“อ้อมกอดของหนูน้อย”
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 05, 2021 3:35 pm
...... อ้อมกอดของหนูน้อย........
แปลจากเรื่อง A Baby’s Hug โดย กอบกิจ ครุวรรณ
วันนั้น ในร้านอาหารมีพวกเราครอบครัวเดียวที่พาลูก ๆ มากินข้าวด้วย ดิฉันผู้เป็นแม่จัดให้เอริกลูกวัย 2 ขวบเศษนั่งบนเก้าอี้สูงสำหรับเด็กเล็ก เอริกสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ และทันใดนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะร้องด้วยความดีใจว่า “สวัสดีคุณ”
ดิฉันมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นที่มาของการส่งเสียงร้องดีใจของลูก ดิฉันเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่ารุ่มร่าม มีนิ้วเท้าโผล่ออกมานอกรองเท้าที่ขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราหรอมแหรม จมูกคด และคงไม่ได้อาบน้ำมานานทีเดียว โชคดีที่โต๊ะเราอยู่ค่อนข้างไกลจากชายคนนั้นจึงไม่ได้กลิ่นสาปจากร่างกายของเขาซึ่งคงเหม็นน่าดู
ชายคนนั้นโบกมือและทักทายเอริกว่า “สวัสดี หนูน้อยคนเก่ง ว่าไงพ่อนักเลงโต” ดิฉันและสามีได้แต่หันไปสบตากันเป็นเชิงถามว่า “จะเอายังไงดี” ขณะเดียวกันเอริกยังคงส่งเสียงหัวเราะชอบใจและร้องทักทายตอบชายผู้นั้นไปว่า “สวัสดีก๊าบบ...” ทุกคนในร้านอาหารต่างก็มองมาที่โต๊ะเราและที่ชายคนนั้น... คิฉันคิดในใจว่า “งานเข้าละสิ ชายสูงวัยคนนั้นกำลังก่อเรื่องยุ่งกับลูกน้อยที่น่ารักของฉันเข้าแล้ว”
ขณะที่พนักงานนำอาหารมาที่โต๊ะเรา ชายคนนั้นก็ส่งเสียงมาที่เอริกอีก “จ๊ะ-เอ๋? เอ้าดูสิ เจ้าหนูเล่น จ๊ะ-เอ๋ เป็นด้วย” ทุกคนในร้านคิดว่าเขาคงเมาจึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่มีใครเขาทำกัน ดิฉันและสามีรู้สึกอึดอัดใจแต่ก็ยังคงรับประทานอาหารต่อไปอย่างเงียบ ๆ แต่เจ้าเอริกของเรายังคงพูดจาโต้ตอบอย่างสนุกสนานกับชายพเนจรคนนั้น
ที่สุดเมื่อเรากินอาหารเสร็จและเริ่มเดินออกจากร้านขณะที่สามีดิฉันแยกเดินไปชำระค่าอาหารและนัดพบกันที่จอดรถ ตอนนั้นเองที่ชายสูงวัยเดินมานั่งอย่างสบายอารมณ์กลางทางเดินไปประตูทางออกของร้าน ดิฉันได้แต่พร่ำภาวนาในใจว่า “พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ขอให้ดิฉันเดินออกจากห้องนี้ไปให้พ้นก่อนที่เขาจะพูดกับดิฉันหรือพูดกับลูกเอริกเถิด”
ดิฉันอุ้มเอริกเดินเข้าไปใกล้และขยับตัวหันหลังให้เพื่อจะผ่านตัวเขาไปจากด้านข้าง ขณะเดียวกันดิฉันก็กลั้นหายใจเพื่อจะไม่ได้กลิ่นตัวและลมหายใจของเขา ในจังหวะนั้นเองเอริกพลิกตัวทั้งที่ยังอยู่ในวงแขนของดิฉันและอ้าแขนทั้งสองข้างออกอยู่ในตำแหน่ง “พร้อมที่จะให้อุ้ม” ตรงหน้าเขา และก่อนที่ดิฉันจะหยุดเอริกได้ ก็ปรากฏว่าเอริกน้อยของดิฉันโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายคนนั้นแล้ว กลิ่นสาปที่รุนแรงของชายพเนจรผสมร่วมอยู่กับความรักที่ทั้งสองมีต่อกันอย่างกลมกลืน ศีรษะของเอริกซบอยู่กับไหล่ของเขาราวกับเพื่อนซี้ ขณะที่ชายคนนั้นหลับตาทั้งสองข้างอย่างเป็นสุข ดิฉันเห็นสายน้ำตาของเขาไหลรินออกมานองหน้า มือทั้งสองของเขาเป็นมือที่หยาบกร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยของแผลเป็นจากการทำงานหนักขณะนี้กลายเป็นเปลแกว่งไปมาให้เอริกที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสงบ ดิฉันไม่เคยเห็นความรักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ของบุคคล 2 คนที่แตกต่างกันราวกับฟ้าและดินมาก่อนในชีวิต ดิฉันทำได้แต่เพียงยืนอ้าปากค้าง
หลังจากที่เขาแกว่งแขนที่เป็นเสมือนเปลให้ลูกนอนตามสบายอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เปิดตาออกและมองตรงมาที่นัยน์ตาของดิฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นราวกับออกคำสั่งว่า “คุณผู้หญิงกรุณาเลี้ยงดูเด็กน้อยคนนี้ให้ดีนะครับ” ดิฉันทำได้แต่เพียงตอบรับไปราวกับมีของแข็งติดอยู่ในลำคอว่า “ค่ะ” จากนั้นเขาก็แกะเอริกที่กอดเขาแน่นออกอย่างนิ่มนวลด้วยความลำบากใจและส่งเอริกคืนให้ดิฉันพร้อมกับพูดว่า “ขอถวายพรแด่พระผู้เป็นเจ้า คุณผู้หญิงครับ วันนี้คุณได้มอบของขวัญคริสต์มาสที่ดีที่สุดให้ผม” ดิฉันได้แต่พูดอ้อมแอ้มขอบคุณเขา
เมื่อได้ลูกเอริกคืน ดิฉันก็รีบวิ่งไปที่รถ สามีดิฉันรู้สึกประหลาดใจที่เห็นดิฉันกอดลูกไว้แน่นร้องไห้ขณะที่พูดกับเขาว่า “พระเป็นเจ้าโปรดให้อภัยลูกด้วย” ดิฉันเพิ่งเป็นประจักษ์พยานความรักของพระคริสตเจ้าที่แสดงออกโดยผ่านความไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่ไร้มลทินและติดสินผู้อื่นไม่เป็น เด็กน้อยมองเห็นจิตวิญญาณของผู้คนขณะที่ผู้เป็นแม่มองเห็นแต่เสื้อผ้าภายนอกของเขา ดิฉันเป็นคริสตชนคนหนึ่งที่ตาบอด ขณะที่เด็กน้อยมีดวงตาที่มองเห็นความจริง ดิฉันรู้สึกว่าพระบิดาเจ้าทรงตั้งคำถามกับดิฉันว่า “เธอยินดีจะแบ่งปันลูกน้อยให้ผู้อื่นสักครู่ได้ไหม” ในเมื่อพระองค์ยังทรงยอมแบ่งปันพระบุตรของพระองค์ตลอดนิรันดรให้เรา ชายพเนจรผู้นี้คงคิดไม่ถึงว่า เขาเป็นผู้เตือนสติดิฉันว่า “ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” (มธ 18:3)
แปลจากเรื่อง A Baby’s Hug โดย กอบกิจ ครุวรรณ
วันนั้น ในร้านอาหารมีพวกเราครอบครัวเดียวที่พาลูก ๆ มากินข้าวด้วย ดิฉันผู้เป็นแม่จัดให้เอริกลูกวัย 2 ขวบเศษนั่งบนเก้าอี้สูงสำหรับเด็กเล็ก เอริกสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ และทันใดนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะร้องด้วยความดีใจว่า “สวัสดีคุณ”
ดิฉันมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นที่มาของการส่งเสียงร้องดีใจของลูก ดิฉันเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่ารุ่มร่าม มีนิ้วเท้าโผล่ออกมานอกรองเท้าที่ขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราหรอมแหรม จมูกคด และคงไม่ได้อาบน้ำมานานทีเดียว โชคดีที่โต๊ะเราอยู่ค่อนข้างไกลจากชายคนนั้นจึงไม่ได้กลิ่นสาปจากร่างกายของเขาซึ่งคงเหม็นน่าดู
ชายคนนั้นโบกมือและทักทายเอริกว่า “สวัสดี หนูน้อยคนเก่ง ว่าไงพ่อนักเลงโต” ดิฉันและสามีได้แต่หันไปสบตากันเป็นเชิงถามว่า “จะเอายังไงดี” ขณะเดียวกันเอริกยังคงส่งเสียงหัวเราะชอบใจและร้องทักทายตอบชายผู้นั้นไปว่า “สวัสดีก๊าบบ...” ทุกคนในร้านอาหารต่างก็มองมาที่โต๊ะเราและที่ชายคนนั้น... คิฉันคิดในใจว่า “งานเข้าละสิ ชายสูงวัยคนนั้นกำลังก่อเรื่องยุ่งกับลูกน้อยที่น่ารักของฉันเข้าแล้ว”
ขณะที่พนักงานนำอาหารมาที่โต๊ะเรา ชายคนนั้นก็ส่งเสียงมาที่เอริกอีก “จ๊ะ-เอ๋? เอ้าดูสิ เจ้าหนูเล่น จ๊ะ-เอ๋ เป็นด้วย” ทุกคนในร้านคิดว่าเขาคงเมาจึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่มีใครเขาทำกัน ดิฉันและสามีรู้สึกอึดอัดใจแต่ก็ยังคงรับประทานอาหารต่อไปอย่างเงียบ ๆ แต่เจ้าเอริกของเรายังคงพูดจาโต้ตอบอย่างสนุกสนานกับชายพเนจรคนนั้น
ที่สุดเมื่อเรากินอาหารเสร็จและเริ่มเดินออกจากร้านขณะที่สามีดิฉันแยกเดินไปชำระค่าอาหารและนัดพบกันที่จอดรถ ตอนนั้นเองที่ชายสูงวัยเดินมานั่งอย่างสบายอารมณ์กลางทางเดินไปประตูทางออกของร้าน ดิฉันได้แต่พร่ำภาวนาในใจว่า “พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ขอให้ดิฉันเดินออกจากห้องนี้ไปให้พ้นก่อนที่เขาจะพูดกับดิฉันหรือพูดกับลูกเอริกเถิด”
ดิฉันอุ้มเอริกเดินเข้าไปใกล้และขยับตัวหันหลังให้เพื่อจะผ่านตัวเขาไปจากด้านข้าง ขณะเดียวกันดิฉันก็กลั้นหายใจเพื่อจะไม่ได้กลิ่นตัวและลมหายใจของเขา ในจังหวะนั้นเองเอริกพลิกตัวทั้งที่ยังอยู่ในวงแขนของดิฉันและอ้าแขนทั้งสองข้างออกอยู่ในตำแหน่ง “พร้อมที่จะให้อุ้ม” ตรงหน้าเขา และก่อนที่ดิฉันจะหยุดเอริกได้ ก็ปรากฏว่าเอริกน้อยของดิฉันโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายคนนั้นแล้ว กลิ่นสาปที่รุนแรงของชายพเนจรผสมร่วมอยู่กับความรักที่ทั้งสองมีต่อกันอย่างกลมกลืน ศีรษะของเอริกซบอยู่กับไหล่ของเขาราวกับเพื่อนซี้ ขณะที่ชายคนนั้นหลับตาทั้งสองข้างอย่างเป็นสุข ดิฉันเห็นสายน้ำตาของเขาไหลรินออกมานองหน้า มือทั้งสองของเขาเป็นมือที่หยาบกร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยของแผลเป็นจากการทำงานหนักขณะนี้กลายเป็นเปลแกว่งไปมาให้เอริกที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสงบ ดิฉันไม่เคยเห็นความรักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ของบุคคล 2 คนที่แตกต่างกันราวกับฟ้าและดินมาก่อนในชีวิต ดิฉันทำได้แต่เพียงยืนอ้าปากค้าง
หลังจากที่เขาแกว่งแขนที่เป็นเสมือนเปลให้ลูกนอนตามสบายอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เปิดตาออกและมองตรงมาที่นัยน์ตาของดิฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นราวกับออกคำสั่งว่า “คุณผู้หญิงกรุณาเลี้ยงดูเด็กน้อยคนนี้ให้ดีนะครับ” ดิฉันทำได้แต่เพียงตอบรับไปราวกับมีของแข็งติดอยู่ในลำคอว่า “ค่ะ” จากนั้นเขาก็แกะเอริกที่กอดเขาแน่นออกอย่างนิ่มนวลด้วยความลำบากใจและส่งเอริกคืนให้ดิฉันพร้อมกับพูดว่า “ขอถวายพรแด่พระผู้เป็นเจ้า คุณผู้หญิงครับ วันนี้คุณได้มอบของขวัญคริสต์มาสที่ดีที่สุดให้ผม” ดิฉันได้แต่พูดอ้อมแอ้มขอบคุณเขา
เมื่อได้ลูกเอริกคืน ดิฉันก็รีบวิ่งไปที่รถ สามีดิฉันรู้สึกประหลาดใจที่เห็นดิฉันกอดลูกไว้แน่นร้องไห้ขณะที่พูดกับเขาว่า “พระเป็นเจ้าโปรดให้อภัยลูกด้วย” ดิฉันเพิ่งเป็นประจักษ์พยานความรักของพระคริสตเจ้าที่แสดงออกโดยผ่านความไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่ไร้มลทินและติดสินผู้อื่นไม่เป็น เด็กน้อยมองเห็นจิตวิญญาณของผู้คนขณะที่ผู้เป็นแม่มองเห็นแต่เสื้อผ้าภายนอกของเขา ดิฉันเป็นคริสตชนคนหนึ่งที่ตาบอด ขณะที่เด็กน้อยมีดวงตาที่มองเห็นความจริง ดิฉันรู้สึกว่าพระบิดาเจ้าทรงตั้งคำถามกับดิฉันว่า “เธอยินดีจะแบ่งปันลูกน้อยให้ผู้อื่นสักครู่ได้ไหม” ในเมื่อพระองค์ยังทรงยอมแบ่งปันพระบุตรของพระองค์ตลอดนิรันดรให้เรา ชายพเนจรผู้นี้คงคิดไม่ถึงว่า เขาเป็นผู้เตือนสติดิฉันว่า “ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” (มธ 18:3)