เรื่อง "พ่อผู้ทรงคุณธรรม" ตอนที่ (1)
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……เฟิงฉาน บิดาของ ‘ม่านลี่ แซ่โหว’ เกิดที่มณฑลเหอหนาน ค.ศ.1901 ปู่เสียชีวิตตอน
ที่พ่ออายุ 7 ขวบ ทิ้งให้ครอบครัวต้องต่อสู้ดิ้นรนกันเอง แต่ต้องขอบคุณผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์
ชาวนอร์เวย์ที่ทำให้เฟิงฉานได้รับทุนการศึกษาที่วิทยาลัยเยล ในประเทศจีน เมื่อจบการศึกษา
ระดับปริญญาตรีในปี 1926 ก็ศึกษาต่อจนจบปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิวนิค
ประเทศเยอรมนี ด้วยความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ เยอรมัน และจีนกลางได้อย่างดี
เฟิงฉานเริ่มต้นอาชีพนักการทูตครั้งแรก ที่ประเทศจีนในปี 1935 และต่อมารับหน้าที่เดียวกันนี้
ให้กับไต้หวัน โดยอยู่ในอาชีพนี้นานถึง 40 ปี ประเทศที่พ่อเคยไปประจำได้แก่ อียิปต์ เม็กซิโก
โบลิเวีย โคลัมเบีย และออสเตรีย
ม่านลี่เดินมุ่งหน้าไปยังอนุสรณ์สถาน ‘ยาด วาแชม’ (Yad Vashem) บนยอดเขาเหนือกรุงเยรูซาเล็ม
ประเทศอิสราเอล เบื้องล่างเป็นพื้นที่ป่าซึ่งปลูกขึ้นเพื่อระลึกถึงวีรกรรมชายหญิงที่เคยช่วยชีวิตชาวยิว
จากเงื้อมมือนาซี ผู้คนเนืองแน่นหอประชุมอนุสรณ์สถานแห่งนี้ ขณะที่ม่านลี่เดินขึ้นเวทีด้านหน้า
ในชุดกี่เพ้าสีดำคลุมทับด้วยเสื้อสูท เธอกวาดตาไปยังแขกผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่ซึ่งมีทั้งเอกอัครราชทูตจีน
เอกอัครราชทูตออสเตรีย, และอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาของอิสราเอล
อดีตผู้พิพากษากล่าวสดุดี ‘เฟิงฉาน แซ่โหว’ บิดาของม่านลี่ และมอบรางวัลบุคคลผู้ทรงคุณธรรมแห่ง
ประชาชาติ พร้อมมอบเหรียญที่ระลึกให้ม่านลี่และพี่ชายของเธอในฐานะตัวแทน ด้านหนึ่งของเหรียญ
สลักชื่อพ่อของเธอ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นสุภาษิตยิว มีข้อความว่า “ใครก็ตามที่ช่วยแม้เพียงชีวิตเดียว
เสมือนช่วยประชาคมโลกทั้งมวล”
ม่านลี่กล่าวกับผู้มาร่วมงานว่า พ่อของเธอคงรู้สึกตกใจเพราะไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับคำสดุดีใด ๆ
เป็นรางวัลตอบแทนสิ่งที่ท่านได้กระทำ
ความดีที่เฟิงฉาน โหว กระทำอาจเลือนหายไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ หากไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ
อย่างเหลือเชื่อ
………โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
“ พ่อผู้ทรงคุณธรรม”
เรื่อง "พ่อผู้ทรงคุณธรรม" ตอนที่ (2)
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……“ถึงเวลาที่พ่อต้องไปแล้ว” เฟิงฉาน กล่าวเหมือนอำลาในวันหนึ่งของเดือนมิถุนายน 1997
นัยน์ตาของม่านลี่เอ่อท้นด้วยน้ำตา
พ่อของม่านลี่เป็นคนเข้มแข็ง แม้ในวัย 80 ปีเศษ ก็ยังคงออกกำลังด้วยการเดินไกล ๆ แต่บัดนี้
ในวัย 96 ท่านกำลังจะสิ้นลมและจากไปอย่างสงบ 3 เดือนต่อมา
ในวันที่ 28 กันยายน 1997 ม่านลี่ อดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์นั่งลงที่โต๊ะทำงานของพ่อผู้จากไป
รอบตัวเต็มไปด้วยสมุดหนังสือของพ่อ เธอลงมือเขียนบทความไว้อาลัยให้พ่อจนเสร็จ
จากนั้นม่านลี่ก็เขียนถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พ่อประจำอยู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียช่วงก่อน
เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อเห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว วันหนึ่งพ่อเข้าไปขัดขวางทหารนาซี
ที่ข่มขู่ชาวยิว และช่วยชีวิตชาวยิวไว้ด้วยการออกวีซ่าเพื่อให้ออกนอกประเทศได้
ม่านลี่เขียนถึงการเผชิญหน้าระหว่างพ่อกับตำรวจลับเกสตาโป จากนั้นก็ส่งบทความไว้อาลัยนี้
ไปยังหนังสือพิมพ์ที่เธอเคยทำงานในสหรัฐฯ... หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ตื่นเต้น นำบทความ
ชิ้นนี้. ไปตีพิมพ์ซ้ำและบังเอิญไปสะดุดตาของ ‘เอริก ซอล’
ซอล วัย 47 ปี เป็นเจ้าของร้านกรอบรูปในซานฟรานซิสโก เขาเคยเป็นนักประวัติศาสตร์ทำงาน
ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง สมัยนั้นเขาเป็นผู้ค้นคว้าเรื่องราวของชิอูเนะ นักการทูตชาวญี่ปุ่นที่ช่วยชีวิต
ชาวยิวในโปแลนด์นับพันคนในปี 1940 ซอลรู้สึกประทับใจในความกล้าหาญของเฟิงฉาน
เขาติดต่อสอบถามบริการหมายเลขโทรศัพท์และพบว่าคนแซ่ ‘โหว’ รายนี้อยู่ห่างจากบ้านของเขา
เพียงไม่กี่กิโลเมตร และเมื่อหมุนไปตามหมายเลขที่ได้ ผู้ที่ยกหูรับโทรศัพท์ก็คือม่านลี่
ทั้งสองนัดพบกันในสัปดาห์ต่อมา ซอลซักไซ้ม่านลี่ถึงข้อมูลของคนที่พ่อของเธอช่วยชีวิตไว้
ม่านลี่ยอมรับว่า เธอไม่มีรายละเอียดมากนัก นอกจากรายหนึ่งที่เกี่ยวกับตำรวจลับเกสตาโป
โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……“ถึงเวลาที่พ่อต้องไปแล้ว” เฟิงฉาน กล่าวเหมือนอำลาในวันหนึ่งของเดือนมิถุนายน 1997
นัยน์ตาของม่านลี่เอ่อท้นด้วยน้ำตา
พ่อของม่านลี่เป็นคนเข้มแข็ง แม้ในวัย 80 ปีเศษ ก็ยังคงออกกำลังด้วยการเดินไกล ๆ แต่บัดนี้
ในวัย 96 ท่านกำลังจะสิ้นลมและจากไปอย่างสงบ 3 เดือนต่อมา
ในวันที่ 28 กันยายน 1997 ม่านลี่ อดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์นั่งลงที่โต๊ะทำงานของพ่อผู้จากไป
รอบตัวเต็มไปด้วยสมุดหนังสือของพ่อ เธอลงมือเขียนบทความไว้อาลัยให้พ่อจนเสร็จ
จากนั้นม่านลี่ก็เขียนถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พ่อประจำอยู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียช่วงก่อน
เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อเห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว วันหนึ่งพ่อเข้าไปขัดขวางทหารนาซี
ที่ข่มขู่ชาวยิว และช่วยชีวิตชาวยิวไว้ด้วยการออกวีซ่าเพื่อให้ออกนอกประเทศได้
ม่านลี่เขียนถึงการเผชิญหน้าระหว่างพ่อกับตำรวจลับเกสตาโป จากนั้นก็ส่งบทความไว้อาลัยนี้
ไปยังหนังสือพิมพ์ที่เธอเคยทำงานในสหรัฐฯ... หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ตื่นเต้น นำบทความ
ชิ้นนี้. ไปตีพิมพ์ซ้ำและบังเอิญไปสะดุดตาของ ‘เอริก ซอล’
ซอล วัย 47 ปี เป็นเจ้าของร้านกรอบรูปในซานฟรานซิสโก เขาเคยเป็นนักประวัติศาสตร์ทำงาน
ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง สมัยนั้นเขาเป็นผู้ค้นคว้าเรื่องราวของชิอูเนะ นักการทูตชาวญี่ปุ่นที่ช่วยชีวิต
ชาวยิวในโปแลนด์นับพันคนในปี 1940 ซอลรู้สึกประทับใจในความกล้าหาญของเฟิงฉาน
เขาติดต่อสอบถามบริการหมายเลขโทรศัพท์และพบว่าคนแซ่ ‘โหว’ รายนี้อยู่ห่างจากบ้านของเขา
เพียงไม่กี่กิโลเมตร และเมื่อหมุนไปตามหมายเลขที่ได้ ผู้ที่ยกหูรับโทรศัพท์ก็คือม่านลี่
ทั้งสองนัดพบกันในสัปดาห์ต่อมา ซอลซักไซ้ม่านลี่ถึงข้อมูลของคนที่พ่อของเธอช่วยชีวิตไว้
ม่านลี่ยอมรับว่า เธอไม่มีรายละเอียดมากนัก นอกจากรายหนึ่งที่เกี่ยวกับตำรวจลับเกสตาโป
โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "พ่อผู้ทรงคุณธรรม" ตอนที่ (3)
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1938 ช่วงนั้นโบสถ์ชาวยิวทั่วเยอรมนีและออสเตรีย
ถูกเผาทำลาย หน้าต่างร้านค้าของชาวยิวถูกขว้างปาจนแหลกละเอียด และชาวยิวนับพันนับหมื่นถูกจับกุม
เฟิงฉาน เป็นกงสุลจีนประจำอยู่ในกรุงเวียนนา ขณะที่ทหารนาซียังกวาดล้างชาวยิวอย่างไม่ลดละ
เฟิงฉานออกไปพบครอบครัวโรเซนเบิร์กเพื่อนชาวยิวเพื่อสอบถามทุกข์สุข
วันนั้น โรเซนเบิร์กถูกลากตัวไปไต่สวน ขณะที่เฟิงฉานอยู่กับภรรยาของโรเซนเบิร์ก ชายสองคน
ในเสื้อคลุมยาวบุกเข้ามาและประกาศกร้าวว่าจะค้นบ้าน
ม่านลี่จำได้ว่าพ่อออกท่าทางประกอบเลียนแบบชายทั้งสองขณะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง
พ่อทำท่าดึงหมวกลงมาที่ระดับสายตา ขมวดคิ้วบึ้งตึง และกุมมือที่กระเป๋าเสมือนหนึ่งมีปืนอยู่ในนั้น
พ่อเล่าว่าหนึ่งในนั้นจ่อปืนมาที่ท่านและถามเสียงดุดันว่า พ่อเป็นใคร
“แล้วนายล่ะเป็นใคร” พ่อตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว
เจ้าหน้าที่เกสตาโปคนหนึ่งบังคับให้นางโรเซนเบิร์ก บอกมาว่าแขกของนางเป็นใคร
“กงสุลจีน” นางตอบ
“ให้ตายสิ แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก” เจ้าหน้าที่คนนั้นตะคอกใส่และออกจากบ้านไป
โรเซนเบิร์กได้รับการปล่อยตัวหลังสอบสวน ม่านลี่เล่าว่า ตอนนั้นพ่อออกวีซ่าประเทศจีน
ให้ทั้งครอบครัว เพื่อใช้เดินทางออกจากออสเตรีย
“เขาทำอย่างนั้นทำไม” ซอลถาม
“ถ้าคุณรู้จักพ่อฉัน คุณคงไม่ถามแบบนี้”
“หลังจากพ่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวยิว ท่านรู้สึกว่าใครก็ตามที่พบเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น
คงต้องเห็นอกเห็นใจและอยากช่วย”
ซอลยิ้มพร้อมกับลางสังหรณ์ว่า การช่วยเหลือคงไม่ได้จบแค่ครอบครัวโรเซนเบิร์ก
โปรดติดตามตอนที่ (4)ในวันพรุ่งนี้
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1938 ช่วงนั้นโบสถ์ชาวยิวทั่วเยอรมนีและออสเตรีย
ถูกเผาทำลาย หน้าต่างร้านค้าของชาวยิวถูกขว้างปาจนแหลกละเอียด และชาวยิวนับพันนับหมื่นถูกจับกุม
เฟิงฉาน เป็นกงสุลจีนประจำอยู่ในกรุงเวียนนา ขณะที่ทหารนาซียังกวาดล้างชาวยิวอย่างไม่ลดละ
เฟิงฉานออกไปพบครอบครัวโรเซนเบิร์กเพื่อนชาวยิวเพื่อสอบถามทุกข์สุข
วันนั้น โรเซนเบิร์กถูกลากตัวไปไต่สวน ขณะที่เฟิงฉานอยู่กับภรรยาของโรเซนเบิร์ก ชายสองคน
ในเสื้อคลุมยาวบุกเข้ามาและประกาศกร้าวว่าจะค้นบ้าน
ม่านลี่จำได้ว่าพ่อออกท่าทางประกอบเลียนแบบชายทั้งสองขณะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง
พ่อทำท่าดึงหมวกลงมาที่ระดับสายตา ขมวดคิ้วบึ้งตึง และกุมมือที่กระเป๋าเสมือนหนึ่งมีปืนอยู่ในนั้น
พ่อเล่าว่าหนึ่งในนั้นจ่อปืนมาที่ท่านและถามเสียงดุดันว่า พ่อเป็นใคร
“แล้วนายล่ะเป็นใคร” พ่อตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว
เจ้าหน้าที่เกสตาโปคนหนึ่งบังคับให้นางโรเซนเบิร์ก บอกมาว่าแขกของนางเป็นใคร
“กงสุลจีน” นางตอบ
“ให้ตายสิ แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก” เจ้าหน้าที่คนนั้นตะคอกใส่และออกจากบ้านไป
โรเซนเบิร์กได้รับการปล่อยตัวหลังสอบสวน ม่านลี่เล่าว่า ตอนนั้นพ่อออกวีซ่าประเทศจีน
ให้ทั้งครอบครัว เพื่อใช้เดินทางออกจากออสเตรีย
“เขาทำอย่างนั้นทำไม” ซอลถาม
“ถ้าคุณรู้จักพ่อฉัน คุณคงไม่ถามแบบนี้”
“หลังจากพ่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวยิว ท่านรู้สึกว่าใครก็ตามที่พบเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น
คงต้องเห็นอกเห็นใจและอยากช่วย”
ซอลยิ้มพร้อมกับลางสังหรณ์ว่า การช่วยเหลือคงไม่ได้จบแค่ครอบครัวโรเซนเบิร์ก
โปรดติดตามตอนที่ (4)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "พ่อผู้ทรงคุณธรรม" ตอนที่ (4 )
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
เดือนต่อมา ซอลคุยกับผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวแห่งสหรัฐฯ
ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และถามเธอว่า รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวชาวออสเตรียในเวียนนา
ที่ได้รับวีซ่าประเทศจีนไหม เธอจำไม่ได้ว่าเรื่องนี้เคยผ่านตาหรือไม่ แต่สัญญาว่าจะค้นข้อมูลให้
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์โทรศัพท์กลับไปหาซอลเพื่อแจ้งว่า พบหลักฐานเรื่องนี้ในบันทึก
มีอยู่รายหนึ่งชื่อเอริก โกลด์สท็อป เป็นชายวัย 70 ปีเศษอยู่ในประเทศแคนาดา เธอมีหมายเลข
โทรศัพท์พร้อม
ซอลตื่นเต้นกับข่าวนี้มากจึงรีบโทรฯบอกม่านลี่ซึ่งไปพบซอลทันที
“คิดดูสิ” เขาเปรย “เป็นโชคชะตาแท้ ๆ”
ซอลโทรศัพท์ไปแคนาดา ชายที่รับสายยังส่อสำเนียงพื้นเพออสเตรียอยู่
เมื่อซอลอธิบายถึงเหตุผลที่โทรศัพท์ไปหา โกลด์สท็อปบอกว่า ไม่เคยพบกงสุลจีนคนนั้นและ
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร ซอลเอ่ยชื่อเฟิงฉาน โหว และพูดเสริมว่า “ลูกสาวของเขาอยู่กับ
ผมตรงนี้ คุณอยากพูดสายกับเธอไหม” โกลด์สท็อปถึงกับนิ่งอึ้งไป
โกลด์สท็อปเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาว่า
“ตอนนั้นผมอายุ 17 ปี เป็นนักเรียนมัธยมปลาย มีชีวิตสนุกสนานไปวัน ๆ แต่แล้วในปี 1938
ก็ถูกพวกนาซีบังคับให้ขัดถนนด้วยแปรงสีฟัน และต้องเปล่งเสียงสดุดีฮิตเล่อร์ที่โรงเรียนทุกวัน
หลังจากนั้นนักเรียนชาวยิวทุกคนถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียน โกลด์สต็อปวิ่งพล่านไปตาม
สถานกงสุลประเทศต่าง ๆ เพื่อหาทางหนีออกนอกประเทศ แต่ไม่มีใครยอมออกวีซ่าให้เลย”
“ไม่มีที่ไหนต้องการคนยิว ผมผ่านไปที่หน้าสถานกงสุลจีนและก็ไม่เคยคิดจะไปประเทศจีน
แต่ผมประหลาดใจเมื่อพบว่าสถานกุงสุลจีนไม่มีปัญหาที่จะออกวีซ่าให้ ผมจึงขอวีซ่าสำหรับ 20 คน
ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ ตัวผมเองและญาติพี่น้อง”
โปรดติดตามตอนที่ (5)ในวันพรุ่งนี้
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
เดือนต่อมา ซอลคุยกับผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวแห่งสหรัฐฯ
ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และถามเธอว่า รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวชาวออสเตรียในเวียนนา
ที่ได้รับวีซ่าประเทศจีนไหม เธอจำไม่ได้ว่าเรื่องนี้เคยผ่านตาหรือไม่ แต่สัญญาว่าจะค้นข้อมูลให้
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์โทรศัพท์กลับไปหาซอลเพื่อแจ้งว่า พบหลักฐานเรื่องนี้ในบันทึก
มีอยู่รายหนึ่งชื่อเอริก โกลด์สท็อป เป็นชายวัย 70 ปีเศษอยู่ในประเทศแคนาดา เธอมีหมายเลข
โทรศัพท์พร้อม
ซอลตื่นเต้นกับข่าวนี้มากจึงรีบโทรฯบอกม่านลี่ซึ่งไปพบซอลทันที
“คิดดูสิ” เขาเปรย “เป็นโชคชะตาแท้ ๆ”
ซอลโทรศัพท์ไปแคนาดา ชายที่รับสายยังส่อสำเนียงพื้นเพออสเตรียอยู่
เมื่อซอลอธิบายถึงเหตุผลที่โทรศัพท์ไปหา โกลด์สท็อปบอกว่า ไม่เคยพบกงสุลจีนคนนั้นและ
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร ซอลเอ่ยชื่อเฟิงฉาน โหว และพูดเสริมว่า “ลูกสาวของเขาอยู่กับ
ผมตรงนี้ คุณอยากพูดสายกับเธอไหม” โกลด์สท็อปถึงกับนิ่งอึ้งไป
โกลด์สท็อปเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาว่า
“ตอนนั้นผมอายุ 17 ปี เป็นนักเรียนมัธยมปลาย มีชีวิตสนุกสนานไปวัน ๆ แต่แล้วในปี 1938
ก็ถูกพวกนาซีบังคับให้ขัดถนนด้วยแปรงสีฟัน และต้องเปล่งเสียงสดุดีฮิตเล่อร์ที่โรงเรียนทุกวัน
หลังจากนั้นนักเรียนชาวยิวทุกคนถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียน โกลด์สต็อปวิ่งพล่านไปตาม
สถานกงสุลประเทศต่าง ๆ เพื่อหาทางหนีออกนอกประเทศ แต่ไม่มีใครยอมออกวีซ่าให้เลย”
“ไม่มีที่ไหนต้องการคนยิว ผมผ่านไปที่หน้าสถานกงสุลจีนและก็ไม่เคยคิดจะไปประเทศจีน
แต่ผมประหลาดใจเมื่อพบว่าสถานกุงสุลจีนไม่มีปัญหาที่จะออกวีซ่าให้ ผมจึงขอวีซ่าสำหรับ 20 คน
ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ ตัวผมเองและญาติพี่น้อง”
โปรดติดตามตอนที่ (5)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "พ่อผู้ทรงคุณธรรม" ตอนที่ (5)
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
………ครอบครัวโกลด์สท็อปจองตั๋วเรือเพื่อจะเดินทางออกจากออสเตรียในวันที่ 20 ธันวาคม 1938
แต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 1938 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เฟิงฉานเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่เกสตาโป
โกลด์สท็อปและพ่อของเขาก็ถูกจับกุม
“แต่เราก็โชคดีเพราะเรามีวีซ่าและตั๋วเรือแล้ว เขาเลยปล่อยตัว วีซ่าที่ได้ช่วยชีวิตเราไว้”
ก่อนวางหู ซอลถามโกลด์สท็อปว่ายังเก็บหนังสือเดินทาง พร้อมวีซ่าพวกนั้นไว้หรือไม่
โกลด์สท็อปสัญญาว่าจะส่งไปให้
เดือนถัดมา มีพัสดุภัณฑ์จากแคนาดาส่งถึงซานฟรานซิสโก ภายในเป็นหนังสือเดินทางออสเตรีย
ของ ‘ออสการ์ ไฟด์เล่อร์’ ซึ่งเป็นลุงของโกลด์สท็อป พร้อมประทับอักษรตัว ‘J’ สีแดงตัวใหญ่
เป็นการระบุว่าเขาเป็นชาวยิว สิ่งแรกที่ม่านลี่สังเกตเห็นคือวันเกิดของออสการ์ ไฟด์เล่อร์ตรงกับ
วันที่ 10 กันยายน 1901 วันเดียวกับพ่อของเธอ เธอค่อย ๆ พลิกหน้าหนังสือเดินทางและพบวีซ่า
ประเทศจีนลงวันที่ 20 กรกฎาคม 1938 ลำดับที่ 1193. ซอลบอกม่านลี่ว่า จะต้องพบคนอื่น ๆ
อีกแน่ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง และคนเหล่านั้นกระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
ในเดือนกรกฎาคม 1999 ทั้งสองพบ ‘เฮดี เดอร์เลสเตอร์’ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เธออายุเพียง 3 ขวบ
ตอนที่พ่อแม่หนีออกจากออสเตรีย
จากประวัติส่วนตัวที่พ่อของเธอบันทึกไว้ ทำให้ม่านลี่รู้ว่า เอกอัครราชทูตจีนในเบอร์ลินมีคำสั่ง
ให้พ่อหยุดออกวีซ่าให้ชาวยิวเพราะต้องการรักษาสัมพันธภาพกับเยอรมนี แต่พ่อของเธอไม่สนใจ
คำสั่งดังกล่าว วีซ่าที่ออกให้แก่พ่อของเดอร์เลสเตอร์ลงวันที่ก่อนวีซ่าของลุงเอริก โกลด์สท็อป 1 เดือน
พอดี เมื่อเทียบลำดับหมายเลขวีซ่า ทั้งสองพบว่ามีการออกวีซ่าจำนวน 900 ฉบับ
ในช่วงเวลาเพียงเดือนเดียว
โปรดติดตามตอนที่ (6)ในวันพรุ่งนี้
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
………ครอบครัวโกลด์สท็อปจองตั๋วเรือเพื่อจะเดินทางออกจากออสเตรียในวันที่ 20 ธันวาคม 1938
แต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 1938 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เฟิงฉานเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่เกสตาโป
โกลด์สท็อปและพ่อของเขาก็ถูกจับกุม
“แต่เราก็โชคดีเพราะเรามีวีซ่าและตั๋วเรือแล้ว เขาเลยปล่อยตัว วีซ่าที่ได้ช่วยชีวิตเราไว้”
ก่อนวางหู ซอลถามโกลด์สท็อปว่ายังเก็บหนังสือเดินทาง พร้อมวีซ่าพวกนั้นไว้หรือไม่
โกลด์สท็อปสัญญาว่าจะส่งไปให้
เดือนถัดมา มีพัสดุภัณฑ์จากแคนาดาส่งถึงซานฟรานซิสโก ภายในเป็นหนังสือเดินทางออสเตรีย
ของ ‘ออสการ์ ไฟด์เล่อร์’ ซึ่งเป็นลุงของโกลด์สท็อป พร้อมประทับอักษรตัว ‘J’ สีแดงตัวใหญ่
เป็นการระบุว่าเขาเป็นชาวยิว สิ่งแรกที่ม่านลี่สังเกตเห็นคือวันเกิดของออสการ์ ไฟด์เล่อร์ตรงกับ
วันที่ 10 กันยายน 1901 วันเดียวกับพ่อของเธอ เธอค่อย ๆ พลิกหน้าหนังสือเดินทางและพบวีซ่า
ประเทศจีนลงวันที่ 20 กรกฎาคม 1938 ลำดับที่ 1193. ซอลบอกม่านลี่ว่า จะต้องพบคนอื่น ๆ
อีกแน่ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง และคนเหล่านั้นกระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
ในเดือนกรกฎาคม 1999 ทั้งสองพบ ‘เฮดี เดอร์เลสเตอร์’ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เธออายุเพียง 3 ขวบ
ตอนที่พ่อแม่หนีออกจากออสเตรีย
จากประวัติส่วนตัวที่พ่อของเธอบันทึกไว้ ทำให้ม่านลี่รู้ว่า เอกอัครราชทูตจีนในเบอร์ลินมีคำสั่ง
ให้พ่อหยุดออกวีซ่าให้ชาวยิวเพราะต้องการรักษาสัมพันธภาพกับเยอรมนี แต่พ่อของเธอไม่สนใจ
คำสั่งดังกล่าว วีซ่าที่ออกให้แก่พ่อของเดอร์เลสเตอร์ลงวันที่ก่อนวีซ่าของลุงเอริก โกลด์สท็อป 1 เดือน
พอดี เมื่อเทียบลำดับหมายเลขวีซ่า ทั้งสองพบว่ามีการออกวีซ่าจำนวน 900 ฉบับ
ในช่วงเวลาเพียงเดือนเดียว
โปรดติดตามตอนที่ (6)ในวันพรุ่งนี้
เรื่อง "พ่อผู้ทรงคุณธรรม" ตอนที่ (6)(ตอนจบ)
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……ต่อมา พี่ชายของม่านลี่พบรายงานซึ่งบันทึกโดยกงสุล ที่มารับหน้าที่ต่อจากเฟิงฉานว่า
ตั้งแต่เฟิงฉานประจำอยู่ที่กรุงเวียนนาจนพ้นหน้าที่ในเดือนพฤษภาคม 1940 สถานกงสุลจีน
ออกวีซ่าเฉลี่ยเดือนละ 400-500 ฉบับ พ่อของเธอช่วยชีวิตคนไว้นับร้อย ๆ หรืออาจหลายพันด้วยซ้ำ
คนหนึ่งในนั้นคือ ‘ฮันส์’ ซึ่งยืนเข้าคิวคอยอยู่ด้านนอกสถานทูตจีนเป็นวัน ๆ จนแทบหมดกำลังใจ
วันหนึ่งเขาเห็นรถของเฟิงฉานขับผ่าน หน้าสถานทูตจึงโยนเอกสารขอวีซ่าผ่านกระจกรถ
ที่เปิดอยู่เข้าไปในรถ สองสามวันต่อมาฮันส์ก็ได้รับวีซ่าเรียบร้อย
อีกรายคือ ‘ซิงเกอร์’ ซึ่งถูกปฏิเสธจากสถานทูตประเทศต่าง ๆ ถึง 62 แห่ง กว่าจะได้รับวีซ่าที่
เฟิงฉานอนุมัติให้ทั้งครอบครัว พวกเขาโดยสารเรือเที่ยวสุดท้ายที่จะออกเดินทางจากยุโรปสู่สหรัฐฯ
ขณะที่ญาติ ๆ ของซิงเกอร์ถูกฆ่าหมด แต่ปัจจุบัน เขามีลูกชายดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภายิวโลก
ในนครนิวยอร์ก “ดูสิว่าการกระทำของคนเพียงคนเดียวมีผลขนาดไหน เพียงหนึ่งชีวิตที่เขาช่วยไว้
สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้อีกรุ่น”
ขณะนั่งอยู่ในหอประชุมอนุสรณ์สถานยาด วาแชมเมื่อเดือนมกราคมปีก่อน ‘ซูซี่ มาร์กาลิต’ วัย 76 ปี
นึกถึงวีรกรรมของชายชาวจีนที่กำลังจะได้รับการสดุดี พ่อของเธอถูกจำคุกในค่ายกักกัน เจ้าหน้าที่
บอกแม่ของเธอว่า สามีจะได้รับการปล่อยตัวหากเขาสามารถออกนอกประเทศได้ภายใน 24 ชั่วโมง
และมีกงสุลเพียงคนเดียวในกรุงเวียนนาที่จะช่วยพวกเขาได้คือ เฟิงฉาน โหว
หลังสงคราม มาร์กาลิตอพยพไปอยู่อิสราเอล และช่วยก่อตั้งชุมชนชาวยิวขึ้น ปัจจุบัน เธอยังอยู่ที่นั่น
พร้อมลูก 2 คน และหลาน 8 คน เธอเชิญม่านลี่ไปเยี่ยมครอบครัวหลังพิธี
“ทุกครั้งที่พบคนอีกคนซึ่งพ่อช่วยชีวิตไว้ ฉันรู้สึกเหมือนท่านยังอยู่ในตัวผู้คนเหล่านั้น” ม่านลี่เผยความรู้สึก
****************************
จบบริบูรณ์
โดย Claudia Cornwall
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……ต่อมา พี่ชายของม่านลี่พบรายงานซึ่งบันทึกโดยกงสุล ที่มารับหน้าที่ต่อจากเฟิงฉานว่า
ตั้งแต่เฟิงฉานประจำอยู่ที่กรุงเวียนนาจนพ้นหน้าที่ในเดือนพฤษภาคม 1940 สถานกงสุลจีน
ออกวีซ่าเฉลี่ยเดือนละ 400-500 ฉบับ พ่อของเธอช่วยชีวิตคนไว้นับร้อย ๆ หรืออาจหลายพันด้วยซ้ำ
คนหนึ่งในนั้นคือ ‘ฮันส์’ ซึ่งยืนเข้าคิวคอยอยู่ด้านนอกสถานทูตจีนเป็นวัน ๆ จนแทบหมดกำลังใจ
วันหนึ่งเขาเห็นรถของเฟิงฉานขับผ่าน หน้าสถานทูตจึงโยนเอกสารขอวีซ่าผ่านกระจกรถ
ที่เปิดอยู่เข้าไปในรถ สองสามวันต่อมาฮันส์ก็ได้รับวีซ่าเรียบร้อย
อีกรายคือ ‘ซิงเกอร์’ ซึ่งถูกปฏิเสธจากสถานทูตประเทศต่าง ๆ ถึง 62 แห่ง กว่าจะได้รับวีซ่าที่
เฟิงฉานอนุมัติให้ทั้งครอบครัว พวกเขาโดยสารเรือเที่ยวสุดท้ายที่จะออกเดินทางจากยุโรปสู่สหรัฐฯ
ขณะที่ญาติ ๆ ของซิงเกอร์ถูกฆ่าหมด แต่ปัจจุบัน เขามีลูกชายดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภายิวโลก
ในนครนิวยอร์ก “ดูสิว่าการกระทำของคนเพียงคนเดียวมีผลขนาดไหน เพียงหนึ่งชีวิตที่เขาช่วยไว้
สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้อีกรุ่น”
ขณะนั่งอยู่ในหอประชุมอนุสรณ์สถานยาด วาแชมเมื่อเดือนมกราคมปีก่อน ‘ซูซี่ มาร์กาลิต’ วัย 76 ปี
นึกถึงวีรกรรมของชายชาวจีนที่กำลังจะได้รับการสดุดี พ่อของเธอถูกจำคุกในค่ายกักกัน เจ้าหน้าที่
บอกแม่ของเธอว่า สามีจะได้รับการปล่อยตัวหากเขาสามารถออกนอกประเทศได้ภายใน 24 ชั่วโมง
และมีกงสุลเพียงคนเดียวในกรุงเวียนนาที่จะช่วยพวกเขาได้คือ เฟิงฉาน โหว
หลังสงคราม มาร์กาลิตอพยพไปอยู่อิสราเอล และช่วยก่อตั้งชุมชนชาวยิวขึ้น ปัจจุบัน เธอยังอยู่ที่นั่น
พร้อมลูก 2 คน และหลาน 8 คน เธอเชิญม่านลี่ไปเยี่ยมครอบครัวหลังพิธี
“ทุกครั้งที่พบคนอีกคนซึ่งพ่อช่วยชีวิตไว้ ฉันรู้สึกเหมือนท่านยังอยู่ในตัวผู้คนเหล่านั้น” ม่านลี่เผยความรู้สึก
****************************
จบบริบูรณ์