นักบุญโฮเซ่มารีอา เอสกรีบา เดปาลาเกรกับการประกาศ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2020 12:47 pm
นักบุญโฮเซ่มารีอา เอสกรีบา เด ปาลาเกร กับการประกาศพระศาสนาในหมู่ปัญญาชน (ตอนที่ (1)
โดยคุณพ่อ อังกังเชโล ปาร์ร็อตตา, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ
นักบุญ โฮเซ่มารีอา (Saint Josemaria Escriva de Balaguer : 1902-75) เกิดในแคว้นอารากอน ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ.1902 ท่านเป็นบุตรคนที่สองในครอบครัวที่มีพี่น้อง 6 คน เมื่ออายุได้ 2 ขวบ ท่านป่วยหนักจนเกือบเสียชีวิต บิดามารดาเป็นผู้มีความเชื่ออย่างมั่นคงได้สัญญากับแม่พระว่า หากลูกหายป่วยก็จะพาไปแสวงบุญที่วัดตอร์เรซีอูดา (Torreciudad) ใกล้เทือกเขาพีรีนีส พระเป็นเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนที่ผ่านทางแม่พระและโปรดให้ท่านหายป่วย
ในปีค.ศ.1910 ลูกสาว 3 คนของครอบครัวจากโลกนี้ไปทีละคน โฮเซ่มารีอารู้สึกเป็นกังวลและพูดกับแม่ว่า “ปีหน้าก็ถึงตาผมแล้ว” แม่จึงพูดปลอบเขาว่า “อย่าคิดมากไปเลยลูก อย่าลืมนะว่าเราได้ถวายลูกแด่แม่พระแล้ว ดังนั้นลูกจึงอยู่ในความดูแลของแม่พระนะลูก”
เมี่อท่านมีอายุได้ 16 ปี ก็รู้สึกว่ามีพระกระแสเรียก : “วันนั้นอากาศแจ่มใส ผมพูดกับพ่อว่า ผมอยากเป็นพระสงฆ์...เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ พ่อได้เตรียมแผนการชีวิตอย่างอื่นไว้ให้ผมแล้วแต่พ่อก็ไม่ปฏิเสธ ท่านเพียงพูดตอบว่า ลูกรัก พระสงฆ์เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่มีชีวิตลำบาก ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัวและไม่มีความรักตามประสาของชาวโลก ลูกคิดตรองดูให้ดีแล้วค่อยมาคุยกันใหม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ปฏิเสธความตั้งใจของลูก”
ท่านใช้เวลาอีกปีเศษในการคิดไตร่ตรองและปรึกษากับพระสงฆ์องค์หนึ่งซึ่งมีความเห็นว่า ท่านมีพระกระแสเรียกจริง ในปี 1920 ท่านก็เข้าบ้านเณรที่เมืองซารากอสซา ท่านเป็นเณรที่เฉลียวฉลาดและมีความประพฤติดี พระคาร์ดินัลโซลเดบีลาตั้งท่านเป็นหัวหน้าเณร
โฮเซ่มารีอาชอบเฝ้าศีลเป็นเวลานานและรำพึงตามพระคัมภีร์ในวัดน้อยที่บ้านเณร วันที่ 28 มีนาคม 1925 ท่านรับศีลอนุกรมบวชเป็นพระสงฆ์ และได้รับมอบหมายให้ปกครองวัดที่มีสัตบุรุษราว 800 คน คุณพ่อสร้างบรรยากาศความศรัทธาแก่สัตบุรุษในเขตวัดที่อยู่ในการปกครองของท่านเป็นอย่างดี
ต่อมาคุณพ่อได้ศึกษากฎหมายต่อที่เมืองซารากอสซา ก่อนจะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงมาดริดซึ่งในสมัยนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่ให้การศึกษาระดับปริญญาเอก ที่กรุงมาดริดคุณพ่อพักอยู่ที่บ้านพักพระสงฆ์ของคณะนักบวชสตรีแพร่ธรรมแห่งพระหฤทัยพระเยซูเจ้า เป็นคณะนักบวชที่ดูแลมูลนิธิผู้ป่วยและทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ สอนคำสอนและให้การศึกษาแก่คนยากจน คุณพ่อช่วยงานคณะนักบวชสตรีนี้อย่างเต็มที่ควบคู่กับการศึกษาเล่าเรียน รวมทั้งเป็นคุณพ่อจิตตาธิการของมูลนิธิผู้ป่วยระหว่างปี 1927-1931 คุณพ่อกล่าวว่า “งานช่วยเหลือผู้คนถือเป็นงานที่ให้ความสุขสูงสุดแก่ผู้ให้บริการ และนี่คืองานที่พระสงฆ์ทุกคนต้องปฏิบัติทั้งกลางวันกลางคืน มิฉะนั้นเราก็ไม่ใช่พระสงฆ์”
ชีวิตของคุณพ่อดำเนินมาถึงจุดพลิกผันในวันที่ 2 ตุลาคม 1928 ขณะที่คุณพ่อกำลังจัดห้องอยู่ก็ได้ยินเสียงระฆังและได้รับญาณหยั่งทราบถึงอนาคตที่เกี่ยวกับ “งานของพระเป็นเจ้า” (โอปุสเดอี : Opus Dei) คุณพ่อได้รับการดลใจจากพระและตระหนักถึงแนวทางการรับใช้พระในชีวิตประจำวันของเราทุกคนโดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับอายุ ชาติกำเนิด หรือวัฒนธรรม คริสตชนที่ประสงค์จะเข้าร่วมงานและปฏิบัติตนให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นโดยทำหน้าที่ตามปกติในชีวิตประจำวันด้วยความรักพระและเผยแผ่ความเชื่อของตนสู่ผู้อื่น การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้นั้นตระหนักถึงหน้าที่ของตนพร้อมกับการแพร่ธรรมด้วยความร้อนรนยิ่งขึ้น โปรดติดตามตอนที่ 2ในวันพรุ่งนี้
โดยคุณพ่อ อังกังเชโล ปาร์ร็อตตา, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ
นักบุญ โฮเซ่มารีอา (Saint Josemaria Escriva de Balaguer : 1902-75) เกิดในแคว้นอารากอน ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ.1902 ท่านเป็นบุตรคนที่สองในครอบครัวที่มีพี่น้อง 6 คน เมื่ออายุได้ 2 ขวบ ท่านป่วยหนักจนเกือบเสียชีวิต บิดามารดาเป็นผู้มีความเชื่ออย่างมั่นคงได้สัญญากับแม่พระว่า หากลูกหายป่วยก็จะพาไปแสวงบุญที่วัดตอร์เรซีอูดา (Torreciudad) ใกล้เทือกเขาพีรีนีส พระเป็นเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนที่ผ่านทางแม่พระและโปรดให้ท่านหายป่วย
ในปีค.ศ.1910 ลูกสาว 3 คนของครอบครัวจากโลกนี้ไปทีละคน โฮเซ่มารีอารู้สึกเป็นกังวลและพูดกับแม่ว่า “ปีหน้าก็ถึงตาผมแล้ว” แม่จึงพูดปลอบเขาว่า “อย่าคิดมากไปเลยลูก อย่าลืมนะว่าเราได้ถวายลูกแด่แม่พระแล้ว ดังนั้นลูกจึงอยู่ในความดูแลของแม่พระนะลูก”
เมี่อท่านมีอายุได้ 16 ปี ก็รู้สึกว่ามีพระกระแสเรียก : “วันนั้นอากาศแจ่มใส ผมพูดกับพ่อว่า ผมอยากเป็นพระสงฆ์...เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ พ่อได้เตรียมแผนการชีวิตอย่างอื่นไว้ให้ผมแล้วแต่พ่อก็ไม่ปฏิเสธ ท่านเพียงพูดตอบว่า ลูกรัก พระสงฆ์เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่มีชีวิตลำบาก ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัวและไม่มีความรักตามประสาของชาวโลก ลูกคิดตรองดูให้ดีแล้วค่อยมาคุยกันใหม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ปฏิเสธความตั้งใจของลูก”
ท่านใช้เวลาอีกปีเศษในการคิดไตร่ตรองและปรึกษากับพระสงฆ์องค์หนึ่งซึ่งมีความเห็นว่า ท่านมีพระกระแสเรียกจริง ในปี 1920 ท่านก็เข้าบ้านเณรที่เมืองซารากอสซา ท่านเป็นเณรที่เฉลียวฉลาดและมีความประพฤติดี พระคาร์ดินัลโซลเดบีลาตั้งท่านเป็นหัวหน้าเณร
โฮเซ่มารีอาชอบเฝ้าศีลเป็นเวลานานและรำพึงตามพระคัมภีร์ในวัดน้อยที่บ้านเณร วันที่ 28 มีนาคม 1925 ท่านรับศีลอนุกรมบวชเป็นพระสงฆ์ และได้รับมอบหมายให้ปกครองวัดที่มีสัตบุรุษราว 800 คน คุณพ่อสร้างบรรยากาศความศรัทธาแก่สัตบุรุษในเขตวัดที่อยู่ในการปกครองของท่านเป็นอย่างดี
ต่อมาคุณพ่อได้ศึกษากฎหมายต่อที่เมืองซารากอสซา ก่อนจะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงมาดริดซึ่งในสมัยนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่ให้การศึกษาระดับปริญญาเอก ที่กรุงมาดริดคุณพ่อพักอยู่ที่บ้านพักพระสงฆ์ของคณะนักบวชสตรีแพร่ธรรมแห่งพระหฤทัยพระเยซูเจ้า เป็นคณะนักบวชที่ดูแลมูลนิธิผู้ป่วยและทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ สอนคำสอนและให้การศึกษาแก่คนยากจน คุณพ่อช่วยงานคณะนักบวชสตรีนี้อย่างเต็มที่ควบคู่กับการศึกษาเล่าเรียน รวมทั้งเป็นคุณพ่อจิตตาธิการของมูลนิธิผู้ป่วยระหว่างปี 1927-1931 คุณพ่อกล่าวว่า “งานช่วยเหลือผู้คนถือเป็นงานที่ให้ความสุขสูงสุดแก่ผู้ให้บริการ และนี่คืองานที่พระสงฆ์ทุกคนต้องปฏิบัติทั้งกลางวันกลางคืน มิฉะนั้นเราก็ไม่ใช่พระสงฆ์”
ชีวิตของคุณพ่อดำเนินมาถึงจุดพลิกผันในวันที่ 2 ตุลาคม 1928 ขณะที่คุณพ่อกำลังจัดห้องอยู่ก็ได้ยินเสียงระฆังและได้รับญาณหยั่งทราบถึงอนาคตที่เกี่ยวกับ “งานของพระเป็นเจ้า” (โอปุสเดอี : Opus Dei) คุณพ่อได้รับการดลใจจากพระและตระหนักถึงแนวทางการรับใช้พระในชีวิตประจำวันของเราทุกคนโดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับอายุ ชาติกำเนิด หรือวัฒนธรรม คริสตชนที่ประสงค์จะเข้าร่วมงานและปฏิบัติตนให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นโดยทำหน้าที่ตามปกติในชีวิตประจำวันด้วยความรักพระและเผยแผ่ความเชื่อของตนสู่ผู้อื่น การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้นั้นตระหนักถึงหน้าที่ของตนพร้อมกับการแพร่ธรรมด้วยความร้อนรนยิ่งขึ้น โปรดติดตามตอนที่ 2ในวันพรุ่งนี้