สายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 07, 2021 6:05 pm

...สายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด (ตอนที่ 1)
แปลจากเรื่อง Nothing Can Separate โดย กอบกิจ ครุวรรณ
รีเบกกา มองจากหน้าต่างห้องเห็นเด็ก ๆ กำลังเล่นขว้างปาหิมะกันอย่างสนุกสนานในสวนสาธารณะที่อยู่ติดกับบริเวณหลังบ้านของเธอ เธออยากจะไปเล่นกับพวกเขาด้วย แต่พ่อพูดกับเธอตั้งแต่เช้าวันนั้นว่า “วันนี้พ่อไม่ให้ลูกออกไปเล่นหิมะนะ” เธอถามเหตุผลกับพ่อ แต่พ่อตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “เชื่อพ่อเถอะ วันนี้ไม่ใช่วันที่ดีที่สุดที่จะออกไปเล่นหิมะหรอกลูก” รีเบกกาตอบตกลงโดยหอมแก้มพ่อและบอกว่าวันนี้เธอจะอยู่บ้านอ่านหนังสือ จากนั้นพ่อก็เดินลงบันไดจากไป
ไม่นานต่อมา รีเบกกาก็ครุ่นคิดอีกครั้งหนึ่งว่า “แปลกจังนะ วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส แล้วทำไมพ่อถึงไม่อนุญาตให้ลูกไปเล่นหิมะ ทำไมต้องให้ลูกหมดสนุกอดเล่นกับเพื่อน ๆ ด้วยล่ะ” ขณะที่กำลังคิดหาคำตอบอยู่นั้นเอง มีหิมะกำมือหนึ่งลอยมากระทบแตกกระจายที่หน้าต่างด้านนอกห้องพอดี เธอไม่สามารถอดใจไม่ออกไปเล่นได้อีกต่อไป เธอจึงวางหนังสือที่เพิ่งเริ่มอ่านไว้บนโต๊ะและก้าวออกไปเล่นหิมะนอกบ้านกับเพื่อน ๆ
ขณะที่เล่นอยู่นอกบ้าน รีเบกกาพยายามบอกตัวเองว่า เธอกำลังมีความสุขอยู่ กระนั้นก็ดีเธอรู้สึกมีเสียงลึกลับในใจบอกเธอว่า เธอไม่ได้ทำตามสิ่งที่พ่อพูดกับเธอ
หลังจากเล่นอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงเธอก็ลาเพื่อน ๆ กลับเข้าบ้านโดยตั้งใจจะย่องเข้าบ้านโดยไม่ให้ใครเห็นและเก็บตัวอยู่ในห้องนอนก่อนที่พ่อจะกลับบ้าน ด้วยความที่เธอรีบจะไปให้ถึงห้องของเธอโดยเร็ว เธอจึงไม่ได้สังเกตเห็นถุงมือข้างหนึ่งของคนในบ้านตกอยู่ที่คั่นบันไดตอนบน และเมื่อเท้าของเธอเหยียบบนถุงมือ เธอก็ลื่นตกบันไดลงมาหลายขั้น ยิ่งกว่านั้นขณะที่ตกลงมามือข้างหนึ่งของเธอยังได้ไปปัดภาพที่พ่อชอบเป็นพิเศษที่แขวนอยู่ข้างบันไดตกลงมาจนภาพฉีกขาดอีกด้วย
ปกติเมื่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ เธอจะรีบบอกให้พ่อทราบ ซึ่งท่านก็จะกุลีกุจอช่วยปฐมพยาบาลให้ แต่ครั้งนี้เธอไม่กล้าสู้หน้าพ่อ เธอทราบดีว่าเธอไม่ได้เชื่อฟังพ่อและยังเป็นต้นเหตุทำให้ภาพโปรดของพ่อฉีกขาดอีกด้วย เธอกัดฟันอดทนไม่ให้มีเสียงใด ๆ ลอดออกจากปาก เก็บภาพที่เสียหายขึ้นมาและเขย่งเท้าไปที่ห้องของเธอ
ตลอดทั้งวันที่เหลือ เธอนอนทนเจ็บไปทั่วร่างเพราะรอยฟกช้ำจากการตกบันได นอกจากนั้นใจของเธอเป็นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางร่างกายจนแทบจะทนไม่ได้ บัดนี้เธอแน่ใจว่าพ่อคงจะไม่รักเธออีกต่อไป ถูกแล้วในอดีตที่ผ่านมา เธอเคยก่อเรื่องยุ่งยากกับพ่ออยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาสาหัสมากเท่าความผิดในครั้งนี้อย่างแน่นอน พ่อคงจะไม่พูดกับเธออีกแล้ว การกระทำของเธอครั้งนี้ยังจะทำให้พ่อรักเธอได้อีกหรือ
เธอนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นไปมาอยู่นาน ก่อนหน้านั้นเธอคลอเคลียหัวเราะเล่นกับพ่อ ปรับทุกข์ร้องไห้กับท่าน รวมทั้งเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากท่าน แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เวลาแห่งความทุกข์โศกคืบคลานไปอย่างเชื่องช้าอยู่นานทีเดียว ที่สุดเย็นวันนั้น พี่เลี้ยงที่รู้จักหนูรีเบกกาเป็นอย่างดีมาเคาะขอเข้าไปในห้อง ที่ผ่านมาเธอมีวิธีการพูดจนรู้ทุกเรื่องของรีเบกกา และครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากพูดคุยกันอยู่ไม่นาน พี่เลี้ยงก็ทราบความจริงทั้งหมด จากนั้นเธอก็ให้คำแนะนำที่ดีด้วยท่าทางที่จริงจังและใช้คำพูดที่อ่อนหวานว่า “หนูรีเบกกาจ๊ะ เรื่องของหนูร้ายแรงทีเดียว แต่หนูจะมานั่ง ๆ นอน ๆ จมอยู่กับความผิดอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะ หนูต้องไปหาพ่อและถือภาพที่ขาดนี้ไปด้วย จากนั้นก็เล่าทุกอย่างให้พ่อทราบ”
รีเบกกา สะอื้นตอบว่า “โถ แต่หนูทำไม่ได้ หนูไม่สมควรที่จะได้รับความรักจากพ่ออีกแล้ว” โปรดติดตามตอนที่ 2ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 07, 2021 6:06 pm

...สายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด (ตอนที่ 2)
แปลจากเรื่อง Nothing Can Separate โดย กอบกิจ ครุวรรณ
พี่เลี้ยงถอนใจหนัก ๆ ด้วยความอดทนพูดว่า “เมื่อวานหนูก็ไม่ได้ดีกว่าวันนี้สักเท่าไรเหมือนกันนะ พ่อรักหนูก็เพราะหนูเป็นลูกสาวของท่าน ไม่ใช่เป็นเพราะสิ่งที่หนูทำหรือไม่ได้ทำให้ท่านหรอก พ่อไม่ได้พูดกับหนูตั้งแต่หนูจำความได้หรือว่า “พ่อรักหนูนะ” หนูไม่เชื่อคำพูดของพ่อหรือ หนูคิดจริง ๆ หรือว่า ความรักของพ่อขึ้นอยู่กับหนู”
คำพูดของพี่เลี้ยงที่ว่า “หนูไม่เชื่อคำพูดของพ่อหรือ” เป็นคำพูดที่กินใจรีเบกกามาก เพราะเธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ที่ผ่านมาเธอวางใจได้ทุกเรื่องกับพ่อ ...เธอเริ่มพูดกับตัวเองว่า ”ก็จริงนะ ฉันน่าจะไปหาพ่อ... ใช่แล้ว ฉันต้องไปหาพ่อ เพราะถ้าไม่ไป ฉันก็ต้องเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ตลอดไป”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทั้งที่เนื้อตัวยังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว รีเบกกาค่อย ๆ เดินเกาะบันไดลงไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง พ่อของเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดที่ท่านนั่งอยู่เป็นประจำทุกคืน ท่านชำเลืองสายตามาที่รีเบกกาพร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับด้วยความยินดีขณะที่เธอกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้อง ท่านอ้าแขนทั้งสองขึ้นพร้อมกับพูดว่า “หลังจากพ่อนั่งรออยู่นานแสนนาน ที่สุดหนูก็มาหาพ่อจนได้... มานี่ มานั่งตักพ่อ”
เมื่อเห็นพ่อแสดงความดีใจและให้การต้อนรับที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน รีเบกกาก็ปล่อยโฮอย่างไม่อาย ระล่ำระลักพูดว่า “พ่อคะ พ่อยังไม่รู้ว่าหนูทำผิดมากขนาดไหน พ่อคงจะไม่รักหนูอีกแล้ว” แล้วเธอก็ชูมือข้างที่ถือกรอบภาพที่ฉีกขาดให้พ่อเห็น
พ่อจึงตอบว่า “ลูกคงไม่รู้ว่า พ่อรู้ทุกเรื่องที่ลูกทำทั้งหมดแล้ว พ่อเห็นตั้งแต่ตอนที่ลูกออกไปนอกบ้าน เห็นตอนที่ลูกกลับเข้าบ้าน ตกบันไดและทำกรอบรูปตกจนภาพขาด พ่อเห็นหมดทุกอย่างแล้วลูก”
รีเบกการู้สึกงงกับคำตอบของพ่อ และถามว่า “พ่อรู้ได้อย่างไรหรือคะ -- วันนี้พ่อไม่ได้ไปทำงานหรือคะ”
พ่อสั่นศีรษะพูดตอบว่า “วันนี้พ่อลาหยุดงานหนึ่งวันเพื่อจะได้ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับลูก พ่อถึงพูดกับลูกตอนเช้าว่า อย่าออกไปเล่นหิมะนอกบ้านวันนี้ พอเห็นลูกตกบันได พ่อก็นั่งรอว่าเมื่อไรลูกจะมาให้พ่อทำแผลให้ – ขอพ่อดูแผลหน่อยสิ เจ็บตรงไหนบ้างลูก”
รีเบกกาแทบไม่เชื่อหูตัวเองในสิ่งที่ได้ยินจากปากพ่อ เธอเพิ่งทราบว่า บ่ายวันนั้นพ่อวางแผนจะใช้เวลาอยู่กับลูกและเธอก็พลาดโอกาสนั้นไปแล้ว จากนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า “แต่พ่อคะ หนูทำทุกอย่างพังไปหมดเลย แล้วตอนนี้พ่อยังรักหนูได้อีกหรือ ”
พ่อยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่รีเบกกาจดจำไปชั่วชีวิต พร้อมกับพูดตอบว่า “รีเบกกา ลูกรัก พ่อรักลูกตั้งแต่ก่อนที่ลูกจะเกิดเสียอีก ลูกเป็นลูกสาวของพ่อ และพ่อจะรักลูกตลอดไป แม้ว่าบางครั้งการกระทำบางอย่างของลูกส่งผลที่ลูกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่จะไม่มีสิ่งใดเอาความรักของพ่อไปจากลูกได้ เอาละ ตอนนี้ให้พ่อช่วยทำแผลได้แล้วนะ”
*******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ม.ค. 11, 2021 8:13 pm

.....“แตงโมครึ่งซีก..ในชีวิตคู่”......
บ่ายวันหนึ่ง…

ผมเลิกงานกลับบ้าน ร้อนจนเหงื่อโชก เปิดตู้เย็น

พบแตงโมแช่เย็นอยู่ครึ่งซีก ดีใจจนคว้าออกมา แทะกินจนเรียบ

ครู่ต่อมา…

ภรรยาผมก็กลับมาถึงด้วย เข้าประตูก็บ่น “กระหายน้ำ ร้อนมาก!”

เธอเปิดตู้เย็น และชะงัก ผมบอกเธอว่า แตงโมซีกนั้นผมกินไปแล้ว สีหน้าเธอมีแววไม่พอใจ

รีบเอาถ้วยไปรินน้ำ หยิบกระติกขึ้นมา ก็พบว่าในกระติกแห้งสนิท!

เธอพูดขึ้นมาทันที “เธอกลับบ้านมาก่อนทำไมไม่ต้มน้ำไว้บ้าง มัวทำอะไรอยู่?”

ผมโกรธบ้าง “แล้วทำไมอะไรๆ ก็ต้องให้ฉันทำ?”

เราสองคนทำสงครามเย็นกันอยู่เป็นอาทิตย์ กว่าจะยอมคืนดีกัน

วันเสาร์ ผมกลับบ้านพ่อแม่ไปคนเดียว

พอเห็นหน้า ทั้งคู่ก็ถามว่า “ทำไมไม่เห็นเมตตามาเลยอาทิตย์นี้?”

ผมเล่าเรื่องที่โกรธกันให้ฟัง แม่ฟังแล้วตำหนิผม

“ทำอะไรไม่ควรห่วงแต่ตัวเอง ควรใส่ใจคนอื่นบ้าง”

ผมไม่เห็นด้วย “แค่กินแตงโมไปครึ่งซีก จะอะไรนักหนา?”

พ่อหัวเราะ “แกไม่ต้องแก้ตัว พรุ่งนี้วันอาทิตย์ พากันมากินข้าวที่นี่นะ”

รุ่งขึ้น ผมพาครอบครัวมาหาพ่อแม่…

พอเข้าบ้าน พ่อก็ใช้ผมไปซื้อน้ำส้มสายชู พอผมกลับมา

พ่อบอกให้เมตตาพาลูกออกไปข้างนอกก่อน บอกแล้วพ่อก็เอาแตงโมครึ่งซีกมาให้ผม

“แกร้อนซะเหงื่อโชก กินแตงโมดับกระหายหน่อยเถอะ”

แตงซีกนั้นใหญ่ทีเดียว น่าจะหนักราวกิโลสองกิโลได้ พ่อส่งช้อนให้คันหนึ่ง

“กินไม่หมดก็เหลือไว้ให้เมียแกกินบ้าง”

ผมหยิบช้อนแล้วก็ตักกินใหญ่ กินไม่ถึงครึ่งก็พุงกาง
หลังกินอาหารเที่ยง…

พ่อเอาแตงโมงสองซีกออกมาวางบนโต๊ะ บอกผมว่า “แกดูทีซิว่า มันต่างกันตรงไหน?”

ผมงง ดูอย่างละเอียด ซีกหนึ่งเป็นซีกที่ผมกินไป อีกซีกก็ถูกกินไปด้วย

ดูอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นว่ามันต่างกันอย่างไร จึงส่ายหัว

พ่อชี้ให้ดูแตงแล้วอธิบายว่า…

“ซีกนี้แกกิน อีกซีกนี่เมตตากิน พ่อบอกแกทั้งสองว่า ถ้ากินไม่หมดให้เหลือไว้

ดูสิว่าเมียแกใช้ช้อนกินยังไง เธอเริ่มตักจากตรงกลาง กินไปถึงขอบครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งไม่ถูกแตะต้อง

แล้วดูของแกนี่ แกควักกินเนื้อตรงกลางจนหมด เหลือขอบไว้ให้คนอื่น

ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเนื้อแตงโมหวานตรงกลาง?

จากเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ ก็เห็นได้ว่าเมตตามีใจใหญ่กว่าแกมาก”

ผมหน้าแดงทันที พ่อพูดอย่างมีความหมายว่า…

“คนสองคนอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต จะมีเรื่องสำคัญอะไรนัก? ความรักความใส่ใจระหว่างผัวเมียอยู่ที่ไหน?

มันก็อยู่ในน้ำมันหยดเดียว..ข้าวช้อนเดียว..น้ำแกงทัพพีเดียว..คราวก่อนแกโกรธกันเรื่องกินแตงโม

แล้วยังมีข้ออ้างมากมายทั้งที่เป็นฝ่ายผิด ถ้าเมตตาเป็นฝ่ายกลับถึงบ้านก่อน รับรองว่า เธอจะต้องเก็บไว้ให้แกครึ่งหนึ่ง”

“อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กที่ไม่สำคัญ แต่มันสะท้อนให้เห็นหัวใจคน แตงโมชิ้นเดียวนั่นแหละให้ความรู้ในการใช้ชีวิตประจำวัน

หัวใจคนต่อให้เย็นชาแค่ไหน แกค่อยๆ ให้ความอบอุ่น มันจะร้อนขึ้นสักวัน หรือหัวใจที่ต่อให้ร้อนเท่าไร

แกสาดน้ำเย็นใส่ทีละช้อน..ทีละช้อน สักวันก็จะทำให้เย็นลงโดยสมบูรณ์

คิดดูนะ ถ้าเมตตาเป็นเหมือนแก ทำอะไรไม่เคยใส่ใจ นานวันเข้า แกจะรู้สึกยังไง?”

……………………………
คำพูดคำเดียวนั้นปลุกคนตื่นโดยแท้ ผมพบในทันใดว่า

รองเท้าแตะที่วางไว้ให้ทุกวันเมื่อกลับถึงบ้าน..น้ำชาที่ชงไว้ให้..ร่มที่วางหน้าประตูยามฝนตก

ล้วนแล้วแต่เป็นความรักความใส่ใจของเมตตา แต่ผมกลับไม่เคยเห็น ไม่รู้จักเอาใจเขาใส่ใจเรา …

คิดแล้วก็ละอาย รีบยกชามเกี๊ยวมาให้เมตตา “เธอกินก่อนเถอะ”

เธอหัวเราะ “ไม่ต้องมาทำไก๋ต่อหน้าพ่อกับแม่”

พ่อก็หัวเราะ “ถ้าทำไก๋อย่างนี้ได้ทั้งชีวิตก็ถือว่าเป็นสามีที่ดีนะลูก”

ในใจมีรัก ความรักนั้นต้องให้กันและกัน เราพึงใส่ใจอีกครึ่งของเรา

อย่าคิดว่าทุกปัญหาเป็นการหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ลองคิดถึงความผิดของตนดู

ใช้ชีวิตธรรมดาของตนให้ดี ใส่ใจคนในครอบครัว อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่น

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่บ้านใหญ่เพียงใด แต่อยู่ที่เสียงหัวเราะในบ้านหวานแค่ไหน

ความสุข..ไม่ใช่ได้ขับรถหรูเพียงใด แต่อยู่ที่ขับรถกลับถึงบ้านได้ปลอดภัย

ความสุข..ไม่ใช่มีคนรักสวย แต่อยู่ที่รอยยิ้มของคนรักสดใสเพียงใด

ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่ได้ฟังคำหวานมากหรือน้อย แต่อยู่ที่ยามโศกเศร้าเสียใจ..มีคนบอกฉันว่า ไม่เป็นไร ยังมีฉันอยู่..

อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่นในโลกโซเชียล จนห่างเหินกับคนในครอบครัวนะครับ

ขอขอบพระคุณที่มา : FW Line , FB: คิดเป็น
ตอบกลับโพส