“3 นาทีกับเรื่องดีๆที่คุ้มค่า”

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 27, 2021 10:50 pm

เพื่อนในไลน์แชร์มาค่ะ

.....3 นาทีกับเรื่องดีๆที่คุ้มค่า....


Home ความคิดและมุมมอง

เมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืน

5th December 20202707 0
ทุกวันนี้คำว่า “ยั่งยืน” ถูกใช้กันบ่อยมากจนฟุ่มเฟือย แต่เรื่องราวในบทความนี้น่าจะเป็นความยั่งยืนที่สุดที่ผมเคยพบมาด้วยตัวเอง

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้ผ่านไปเห็นการก่อสร้างของโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้คูเมืองเชียงใหม่ ดูแล้วน่าจะสวยมากเมื่อเสร็จ

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ผมกับลูกชายขึ้นไปธุระที่เชียงใหม่ ก็เลยทดลองเข้าไปพักที่โรงแรมแห่งนี้ที่เพิ่งสร้างเสร็จมาไม่กี่เดือน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มให้เดินทางกันได้หลัง COVID19 ระบาด จึงมีคนเข้าพักน้อยมาก

ธรรมดาผมไม่ชอบ ไม่ตื่นเต้นกับโรงแรมไม่ว่าจะหรูแค่ไหน ไม่ชอบนอนโรงแรมเสียด้วยซ้ำ แต่โรงแรมนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง และประทับใจอย่างบอกไม่ถูก โรงแรมนี้ชื่อ Smile Lanna


มีความรู้สึกบางอย่างที่บอกผมว่าโรงแรมนี้ไม่ธรรมดา
เดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน ผมขึ้นมาเชียงใหม่อีกครั้ง และก็ตั้งใจชวนภรรยามาพักที่โรงแรมนี้อีกครั้ง ด้วยความประทับใจจากครั้งก่อน

เช่นเดิม ความประทับใจเริ่มต้นทันทีที่จอดรถและได้รับการต้อนรับจากยามของโรงแรมที่มาพร้อมรอยยิ้มที่ผมรู้สึกได้ว่าออกมาจากใจที่อยากบริการ พอเดินเข้าไปในโรงแรม ก็ได้รับความรู้สึกนั้นจากพนักงานหลายๆคน


เมื่อเดินเข้าไปในโรงแรม ผมก็แปลกใจว่าทำไมเจ้าของโรงแรมจึงสร้างโรงแรมแบบนี้บนที่แปลงที่น่าจะแพงมากในกลางเมืองเชียงใหม่

ทุกจุดของโรงแรม ผมรู้สึกได้ถึงความตั้งใจและใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่าง ไม่ใช่ความหรูหรา แต่หากเป็นรายละเอียดที่ลงตัว แต่โรงแรมนั้นมีเพียง 4 ชั้น แต่ละห้องกว้างขวาง และตึกก็ไม่ได้สร้างเต็มพื้นที่ จึงมีห้องพักเพียง 63 ห้อง

แต่หากมีแปลงนา, คลองน้ำไหล และต้นไม้ใหญ่อยู่กลางโรงแรม !



ภรรยาผมตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าของต้องสร้างโรงแรมนี้ด้วยแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างแน่ ด้วยความประทับใจ ผมถ่ายรูปและบรรยายความรู้สึกดีที่ผมยังไม่เข้าใจเหตุผลนี้ลงใน Facebook ให้เพื่อนๆอ่านตั้งแต่เช้า

เมื่อเราเดินเข้าห้องอาหาร ผู้ชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นไหว้เราและแนะนำตัวทักทายกัน

“ผมชื่อไพศาล เป็นเจ้าของโรมแรมนี้ครับ ผมจำได้ว่าพี่เคยเข้ามาพัก ขอโทษด้วยที่ครั้งที่แล้วไม่ได้เข้ามาทักทายครับ มาพักที่นี่ถ้ามีอะไรช่วยแนะนำด้วยนะครับ”​


คนทางขวาคือคุณไพศาลครับ
ขณะที่ผมและภรรยานั่งจิบกาแฟอยู่ที่ร้านกาแฟของโรงแรม ซึ่งอยู่บนเนินสูง และเป็นร้านกาแฟที่ผมคิดว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากสหายเก่า “บ็อบบี้” (คุณอาจจะเคยเห็นเขาในภาพยนต์ ล่องไพรมหากาฬ ใน ThailandOutdoor YouTube channel)


ร้านกาแฟสวยของ Smile Lanna ที่ไม่น่าเชื่อว่าตั้งอยู่กลางเมืองเชียงใหม่
“ตาเกิ้น เจ้าของโรงแรมที่คุณลงใน Facebook เป็นรุ่นน้องผมที่อัสสัมชันศรีราชา ชื่อไพศาล สนิทกับผมมากเหมือนพี่น้องกันเลย”​

พอได้แนะนำตัวกันละเอียดขึ้นผ่านการแนะนำของสหายบ็อบบี้ ผมก็ได้นั่งคุยกับคุณไพศาลแบบยาวๆจนได้ฟังเรื่องแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังโรงแรมแห่งนี้ รวมไปถึงเรื่องราวชีวิตของคุณไพศาลที่น่าประทับใจจนกลายมาเป็นบทความนี้

คุณไพศาลเล่าให้ฟังว่าคุณพ่อเป็นนายทหารจีนที่เคยสู้รับกับทหารญี่ปุ่นตั้งแต่ก่อนสงครามโลกและรบกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่ออีกแต่ก็พ่ายแพ้ ถอยร่นมาอยู่ในเขตพม่าและเมื่อพม่าผลักดันไม่ให้อยู่ก็ถอยร่นเข้ามาอยู่ในเขตไทยใกล้ชายแดนตั้งแต่อำเภอฝางไปจนถึงจังหวัดเชียงราย กำลังส่วนใหญ่เดินทางกลับไปยังไต้หวัน มีเพียงกองกำลังส่วนหนึ่งของกองพล 93 ที่ถูกสั่งให้ปักหลักอยู่ต่อเพื่อช่วยยันกองกำลังจีนคอมมิวนิสต์

ในปี 2513 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จไปยังดอยอ่างข่างเพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาที่นั่นปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกฝิ่น

พ่อของคุณไพศาลเป็นแกนนำคนสำคัญที่ช่วยผลักดันเรื่องการเลิกปลูกฝิ่น และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าในหลวง


คุณพ่อของคุณไพศาลขณะที่ได้เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ในปี พ.ศ. 2513
เมื่อในหลวงทรงถามถึงครอบครัวและคุณพ่อบอกว่ามีลูกชาย 4 คน ในหลวงจึงทรงถามว่า ต่อไปอยากจะให้ลูกกลับไปอยู่ไต้หวันหรืออยากให้เป็นคนไทยอยู่เมืองไทย

ที่ทรงถามเช่นนั้นก็เพราะสำหรับลูกหลานกองพล 93 นั้นทางไต้หวันยินดีรับกลับไปและให้ทุนเรียนฟรีทั้งหมด

แต่คุณพ่อก็ตอบโดยไม่ลังเลว่าอยากให้อยู่เมืองไทย อยากให้ลูกเป็นคนไทย เพราะเมืองไทยสงบน่าอยู่และมีในหลวงใจดี

เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ในหลวงก็ทรงให้ผู้ติดตามพระองค์มาจดบันทึกรายละเอียดต่างๆไว้

อีกสามเดือนต่อมา ก็มีคณะขึ้นมารับคุณไพศาลและพี่น้องโดยเตรียมเอกสารทุกอย่างมาให้พร้อมและพาเดินทางมายังกรุงเทพ


เมื่อมาถึงกรุงเทพคุณไพศาลก็มาอยู่กับผู้ที่อุปการะ ซึ่งเชื่อว่าในหลวงท่านทรงเลือกสรรไว้ให้อย่างดี เพราะเจ้าของบ้านนั้นดูแลคุณไพศาลเหมือนสมาชิกในครอบครัว, ส่งเสียเรียนหนังสือและวางแผนชีวิตให้อย่างเต็มที่

หลังจากที่เข้าโรงเรียนในกรุงเทพจนพูดไทยและอ่านเขียนได้แล้ว ท่านผู้มีอุปการคุณนั้นก็บอกว่า “เธอมาจากดอย ไม่มีเพื่อนในเมือง ต้องไปมีเพื่อนก่อน” แล้วก็ส่งคุณไพศาลไปเข้าโรงเรียนกินนอนที่อัสสัมชัน ศรีราชา และนั่นก็ทำให้คุณไพศาลได้รู้จักสหายบ็อบบี้ของผม คุณไพศาลบอกว่า 3 ปีนั้นคือเวลาที่มีความสุขมากของชีวิตและได้เพื่อนมากมายที่ยังคบหาและรักกันจนถึงวันนี้

จากนั้นท่านผู้มีอุปการคุณท่านนั้นก็บอกว่า “3 ปีเธอได้เพื่อนแล้ว เธอต้องกลับมาอยู่ในเมืองบ้าง จะได้เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสังคมเมืองได้” จึงให้คุณไพศาลกลับมาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล และส่งเสียให้เรียนจบปริญญาตรี จากนั้นคุณไพศาลก็ทำงานไปเรียนไปจนจบปริญญาโท

เมื่อเรียนจบปริญญาโทแล้ว คุณไพศาลก็กลับไปอยู่ที่ อำเภอฝางด้วยความตั้งใจจะกลับไปพัฒนาบ้านเกิด ไม่นานนักก็ได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน จนกลายเป็น อ.บ.ต. ได้พัฒนาบ้านเกิดสมใจ

ในช่วงนั้นเองที่คุณไพศาลได้มีโอกาสรู้จักกับคุณครูสาวที่อาสาไปสอนหนังสือให้กับเด็กบนดอยสูง รับส่งกันจนสนิทสนมและในที่สุดคุณไพศาลก็แต่งงานกับคุณครูสาวคนนั้น ซึ่งต่อมากลายเป็น ครูสมศรีเจ้าของโรงเรียนสอนพิเศษภาษาอังกฤษที่โด่งดัง

หลังจากนั้นคุณไพศาลก็ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพและใช้เวลาอีกหลายสิบปีช่วยกันสร้างโรงเรียนสอนพิเศษของคุณครูสมศรี

จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง คุณครูสมศรีและคุณไพศาลตัดสินใจว่าพอแล้วกับโรงเรียนสอนพิเศษและอยากไปพัฒนาบ้านเกิดอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็จึงปิดโรงเรียน แล้วคุณครูสมศรีก็เอาบทเรียนส่วนมากขึ้น YouTube เพื่อให้เด็กๆสามารถเรียนได้ฟรี ทุกวันนี้จะยังสอนอยู่เฉพาะทางช่องทาง Online เท่านั้น

คุณครูสมศรีและคุณไพศาลไปศึกษาเรื่องโคกหนองนากับอาจารย์ยักษ์แล้วประทับใจมาก แต่ทั้งสองคนอยากจะให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ของโมเดลนี้ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเดินทางไปยังชนบทไกลๆ จึงคิดทำศูนย์เรียนรู้ในรูปแบบของโรงแรมบนที่ที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้กลางเมืองเชียงใหม่!

และนั่นก็คือที่มาของโรงแรม Smile Lanna


โรงแรม Smile Lanna สร้างเสร็จไม่กี่เดือนก็เกิดการระบาดของโรค COVID19 แต่คุณไพศาลก็ดูแลพนักงานอีกสิบกว่าชีวิตให้อยู่ด้วยกันที่โรงแรม แบบโมเดลโคกหนองนา คือปลูกข้าว,​ เก็บผักและผลผลิตอื่นๆในพื้นที่โรงแรมนั้น !

หลังจากสถานการ COVID ดีขึ้น ก็มีคนเข้ามาพักที่ Smile Lanna เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเกือบเต็มตลอด ในขณะที่โรงแรมอื่นๆในเชียงใหม่นั้นว่างสนิท จนการท่องเที่ยวเชียงใหม่ต้องมาพบคุณไพศาลเพื่อเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่

หากจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็คงต้องมองย้อนไปให้เห็นสิ่งที่คุณไพศาลและคุณครูสมศรีทำมาตลอดชีวิต

โรงเรียนสอนพิเศษครูสมศรีนั้นเป็นโรงเรียนที่เด็กที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนต้องแย่งกันเข้าเรียน แต่ทุกเทอม คุณครูสมศรีกันที่ 20% ของทั้งหมด ไว้ให้กับนักเรียนที่ยากจนไม่สามารถเสียเงินเรียนได้ นอกจากนั้นยังมีทุนการศึกษาส่งให้นักเรียนยากจนเรียนจบปริญญาตรีไปนับร้อยๆคน จนถึงทุกวันนี้คุณครูสมศรีและคุณไพศาลก็ยังให้ทุนกับนักเรียนยากจนมาตลอด

เพราะนั่นคือการตอบแทนของคุณไพศาลที่ได้รับโอกาสมาในวัยเด็ก

ดังนั้นเมื่อโรงแรมกลับมาเปิดอีกครั้ง นอกจากเพื่อนรักทั้งหลายของคุณไพศาล เช่นน้องชายของบ็อบบี้ที่ทำบริษัททัวร์และพาลูกทัวร์มาพักโรงแรมของเพื่อนซึ่งคุณไพศาลก็ให้การตอนรับอย่างดีเป็นพิเศษแล้ว ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่เข้ามาพักที่โรงแรมนี้

มีเหตุการกระทั่งว่า มีแขกที่เข้ามาพักที่โรงแรมคนหนึ่งเดินเข้ามาก้มลงกราบคุณครูสมศรีที่นั่งอยู่แล้วบอกว่า เขาคือเด็กคนหนึ่งที่คุณครูส่งเสียเรียนจนจบแพทย์และมีชีวิตที่ดีได้ในวันนี้

พนักงานของโรงแรมก็มีส่วนอย่างมากที่จะสร้างความแตกต่างให้กับแขกที่ไม่ได้รู้จักคุณไพศาลและคุณครูสมศรีและไม่รู้เรื่องราวที่มาของโรงแรมนี้มาก่อน

อย่างผมเป็นต้น

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคุณไพศาลดูแลพวกเขาเหมือนลูกหลาน เสมือนสิ่งที่คุณไพศาลได้รับจากผู้มีอุปการคุณท่านนั้นมาตั้งแต่วัยเด็ก การแสดงออกและความตั้งใจเต็มใจทำงานของพวกเขาจึงออกมาจากความจริงใจจนคนภายนอกอย่างผมรู้สึกได้


เมื่อกล่าวชมพนักงานโดยเฉพาะยาม คุณไพศาลก็ยิ้มแล้วก็เล่าเรื่องที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง แปลกประหลาดราวกับพล็อตหนังไทยเลยครับ

เรื่องนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า คนดีย่อมดึงดูดคนดีเข้ามาหากัน

เรื่องมีอยู่ว่า ตั้งแต่เริ่มสร้างโรงแรม คุณไพศาลเจาะจงกับบริษัทยามว่าอยากได้ยามที่มีอายุสักหน่อยเพื่อจะได้รู้หน้าที่และรับผิดชอบ

แลก็มียามคนหนึ่งที่อายุเกือบ 60 ปีแล้วทำงานได้ถูกใจคุณไพศาลมาก ทั้งอัธยาศัยดี ตั้งใจทำงาน และดูแลแขกทุกคนและเพื่อนร่วมงานอย่างยอดเยี่ยม คุณไพศาลถึงกับยื่นคำขาดกับบริษัทยามว่าห้ามเปลี่ยนยามคนนี้เด็ดขาด

อยู่มาหลายปีจนไม่นานนี้ ยามคนนั้นมาลาคุณไพศาล บอกว่าอายุ 60 แล้ว จะเลิกทำงานกลับไปอยู่บ้านที่เชียงราย คุณไพศาลจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เพราะตั้งใจทำงานอยู่ด้วยกันมาหลายปี

เขาปฏิเสธ แล้วบอกว่าเขาได้อะไรจากที่นี่มากมายแล้ว เขาอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข และบ้านเขาที่เชียงรายก็มีเงินและที่ดินมูลค่านับร้อยล้าน

คุณไพศาลตกใจมาก และเมื่อตรวจสอบดูก็พบว่ายามคนนั้นเคยเป็นผู้จัดการในบริษัทใหญ่ที่กรุงเทพและมีที่ทางและทรัพย์สินไม่น้อยที่เชียงราย เขาเพียงต้องการหางานที่สงบและปราศจากแรงกดดันทำ

ตอนแรกว่าจะมาทำงานเล่นๆไม่นาน แต่เขาก็มาพบกับความสุขกับการทำงานที่ Smile Lanna นี้ ก็เลยอยู่มายาว

ยามคนนี้ถ่ายทอดแนวคิดและแนวทางการทำงานดีๆไว้ให้ยามที่ทำงานด้วยกันและพนักงานคนอื่นๆในโรงแรมมากมายอย่างที่คุณไพศาลเองก็คาดไม่ถึง


แบบย่อๆ โคกหนองนาโมเดล คือการขุดดินให้เป็นหนองเพื่อเก็บน้ำ ขุดคลองไส้ไก่เพื่อให้น้ำไหลผ่านสร้างความชุ่มชื้น เอาดินไปถมเป็นโคกแล้วปลูกบ้านบนนั้นไม่ให้น้ำท่วมบ้าน แล้วก็ทำนาปลูกพืชที่เป็นอาหาร
นอกจากโรงแรม Smile Lanna ที่ทำเป็นศูนย์เรียนรู้โคกหนองนาโมเดล กลางเมืองเชียงใหม่แล้ว คุณไพศาลและคุณครูสมศรียังตั้งใจไว้ว่าจะปลูกป่าปีละ 100 ไร่ เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ช่วยให้คุณไพศาล เด็กดอยที่พูดไทยไม่ได้คนหนึ่ง มีชีวิตที่ดีมาจนถึงวันนี้

นี่คงจะเป็นตัวอย่างของความยั่งยืนที่ดีที่สุดที่ผมจะหาได้ เพราะเมล็ดพันธุ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงหว่านลงที่ดอยอ่างขางนั้น มิได้มีเพียงพืชเมืองหนาวที่ทำรายได้ให้กับผู้คนแทนฝิ่น แต่ยังมีเมล็ดพันธุ์ของความดีที่ไปเติบโตในใจของคนที่ได้รับระมหากรุณาธิคุณให้มีโอกาส และได้มีชีวิตที่ดี เช่นคุณไพศาลและคนอื่นๆอีกมากมาย มาจนถึงวันนี้เมล็ดพันธุ์นั้นก็ถูกส่งต่อไปสู่ผู้คนที่ได้รับความดีจากพวกเขาอีกในวงกว้าง

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เรารักและเทอดทูนนั้น จะทรงสถิตอยู่ในใจและทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เราสร้างสิ่งดีๆให้สังคมไทยอย่างไม่ย่อท้อ ตลอดไป

#โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 27, 2021 10:52 pm

....#ลูกรัก...
ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมดค่อยๆ สอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท้า สอนเจ้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจจาระปัสสาวะให้เจ้า สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม...

หากวันหนึ่ง...
แม่จำอะไรไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...

บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว...

ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้...

แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้

แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย...

ดังนั้น...
หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก กับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?

ตอนนั้นแม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม?

ขอให้เจ้าอดทน และอ่อนโยนกับแม่ได้ไหม?
ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆ แม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ...

ลูกรัก...
วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือ และพยุงแม่ไว้ เหมือนวันที่เจ้าหัดเดิน แม่ก็พยุงเจ้าอย่างนี้เหมือนกัน...

#อยู่กับแม่จนถึงวันที่แม่สิ้นใจนะ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 27, 2021 10:53 pm

.......อ่านแล้วน้ำตาไหล ......
!!! ลูกจ๋า อย่าส่งพ่อแม่ไปบ้านพักคนชราเลย!!!
- (อ่านให้ได้นะ) -

ลูกสะใภ้พูดว่า “ ทำจืด แม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่า กินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง ! ”

เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ

เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้ ”

“ เอาละ ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน ” ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป

ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“ แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ ”

“ ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย ” แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย

“ แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า .... ”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ ....

“ อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก .... ” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน

ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้

แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ ”

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี !

แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู
กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ ?

“ คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย ไม่ใช่แม่ ! ” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้

“ แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วแกจะเสียใจ ! ” ญาติ ๆ มักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้

เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ

เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่

ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย

เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่ง กำลังก้มตัวลงไปเก็บขนมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก

เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ

แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกรายเข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“ แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า

ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “ แม่แก่แล้วจริง ๆ ”

อยู่ ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่ 6 ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“ แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ ! ” สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยาย กำลังเก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ 3 ฟุตที่เขาชนะเลิศประกวดเรียงความ “ แม่ของฉัน ”
พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิด ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ

“ หยุดเดี๋ยวนี้นะ ! พวกคุณโยนของ ๆ แม่ผมออกมาทำไม ? ” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด

“ ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของ ๆ ฉันวางไว้ตรงไหน ? ” แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน ! ”

รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก

“ นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้ ! ”

“ มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้ ! ”

“ ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้ ? ”

ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง

จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่ และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่ และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“ แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้ ... ”

เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป

“ ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้ พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ ! ”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“ แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ ! ”

#########################

*** ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมด ค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท้า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า *****

*** สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม ***
*** หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม อยากจะพูด
สอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้ ! ***

*** แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้ ?

*** แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย ! ****

*** ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม ? ***

*** ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม ? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้าง ๆ แม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ ***

*** ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน ! ***


*** ขอบคุณเจ้าของบทความดีๆ ท่านอ่านแล้ว ท่านจะเก็บไว้คนเดียว หรือส่งต่อก็ตามใจ ***
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 28, 2021 9:33 pm

.......เรื่องความร่วมมือ.........
ในคืนวันหนึ่ง แม่กุญแจก็บ่นให้ลูกกุญแจฟังครับว่า
“ฉันต้องถูกล็อคไว้ที่บ้านไม่ได้ไปไหน
แต่เธอนะไปไหนเจ้านายก็เอาไปด้วย ฉันอิจฉาเธอจริงๆเลย”
แต่ลูกกุญแจกลับเถียงกลับไปครับว่า
“เธอนั่นแหละที่โชคดี ได้อยู่กับบ้านทุกวันอย่างสบายๆ
ไม่ต้องตากแดดตากฝน ฉันละอิจฉาเธอจริงๆ”

อยู่มาวันหนึ่ง
หลังจากเจ้าของบ้านออกไปทำธุระ
แต่ไม่ได้เอาลูกกุญแจไปด้วย
มันจึงสบโอกาสแอบซ่อนตัวเองไว้ไม่ให้ใครรู้
หลังจากเจ้าของบ้านกลับมาถึงบ้าน
หาลูกกุญแจอย่างไรก็หาไม่เจอ
อารมณ์โมโห ก็เลยทุบแม่กุญแจทิ้ง
จากนั้นก็เอาไปทิ้งในถังขยะ

เมื่อเดินเข้าบ้าน เห็นลูกกุญแจตกอยู่ใต้โต๊ะ
ก็สบถออกมาว่า
“แม่กุญแจก็เสียไปแล้ว มีเธอไปก็ไม่มีประโยชน์”
พูดเสร็จ เขาก็โยนลูกกุญแจทิ้งลงถังขยะ
ในถังขยะ แม่กุญแจและลูกกุญแจได้แต่ถอดทอนใจ
แม่กุญแจจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เพราะเราไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
กลับเอาแต่อิจฉากัน เรื่องมันจึงจบแบบนี้!”

ในขณะที่คุณอิจฉาคนอื่น
คนอื่นก็อาจจะกำลังอิจฉาคุณเช่นเดียวกันครับ
อิจฉามิสู้ชื่นชม ร่วมมือ สนับสนุนซึ่งกัน
เพราะต่างคนต่างมีคุณประโยชน์ใช้สอยที่ต่างกันไป
รถยนต์คนหนึ่งหากน็อตเล็กๆตัวหนึ่งหายไป อาจนำมาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวง
อย่าดูแคลนงานที่ตัวเองทำ
ทุกคนล้วนมีความสำคัญครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.พ. 01, 2021 5:55 pm

(*)แอปเปิ้ล
แปลจากเรื่อง Apples โดย กอบกิจ ครุวรรณ
พนักงานขายของทีมหนึ่งกำลังเดินทางไปประชุมสัมมนาของบริษัทที่เมืองชิคาโก ทุกคนบอกกับภรรยาที่บ้านว่า พวกเขาจะกลับถึงบ้านก่อนเวลาอาหารค่ำวันศุกร์ของสัปดาห์นั้นอย่างแน่นอน
ทุกคนถือตั๋วเครื่องบินและกระเป๋าถือไว้ในมือขณะที่รีบก้าวเดินไปยังประตูขึ้นเครื่องบิน ขณะที่กำลังรีบร้อนเดินไปด้วยกันทั้งกลุ่มนั้น พนักงานคนหนึ่งเดินชนแอปเปิ้ลโดยไม่ตั้งใจทำให้แอปเปิ้ลทั้งกองตกกระจายไปทั่วพื้นในบริเวณนั้น หลังการชนก็ไม่มีใครหันหลังมาดูแอปเปิ้ลที่กระจายเกลื่อนพื้นอยู่เลยเนื่องจากพวกเขาทุกคนแทบจะไปขึ้นเครื่องบินไม่ทันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ที่จริงมีพนักงานของทีมคนหนึ่งหยุดเดิน ถอนหายใจ คิดประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เขารู้สึกสงสารเด็กสาวคนขายแอปเปิ้ลที่ยืนงงอยู่โดยมีแอปเปิ้ลตกเกลื่อนอยู่รอบตัว เขาบอกให้เพื่อนในทีมไม่ต้องรอเขาและโบกมือลาโดยบอกเพื่อนในทีมคนหนึ่งให้ช่วยโทรไปบอกที่บ้านว่า เขาจะขึ้นเครื่องบินเที่ยวต่อไป จากนั้นก็ก้มลงเริ่มเก็บแอปเปิ้ลที่พื้น
เขารู้สึกดีใจกับการกระทำของตนโดยเฉพาะหลังจากที่ทราบว่าเด็กสาววัย 16 ปีที่ขายแอปเปิ้ลคนนั้นเป็นคนตาบอดกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ด้วยความสิ้นหวังขณะก้มลงควานเก็บแอปเปิ้ลมากองไว้ที่เดิมทีละผลโดยทุกคนที่เดินผ่านไปอย่างรีบร้อน ไม่มีผู้ใดใส่ใจหยุดและให้ความช่วยเหลือเธอเลย มีแต่เขาคนเดียวที่คุกเข่าก้มลงเก็บรวมแอปเปิ้ลทั้งหมด เขาแยกผลที่ดีไว้ที่กองเดิมเพื่อขาย ส่วนอีกหลายผลที่เสียหายเขาเก็บมารวมกันไว้ในตระกร้าข้าง ๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เปิดกระเป๋าสตางค์และพูดกับเด็กสาวว่า “กรุณารับเงิน 40 เหรียญนี้ไว้เป็นค่าเสียหายที่พวกเราทำนะครับ ตกลงไหม” เธอพยักหน้าตอบรับทั้งน้ำตา ขณะที่เขาพูดต่อไปว่า “ผมหวังว่า พวกเราคงไม่ได้ทำลายความสุขในวันนี้ของคุณมากเกินไปนะครับ”
ขณะที่เขากำลังเดินจากเธอไป หญิงสาวตาบอดร้องเรียกเขาว่า “ท่านคะ..” เมื่อเขาหันกลับไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอและมองนัยน์ตาที่บอดของเธออยู่นั้น เธอก็ถามเขาว่า “ท่านเป็นพระเยซูเจ้าหรือคะ”
เขาถึงกับหยุดชะงักกับคำพูดที่ได้ยินจากปากของเธอ จากนั้นก็มองดูนาฬิกาข้อมือและเดินจากไป

***************************
ตอบกลับโพส