“อ้อมกอดของหนูน้อย”

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.พ. 05, 2021 3:35 pm

...... อ้อมกอดของหนูน้อย........
แปลจากเรื่อง A Baby’s Hug โดย กอบกิจ ครุวรรณ
วันนั้น ในร้านอาหารมีพวกเราครอบครัวเดียวที่พาลูก ๆ มากินข้าวด้วย ดิฉันผู้เป็นแม่จัดให้เอริกลูกวัย 2 ขวบเศษนั่งบนเก้าอี้สูงสำหรับเด็กเล็ก เอริกสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ และทันใดนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะร้องด้วยความดีใจว่า “สวัสดีคุณ”
ดิฉันมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นที่มาของการส่งเสียงร้องดีใจของลูก ดิฉันเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่ารุ่มร่าม มีนิ้วเท้าโผล่ออกมานอกรองเท้าที่ขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราหรอมแหรม จมูกคด และคงไม่ได้อาบน้ำมานานทีเดียว โชคดีที่โต๊ะเราอยู่ค่อนข้างไกลจากชายคนนั้นจึงไม่ได้กลิ่นสาปจากร่างกายของเขาซึ่งคงเหม็นน่าดู
ชายคนนั้นโบกมือและทักทายเอริกว่า “สวัสดี หนูน้อยคนเก่ง ว่าไงพ่อนักเลงโต” ดิฉันและสามีได้แต่หันไปสบตากันเป็นเชิงถามว่า “จะเอายังไงดี” ขณะเดียวกันเอริกยังคงส่งเสียงหัวเราะชอบใจและร้องทักทายตอบชายผู้นั้นไปว่า “สวัสดีก๊าบบ...” ทุกคนในร้านอาหารต่างก็มองมาที่โต๊ะเราและที่ชายคนนั้น... คิฉันคิดในใจว่า “งานเข้าละสิ ชายสูงวัยคนนั้นกำลังก่อเรื่องยุ่งกับลูกน้อยที่น่ารักของฉันเข้าแล้ว”
ขณะที่พนักงานนำอาหารมาที่โต๊ะเรา ชายคนนั้นก็ส่งเสียงมาที่เอริกอีก “จ๊ะ-เอ๋? เอ้าดูสิ เจ้าหนูเล่น จ๊ะ-เอ๋ เป็นด้วย” ทุกคนในร้านคิดว่าเขาคงเมาจึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่มีใครเขาทำกัน ดิฉันและสามีรู้สึกอึดอัดใจแต่ก็ยังคงรับประทานอาหารต่อไปอย่างเงียบ ๆ แต่เจ้าเอริกของเรายังคงพูดจาโต้ตอบอย่างสนุกสนานกับชายพเนจรคนนั้น
ที่สุดเมื่อเรากินอาหารเสร็จและเริ่มเดินออกจากร้านขณะที่สามีดิฉันแยกเดินไปชำระค่าอาหารและนัดพบกันที่จอดรถ ตอนนั้นเองที่ชายสูงวัยเดินมานั่งอย่างสบายอารมณ์กลางทางเดินไปประตูทางออกของร้าน ดิฉันได้แต่พร่ำภาวนาในใจว่า “พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ขอให้ดิฉันเดินออกจากห้องนี้ไปให้พ้นก่อนที่เขาจะพูดกับดิฉันหรือพูดกับลูกเอริกเถิด”
ดิฉันอุ้มเอริกเดินเข้าไปใกล้และขยับตัวหันหลังให้เพื่อจะผ่านตัวเขาไปจากด้านข้าง ขณะเดียวกันดิฉันก็กลั้นหายใจเพื่อจะไม่ได้กลิ่นตัวและลมหายใจของเขา ในจังหวะนั้นเองเอริกพลิกตัวทั้งที่ยังอยู่ในวงแขนของดิฉันและอ้าแขนทั้งสองข้างออกอยู่ในตำแหน่ง “พร้อมที่จะให้อุ้ม” ตรงหน้าเขา และก่อนที่ดิฉันจะหยุดเอริกได้ ก็ปรากฏว่าเอริกน้อยของดิฉันโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายคนนั้นแล้ว กลิ่นสาปที่รุนแรงของชายพเนจรผสมร่วมอยู่กับความรักที่ทั้งสองมีต่อกันอย่างกลมกลืน ศีรษะของเอริกซบอยู่กับไหล่ของเขาราวกับเพื่อนซี้ ขณะที่ชายคนนั้นหลับตาทั้งสองข้างอย่างเป็นสุข ดิฉันเห็นสายน้ำตาของเขาไหลรินออกมานองหน้า มือทั้งสองของเขาเป็นมือที่หยาบกร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยของแผลเป็นจากการทำงานหนักขณะนี้กลายเป็นเปลแกว่งไปมาให้เอริกที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสงบ ดิฉันไม่เคยเห็นความรักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ของบุคคล 2 คนที่แตกต่างกันราวกับฟ้าและดินมาก่อนในชีวิต ดิฉันทำได้แต่เพียงยืนอ้าปากค้าง
หลังจากที่เขาแกว่งแขนที่เป็นเสมือนเปลให้ลูกนอนตามสบายอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เปิดตาออกและมองตรงมาที่นัยน์ตาของดิฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นราวกับออกคำสั่งว่า “คุณผู้หญิงกรุณาเลี้ยงดูเด็กน้อยคนนี้ให้ดีนะครับ” ดิฉันทำได้แต่เพียงตอบรับไปราวกับมีของแข็งติดอยู่ในลำคอว่า “ค่ะ” จากนั้นเขาก็แกะเอริกที่กอดเขาแน่นออกอย่างนิ่มนวลด้วยความลำบากใจและส่งเอริกคืนให้ดิฉันพร้อมกับพูดว่า “ขอถวายพรแด่พระผู้เป็นเจ้า คุณผู้หญิงครับ วันนี้คุณได้มอบของขวัญคริสต์มาสที่ดีที่สุดให้ผม” ดิฉันได้แต่พูดอ้อมแอ้มขอบคุณเขา
เมื่อได้ลูกเอริกคืน ดิฉันก็รีบวิ่งไปที่รถ สามีดิฉันรู้สึกประหลาดใจที่เห็นดิฉันกอดลูกไว้แน่นร้องไห้ขณะที่พูดกับเขาว่า “พระเป็นเจ้าโปรดให้อภัยลูกด้วย” ดิฉันเพิ่งเป็นประจักษ์พยานความรักของพระคริสตเจ้าที่แสดงออกโดยผ่านความไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่ไร้มลทินและติดสินผู้อื่นไม่เป็น เด็กน้อยมองเห็นจิตวิญญาณของผู้คนขณะที่ผู้เป็นแม่มองเห็นแต่เสื้อผ้าภายนอกของเขา ดิฉันเป็นคริสตชนคนหนึ่งที่ตาบอด ขณะที่เด็กน้อยมีดวงตาที่มองเห็นความจริง ดิฉันรู้สึกว่าพระบิดาเจ้าทรงตั้งคำถามกับดิฉันว่า “เธอยินดีจะแบ่งปันลูกน้อยให้ผู้อื่นสักครู่ได้ไหม” ในเมื่อพระองค์ยังทรงยอมแบ่งปันพระบุตรของพระองค์ตลอดนิรันดรให้เรา ชายพเนจรผู้นี้คงคิดไม่ถึงว่า เขาเป็นผู้เตือนสติดิฉันว่า “ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” (มธ 18:3)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.พ. 05, 2021 4:12 pm

ดีมากๆ ต้องอ่านนะ
ได้รับ ข้อความนี้จากเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนคนนี้ได้เลือกไป แล้ว

เรื่องมีอยู่ว่า.....
ชายคนหนึ่ง เคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา
เพราะนำเงินไปซื้อ กระดาษห่อของขวัญสีทอง ม้วนหนึ่ง
ซึ่งมีราคาแพง

ในขณะที่การเงินที่ บ้านฝืดเคือง
และเขา ก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขา นำกระดาษสีทองราคาแพงนั้น มาห่อกล่องของขวัญเพียงเพื่อ ตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส

แต่กระนั้น...ลูกสาว ตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น
และพูดว่า" ของขวัญนี่ สำหรับพ่อค่ะ "

พ่อของเธอกระอัก กระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้

แต่แล้วความโกรธก็ได้ พลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้งเมื่อ

เขาพบว่า ในกล่องของขวัญนั้น มัน เป็นเพียงกล่อง เปล่า
เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ว่า

"ลูกไม่รู้จริงๆอย่างนั้นหรือว่า การจะให้ของขวัญใคร
มันจะต้อง มีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย ? "

เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา นองหน้า
และพูดว่า

"โอ...พ่อ จ๋า ! มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม "

ชายคนนั้นสะอึก ตัวชา ด้วยความเสียใจ เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้ แน่น

เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้เขา
กับ.ท่าทาง โกรธเกรี้ยวเกินเหตุของเขา

ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุ ก็ได้คร่าชีวิต ลูกสาวของชายคนนั้นไป

และว่ากันว่าเขาเก็บกล่อง ของขวัญสีทองล้ำค่านั้น ไว้ข้างเตียงนอน
ตลอดชีวิตของเขา เลยทีเดียว

และเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ
หรือต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็ญ เขาจะเปิดกล่องใบ นี้

เพื่อหยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่ง จูบ
แล้วรำลึกถึงความรักของลูกน้อย ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้ เขา

ในความเป็นจริง ในฐานะมนุษย์คน หนึ่ง
พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทอง ซึ่ง
บรรจุด้วยความรัก ที่ปราศจากเงื่อนไข และรอยจูบ จาก
ลูกๆ ,คนรัก , ครอบครัว และ เพื่อนๆ

ไม่มีสมบัติใด ล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว

ตอนนี้ คุณมี 2 ตัวเลือกแล้วละ คุณจะ เลือก

1. ส่งข้อความ นี้ต่อไปยัง. คนที่คุณรัก เพื่อนรัก และ ญาติๆ ของคุณ หรือ
2. ลบมันทิ้ง ซะ

แล้วทำเหมือนกับว่า เมื่อได้อ่าน ข้อความนี้แล้ว ไม่มีอะไรกระทบใจคุณเลยแม้แต่ น้อย

อย่างที่เห็นนี่ละ ฉันได้เลือกข้อ 1 ไป แล้ว

เพื่อนคือของขวัญ ผู้ซึ่งพยุงให้เรายืนขึ้นด้วย เท้า
เมื่อปีกของเราไม่รู้ว่าจะบินอย่างไร ต่อไปได้

มองโลกในแง่ดี และปฏิบัติดี ฉันขอ ขอบคุณสำหรับ....
สำหรับสามีที่นอนกรนทั้ง คืน เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ใช่ กับผู้หญิงอื่น

สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้าง จานอยู่ เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ตามท้องถนน

สำหรับภาษี ที่ต้องเสีย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ

สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงาน ปาร์ตี้
เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อน ฝูง คนที่รักฉัน และ คนที่ฉันรัก

สำหรับเสื้อผ้าที่ พอดีจนเกือบ จะคับเกินไป
เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมี กิน

สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน เพราะนั่นหมายถึงฉัน กำลังได้รับแสงแดด

สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำ ความสะอาด
เพราะนั่นหมายถึง ฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา

สำหรับคำบ่น ต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระ ในการที่จะแสดงความคิดเห็น

สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้ และฉันมี รถ

สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่

สำหรับความ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน เพราะนั่นหมายถึงฉัน สามารถทำงานหนักได้

สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่

และสุดท้าย.......
สำหรับคน ที่ส่งมาหาฉันเพราะนั่นหมายถึง. ฉันมี คุณ เป็นเพื่อนกันเสมอ...
ขอบคุณ คุณ ทุกคน ที่ เราต่างเห็นคุณค่า ในมิตรภาพ ที่มีขึ้นระหว่างเรา
โชคดี มีความสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 18, 2021 6:25 pm

เขาเขียนดี

อ่านดูนะ

น่าฟังมากครับ!!
แนวคิด จาก ผอ. โรงพยาบาล ท่านหนึ่ง ครับ

เราไม่ได้เป็น ผอ. ตลอดหรอก เป็นแค่ตัวสมมุติที่ทำหน้าที่อยู่ขณะหนึ่ง เป็น ผอ.ก็ตอนลงนามในหนังสือที่โต๊ะทำงาน!
-ตอนไปตรวจคนไข้เราเป็นหมอ!
-เดินไปหน้าโรงพยาบาลถูกรถชนเราเป็นคนไข้!
-ไปสอนหนังสือเราเป็นครู!
-ถ้าครูเดินมาพอดีเราก็เป็นลูกศิษย์!
-กลับไปบ้านไปเจอภรรยาเราเป็นสามี!
-ไปเจอลูกเราเป็นพ่อ!
-ไปเจอพ่อเรากลายเป็นลูก!
-ไปเจอยายเรากลายเป็นหลานไปเลย!
-ไปเจอหลานเรากลายเป็นตาเสียแล้ว !

โดยสรุปคือเราเป็นโดยสมมุติขณะที่ทำหน้าที่ขณะหนึ่งๆเท่านั้น!
แล้วมนุษย์ก็ไปหลงตัวเองว่า เราเป็นนั่นเป็นนี่แล้วยึดติดกันเอง ทะเลาะกันเอง เบียดบังกันเอง ฆ่ากันเอง!
ถ้าเราถอดสมมุติออก ถอดความเป็นตัวเป็นตนออก ชีวิตก็จะเบาสบาย...
อีกนัยหนึ่ง มีความหมายของการเกิดมามีชีวิตหนึ่ง!
"ชีวิตคนเราคือนักท่องเที่ยว"
อยากเที่ยวให้สนุก อย่าแบกของหนัก
อย่าเอาเป็นเอาตายกับสิ่งที่เจอ!
บางครั้งได้ห้องพักดี ก็หาความสุขจากมัน!
บางครั้งได้ห้องพักไม่ดี ก็ให้เข้าใจว่า พรุ่งนี้ก็ไปแล้ว
กับผู้คนที่ผ่านเข้ามา ทำดีต่อกันไว้มากๆ!
เพราะมันจะเป็นความทรงจำที่ดีในวันจากลา!
มองฟ้าบ้าง เอาเท้าไปแช่ลำธารบ้าง!
อย่ามัวแต่ให้ความสำคัญ
กับความไม่สะดวกเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเดินทาง!
ถนนทุกสายมีดอกไม้บาน จงมองให้เห็น!
อย่าฟังแต่เสียงฟ้าร้อง อย่ามองแต่ก้อนขี้หมา!
ถ่ายรูปเล่นได้ แต่เก็บไว้ในความทรงจำดีกว่า!
ซื้อของติดไม้ติดมือได้แต่อย่าซื้อให้มาก จนกลายเป็น ไอ้บ้าเฝ้าสมบัติ!
ชีวิตคนเราคือนักท่องเที่ยว
ทุกที่คือทางผ่าน!
ต้นไม้สวยงามก็จริงแต่เราเอาไปไม่ได้!
พบพานจนผูกพัน ถึงวันก้อต้องจากลา!
ยามเช้าชมตะวันขึ้นริมทะเล
ยามเย็นชมตะวันตกที่ยอดเขา!
ทุกสิ่งคือเรื่องชั่วคราวเท่านั้น!
และเราเป็นแค่นักท่องเที่ยว
มาแล้วก็จากไป!

แต่ต้องใส่ใจกันและกัน ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่!
#ขอบคุณบทความดีดี!! ผมอ่านแล้วชอบมากครับ

Cr : line
ตอบกลับโพส