“ ราชินีเกี๊ยว”. แห่งฮ่องกง

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5972
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 24, 2021 11:35 pm

“ราชินีเกี๊ยว” แห่งฮ่องกง

เรื่องจริงของหญิงนักสู้ชีวิตที่ได้ชื่อว่าเป็น “ราชินีเกี๊ยว”แห่งฮ่องกง เริ่มสู้ชีวิตจากมือเปล่าสองมือจนประสบความสำเร็จที่ผู้คนต่างต้องยกนิ้วให้
..........”ขจรศักดิ์”

ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ซางเจี้ยนเห๋อ ( 臧健和) เกิดในปี 1945 ที่จังหวัดซานตง

ตอนเธอยังเล็ก พ่อก็ทิ้งครอบครัวหนีหายไปจากบ้าน เหลือเธอและน้องสาวที่ต้องอยู่กับแม่ ตอนห้าขวบ เธอเริ่มรู้จักช่วยแม่ทำมาหากินด้วยการเก็บเมล็ดข้าวตามท้องนา เจ็ดขวบช่วยแกะเมล็ดข้าวโพด สิบขวบรู้จักหุงหาอาหารแทนแม่ การที่ต้องเติบโตในครอบครัวคนจน ทำให้เธอรู้จักกัดฟันสู้ชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ตอนอายุสิบสี่ ดินฟ้าอากาศแล้งจัด นาล่มหมดไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยว สามแม่ลูกต้องจากบ้านเกิดเดินขอทานมาตลอดทาง จนมาปักหลักที่เมืองชิงเต่า แม่ต้องช่วยเขาปะชุนเสื้อผ้าเพื่อหารายได้ ส่งเธอและน้องสาวเข้าเรียนหนังสือ เธอรู้ว่าหากขืนเธอเรียนต่อ แม่จะต้องเหนื่อยอยู่คนเดียวจนร่างกายอาจจะรับไม่ไหว แม้เธอชอบเรียนหนังสือ แต่เธอก็ไม่ยอมฟังคำทัดทานของแม่ เธอออกจากโรงเรียนตอนอายุสิบห้า แล้วเข้าไปทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาล และเธอยังรับทำทุกงานพิเศษที่มีคนว่าจ้าง ทั้งนี้เพียงต้องการให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขี้น

เธอเป็นคนหน้าตาดี ฉลาด ขยันและนิสัยดี มีคนมาจีบเธอมากมาย แต่เธอยังไม่ยอมชายตามองใคร อาจเพราะยังไม่มีใครที่เธอถูกใจจริงๆ และเธอก็ตั้งใจอยากให้น้องเรียนจบและมีงานทำเสียก่อน

ปี 1967 ครอบครัวเธอมีบ้านอยู่ถาวรแล้ว และน้องสาวก็เรียนจบมีงานทำแล้ว เธอเริ่มมีความรักครั้งแรกตอนอายุยี่สิบสอง ฝ่ายชายมาจากเมืองไทย เป็นลูกหลานคนจีนในเมืองไทย เขาเดินทางไปเมืองจีนเพื่อช่วยพัฒนาประเทศชาติตามคำชักชวนของรัฐบาลจีนในยุคนั้น ผู้ชายทำงานช่วยด้านการแพทย์อยู่ในโรงพยาบาลเดียวกับที่เธอทำงาน เป็นคนนิสัยดีในสายตาเธอ แม่และน้องสาวก็ชื่นชอบผู้ชายคนนี้ เขาทั้งสองจึงมีเส้นทางรักที่ราบรื่น และทั้งคู่ก็แต่งงานกันในที่สุด

ตอนอายุยี่สิบสี่ เธอได้คลอดลูกสาวคนแรก และอีกสี่ปีถัดมา ก็ได้ลูกสาวเพิ่มอีกคน ฝ่ายชายสัญญาว่าจะครองรักอยู่กับเธอในชิงเต่าจนแก่เฒ่า ฝ่ายชายบอกเขาว่าเขาก็มาจากครอบครัวที่ยากจนในเมืองไทย ทั้งคู่จึงดูเหมือนมีภูมิหลังของครอบครัวที่คล้ายคลึงกัน

ปี 1976 พ่อของฝ่ายชายที่อยู่ในเมืองไทยถึงแก่กรรม แม่ของฝ่ายชายจึงหาทางและเร่งรัดให้ลูกชายกลับเมืองไทยด่วน เพราะเขาเป็นลูกชายคนโต ฝ่ายชายสัญญากับเธอว่า เมื่อกลับถึงเมืองไทยจะรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจะรับเธอและลูกทั้งสองไปอยู่เมืองไทยด้วยกัน

หลังจากนั้นสามปี เธอและลูกทั้งสองจึงได้เดินทางออกจากเมืองจีนสู่เมืองไทย เมื่อถึงเมืองไทยแล้ว ทำให้เธอรู้ว่าแท้จริงแล้วบ้านฝ่ายสามีมีฐานะร่ำรวยในขั้นเศรษฐี ทางบ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับพวกผ้าแพรไหม เธอน่าจะได้มีชีวิตที่สุขสบาย ได้เป็นคุณนายเต็มยศ แม้สามียังคงรักเธอเหมือนเดิม แต่มีสิ่งแปลกปลอมแทรกเข้ามาระหว่างเขาทั้งสอง นั่นคือสามีเธอมีภรรยาใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน และยังมีลูกชายตัวน้อยๆด้วยกันหนึ่งคน

เธอทวงถามความถูกต้องจากสามี แม่สามีบอกให้เธอทำใจยอมรับสภาพนั้นให้ได้ แต่เธอยืนกรานว่าเธอแต่งงานและมีลูกก่อน แต่แม่สามีบอกเธอว่า หลานที่วงศ์ตระกูลต้องการคือหลานชาย ไม่ใช่หลานสาว เธอยืนกรานจะให้สามีเลือกเอาแค่คนเดียว สามีเธอไม่มีคำตอบให้เธอ แต่หันไปส่งยิ้มให้กับภรรยาฝ่ายไทย เธอรู้อนาคตฐานะของเธอและลูกสาวที่จะไม่ได้อยู่ในสายตาของตระกูลนี้ แม่สามีบอกเธอว่า "ผู้หญิงเยอะแยะที่อยากมาเป็นสะใภ้บ้านนี้ เธอกับลูกทั้งสองอยู่ได้ก็อยู่ไป ไม่มีใครไปไล่เธอหรอก " แต่เธอปฏิเสธที่จะอยู่ในสถานะที่น่าอึดอัดเช่นนั้น เธอบอกว่า "สิ่งที่ฉันต้องการ คือความรักที่มีแค่หัวใจดวงเดียวที่มีให้ต่อกัน และศักดิ์ศรีที่ฉันจะเชิดหน้าสู้หน้าคนอื่นได้" เธอตัดสินใจพาลูกทั้งสองจากเมืองไทยด้วยความขมขื่น

เธอกับลูกได้เอกสารเข้าไปอยู่ในฮ่องกง เมืองไทยไม่ใช่ที่ของเธออีกต่อไป และเธอก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบากบั่นกลับไปพบแม่ที่ชิงเต่าอีกครั้ง เธอตัดสินใจปักหลักที่ฮ่องกง เธอมีสองมือ เธอจะสู้เพื่อลูกทั้งสอง ตัวอย่างเช่นนี้เธอเห็นมาแล้วตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอไม่กลัว เธอไม่หวั่น เธอเชิดหน้าสู้ชีวิตด้วยความมุ่งมั่น

เธอเช่าห้องเล็กๆพอซุกหัวนอนประมาณสี่ตารางเมตร ไม่มีหน้าต่าง เธอพูดภาษากวางตุ้งไม่ได้ ก็ได้แต่หางานที่ใช้แต่แรงงานเป็นหลัก รับจ้างทำความสะอาดและล้างจานในภัตตาคารในช่วงกลางวัน ตกเย็นไปล้างรถรางที่อู่รถราง ตกดึกไปรับจ้างเฝ้าไข้คนไข้ในโรงพยาบาล วันๆมีเวลานอนไม่กี่ชั่วโมง แต่เธอก็ยังมีสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มสู้ชีวิต ลูกๆทั้งสองก็น่ารัก ช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้านให้เธอให้ดีทีเดียว

เธอประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บบริเวณบั้นเอวในระหว่างงาน จนเธอไม่สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ ต้องพักฟื้นเป็นเวลานานตามหมอสั่ง เมื่อเพื่อนมาเยี่ยมเธอที่บ้าน เธอทำเกี๊ยวเลี้ยงเพื่อน เพื่อนบอกอร่อยมากๆ เปิดร้านขายได้สบาย ในเมื่อเป็นช่วงที่ไม่มีรายได้เข้าบ้าน วันรุ่งขึ้นเธอจึงตัดสินใจไปหาเศษไม้มาทำเป็นรถเข็นคันเล็กๆไว้ขายเกี๊ยว วันถัดมาเธอพาลูกสาวทั้งสองออกไปเริ่มอาชีพขายเกี๊ยว ปักหลักที่บริเวณท่าเรือวันจ๋าย ( 灣仔碼頭) หรือ Wanchai Ferry ที่คนไทยรู้จักกันดี

วันแรกของอาชีพแม่ค้าขายเกี๊ยว ใจเธอสับสน อาย กลัว รังเกียจตัวเธอเอง ถามใจตัวเองว่า เธอตกอับถึงขั้นต้องมายืนขายเกี๊ยวอยู่ข้างถนนแล้วเหรอ

ผู้คนเดินผ่านไปมาเยอะแยะ เธอก้มหน้าก้มตาไม่ค่อยกล้าสบสายตาใคร มองดูแต่น้ำซุปที่เดือดปุดๆในหม้อ กลับกลายเป็นลูกสาวคนโตที่รู้จักตะโกนเรียกลูกค้าให้มาอุดหนุน "เกี๊ยวร้อนๆจ้าเกี๊ยวร้อนๆ เกี๊ยวที่อร่อยที่สุดในฮ่องกง" ส่วนลูกสาวคนเล็กก็คอยเต้นแร้งเต้นกาเชียร์แขกอยู่หน้าแผง

ตอนค่ำใกล้เวลาเก็บร้าน มีนักเรียนห้าคนเข้ามาอุดหนุน สั่งกันคนละชาม พอทานหมดก็สั่งเพิ่มอีกคนละชาม เมื่อทานจนเกลี้ยงชามก็พากันชมไม่ขาดปาก "โฮ๋วเสก" (อร่อยมาก) นั่นเป็นภาษากวางตุ้งคำแรกที่ไพเราะที่สุดสำหรับเธอ มันเป็นกำลังใจอันใหญ่หลวงที่ช่วยจรรโลงให้อาชีพขายเกี๊ยวของเธอเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจ

ตอนกลางวันเธอเตรียมวัตถุดิบอยู่ที่บ้าน ลูกๆไปเรียนหนังสือ ตอนเย็นยกทัพอออกไปขายเกี๊ยวพร้อมกัน แม่มีหน้าที่ปรุง ลูกคนโตเป็นลูกมือและคอยเชียร์แขก ส่วนคนเล็กคอยดูต้นทาง ตำรวจมาเมื่อไหร่ก็รีบวิ่งไปบอกแม่ให้เข็นรถเข็นหนี จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งลูกคนเล็กมัวแต่เล่นกับลูกหมาของคนแถวนั้น ตำรวจมาก็ไม่ทันสังเกต จนแม่โดนตำรวจจับ ต้องโดนปรับและยึดรถขายเกี๊ยว เธอตกใจร้องไห้รีบเข้าไปกอดขาคุณตำรวจ "คุณอาค่ะ ปล่อยแม่หนูเถอะ ไม่ใช่ความผิดของแม่ หนูผิดเอง หนูไม่ได้ดูต้นทางให้ดี......" คุณตำรวจอ่อนอกอ่อนใจ มองดูหน้าตาของสามแม่ลูกที่มีน้ำตานองหน้า จนคุณตำรวจต้องใจอ่อนลูบหัวเด็กทั้งสองด้วยความสงสาร หลังจากวันนั้น คุณตำรวจผู้ใจดีก็พยายามไม่แวะเวียนไปแถวนั้นอีก

การค้าของเธอเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุดสำหรับเธอ ปีหนึ่งมีวันหยุดแค่สัปดาห์เดียวในช่วงตรุษจีน เธอมีแผงที่ใหญ่ขึ้น เกี๊ยวของเธออร่อย สะอาด สดใหม่ทุกวัน ลูกโตใส้แน่น ราคากันเอง ลูกค้ามากขึ้นทุกวันจนต้องเข้าแถวรอกัน มีนักข่าว นักชิมเขียนบทความเชียร์เธอมากมาย ใครๆก็รู้ว่าถ้าจะทานเกี๊ยวที่อร่อยต้องมาที่แผงเธอที่ท่าเรือวันจ๋าย

ปี 1982 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเธอครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต เจ้าของร้านสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นชื่อไดมารูมาขอพบเธอที่แผง บอกเธอว่าอยากไปชมโรงงานของเธอ เธอตอบด้วยความตกใจ "แม้แต่ที่ขายเกี๊ยวยังต้องอาศัยแผงลอยข้างถนน จะเอาปัญญาที่ไหนไปสร้างโรงงาน” เจ้าของไดมารูบอกเธอว่าสนใจอยากร่วมลงทุนกับเธอ เรื่องทั้งเรื่องมาจากลูกสาวของเขาที่เป็นคนจู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารการกินมาก แต่พอดีมีโอกาสได้ชิมเกี๊ยวเจ้านี้โดยบังเอิญ ลูกสาวเขาสามารถทานทีเดียวไม่ต่ำกว่ายี่สิบลูกอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เขาสนใจในผลิตภัณฑ์ของเธอ

ไดมารูมีสาขาหลายสิบสาขาในญี่ปุ่นและประเทศต่างๆ ในฮ่องกงก็เปิดกิจการมาแล้วกว่ายี่สิบปี เกี๊ยวที่สามารถสร้างความประทับใจอย่างที่สุดให้กับลูกสาวของเขาทำให้เขาสนใจเกี๊ยวตัวนี้ เขาอยากได้เกี๊ยวของเธอไปขายในซุปเปอร์มาเก็ตแบบแช่แข็งซื้อกลับบ้านได้ "ทางเราจะสร้างโรงงานให้ แต่ชื่อผลิตภัณฑ์ให้ใช้ชื่อของไดมารู" "ไม่ได้หรอกค่ะ เกี๊ยวของฉันเริ่มต้นและดังมาจากบริเวณ"ท่าเรือวันจ๋าย" เกี๊ยวของฉันก็ต้องชื่อ "ท่าเรือวันจ๋าย" ( 灣仔碼頭) สิค่ะ" "ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยใส่ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของทางไดมารูไว้บนซองผลิตภัณฑ์" "ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เกี๊ยวของฉันดังได้ก็เพราะชมกันปากต่อปากจากลูกค้ามาเป็นเวลานานแล้ว ควรจะเป็นที่อยู่และเบอร์ของฉัน คำติคำชมก็จะได้ตรงมาหาฉัน ฉันจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของลูกค้า" ไม่มีหนทางต่อรองกันได้เลย สุดท้ายทางฝ่ายไดมารูต้องยกธงขาว ยอมรับกติกาของเธอทั้งหมด เธอจึงได้โรงงานมาแบบฟรีๆ

มันกลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จากเกี๊ยวที่ขายอยู่ริมถนน จนสามารถเข้าไปขายในห้างดังระดับโลก ทำให้ผู้คนรู้จักเกี๊ยว "ท่าเรือวันจ๋าย" มากขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ปี 1996 บริษัทอาหารแช่แข็งลือชื่อของอเมริกา Pillsbury ยื่นข้อเสนอขอร่วมทุนกับเธอ ร่วมทุนฝ่ายละหนึ่งพันล้านเหรียญสร้างโรงงานขนาด 1200 ตารางเมตรที่ทันสมัยที่สุดในฮ่องกง มันทำให้เกี๊ยวของเธอสามารถขยายตลาดขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ปี 1997 สร้างโรงงานต่อไปในเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเมืองอื่นๆอีก บัดนี้เกี๊ยวของเธอกระจายไปทั่วประเทศจีนที่มีประชากรถึง 1400 ล้านคน

ทุกวันนี้ คุณสามารถหาซื้อเกี๊ยวแช่แข็ง "ท่าเรือวันจ๋าย" ได้เกือบทั่วโลก ยอดขายเพิ่มไปถึงปีละหกพันล้านเหรียญ เธอหวังอย่างยิ่งว่า สักวันชาวโลกต้องรู้จักและชื่นชอบเกี๊ยวจากประเทศจีน พอๆกับที่ชื่นชอบพิซซ่าหรือแฮมเบอร์เกอร์ของฝรั่ง ในวันนี้ ความฝันของเธอกำลังก้าวสู่ความเป็นจริงทีละก้าวอย่างมุ่งมั่น

จากการสำรวจล่าสุด เธอน่าจะมีทรัพย์สมบัติไม่ต่ำกว่าห้าพันล้านเหรียญ แต่น่าเสียดายที่เธอถูกโรครุมเร้าอยู่หลายโรค เพราะเธอเริ่มป่วยด้วยโรคเบาหวานตั้งแต่เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว แล้วเธอก็ต้องจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2019 ศิริอายุรวมได้ 74 ปี

นี่คือเรื่องจริงของชีวิตที่น่าทึ่งของ”ราชินีเกี๊ยว”จากฮ่องกงคนนี้....”ซางเจี้ยนเห๋อ” แม้เธอจะต้องพบเรื่องเศร้าหมองขนาดใหญ่ในชีวิตเธอ แม้เธอต้องลำบากยากเข็นขนาดไหน แต่เธอไม่เคยถอดใจ เธอตั้งใจทำทุกวันของเธอให้ดีที่สุด ทำทุกหน้าที่ของเธอให้สมบูรณ์แบบที่สุด ตลอดเส้นทางชีวิตที่เธอเดินมา เธอไม่กล้าคาดหวังที่จะมีผู้มีพระคุณมาค้ำจุนคุ้มครองเธอ เธอเตือนตัวเองตลอดว่า "ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเสมอ และเมื่อวันแห่งความสำเร็จมาถึง ตนนั่นแหละจะรับรู้ได้ถึงรสชาติที่ยิ่งใหญ่นั้นๆอย่างเต็มภาคภูมิ”

ขอดวงวิญญาณเธอจงสู่สุขคติด้วยเทอญ ด้วยความเคารพยิ่ง

www.facebook.com/Flintlibrary
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
Ref: Wikipedia/奮鬥者
ตอบกลับโพส