“เมื่อผีปีศาจริจะหลอกพระ “

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.พ. 20, 2021 9:05 pm

+ เมื่อผีริจะหลอกพระ +

บทพระคัมภีร์ว่าด้วยการผจญล่อลวงพระเยซูคริสต์ ถูกบันทึกไว้โดยผู้เขียนพระคัมภีร์3ใน4คน(มัทธิว4:1 มาระโก1:12 ลูกา4:6)ซึ่งชวนให้สงสัยว่า ถ้าพระเยซูคือพระเจ้าซึ่งรู้ดีทุกสิ่งทุกอย่างใครจะมาหลอกได้

แต่หากเราได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ เราจะพบว่า การทดลองที่พระเยซูเผชิญ ไม่ใช่การหลอกด้วยความไม่รู้ หรือด้วยการโกหก หากแต่ปีศาจที่มาเล่นงานพระองค์นั้น นอกจากเชี่ยวชาญพระคัมภีร์อย่างมาก สามารถยกอ้างฉอดๆ มันยังพูดเรื่องจริงทั้งนั้นอีกด้วย ดังนั้นการล่อลวงคนที่รู้ความจริงทุกอย่างจึงไม่ใช่จากการพูดโกหกให้ทำผิดโดยไม่รู้ แต่เป็นการล่อหลอกให้ทำผิดทั้งที่รู้ ซึ่งเปรียบได้กับการประลองระดับเจ้ายุทธภพสู้กัน

เงื่อนไขที่สำคัญอีกอย่างที่เรื่องนี้เกิดขึ้นได้คือ การอนุญาตของพระเจ้าเอง ผู้เขียนพระคัมภีร์เล่าตรงกันว่าสิ่งนี้เกิดทันทีหลังทรงรับพิธีล้างจากยอห์น มีพระจิตเสด็จลงมา และ มีเสียงจากสวรรค์กล่าว่า ทรงเป็นพระบุตรสุดที่รัก และทรงเป็นที่โปรดปราน(ในพระธรรมใหม่ มีเพียง2คนเท่านั้นที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ คือมารีย์พระมารดาของพระองค์ตอนรับแจ้งข่าวการบังเกิด และพระเยซูเอง) และหลังเหตุการณ์ประกาศเกียรติอย่างยิ่งใหญ่จากสวรรค์ พระคัมภีร์เขียนชัดเจนว่า เป็นพระจิตเจ้าเองที่ ดล และ นำ พระเยซูเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารให้อดอาหารและอดน้ำนานถึง40วัน เพื่อให้ ทุกข์ทรมาน อ่อนแรง หิว เหนื่อยล้า และเครียดจนแทบบ้า เพื่อที่ปีศาจจะล่อลวงได้ (เราคงงงและคิดเหตุผลไม่ออกว่าพ่อที่เพิ่งบอกว่ารักลูกคนนี้เหลือเกินทำไมทำกับลูกแบบนี้) พระคัมภีร์ยังเขียนว่าทรงถูกปีศาจผจญตลอด40วัน นั่นแปลว่ายังมีการผจญอีกหลายเรื่องที่พระคัมภีร์ไม่เขียนแต่เลือกเล่าแค่3เรื่อง

พระเยซูในสภาพร่างกายมนุษย์ที่อ่อนแอ จะเป็นลมล้มตาย หิวโหยทรมาน ปีศาจก็เข้ามาแนะนำให้พระองค์เสกหินให้เป็นขนมปัง และแน่นอนมันไม่ได้โกหกเลย พระเยซูทำสิ่งนี้ได้จริงๆ อัศจรรย์แรกที่งานแต่งงานทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น และได้ทรงทวีขนมปังและปลาเลี้ยงคนห้าพันคน โดยตลอดชีวิตพระเยซูไม่เคยใช้พลังอำนาจในการทำอัศจรรย์เพื่อตัวเองเลย หากแต่ทำเพื่อคนอื่นทั้งหมด เพียงแต่ครั้งนี้ ปีศาจล่อลวงให้พระองค์ทำเพื่อประโยชน์ตนเองในที่ซึ่งไม่มีใครเห็นอีกต่างหาก ที่น่าสนใจคือปีศาจใช้คำว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า ก็จง..." กล่าวคือพระเยซูเพิ่งได้รับการประกาศรับรองว่าเป็นบุตรสุดที่รักจากพระบิดา ปีศาจเองก็เข้ามายั่วย้ำความจริงอันนี้เพื่อยั่วเย้ยว่าพระบิดาเองปล่อยให้ลูกทุกข์ทรมานถึงปานนี้ ยังอยากเป็นลูกต่อไหม

และเมื่อไม่สำเร็จ มันพาพระองค์ไปยังที่สูงและกล่าวอ้างพระคัมภีร์ว่าให้พระองค์กระโดดลงมาจะไม่เป็นไรหรอก เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่าทูตสวรรค์จะพยุงพระองค์ไม่ให้เท้ากระทบหิน สิ่งที่ปีศาจทำไม่ใช่การบิดเบือนพระคัมภีร์หากแต่ใช้วิธี "ตีความตรงๆตามตัวอักษร" พระเยซูเองก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่จริง หากแต่ทรงยกข้อพระคัมภีร์อื่นในการไม่บังควรที่มาทำสิ่งไร้สาระเพื่อทดสอบคำสอนของพระเจ้า

จากนั้นซาตานได้ผจญพระองค์โดยกล่าวความจริงอันหนึ่งว่า มันเป็นเจ้าของอำนาจการเมืองและความรุ่งเรืองของอาณาจักรทั้งหมดในโลกนี้หากพระเยซูยอมกราบนมัสการมัน มันจะยกทั้งหมดให้ พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธเลยว่ามันไม่มีอำนาจที่ว่าจริงๆ หากแต่บอกมันว่าให้นมัสการพระเจ้าเพียงผู้เดียว ถึงตรงนี้เราคงหายสงสัยว่าทำไมความเจริญรุ่งเรืองและอำนาจทางการเมืองมักแลกมาด้วยการเสื่อมของจริยธรรม และหลายครั้งคนที่มีอำนาจการเมือง หรือผู้ปกครองประเทศเองเป็นคนที่โหดร้ายเลวทรามเป็นอันมาก ปีศาจได้กล่าวอย่างชัดเจนไว้แล้วว่านี่คืออำนาจของมันที่ "มอบให้ใครก็ได้ตามใจ" จึงไม่น่าแปลกจากอดีตถึงปัจจุบันเมื่อมีศาสนาใดก็ตามไปพัวพันอำนาจการเมือง ศาสนานั้นก็จะพบความเสื่อมทรามลงทันที

แล้วพระคัมภีร์ก็ระบุต่อไปว่า ปีศาจได้ยอมแพ้พระองค์ไปก่อนแต่รอเวลาที่เหมาะสมที่จะกลับมาอีก สิ่งนี้บอกเราว่า พระเยซูเองไม่ได้โดนผจญแค่ครั้งนี้ แต่จะโดนผจญด้วยเรื่องเหล่านี้อีกในอนาคต พระองค์โดนฟาริสีตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษรเล่นงานพระองค์เสมอ บรรดาศิษย์เองยังโดนมารใช้เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวพระองค์ให้ใช้พลังอำนาจเพื่อไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ทรงโดนดึงเข้าพัวพันการเมืองตลอดเวลา มีแต่คนจะมายกให้พระองค์นำทัพกู้ชาติ แต่เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงแยกตัวเองออกจากการเมืองตลอดเวลา ไม่ยอมเอาตัวเข้าเป็นหมากการเมืองของฝ่ายใดเลย

พระเยซูเจ้าต้องรับบททดสอบที่ยากยิ่งกว่าใครในโลก บททดสอบสำหรับคนที่รู้ล่วงหน้าว่ากำลังเดินไปหาอะไร และมีสิทธิ์อำนาจที่จะยกเลิกทุกสิ่งอย่างเมื่อไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช้อำนาจและต้องยอมให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระบิดา

พระองค์ยังยอมรับการผจญนี้เพื่อบอกเราว่า พระองค์ไม่ใช่เป็นพระเจ้าที่สุขสบายบนสวรรค์แล้วไม่เข้าใจมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์แท้คนหนึ่งที่โดนมายิ่งกว่าเราแล้วทุกอย่าง ทรงเข้าใจการน้อยเนื้อต่ำใจ ความทุกข์ใจ ความไม่เข้าใจที่ต้องถูกพระบิดาพระเจ้าของตนเองยอมให้มารมาทดสอบ ยิ่งกว่านั้นในการทดสอบของพระองค์ต้องทรงสู้อย่างโดดเดี่ยว ต่างจากเราที่สามารถร้องขอพระองค์ทรงช่วยเหลือได้เสมอ

(ฮีบรู 4:15-16)เพราะเหตุว่า เราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการทดลองทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป ดังนั้น เราจงเข้าไปสู่พระบัลลังก์แห่งพระหรรษทานด้วยความมั่นใจเพื่อรับพระกรุณา และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เราต้องการ

CR. facebook.com/holysmn
ตอบกลับโพส