“พระเยซูเจ้าทรงรักท่านเสมอ”
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 22, 2021 1:45 pm
....พระเยซูเจ้าทรงรักท่านเสมอ...
แปลจากเรื่อง Jesus really loves you โดย กอบกิจ ครุวรรณ
ปกติทุกบ่ายวันอาทิตย์หลังไปร่วมพิธีนมัสการที่โบสถ์ในตอนเช้าแล้ว ศิษยาภิบาลกับลูกชายวัย 11 ขวบจะไปแจก “แผ่นพับพระกิตติคุณ” (Gospel tracts) ในเมืองที่ทั้งสองอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามบ่ายของวันที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้ ฝนตกหนักและอากาศข้างนอกหนาวมาก กระนั้นก็ดีหลังอาหารกลางวัน ลูกชายของศิษยาภิบาลท่านนี้เริ่มใส่เสื้อผ้าชุดที่อบอุ่นที่สุดและพูดกับบิดาว่า “ผมพร้อมแล้วครับ”
บิดาจึงถามว่า “ลูกพร้อมเรื่องอะไรหรือ”
ลูกชายตอบว่า “ตอนนี้ได้เวลาที่เราจะเอาแผ่นพับไปแจกกันแล้วครับพ่อ”
บิดาตอบว่า “ลูกรัก บ่ายนี้อากาศหนาวเกินไป และฝนก็ยังเทลงมาไม่ขาดสายอยู่”
ลูกชายมีสีหน้ามึนงงกับคำตอบของบิดา และถามว่า “แต่พ่อเคยบอกไม่ใช่หรือครับว่า แม้แต่ตอนที่ฝนกำลังตกอยู่ ก็ยังมีคนไปนรกนะครับ”
บิดาพูดตัดบทว่า “อากาศอย่างนี้ พ่อขอตัวอยู่บ้าน”
ลูกชายรู้สึกหมดหวัง แต่ก็พยายามถามบิดาเป็นครั้งสุดท้ายว่า “งั้นผมขออนุญาตออกไปแจกแผ่นพับคนเดียวนะครับ พ่อ”
บิดารีรออยู่สักครู่ก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ ปึกแผ่นพับวางอยู่ที่ตรงนี้ ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะลูก”
“ขอบคุณครับ พ่อ”
ลูกชายหยิบปึกแผ่นพับและเปิดประตูบ้านออกไปฝ่าฝนตามถนนสายต่าง ๆ ในเมือง เขาเริ่มแจกแผ่นพับเมื่อพบผู้คน และเคาะประตูบ้านแต่ละหลังเพื่อแจกแผ่นพับให้ หลังจากเดินตากฝนแจกไปได้ 2 ชั่วโมงเศษ เขารู้สึกหนาวเหน็บและเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ตอนนั้นขาเหลือแผ่นพับอีกเพียงแผ่นเดียว เขาหยุดรออยู่ที่มุมถนนสักครู่แต่ก็ไม่มีผู้คนในบริเวณนั้นเลย เขาจึงเดินไปยังบ้านหลังแรกที่อยู่ใกล้ที่สุด หยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านและสั่นกระดิ่งที่ประตูเรียก
เขารออยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่มีผู้ใดเปิดประตูให้ เขาจึงสั่นกระดิ่งซ้ำไปมาและหยุดรออีกหลายครั้งโดยไร้ผล ที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะเดินจากไป ขณะนั้นเองเขาเกิดมีความรู้สึกแปลก ๆ จึงยังคงหยุดอยู่ที่เดิม ครั้งนี้เขาจับกระดิ่งสั่นอย่างแรงและรอต่อไป ผลก็ยังคงเหมือนเดิม เขาจึงสั่นกระดิ่งแรงยิ่งขึ้นอีก ครู่ต่อมาก็มีหญิงชราใบหน้าซีดเซียวอมทุกข์เปิดประตูบ้านอย่างเชื่องช้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “มีอะไรให้ยายช่วยหรือหนู” หนูน้อยของเรามีนัยน์ตาเปล่งเป็นประกายด้วยความดีใจพร้อมกับส่งยิ้มต้อนรับและพูดว่า “คุณยายครับ ผมต้องขอโทษที่รบกวนคุณยายมากทีเดียว ผมเพียงแต่อยากจะเรียนให้คุณยายทราบว่า พระเยซูเจ้าทรงรักคุณยายเสมอครับ กรุณารับแผ่นพับใบสุดท้ายของผมด้วยครับ เป็นแผ่นพับที่กล่าวถึงเรื่องราวทั้งหมดและความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ครับ” หลังจากนั้นพระเอกของเราก็โค้งคำนับคุณยายและหันหลังก่อนจะเดินกลับบ้าน แต่คุณยายส่งเรียกเขา จากนั้นก็พูดว่า “ขอบใจมากนะหลาน และขอให้พระเป็นเจ้าโปรดอำนวยพระพรให้หนูด้วย”
เช้าวันอาทิตย์ต่อมาระหว่างพิธีนมัสการที่โบสถ์ ศิษยาภิบาลบิดาของเด็กชายคนเดิมดำเนินพิธีนมัสการตามปกติ ท่านเริ่มพิธีด้วยการตั้งคำถามกับผู้ร่วมพิธีว่า “มีใครเป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระ หรือมีใครอยากจะกล่าวอะไรบ้างไหมครับ”
ครู่ต่อมา ที่บริเวณแถวด้านหลังของโบสถ์ มีสตรีสูงวัยท่านหนึ่งลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเธอสดใสเปล่งปลั่ง เธอเริ่มกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ในโบสถ์นี้คงไม่มีใครรู้จักดิฉันหรอกค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ดิฉันไม่เคยมาที่โบสถ์นี้เลย ดิฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน สามีของดิฉันก็เสียไปหลายปีแล้ว หลังจากนั้นดิฉันก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดียวเดียวดายในโลก จนเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันที่อากาศหนาวเหน็บและฝนก็ตกหนักตลอดทั้งวัน จิตใจของดิฉันห่อเหี่ยวมากจนรู้สึกไม่สามารถจะอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้ได้แล้ว ดังนั้น ดิฉันจึงคว้าเชือกและเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินขึ้นไปชั้นบนที่ห้องใต้หลังคา ผูกเชือกไว้กับขื่อและขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ก่อนจะเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งมาผูกรอบคอ จากนั้นก็เตรียมก้าวออกจากเก้าอี้ที่ยืนอยู่ แต่ทันใดนั้นเอง ดิฉันได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูบ้านดังผิดปกติจนดิฉันตกใจและคิดว่า รออีกสักนาทีเดี๋ยวคนที่สั่นกระดิ่งก็คงจะจากไปเอง แต่หลังจากรออยู่นานปรากฏว่า เจ้าคนนั้นไม่ยอมไปสักที เสียงกระดิ่งยังคงสั่นเรียกอยู่เป็นระยะ ๆ และดูเหมือนยิ่งทียิ่งดังขึ้นกว่าเดิมด้วย ดิฉันรู้สึกแปลกใจมากเพราะเป็นเวลานานแสนนานที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครสั่นกระดิ่งหน้าบ้านเรียกดิฉันเลย ด้วยความแปลกใจนี้เอง ดิฉันจึงคลายห่วงเชือกที่คอออก ลงจากเก้าอี้และค่อย ๆ เดินลงไปเปิดประตูบ้าน
ทันทีที่เปิดประตูบ้าน ดิฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดิฉันเห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับเทวดาน้อยที่ดิฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อนตั้งแต่เกิด รอยยิ้มของเขาบ่งบอกถึงความสุขที่แสนหวาน ดิฉันไม่สามารถบรรยายความรู้สึกประทับใจทั้งหมดได้ค่ะ หลังจากนั้นคำพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะของเทวดาน้อยคนนั้นฉุดกระชากหัวใจที่ตายด้านของดิฉันให้กลับมามีชีวิตชีวาได้อย่างเหลือเชื่อ : คุณยายครับ ผมเพียงแต่อยากจะเรียนคุณยายว่า พระเยซูเจ้าทรงรักคุณยายเสมอครับ. ก่อนจากไป เขาได้มอบแผ่นพับกิตติคุณแผ่นที่ดิฉันถืออยู่ในมือนี้ แล้วเขาก็เดินฝ่าฝนและความหนาวจากไป ดิฉันปิดประตูบ้านและเริ่มอ่านแผ่นพับทีละคำ จากนั้นก็ขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคา เก็บเชือกและเก้าอี้ที่ดิฉันคงไม่มีวันจะใช้มันอีกต่อไป”
“ทุกท่านค่ะ บัดนี้ดิฉันเป็นบุตรที่มีความสุขเปี่ยมล้นคนหนึ่งของ“พระมหากษัตริย์” และเนื่องจากดิฉันเห็นที่อยู่ของโบสถ์ที่ด้านหลังของแผ่นพับ ดิฉันจึงมาร่วมพิธีนมัสการที่นี่ในวันนี้ด้วยตัวเองเพื่อจะกล่าวว่า : ดิฉันอยากจะขอบใจเทวดาน้อยของพระเป็นเจ้าที่มาพบดิฉัน ณ เสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตายและทำให้วิญญาณของดิฉันรอดพ้นจากขุมนรกตลอดนิรันดร”
ถึงตอนนี้ผู้ร่วมพิธีนมัสการทุกคนมีน้ำตานองหน้า ต่างเปล่งเสียงสรรเสริญกึกก้องถวายเกียรติแด่ “พระมหากษัตริย์” ขณะที่ศิษยาภิบาลผู้บิดาเดินไปยังที่นั่งแถวหน้าที่ลูกชายนั่งอยู่ ท่านสะอื้นไห้ขณะอุ้มเขาไว้ในวงแขน และคงมีแต่“พระบิดาเจ้าสวรรค์” เท่านั้นที่มีความสุขมากกว่าท่านหลังจากที่พระองค์ทรงสละ“พระบุตรองค์เดียว” ลงมาเจริญพระชนม์ชีพในความมืดและความเย็นชาในโลก ก่อนจะรับพระบุตรกลับไปประทับเบื้องขวาของพระองค์
**************
แปลจากเรื่อง Jesus really loves you โดย กอบกิจ ครุวรรณ
ปกติทุกบ่ายวันอาทิตย์หลังไปร่วมพิธีนมัสการที่โบสถ์ในตอนเช้าแล้ว ศิษยาภิบาลกับลูกชายวัย 11 ขวบจะไปแจก “แผ่นพับพระกิตติคุณ” (Gospel tracts) ในเมืองที่ทั้งสองอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามบ่ายของวันที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้ ฝนตกหนักและอากาศข้างนอกหนาวมาก กระนั้นก็ดีหลังอาหารกลางวัน ลูกชายของศิษยาภิบาลท่านนี้เริ่มใส่เสื้อผ้าชุดที่อบอุ่นที่สุดและพูดกับบิดาว่า “ผมพร้อมแล้วครับ”
บิดาจึงถามว่า “ลูกพร้อมเรื่องอะไรหรือ”
ลูกชายตอบว่า “ตอนนี้ได้เวลาที่เราจะเอาแผ่นพับไปแจกกันแล้วครับพ่อ”
บิดาตอบว่า “ลูกรัก บ่ายนี้อากาศหนาวเกินไป และฝนก็ยังเทลงมาไม่ขาดสายอยู่”
ลูกชายมีสีหน้ามึนงงกับคำตอบของบิดา และถามว่า “แต่พ่อเคยบอกไม่ใช่หรือครับว่า แม้แต่ตอนที่ฝนกำลังตกอยู่ ก็ยังมีคนไปนรกนะครับ”
บิดาพูดตัดบทว่า “อากาศอย่างนี้ พ่อขอตัวอยู่บ้าน”
ลูกชายรู้สึกหมดหวัง แต่ก็พยายามถามบิดาเป็นครั้งสุดท้ายว่า “งั้นผมขออนุญาตออกไปแจกแผ่นพับคนเดียวนะครับ พ่อ”
บิดารีรออยู่สักครู่ก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ ปึกแผ่นพับวางอยู่ที่ตรงนี้ ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะลูก”
“ขอบคุณครับ พ่อ”
ลูกชายหยิบปึกแผ่นพับและเปิดประตูบ้านออกไปฝ่าฝนตามถนนสายต่าง ๆ ในเมือง เขาเริ่มแจกแผ่นพับเมื่อพบผู้คน และเคาะประตูบ้านแต่ละหลังเพื่อแจกแผ่นพับให้ หลังจากเดินตากฝนแจกไปได้ 2 ชั่วโมงเศษ เขารู้สึกหนาวเหน็บและเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ตอนนั้นขาเหลือแผ่นพับอีกเพียงแผ่นเดียว เขาหยุดรออยู่ที่มุมถนนสักครู่แต่ก็ไม่มีผู้คนในบริเวณนั้นเลย เขาจึงเดินไปยังบ้านหลังแรกที่อยู่ใกล้ที่สุด หยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านและสั่นกระดิ่งที่ประตูเรียก
เขารออยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่มีผู้ใดเปิดประตูให้ เขาจึงสั่นกระดิ่งซ้ำไปมาและหยุดรออีกหลายครั้งโดยไร้ผล ที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะเดินจากไป ขณะนั้นเองเขาเกิดมีความรู้สึกแปลก ๆ จึงยังคงหยุดอยู่ที่เดิม ครั้งนี้เขาจับกระดิ่งสั่นอย่างแรงและรอต่อไป ผลก็ยังคงเหมือนเดิม เขาจึงสั่นกระดิ่งแรงยิ่งขึ้นอีก ครู่ต่อมาก็มีหญิงชราใบหน้าซีดเซียวอมทุกข์เปิดประตูบ้านอย่างเชื่องช้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “มีอะไรให้ยายช่วยหรือหนู” หนูน้อยของเรามีนัยน์ตาเปล่งเป็นประกายด้วยความดีใจพร้อมกับส่งยิ้มต้อนรับและพูดว่า “คุณยายครับ ผมต้องขอโทษที่รบกวนคุณยายมากทีเดียว ผมเพียงแต่อยากจะเรียนให้คุณยายทราบว่า พระเยซูเจ้าทรงรักคุณยายเสมอครับ กรุณารับแผ่นพับใบสุดท้ายของผมด้วยครับ เป็นแผ่นพับที่กล่าวถึงเรื่องราวทั้งหมดและความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ครับ” หลังจากนั้นพระเอกของเราก็โค้งคำนับคุณยายและหันหลังก่อนจะเดินกลับบ้าน แต่คุณยายส่งเรียกเขา จากนั้นก็พูดว่า “ขอบใจมากนะหลาน และขอให้พระเป็นเจ้าโปรดอำนวยพระพรให้หนูด้วย”
เช้าวันอาทิตย์ต่อมาระหว่างพิธีนมัสการที่โบสถ์ ศิษยาภิบาลบิดาของเด็กชายคนเดิมดำเนินพิธีนมัสการตามปกติ ท่านเริ่มพิธีด้วยการตั้งคำถามกับผู้ร่วมพิธีว่า “มีใครเป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระ หรือมีใครอยากจะกล่าวอะไรบ้างไหมครับ”
ครู่ต่อมา ที่บริเวณแถวด้านหลังของโบสถ์ มีสตรีสูงวัยท่านหนึ่งลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเธอสดใสเปล่งปลั่ง เธอเริ่มกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ในโบสถ์นี้คงไม่มีใครรู้จักดิฉันหรอกค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ดิฉันไม่เคยมาที่โบสถ์นี้เลย ดิฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน สามีของดิฉันก็เสียไปหลายปีแล้ว หลังจากนั้นดิฉันก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดียวเดียวดายในโลก จนเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันที่อากาศหนาวเหน็บและฝนก็ตกหนักตลอดทั้งวัน จิตใจของดิฉันห่อเหี่ยวมากจนรู้สึกไม่สามารถจะอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้ได้แล้ว ดังนั้น ดิฉันจึงคว้าเชือกและเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินขึ้นไปชั้นบนที่ห้องใต้หลังคา ผูกเชือกไว้กับขื่อและขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ก่อนจะเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งมาผูกรอบคอ จากนั้นก็เตรียมก้าวออกจากเก้าอี้ที่ยืนอยู่ แต่ทันใดนั้นเอง ดิฉันได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูบ้านดังผิดปกติจนดิฉันตกใจและคิดว่า รออีกสักนาทีเดี๋ยวคนที่สั่นกระดิ่งก็คงจะจากไปเอง แต่หลังจากรออยู่นานปรากฏว่า เจ้าคนนั้นไม่ยอมไปสักที เสียงกระดิ่งยังคงสั่นเรียกอยู่เป็นระยะ ๆ และดูเหมือนยิ่งทียิ่งดังขึ้นกว่าเดิมด้วย ดิฉันรู้สึกแปลกใจมากเพราะเป็นเวลานานแสนนานที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครสั่นกระดิ่งหน้าบ้านเรียกดิฉันเลย ด้วยความแปลกใจนี้เอง ดิฉันจึงคลายห่วงเชือกที่คอออก ลงจากเก้าอี้และค่อย ๆ เดินลงไปเปิดประตูบ้าน
ทันทีที่เปิดประตูบ้าน ดิฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดิฉันเห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับเทวดาน้อยที่ดิฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อนตั้งแต่เกิด รอยยิ้มของเขาบ่งบอกถึงความสุขที่แสนหวาน ดิฉันไม่สามารถบรรยายความรู้สึกประทับใจทั้งหมดได้ค่ะ หลังจากนั้นคำพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะของเทวดาน้อยคนนั้นฉุดกระชากหัวใจที่ตายด้านของดิฉันให้กลับมามีชีวิตชีวาได้อย่างเหลือเชื่อ : คุณยายครับ ผมเพียงแต่อยากจะเรียนคุณยายว่า พระเยซูเจ้าทรงรักคุณยายเสมอครับ. ก่อนจากไป เขาได้มอบแผ่นพับกิตติคุณแผ่นที่ดิฉันถืออยู่ในมือนี้ แล้วเขาก็เดินฝ่าฝนและความหนาวจากไป ดิฉันปิดประตูบ้านและเริ่มอ่านแผ่นพับทีละคำ จากนั้นก็ขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคา เก็บเชือกและเก้าอี้ที่ดิฉันคงไม่มีวันจะใช้มันอีกต่อไป”
“ทุกท่านค่ะ บัดนี้ดิฉันเป็นบุตรที่มีความสุขเปี่ยมล้นคนหนึ่งของ“พระมหากษัตริย์” และเนื่องจากดิฉันเห็นที่อยู่ของโบสถ์ที่ด้านหลังของแผ่นพับ ดิฉันจึงมาร่วมพิธีนมัสการที่นี่ในวันนี้ด้วยตัวเองเพื่อจะกล่าวว่า : ดิฉันอยากจะขอบใจเทวดาน้อยของพระเป็นเจ้าที่มาพบดิฉัน ณ เสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตายและทำให้วิญญาณของดิฉันรอดพ้นจากขุมนรกตลอดนิรันดร”
ถึงตอนนี้ผู้ร่วมพิธีนมัสการทุกคนมีน้ำตานองหน้า ต่างเปล่งเสียงสรรเสริญกึกก้องถวายเกียรติแด่ “พระมหากษัตริย์” ขณะที่ศิษยาภิบาลผู้บิดาเดินไปยังที่นั่งแถวหน้าที่ลูกชายนั่งอยู่ ท่านสะอื้นไห้ขณะอุ้มเขาไว้ในวงแขน และคงมีแต่“พระบิดาเจ้าสวรรค์” เท่านั้นที่มีความสุขมากกว่าท่านหลังจากที่พระองค์ทรงสละ“พระบุตรองค์เดียว” ลงมาเจริญพระชนม์ชีพในความมืดและความเย็นชาในโลก ก่อนจะรับพระบุตรกลับไปประทับเบื้องขวาของพระองค์
**************