสวดเพื่อจะได้จำนวนบทมาก ๆ แต่เป็นการคิดรำพึงอย่างช้า ๆ ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า และเช่นนี้แหละคือวิธีการที่พระนางมารีย์ช่วยเราให้รู้จักกับพระบุตรของพระนาง ทีละน้อย เป็นการประทับพระพักตร์ของพระเยซูคริสตเจ้าลงในหัวใจของเรา และเปลี่ยนเราทีละน้อยให้เป็นไปตามแบบฉบับของพระองค์ในพระวรสาร ****************
แปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ

Re: อัศจรรย์แห่งการสวดสายประคำ (1)

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:38 pm
โดย rosa-lee
.........นิกรเทวดาเริงระบำอยู่เหนือซุ้มพิธี ........... เล่าโดย Elizabeth M. Keihm
คริสทีนพี่สาวและดิฉันร่วมกันทำธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้ที่เกาะแมนฮัตตันมาได้ 10 ปีแล้ว ธุรกิจของเราไปได้ดีมาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม และบ่อยครั้งก็ให้เราจัดดอกไม้สำหรับงานใหญ่ ๆ แม้ว่าเป็นงานที่น่าตื่นเต้นและมีรายได้ดี แต่ก็แฝงด้วยความเครียดอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเป็นงานที่ใช้เวลามากและใช้ดอกไม้สดที่ไม่ทนนาน
ถูกแล้ว ทุกธุรกิจย่อมต้องผ่านเหตุการณ์คับขัน และทุกครั้งที่เกิดเรื่องเช่นนี้ เราจะแก้ปัญหาเหมือนกันทุกครั้งคือ ดิฉันจะโทรศัพท์ไปหาคุณแม่ (Geraldine) เล่าถึงปัญหาและจากนั้นคุณแม่ก็จะบอกกับเราเหมือนกับที่เคยบอกทุกครั้งว่า “ไม่ต้องห่วง แม่จะสวดสายประคำให้เดี๋ยวนี้เลย แม่พระจะจัดการให้ และแม่พระไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
วันหนึ่งเรากำลังจัดดอกไม้ตกแต่งบริเวณทางเข้าสโมสรที่หรูมากแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์คซึ่งจะใช้จัดงานแต่งงาน บริเวณงานเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ปูพื้นด้วยหินอ่อนอย่างดี มีเตาผิงยักษ์ที่สวยงามสูงกว่า 10 ฟุต กว้าง 10 ฟุตตั้งอยู่ทั้งที่ไม่มีการใช้งานมาระยะหนึ่งแล้ว เราตัดสินใจจะใช้เตาผิงนี้เป็นจุดศูนย์กลางของงานโดยทำเป็นซุ้มมีหลังคาและเสา 4 ต้น (Chuppah) เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีแต่งงาน เนื่องจากเป็นงานแต่งงานของคนยิว
เราใช้ผ้าม่านโปร่งเบาประดับด้านหน้าของเตาผิงเพื่อซ่อนส่วนที่เป็นเคยเป็นที่เผาฟืนหรือถ่านหิน และใช้ดอกไม้สีขาวหลายชนิดประดับคิ้วด้านบนของเตาผิง จากนั้นเราก็ตั้งเสาสูง 8 ฟุต 2 ต้นด้านหน้าเพื่อทำเป็น “บ้านน้อย” ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าอยู่ใต้บริเวณ “บ้าน” หลังนี้ระหว่างพิธีซึ่ง ได้แก่คู่บ่าวสาว พระรับไบ และครอบครัวของบ่าวสาว
หนุ่มผู้ช่วยเรา 2 คน จะต้องใช้ผ้าที่โปร่งเบาอีกหลายผืน ขึงระหว่างเสากับคิ้วด้านบนเพื่อให้ดูเหมือนหลังคาบ้าน หลังจากนั้นก็ใช้ดอกไม้สีขาวอีกมากประดับเสา ดิฉันขอให้ผู้ช่วยขึงผ้าที่ตัดสลับกันไปมาให้ดูอ่อนช้อยและหย่อนเล็กน้อย แต่ต้องสูงพอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในพิธียืนขณะประกอบพิธีได้ เมื่อทุกอย่างเสร็จ ซุ้มที่จัดทำขึ้นสวยมาก ดูอ่อนพลิ้วด้วยดอกไม้สีขาวสดใสส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ หลังจากนั้นเราก็ไปตกแต่งบริเวณอื่นในห้องโถงอีกเป็นเวลานาน เราแขวนพวงดอกไม้ขนาดใหญ่ตามบันได ตกแต่งบริเวณที่จะใช้ดื่มสังสรรค์ และห้องอาหารค่ำ รวมทั้งเตรียมดอกไม้สำหรับแขกที่รับเชิญร่วมงานเลี้ยงทุกคน สำหรับงานแต่งงานที่สำคัญเช่นนี้ เราและทีมงานต้องอยู่ในงานตั้งแต่ต้นจนจบด้วย
ขณะที่พี่ดิฉันนั่งหลบอยู่ด้านหลังและรอผู้คนมาในงานอยู่นั้น ดิฉันรู้สึกเวียนศีรษะอย่างฉับพลันเมื่อเห็นว่า ผ้าโปร่งที่หลังคาของ “บ้านน้อย” เลื่อนลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าที่เห็นครั้งสุดท้ายมาก ดิฉันจึงให้ผู้ช่วยคนหนึ่งเข้าไปทดลองยืนในบริเวณนั้นดู ก็เห็นว่าศีรษะของเขาสูงกว่าหลังคา ดิฉันตกใจแทบสิ้นสติ เพราะนั่นหมายถึงการปิดฉากลงอย่างไม่สวยเอาเสียเลยในอาชีพของเรา ดิฉันคงจะต้องถูกดำเนินคดี หรืออย่างน้อยก็ถูกปรับเป็นจำนวนเงินมหาศาลหลังจากที่เราอดหลับอดนอน ทำงานกันอย่างหนักเป็นเวลานาน อีกทั้งยังเป็นการพังครืนของวันที่พิเศษที่สุดของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกด้วย
ดิฉันสอบถามผู้ช่วยถึงสิ่งที่พวกเขาทำลงไป ก็ได้คำตอบว่า เนื่องจากพวกเขาต้องการให้ผ้าโปร่งเบาดูเป็นฟองอากาศขนาดใหญ่ที่อ่อนนุ่ม จึงได้ใส่ผ้าหนาลงไประหว่างผ้าโปร่งเบาอีกหลายชั้น ดิฉันถามต่อไปว่า “แล้วพวกเธอยึดปลายไว้ด้วยหรือเปล่า ?” --- คำตอบที่ได้คือ “เปล่าครับ”
ดิฉันร้องเสียงหลงว่า “เปล่าหรือ ดูสิ เจ้าผ้าพวกนั้นกำลังไหลลงไปรวมกันตรงกลาง ทำให้หลังคาต่ำลง และตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว นักดนตรีและแขกกำลังจะมาถึงงานกันอยู่แล้ว เขาพูดตอบอย่างแผ่วเบาว่า “ขอโทษครับ”
ดิฉันพูดและคิดอะไรไม่ออก จากนั้นดิฉันก็ทำสิ่งที่เคยทำมาตลอดชีวิตคือ โทรศัพท์บอกให้แม่ที่บ้านทราบและเริ่มร้องไห้ ดิฉันเล่าให้แม่ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น คุณแม่ก็พูดตอบเช่นที่เคยพูดทุกครั้งกับดิฉันเมื่อมีปัญหาว่า “ไม่ต้องห่วง แม่จะสวดสายประคำให้เดี๋ยวนี้เลย แม่พระจะจัดการให้ และแม่พระก็ไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
ดิฉันยังคงร้องไห้พร้อมกับพึมพำว่า “แม่พระจะช่วยเรื่องนี้ได้อย่างไรหรือคะ?” ดิฉันเช็ดน้ำตา รวบรวมสติเผชิญหน้ากับความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น และมองไปยังบริเวณนั้นอีกครั้งหนึ่ง
บัดนี้ทั่วบริเวณงานมีแขกเข้ามาร่วมงานแล้วประมาณ 200 คน ดิฉันก้มศีรษะลงรอเวลารับความอับอายที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนที่สุด ดนตรีเริ่มบรรเลง จากนั้นดิฉันก็ได้ยินเสียงแขกในงานส่งเสียง แสดงความชื่นชมยินดีกัน เช่นที่เราได้ยินเมื่อเห็นเจ้าสาวย่างก้าวเข้ามาในบริเวณงานเป็นครั้งแรก แต่สำหรับงานในวันนี้ ดิฉันแน่ใจว่าต้องเป็นเสียงร้องผงะด้วยความตกใจ เมื่อพวกเขาเห็น “บ้านน้อย” สำหรับพิธี
พี่สาวดิฉันกระทุ้งศอกที่สีข้างของดิฉันและพูดว่า “ดูพวกเขาสิ” ดิฉันก็มองไปยังสมาชิกของครอบครัวของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ทุกคนกำลังยืนอยู่ใต้ซุ้ม อะไรกันนี่! พวกเขาทุกคนเป็นคนที่เตี้ยที่สุดตั้งแต่ดิฉันเคยพบเห็นมา!
ที่น่าแปลกใจคือทุกคนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเป็นคนร่างเล็กทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น พระรับไบผู้ประกอบพิธีก็เป็นพระที่เตี้ยกว่าทุกคนที่อยู่ในซุ้มพิธี คือสูงไม่เกิน 5 ฟุต ดิฉันแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง!
ดิฉันยังคงสวดภาวนาต่อไป “โปรดให้พิธีแต่งงานใต้ซุ้มเสร็จสิ้นก่อนที่หลังคาผ้าจะเลื่อนต่ำลงไปกว่านี้ด้วยเถิด”
ขณะที่ดิฉันสวดถึงตอนนี้ พระรับไบก็กล่าวข้อความที่สำคัญที่สุดกับคู่บ่าวสาวว่า “วันนี้เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดี แม้แต่นิกรเทวดาในสวรรค์ก็เริงระบำกันอย่างร่าเริง” จากนั้นพระรับไบก็ยกมือขึ้นอย่างมีพิธีรีตอง และประกาศก้องว่า “ดูสิ นิกรเทวดาในสวรรค์กำลังเริงระบำกันอยู่บนซุ้มหลังคาที่สวยงามของเรา!”
ดิฉันคิดในใจว่า “จะไปเริงระบำกันที่ไหนก็ได้ แต่ได้โปรดอย่ามาเริงระบำกันบนหลังคาซุ้มนี้นะคะ!”
พี่สาวดิฉันพอได้ยินก็ส่งเสียงหัวเราะคิก ๆ รวมทั้งตัวดิฉันด้วย และพิธีก็จบลงโดยพลัน ส่วนดิฉันก็ทำอย่างที่เคยทำเช่นกันเมื่อผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ดิฉันตรงดิ่งไปยังเครื่องโทรศัพท์ และโทรหาคุณแม่ คุณแม่เป็นฝ่ายถูกอีกแล้ว แม่พระทรงเข้าช่วยเหลือและไม่เคยทำให้คุณแม่ของดิฉันผิดหวังเลย
******************
แปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ

Re: อัศจรรย์แห่งการสวดสายประคำ (1)

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 11, 2020 5:05 pm
โดย rosa-lee
.........มิตรแท้ของดิฉัน..........
เรื่องจริงเล่าโดย Sheila D. Dowdell เมือง Unionport รัฐโอไฮโอ จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “My best friend”
ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ดิฉันศรัทธาต่อแม่พระเป็นพิเศษ แม้ว่าพื้นเพเดิมของดิฉันเป็นโปรเตสแตนต์ที่มีใจร้อนรน เพื่อน ๆ ที่เป็นโปรเตสแตนต์คิดว่าดิฉันเป็นคนประหลาด เพราะเวลาที่เล่นกันในบ้านกับตุ๊กตา ดิฉันไม่เคยยอมเล่นเป็น “แม่” หรือเป็น “ครู” เลย แต่จะเล่นเป็น “พระนางพรหมจารี” หรือไม่ก็เป็น “ซิสเตอร์” คือเป็นคนที่มีผ้าคลุมหน้า
วันหนึ่ง ดิฉันไปที่ร้านขายดอกไม้กับคุณป้า ท่านให้ดิฉันเลือกเอาอะไรก็ได้ในร้านที่มีช่อดอกไม้ที่สวยงาม และมีกล่องดนตรีอีกด้วย แต่สิ่งที่ดึงดูดดิฉันกลับเป็นรูปแม่พระขนาด 6 นิ้วที่ตั้งอยู่บนหิ้งอีกด้านหนึ่งของร้าน ดิฉันยืนยันที่จะได้พระรูปนั้นและที่สุดคุณป้าก็ตกลงซื้อให้ แต่กระนั้นคุณป้าก็ถามดิฉันว่า “แล้วคุณพ่อจะไม่ว่าหรือ?” ซึ่งดิฉันก็ตอบท่านว่า “ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่หนูไม่สนใจหรอกว่าพ่อจะว่าหรือไม่ เพราะหนูจะเก็บไว้ในห้องของหนู”
เป็นเวลากว่า 40 ปีผ่านไปจนทุกวันนี้ รูปแม่พระนั้นก็ยังคงตั้งอยู่ในห้องของดิฉัน ทุกครั้งที่มีการย้ายบ้าน ดิฉันจะเป็นคนถือรูปนี้ไว้กับมือ โดยไม่ยอมให้คนอื่นแตะต้องเลย
หลังจากที่คุณป้าผู้อารีซื้อพระรูปนั้นให้แล้ว ดิฉันก็ได้เรียนรู้วิธีสวดสายประคำจากเพื่อนที่เป็นคาทอลิก และได้รับศีลล้างบาปเป็นคริสตังเมื่อ 12 ปีก่อน ที่เป็นเช่นนี้เพราะลูกชายคนสุดท้องของดิฉันเร่งเร้าที่จะเป็นคริสตัง ที่สุดทั้งดิฉันและลูกชายคนสุดท้องก็รับศีลล้างบาป ศีลกำลังและศีลมหาสนิทด้วยกันในมิสซาที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัว ดิฉันร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติตลอดพิธี
ดิฉันทราบดีว่า แม่พระอยู่กับดิฉันเสมอมา ไม่เฉพาะในขณะที่ดิฉันกำลังสวดสายประคำเท่านั้น แต่โดยเฉพาะขณะที่มารดาของดิฉันจากโลกนี้ไปด้วยโรคอัลไซเมอร์ หลังจากที่ดิฉันได้ดูแลท่านเป็นเวลา 6 ปี ก่อนการเสียชีวิตท่านมีอาการโคม่าและคาดกันว่าจะเสียชีวิตตั้งแต่สัปดาห์ก่อนนั้น แต่ท่านก็ยังไม่พร้อมที่จะจากโลกนี้ไป
ในค่ำคืนที่ท่านจากไปนั้น เราเพิ่งจะสวดสายประคำเสร็จ แม้ว่าขณะที่ท่านอยู่ในอาการโคม่าท่านไม่สามารถสวดได้ แต่ดิฉันก็ได้นับเม็ดสายประคำทีละเม็ดโดยให้ทุกเม็ดที่สวดสัมผัสไปบนนิ้วมือของคุณแม่พร้อมกับการสวดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังของดิฉันเพื่อให้ท่านได้ยิน
หลังการสวด ดิฉันรู้สึกได้ว่าพระมารดาได้ประทับอยู่ในที่นั้นด้วย ดิฉันรู้สึกได้ถึงการสัมผัสของพระมารดาที่ไหล่และได้ยินเสียงกระซิบว่า “ถึงเวลาแล้วลูก” ทันใดนั้นดิฉันก็รู้สึกโล่งอกและไม่รู้สึกหวาดหวั่น ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นใด ๆ ทั้งสิ้น
ดิฉันลุกขึ้นยืนและเลื่อนเก้าอี้ออกจากข้างเตียงนอนของมารดา เก็บสายประคำพร้อมกับก้มหน้าลงจูบลาคุณแม่ เป็นประสบการณ์การจากไปที่ประทับใจที่สุดที่ฉันเคยสัมผัส คุณแม่จากไปพร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ส่วนดิฉันยืนมองดูท่านพร้อมกับจิตใจที่สงบและเปี่ยมด้วยความรักอย่างซาบซึ้ง จากนั้นดิฉันรู้สึกได้ว่าพระนางมารีย์กำลังตรัสกับดิฉันว่า “ลูกรัก คุณแม่จากไปในสันติสุขและกำลังอยู่กับคุณพ่อ เธอมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง”
วันที่คุณพ่อมารับคุณแม่ที่รักไปอยู่ด้วยกันในบ้านตลอดนิรันดรนั้นตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2002 ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์พอดี
**********************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ

Re: อัศจรรย์แห่งการสวดสายประคำ (1)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2020 12:04 pm
โดย rosa-lee
......สายประคำแห่งการบำบัด......
เรื่องจริงเล่าโดย Marian Fitzgerald เมือง Yarmouth, Nova Scotia, แคนาดา จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “The Healing Rosary”
ดิฉันเกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 1931 ที่เมืองโนวา สโกเทีย ประเทศคานาดา ตลอดชีวิตของดิฉันผูกพันกับสายประคำเสมอมา
ดิฉันพบก้อนเนื้องอกที่หน้าอกในเดือนมีนาคม 1982 และรู้สึกกลัวมากเมื่อคุณหมอแจ้งให้ทราบว่าจะต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน ขณะที่นอนอยู่บนรถเข็นเข้าห้องผ่าตัดนั้น มือขวาของดิฉันกำสายประคำไว้แน่น จากนั้นก็มีการให้ยาระงับประสาทและยาชาซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกมึนงง ก่อนการดมยา พวกเขาสังเกตเห็นสายประคำในมือและเล่าให้ดิฉันฟังในภายหลังว่า พวกเขาใช้เวลาพอสมควรก่อนที่จะเอาสายประคำออกจากมือที่กำอยู่ได้
การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี และแจ้งให้ทราบว่าเป็นเรื่องแปลกทั้งที่ก้อนเนื้อเป็นมะเร็ง แต่ดิฉันกลับไม่ได้เป็นมะเร็ง และไม่มีเชื้อมะเร็งเลยอีก 19 ปีต่อมา ทั้งนี้เพราะการสวดสายประคำของทั้งตัวดิฉันเอง และของสามีกับของบุตรสาวที่สวดให้ดิฉันก่อนการผ่าตัด
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องแปลกที่เกิดกับพี่ชายคนโตของดิฉันที่อยู่ในสถานพยาบาลถึง 12 ปีก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ดิฉันมีพี่น้อง 8 คน พ่อแม่พาพวกเราไปฟังมิสซาทุกวันอาทิตย์และสวดสายประคำทุกคืนในช่วงมหาพรต แต่ต่อมาพี่ชายคนโตติดเหล้าและออกจากบ้านไปใช้ชีวิตเสเพล จนถึงขั้นเป็นขอทานและนอนตามข้างถนน
แม้ว่าพี่ชายคนนี้จะเคยเป็นคนดีและเป็นเด็กช่วยมิสซาก่อนติดสุรา แต่ต่อมาก็เสียความเชื่อ และคุ้นเคยกับการอยู่ในคุก อย่างไรก็ตามใน ที่สุดเมื่อถูกส่งตัวไปอยู่ในสถานพยาบาล เขาก็หันเหชีวิตกลับมาสวดภาวนาและขอสายประคำจากพยาบาลมาสวดอยู่เป็นประจำ
เขาป่วยเป็นมะเร็งที่ปอด พวกเราก็ผลัดกันมาเยี่ยมและอยู่กับเขาทุกวัน เขาป่วยหนักจนไม่สามารถยกแขนได้ และส่งสัญญาณให้เราไปสวดสายประคำที่ข้างเตียงของเขา
ทุกคนอยู่พร้อมหน้าขณะที่เขาเสียชีวิตโดยมีสายประคำอยู่ในมือ เขาจ้องหน้าพวกเราและพยายามยกสายประคำชูขึ้นสูงขณะที่มองไปยังเพดานเบื้องบน จากนั้นก็ยิ้มอย่างเบิกบานที่สุดก่อนที่จะวางสายประคำลงที่บริเวณเหนือหัวใจ
พยาบาลที่อยู่ด้วยกล่าวว่า “เขาได้แลเห็นพระนางพรหมจารี!”
ด้วยเหตุที่ดิฉันได้สัมผัสกับอัศจรรย์จากแม่พระเช่นนี้ ดิฉันจึงช่วยงานวัดด้วยความกระตือรือร้นอยู่เป็นประจำ ดิฉันช่วยพระสงฆ์แจกศีลและส่งศีลมหาสนิทให้คนเจ็บ ดิฉันเล่นกีตาร์ในมิสซาวันอาทิตย์ ลูกชายคนเดียวของดิฉันเป็นโรคลมบ้าหมูตั้งแต่อายุ 4 ขวบ แต่หลังจากการรักษาพยาบาลและคำภาวนา ลูกดิฉันก็ได้เป็นผู้อ่านในมิสซาด้วย
******************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ