“ชีวิตยังมีหวัง” (5ตอนจบ)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 25, 2021 11:49 am

....เรื่อง "ชีวิตยังมีหวัง" ตอนที่ (1)
โดย Floyd Whaley;
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2543/2000,
เรียบเรียงและแปลเพิ่มจาก Wikipedia 2020
.......คริสตินา โนเบิล (Chirstina Nobel) มอบสิ่งมีค่ายิ่งกว่าเงินให้แก่เด็กข้างถนนในเวียดนาม
เมื่อไปถึงโฮจิมินห์ในปี 1989 คริสตินา สะดุดตากับภาพเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มและดูเหมือนจะเล่นทรายเพลินอยู่อีกฟากถนน ตรงข้ามโรงแรมเร็กซ์ แต่หลายวันผ่านไป คริสตินาเริ่มเอะใจว่าเด็กเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีพ่อแม่ เมื่อเดินตรงเข้าไปหาเพื่อจะถาม เด็กน้อยคนหนึ่งก็ตบมดที่ไต่แก้มอยู่แล้วคว้าใส่ปากทันที
คริสตินาได้แต่นิ่งอึ้ง “คุณพระช่วย เด็กพวกนี้กินมด” เธออุทานลั่น สายตายังจ้องเด็กที่ง่วนขุดทรายหามดกิน เด็กอีกคนเงยหน้าขึ้นมองหญิงต่างชาติด้วยสายตาวิงวอน “ขอตังค์หน่อย” เด็กร้องขอพร้อมกับแบมือตรงหน้า แต่แทนที่จะควักเศษสตางค์ให้ คริสตินากลับก้มลงคว้าเด็กสองพี่น้องอุ้มใส่เอว แล้วใช้เสื้อคลุมผ้าร่มบังร่างน้อย ๆ ไว้ จากนั้นก็รีบเดินกลับเข้าไปในโรงแรม
เธอทราบภายหลังว่า เด็กทั้งสองชื่อ “ฮัง” และ “ฮง” อายุ 6 กับ 7 ขวบ พ่อแม่ยากจนหมดหนทาง คริสตินาอนุญาตให้เด็กทั้งสองลูบคลำผ้าปูเตียงลินินซึ่งลงแป้งเรียบกริบ สองพี่น้องหัวเราะคิกคักขณะเล่นอยู่หน้ากระจก จากนั้นเธอก็จับทั้งคู่อาบน้ำและให้นอน แล้วรีบตรงไปที่ร้านหัวมุมถนนเพื่อหาซื้อกระโปรงติดระบายประดับลูกไม้และเข็มขัดผ้าซาตินสีชมพูกับสีเหลืองอย่างละชุด เธอตอบไม่ได้ว่าอะไรดลใจให้ทำเช่นนั้น บอกได้เพียงว่าต้องทำ ขณะเดียวกันความทรงจำในวัยเด็กก็เริ่มถาโถมเข้ามา
คริสตินา เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1944 ในย่านเสื่อมโทรมในกรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ แม่ตายตอนเธออายุ 10 ขวบ พ่อขี้เมาจน ๆ ดูแลลูก ๆ ไม่ไหว ศาลสั่งให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารับเธอไว้ โดยโกหกเธอว่าพี่น้องอีก 3 คนของเธอเสียชีวิตแล้ว ต่อมาเธอหนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเริ่มเผชิญชีวิตข้างถนน นอนตามสวนสาธารณะ อาศัยท่อระบายน้ำที่มีพุ่มไม้บังมิดชิดเป็นที่ซุกตัวนอน และมีความหิวเป็นเพื่อนคอยรบกวนตลอดเวลา บางวันอาหารอย่างเดียวที่ตกถึงท้องคือใบไม้รสขมที่กัดกระเพาะจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด เธอถูกข่มขืนจนตั้งท้อง เมื่อคลอดลูก ๆ ก็ถูกส่งมอบให้กับพ่อแม่อุปถัมภ์คู่หนึ่ง ถึงแม้เธอจะคัดค้านก็ตาม
เมื่ออายุได้ 18 ปี เธอก็สืบทราบว่าพี่ชายของเธอคนหนึ่ง ยังมีชีวิตอยู่ในอังกฤษ เธอจึงดั้นด้นไปอังกฤษและอยู่กับพี่ชาย ต่อมาเธอแต่งงานและมีลูก 3 คน (Helenita, Nicolas, และ Androula) ชีวิตในอังกฤษของเธอไม่ได้ดีอย่างที่หวังไว้ ซ้ำร้ายยังต้องทนทุกข์กับสามีที่ข่มเหงทารุณเธอ หลังการหย่าร้าง เธอก็แต่งงานใหม่แต่ชีวิตก็ล้มเหลวอีก เธอก้มหน้าก้มตาเลี้ยงดูลูก 3 คนตามลำพัง ทุ่มเทความรักที่เคยโหยหาให้ลูกอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็รู้สึกว่าชีวิตเริ่มไร้ค่า

.......โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ เม.ย. 26, 2021 11:32 am

......เรื่อง "ชีวิตยังมีหวัง" ตอนที่ (2)
โดย Floyd Whaley;
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2543/2000,
เรียบเรียงและแปลเพิ่มจาก Wikipedia 2020
...... หลายปีมาแล้ว คริสตินาจำได้ว่ามีภาพหนึ่งที่คอยหลอกหลอน อยู่ในความฝันของเธอ เป็นภาพเด็กหญิงชาวเวียดนาม วิ่งหนีระเบิดนาปาล์ม ไปตามท้องถนนอย่างเสียขวัญ ซึ่งนับว่าแปลกมากเพราะเธอไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งนี้และสงครามก็ปิดฉากไปนานแล้ว (1975) แต่เธอรู้ดีว่ามีเด็กมากมายในประเทศนี้มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เมื่อไม่สามารถขจัดความฝันที่น่ากลัวไปจากความคิดได้ หญิงม่ายวัย 45 ปี จึงตัดสินใจเดินทางไปเวียดนาม เธอคิดว่าบางทีอาจมีเด็ก ๆ คอยความช่วยเหหลือจากเธอก็เป็นได้
เธอพบว่าในเมืองโฮจิมินห์มีเด็กข้างถนนอย่าง “ฮัง”กับ”ฮง” เป็นพัน ๆ คน หลายคนอมโรคและแขนขาพิการ แทบทุกคนยังชีพด้วยการขอทานหรือขายของกระจุกกระจิกและมีชีวิตอยู่อย่างปากกัดตีนถีบ ชาวเวียดนามขณะนั้นส่วนใหญ่เห็นว่า เด็กข้างถนนเหล่านี้ มีแต่สร้างความอับอายให้ประเทศ และควรปกปิดให้พ้นสายตาของนักท่องเที่ยว ขณะนั้นยังไม่มีระบบสังคมสงเคราะห์ ที่ร้ายกว่านั้นคือ เด็กจรจัดจะถูกจับส่งไปกักขังในค่ายตามชนบทซึ่งสภาพความเป็นอยู่และสุขอนามัยทำให้ชีวิตเด็กเหมือนตกนรก
คริสตินาพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เธอแจกอาหารและเล่นกับเด็ก ๆ ในสวนข้างโรงแรม วันหนึ่งเธอเห็นผู้หญิงร่างเเคระแกร็น กำลังขายหมากฝรั่งและโปสการ์ดให้นักท่องเที่ยว ทราบชื่อต่อมาว่า “เล ที งา” เธอเป็นสาววัยรุ่นเต็มตัวแต่รูปร่างเหมือนเด็ก เพราะโรคไขสันหลังเสื่อมและกระดูกสันหลังผิดปกติ คนส่วนใหญ่พากันเบือนหน้าหนีด้วยความสมเพช แต่คริสตินาสังเกตว่าเด็กสาวคนนี้สวมเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย และดูแลผมเผ้าเป็นอย่างดี เมื่อได้คุยกันจึงทราบว่า “งา”เป็นลูกคนที่ 5 ในจำนวน 8 คน สงครามเวียดนามทำให้พ่อกลายเป็นคนพิการ งาได้เรียนหนังสือน้อยมากและพูดภาษาอังกฤษได้แบบงู ๆ ปลา ๆ แต่เธอก็มีความฝัน “หนูอยากทำงานในบริษัทเหมือนสาว ๆ พวกนั้น พวกเขาแต่งตัวสวยไปทำงานทุกวัน”
คริสตินาสัญญาว่าจะช่วยหางานให้ แต่ก่อนอื่น งาจะต้องพัฒนาภาษาอังกฤษให้ดีกว่านี้ เธอหาโรงเรียนและช่วยออกค่าเล่าเรียนให้ สอนพูดภาษาอังกฤษทุกครั้งที่พบกัน
หลายเดือนผ่านไป ระหว่างนั้นคริสตินาตระเวนไปตามท้องถนนในเมือง และทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ เช่น กินก๋วยเตี๋ยวชามเดียวกัน เล่นกับเด็กเล็ก และซื้อขนมปังกับไอศกรีมเลี้ยง แต่เธอคิดเสมอว่าอยากทำมากกว่าที่เป็นอยู่ หลายเดือนต่อมา เธอจองห้องอาหารในโรงแรมเร็กซ์เพื่อจัดงานเลี้ยงแขก 150 คน เจ้าของโรงแรมโกรธมากเมื่อเห็น“แขก”ของเธอ และตะคอกว่า “โรงแรมนี้ไม่ต้อนรับเด็กข้างถนน ไปให้พ้น” เธอแย้งว่า“ดิฉันจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วนะคะ หน้าที่ของโรงแรมคือสร้างความพอใจให้แขกไม่ใช่หรือ”
เธอเดินไปทักทายแขกทุกโต๊ะ เด็ก ๆ เต้นระบำและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แม้พนักงานเสิร์ฟซึ่งหน้าบึ้งในตอนแรกก็ยังยิ้มออกมาได้ ข่าวเรื่องงานเลี้ยงในโรงแรมสะพัดออกไป “เหงียน วัน บง” รองหัวหน้าอัยการประจำเมืองเชิญคริสตินาไปแสดงปาฐกถาที่สถาบันสอนภาษาอังกฤษแห่งหนึ่ง ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่มาจากครอบครัวฐานะดี “บง”หวังว่านักศึกษาคงจะปรับเปลี่ยนทัศนคติบ้างเมื่อเข้าใจความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ และปาฐกถาชาวอังกฤษน่าจะดึงดูดความสนใจ ของนักศึกษาได้ดี
...... โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร เม.ย. 27, 2021 11:54 am

เรื่อง "ชีวิตยังมีหวัง" (ตอนที่ 3)
โดย Floyd Whaley;
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2543/2000,
เรียบเรียงและแปลเพิ่มจาก Wikipedia 2020
.......คริสตินาเล่าเรื่องราวของเด็กข้างถนนตามที่ได้สัมผัสมา “เด็กพวกนี้ควรได้รับความรักและการปฏิบัติที่เหมาะสม”
นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย คนหนึ่งพูดว่าพวกเด็กข้างถนนสกปรก อีกคนอ้างว่าเด็กพวกนี้เป็นนักล้วงกระเป๋า
และควรถูกส่งไปอยู่ค่ายกักกันให้หมด
เมื่อนักศึกษาพูดจบ คริสตินาก็เผยความจริงที่ทำให้ทุกคนตะลึง นั่นคือ “ดิฉันเองก็เคยเป็นเด็กข้างถนนมาก่อน”
นักศึกษานั่งนิ่งตั้งใจฟังเรื่องราวชีวิตของหญิงชาวตะวันตก “ดิฉันมีสภาพเหมือนกับเด็กพวกนี้ทุกอย่าง
คือไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความรัก ความเชื่อมั่น และโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น” เธอสรุป
คริสตินาพูดได้จับใจ แต่ก็รู้ดีว่าความพยายามอาจไม่สัมฤทธิผลนัก เธอซื้อรถสามล้อถีบให้พ่อของฮังกับฮง
ใช้หาเลี้ยงชีพและส่งเสียลูกไปโรงเรียน แต่เงินของเธอก็ร่อยหรอลงทุกที
บ่ายวันหนึ่ง คริสตินามุ่งหน้าไปทางถนนตูเซือง เธอได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จากด้านหลังอาคารเก่าแบบฝรั่งเศส
เธอเดินตามเสียงร้องไปจนถึงรั้วสีเขียวและพบ“เหงียน ธี มัน” หญิงร่างเล็กท่าทางเข้มงวด เธอคือ “มาดามมัน”
หัวหน้าศูนย์พักฟื้นเด็กกำพร้าและทุพโภชนาการซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ
เมื่อกวาดสายตาไปรอบศูนย์ฯ เธอเห็นเด็ก ๆ ร้องกระจองอแงและแออัดกันอยู่ในเปลขึ้นสนิม
เธอเดินไปอุ้มเด็กตามเตียง บางคนเอื้อมมือมากระตุกชายกางเกงของเธอเพื่อเรียกร้องความสนใจ
คริสตินาร้องไห้ขณะลากลับ เธอสังเกตว่าด้านหลังของศูนย์ฯ มีอาคารทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่ง
และทันใดเธอก็รู้ทันทีถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเธอในเวียดนาม “คุณจะอนุญาตให้ดิฉันสร้างศูนย์
สำหรับเด็กแห่งใหม่ตรงนั้นได้ไหมคะ”
มาดามมันตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งว่า “คุณมีเงินมากใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ จนด้วยซ้ำไป” แล้วเธอก็เล่าความฝันที่ตามหลอกหลอนให้ มาดามมันฟัง “ดิฉันจะกลับมาอีกค่ะ
ขอสัญญา” เธอสำทับ
ที่โรงแรม เธอขอยืมเครื่องพิมพ์ดีดแล้วลงมือพิมพ์จดหมายกว่า 10 ฉบับโดยจิ้มทีละตัว
ส่งไปถึงนักธุรกิจชาวต่างชาติในโฮจิมินห์ เพื่อขอรับเงินบริจาคสมทบทุนสร้าง
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใหม่ เธอบรรยายว่าศูนย์แห่งนี้จะเป็นสถานที่ซึ่งเด็กข้างถนนกับครอบครัว
สามารถมาขอรับบริการด้านการแพทย์และคำปรึกษา เด็กด้อยโอกาสจะได้รับความรักและ
การปฏิบัติอย่างเหมาะสม

โปรดติดตามตอนที่ (4)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 28, 2021 2:04 pm

.....เรื่อง "ชีวิตยังมีหวัง" ตอนที่ (4)
โดย Floyd Whaley;
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2543/2000,
เรียบเรียงและแปลเพิ่มจาก Wikipedia 2020
...........ดูเหมือนว่าไม่มีคนสนใจโครงการนี้เลย เพราะมีเด็กถูกทอดทิ้งและยากจนอยู่เกลื่อนเมือง ผู้คนทั่วไปจึงมองว่าโครงการนี้เป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่ในที่สุด ผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทเอ็นเทอร์ไพรซ์ออยล์แสดงความสนใจ คริสตินาขอให้เขามาเยี่ยมชมศูนย์ฯ : “นี่คือสิ่งที่ดิฉันพูดถึงในจดหมายค่ะ”
ขณะเดินนำชมห้องต่าง ๆ คริสตินาอุ้มเด็กกำพร้าคนหนึ่งขึ้นมาให้เจเรมี มาร์ติน หนูน้อยยกแขนโอบคอผู้มาเยือนแน่นพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่
“ผมขอคุยกับฝ่ายบัญชีก่อนนะครับ” เจเรมีบอกก่อนลากลับ ต่อมาไม่นาน คริสตินาก็ได้รับเงินบริจาคมูลค่า 400,000 บาท จากสำนักงานใหญ่ของเอ็นเทอร์ไพรซ์ออยล์ในอังกฤษ พร้อมคำมั่นว่าจะบริจาคเพิ่มในภายหลัง และต่อมาก็ส่งมาให้อีก 360,000 บาท โครงการของคริสตินาเริ่มเป็นรูปร่างแล้ว
คริสตินาเดินทางไปกรุงฮานอยเพื่อเข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสังคมสงเคราะห์ โดยต้องเจรจาขออนุญาตกับผู้ช่วยฯ ซึ่งถามเธอว่า “ทำไมคุณถึงสนใจเด็ก ๆ ของเรานัก”
“เพราะเข้าใจดีว่าชีวิตของพวกเขาลำบากมาก” คริสตินาตอบ ดิฉันทราบว่าควรจะเตรียมเอกสารมามากมาย แต่ดิฉันเรียนหนังสือมาน้อยจึงไม่มีสิ่งใดมาช่วยอธิบายนอกจากหัวใจ” จากนั้นเธอก็เล่าถึงโครงการนานร่วมสองชั่วโมง “ศูนย์นี้มุ่งช่วยเหลือเด็กที่แม่ไม่มีน้ำนมให้ดื่ม นอกจากนี้ยังมีอาหารให้เด็ก ๆ หากเจ็บป่วยก็จะช่วยรักษา และมีที่ให้เด็กเล่นด้วย”
คำพูดของสตรีผู้มุ่งมั่นทำให้เจ้าหน้าที่ งงจนพูดไม่ออก วันรุ่งขึ้นเธอก็ได้รับหนังสืออนุญาตให้ทำงานในเวียดนามได้โดยมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ และมาดามมันคอยดูแล แต่คริสตินาก็ดีใจได้ไม่นานเมื่อรู้ความจริงอันน่าเจ็บปวดว่า ศูนย์ฯต้องใช้เงินในการดำเนินงานเกือบ 3 ล้านบาทต่อปี กลุ่มนักธุรกิจต่างชาติแสดงน้ำใจมากพอแล้ว เธอคงต้องกลับไปขอความช่วยเหลือที่ประเทศอังกฤษ
การขอบริจาคไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเด็กกำพร้าในโปแลนด์กับโรมาเนียก็กำลังรอความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน ที่สุดนักข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับคริสตินา โดยพาดหัวว่า “นี่คือนางฟ้าตัวจริงของเมืองไซง่อน” นอกจากนั้น เธอยังได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ในไอร์แลนด์ ทำให้เงินทุนหลั่งไหลเข้ามามากมาย รวมทั้งข้อเสนอที่จะบริจาคตู้อบเด็กแรกเกิด เครื่องฆ่าเชื้อและอุปกรณ์อื่น ๆ 2-3 เดือนต่อมาคริสตินากลับไปเวียดนามพร้อมเงินบริจาคเกือบ 6 ล้านบาทพร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งส่งตามมาทางเรือ ศูนย์สงเคราะห์และการแพทย์เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1991 หรือสองปีหลังจากคริสตินาไปถึงเวียดนามครั้งแรก มาดามมัน ดูแลการทำงานของแพทย์ พยาบาลและผู้ช่วยรวม 44 คน ส่วนคริสตินาดูแลเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์และการบริหารทั่วไป

โปรดติดตามตอนที่ (5)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ เม.ย. 30, 2021 11:16 am

......เรื่อง "ชีวิตยังมีหวัง" ตอนที่ (ตอนจบ)
โดย Floyd Whaley;
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2543/2000,
เรียบเรียงและแปลเพิ่มจาก Wikipedia 2020
.......เกือบ 10 ปีต่อมา บ่ายวันหนึ่งคริสตินานั่งอยู่หน้าระเบียงห้องทำงานเล็ก ๆ เธอมองไปที่เด็กสาวที่เธอพบเมื่อหลายปีก่อนกำลังขี่จักรยานคันใหม่ผ่านหน้าไป ภาษาอังกฤษของ“งา”ดีขึ้นมาก เธอทำงานในบริษัทเวชภัณฑ์ไฟเซอร์ “งา”เริ่มต้นชีวิตทำงานด้วยการเป็นเด็กชงกาแฟก่อนจะเลื่อนเป็นพนักงานรับโทรศัพท์และเสมียน ทุกวันนี้เธอได้แต่งตัวสวยและขี่จักรยาน ที่ซื้อด้วยเงินของตัวเอง ไปทำงานในบริษัทตามที่เคยฝันไว้
“ดิฉันไม่ได้ให้ความสงสารพวกเขา แต่หยิบยื่นโอกาสให้พวกเขาฉุดตัวเองขึ้นมา เราต้องไม่ช่วยคนเพราะความสงสาร” คริสตินาพูดถึง”งา”และเด็กอีกหลายคนที่เธอช่วยชุบชีวิตให้ในระยะหลายปีที่ผ่านมา “งา”สัญญาว่าจะพัฒนาตัวเอง และคริสตินาเพียงแต่กระตุ้นให้เด็กสาวรักษาสัญญา แต่”งา”คิดในอีกมุมหนึ่งว่า “คุณแม่ ’ตินารักหนู”
คริสตินา โนเบิล ตั้งมูลนิธิเด็ก “คริสตินา โนเบิล (The Christina Noble Children's Foundation, Harrow, United Kingdom) เป็นมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กในเวียดนามและต่อมาในมองโกเลียรวมเกือบ 900,000 คน ปัจจุบันมูลนิธินี้มีขอบข่ายการทำงานมากกว่า 160 โครงการที่สนับสนุนพัฒนาการของมนุษย์ด้านการศึกษาและสุขอนามัย โดยเฉพาะแก่เด็กยากไร้ รวมถึงครอบครัวของเด็กเหล่านั้น และชุมชนที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ แม้ว่าเธอเป็นชาวไอร์แลนด์ แต่รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งเธอเป็นเจ้าหน้าที่แห่งจักรวรรดิอังกฤษ (An Officer of the Order of the British Empire : OBE) และได้รับรางวัลผู้มองการณ์ไกลตลอดชีพประจำปี 2014 (The 2014 Women of the Year Prudential Lifetime Achievement Award) มีผู้ถ่ายทำเรื่องของเธอเป็นภาพยนต์เรื่อง “Noble” ที่ได้รับรางวัลภาพยนต์นานาชาติ 7 รางวัลในปี 2514
ป.ล. เรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งและทุกชีวิต พระองค์ทรงเปลี่ยนศัตรูตัวฉกาจเช่น “เซาโล”ให้เป็นเครื่องมือของพระองค์ได้ในชั่วพริบตา จึงไม่น่าแปลกใจที่คริสตินา โนเบิล อดีตเด็กข้างถนนจะกลายเป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอเพียงเราตั้งใจฟังเสียงขององค์พระจิตเจ้าและก้าวไปข้างหน้า พร้อมที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์ด้วยความรัก ความเมตตาและการให้อภัย
******************
จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส