เรื่อง “ มหัศจรรย์แห่งชีวิต”

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 24, 2021 3:28 pm

เรื่อง​ "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" มี​(9)ตอน​ เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่ง
ที่ถูกรถชนจนเป็นอัมพาต​ เเต่ด้วยพระพรของพระ​ เเละการอยากที่จะมีชีวิต
อยู่ต่อไปของเธอ​ ทำให้เธอสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆที่เข้ามาในชีวิตไปได้​
เรื่องราวของเธอน่าติดตามในทุกๆตอน​
โปรดติดตามได้ในทุกวัน

:s012: :s012:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 24, 2021 3:33 pm

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" (ตอนที่ 1)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
………พร้อมจะไปโรงเรียน
บรูก : การหยุดภาคเรียนช่วงฤดูร้อนปี 1990 ปิดฉากลง ดูเหมือนความหวังในปีนี้จะสดใส
กว่าที่ผ่าน ๆ มา ‘จีน’ แม่ของฉันกำลังจะเริ่มงานใหม่เป็นครู แม่กลับไปเรียนต่อจนได้
ประกาศนียบัตรวิชาชีพครูและเพิ่งสำเร็จการศึกษาได้ไม่นาน วันที่ 4 กันยายน 1990
เป็นวันเริ่มงานของแม่และเป็นวันที่ฉันจะเริ่มชีวิตนักเรียนชั้นมัธยมหนึ่ง
วันนั้นพ่อหยุดงานเพราะอยากมีส่วนร่วมในวาระสำคัญของภรรยาและลูก
“ที่รัก” แม่เรียกมาจากชั้นบนตอนเช้าตรู่ ส่วนน้องชายของฉันกับคริสทีน พี่สาวยังหลับอยู่
“ว่าไง” พ่อซึ่งนั่งที่โต๊ะในครัวขานรับ
“รถจะมารับ ‘บรูก’ กี่โมง และจอดตรงไหน” แม่ชอบถามคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่แล้ว
นี่คือวิธีการเฉพาะตัวของแม่ในการย้ำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน เช้าวันนั้น แม่ดูลุกลี้ลุกลน
กว่าปกติ เพราะไม่ใช่วันแรกในการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นวันแรกที่ต้องปล่อย
ให้ลูกทั้งสามคนดูแลตัวเองด้วย
พ่อคว้าตารางเวลาที่ติดไว้ที่ตู้เย็นมาอ่านอย่างคล่องแคล่วเหมือนจำได้ขึ้นใจ
“บรูกขึ้นรถตอน 9 โมงและรถมาส่งตอนบ่ายโมง”
ฉันกับพ่อมองหน้ากันและยิ้ม ตอนนี้แม่แต่งตัวเสร็จแล้วและเดินลงมานั่งกับเราสองคน
สักครู่ ก่อนออกจากบ้าน
“แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่า ลูกขึ้นชั้นมัธยมหนึ่งแล้ว ดูสิ” แม่หยุดพูดพลางโอบไหล่และจูบแก้มฉัน
“อย่าลืมถามครูเรื่องวงออเคสตราของโรงเรียนกับเรียนเชลโลด้วยนะ” แม่พูดต่อ
“เริ่มเรียนเต้นรำสัปดาห์นี้ เพราะฉะนั้นต้องจัดเวลาให้ดีว่าควรทำการบ้านให้เสร็จตอนไหน”

โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 26, 2021 4:10 pm

……เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่(2)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
จีน : เช้าวันนั้น ฉันขับรถเก่า ๆ คันเดิมออกไปทำงาน ฉันกับ ‘เอ็ด’สามี หวังว่ารายได้จาก
การเป็นครูคงพอจะช่วยให้เรามีเงินเปลี่ยนรถได้ ทุกวันนี้ ครอบครัวเราแทบจะไม่มีเงินพอ
ใช้จ่าย เอ็ดทำงานที่สำนักงานสวัสดิการสังคมซึ่งมั่นคงดี แต่เงินเดือนไม่ค่อยพอเลี้ยง
ปากท้องถึง 5 คน
บรูก : พ่อนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ทางเดินหน้าบ้าน ฉันตามออกไปสมทบหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
ฉันทาเล็บมือสีชมพูสด และสวมแหวนที่นิ้วนางทั้งสองข้าง แฟ้มที่ถือก็สีชมพูเข้ากับสีเล็บ
ข้างในมีแฟ้มย่อยสารพัดสีสำหรับแต่ละวิชา ฉันตื่นเต้นที่จะได้ไปโรงเรียนหลังปิดเทอมมานาน
“บรูก ลูกสวยมาก”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบ “ขอบคุณคุณพ่อที่ลางานมาส่งหนูวันนี้”
ฉันกับพ่อเหมือนเพื่อนสนิทกัน แค่มองหน้าหรือขยับตัวเล็กน้อยก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“ลูกอยากเดินไปขึ้นรถคนเดียวหรือให้พ่อเดินไปเป็นเพื่อน แบบไหนก็ได้ที่ไม่ทำให้ลูกอึดอัด”
พ่อถาม
“หนูไม่เคยอึดอัดหรอกค่ะเวลาอยู่กับพ่อ เดินไปคนเดียวเมื่อไหร่ก็ทำได้” ฉันตอบ
เราเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ขณะที่พ่อจับมือฉันตลอดเวลา ถ้ารู้ว่าวันนั้นฉันจะรับรู้สัมผัสจากมือ
พ่อเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ฉันคงไม่ยอมปล่อยมือพ่อแน่ ๆ
จีน : แม้จะกังวลไม่น้อยที่ต้องทิ้งลูกมา แต่พอเริ่มทำงาน ฉันก็ตัดสินใจลืมเรื่องที่บ้านได้
อย่างไรก็ตามทันทีที่กลับจากกินข้าวกลางวัน มีเพื่อนร่วมงานเดินตรงมาหาฉันแล้วบอกว่า
“จีน มีโทรศัพท์ด่วนถึงคุณ เขารอสายอยู่”
“ของฉันเหรอ จากใครล่ะ” ฉันถาม
“จากเอ็ด สามีคุณ”
“เขาบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร” ฉันถามด้วยใจระทึก
“ไม่ได้บอก” เพื่อนร่วมงานตอบ “บอกแค่ว่าเรื่องด่วน”
ประโยคนี้ไม่ต่างจากได้รับโทรศัพท์ปลุกกลางดึก ตอนแรกฉันยังงง ๆ ต่อมาก็เริ่มกลัว
ไปต่าง ๆ นานา ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก
“มีอะไรเหรอ” ฉันถามเอ็ด
“เกิดอุบัติเหตุ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงค่อนข้างวุ่นวายใจ
“อะไรนะ ที่ไหน” ฉันถามต่อ
“บรูกเกิดอุบัติเหตุ” เสียงเขาเริ่มสั่น “มาที่ห้องฉุกเฉินด่วน”
พอฉันไปถึงโรงพยาบาล เอ็ดก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เขากับคริสทีนไปยืนรอรับบรูกที่หน้าบ้าน
แต่พอรถโรงเรียนมาจอด กลับไม่มีร่างของลูก
“แปลกมาก” เอ็ดปรารภกับคริสทีน “บรูกน่าจะกลับมากับรถคันนี้”
เอ็ดเริ่มใจเสีย เขาหันไปเห็นเพื่อนบรูกซึ่งบ้านอยู่ถัดไปเล็กน้อยวิ่งตรงมาหา ท่าทางกระหืด
กระหอบและหน้าตาตื่น
“บรูกค่ะ” หนูน้อยชะงักเพราะพูดไม่ออก “บรูกถูกรถชนที่ถนนนิโคลล์”
เอ็ดกับคริสทีนกระโดดขึ้นเบาะหลังรถเพื่อนบ้านซึ่งทะยานออกไปทันที
พอรถไปถึงถนนนิโคลล์ซึ่งปกติมีเจ้าหน้าที่ช่วยคนข้ามถนนยืนอยู่เสมอ ทุกอย่างปกติดี
เมื่อมองไปทางซ้ายเมื่อเดินเข้าไปใกล้สี่แยก
“นี่มันอะไรกันนี่” เอ็ดถามขณะหันไปดูอีกด้านของถนนห่างออกไปทางขวาราว 500 เมตร
เขาเห็นรถหลายคันจอดอยู่กับรถพยาบาลคันหนึ่ง

โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 26, 2021 4:14 pm

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (3)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
พอเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นแฟ้มสีชมพูกับกระดาษเกลื่อนถนน ภาพตรงหน้าเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ
เหมือนอยู่ในความฝัน เอ็ดหายใจไม่ทั่วท้องขณะจ้องภาพความโกลาหลตรงหน้า รถตำรวจ
จอดอยู่เปิดไซเรนดังแสบแก้วหู ตำรวจกันพวกอยากรู้อยากเห็นไม่ให้เกะกะ มีคนตะโกนและ
ออกคำสั่งอยู่ตลอดเวลา แต่เอ็ดสับสนจนจำรายละเอียดไม่ได้
เขาจำได้เพียงว่า เห็นลูกนอนเหยียดยาวอยู่ตรงช่องกลางถนน แรงปะทะส่งร่างน้อยกระเด็นไป
เกือบ 30 เมตร บรูกเลือดออกและสลบไป ร่างอ่อนระทวยขณะเจ้าหน้าที่สองคนช่วยกันปั๊มหัวใจ
รถที่ชนบรูกจอดอยู่ข้างถนน กระโปรงหน้าและหม้อน้ำยู่เข้าไปข้างใน กระจกหน้าแตก
ตำรวจรุมกันอยู่รอบรถเพื่อหาดูว่า เครื่องยนต์บกพร่องตรงไหน ตำรวจนักสืบตรวจรอยเบรก
เพื่อคำนวณว่ารถแล่นมาด้วยความเร็วเท่าไร
“บรูกไม่ได้ขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้าน” เพื่อนบ้านบอกเอ็ด
“หมายความว่าไง”
“แกตัดสินใจเดินกลับบ้านเอง” เพื่อนบ้านเล่า
บรูกกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งเดินตัดสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียน จากนั้นก็เดินเลาะไปตามทางเดิน
ในป่าละเมาะจนโผล่ออกที่ถนนนิโคลล์ช่วงที่ไม่มีราวเหล็กกั้นทำให้สามารถวิ่งข้ามถนนได้
แต่บรูกข้ามไม่พ้น
ราว 3 ทุ่ม หมออนุญาตให้ฉันกับเอ็ดเข้าเยี่ยมลูกได้หลังรออยู่นาน 7 ชั่วโมง เราผุดลุกผุดนั่ง
ในใจพยายามคิดหาคำตอบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
‘ริชาร์ด’กุมารแพทย์ประจำครอบครัวเรามาช่วยประสานงานกับแพทย์ประจำโรงพยาบาลด้วย
เขาเดินนำเราผ่านประตูใหญ่สองบานเข้าไปในห้องที่มีเตียงเรียงกันเป็นแถว แต่บรูกเป็นคนไข้
รายเดียวในห้องนั้น
“บรูกมีอาการโคม่าและไม่ได้สติ” ริชาร์ดอธิบาย “หน้าผากมีแผลใหญ่มากจึงต้องพันผ้าพันแผล
ทั่วศีรษะ ท่อที่ต่อเข้าไปในปากเชื่อมกับเครื่องช่วยหายใจช่วยให้แกยังมีลมหายใจอยู่ได้”
ฉันรู้สึกลำคอตีบตัน บรูกอยู่ในสภาพที่จำเกือบไม่ได้ ส่วนเดียวที่ไม่มีอะไรปกปิดคือใบหน้าที่
บวมเป่งเพราะปะทะกระจกหน้ารถและครูดไถลไปกับพื้นถนน
“บรูก ได้ยินแม่พูดไหม นี่แม่เอง แม่รักลูกนะ” ฉันพูด
ราว 2.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่นำบรูกไปยังห้องเวชบำบัดวิกฤตแผนกคนไข้เด็ก
ฉันเดินเข้าไปใกล้ ๆ พยายามจะสัมผัสและสวมกอดลูก แต่ทำไม่ได้เพราะมีท่อระโยงระยาง
และจอแสดงการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเต็มไปหมด

โปรดติดตามตอนที่ (4)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 27, 2021 1:06 pm

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (4)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

บรูก : ฉันฝันถึงชั้นเรียนเต้นรำ ฉันเล่นเซลโลประจำวงออเคสตราของโรงเรียนและเป็นนักร้อง
ประสานเสียงเยาวชนประจำโบสถ์ ฉันเริ่มเรียนเต้นรำตั้งแต่ 2 ขวบ
ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงหวีดแหลมน่ากลัวที่ดังไม่หยุด ไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกของฉันนี่
พอลืมตาก็ไม่เห็นผนังห้องสีชมพูและม่านคลุมเตียงสีรุ้งเหมือนทุกวัน มีแต่ผนังห้องสีขาว
กระด้างและเตียงที่มีราวเหล็กกั้นแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
โลกรอบตัวมัวซัวและดูลึกลับชอบกล ตรงหน้ามีเสาสำหรับแขวนขวดน้ำเกลือและน้ำยาต่าง ๆ
ดูเหมือนต้นไม้ที่มีผลอยู่เต็มต้น ถัดไปเล็กน้อยมีเสาอีกต้นแขวนตุ๊กตารูปสัตว์ต่าง ๆ เต็มไปหมด
นี่ไม่ใช่ห้องของฉัน ฉันอยู่ที่ไหน การ์ดและป้ายนับร้อย ๆ แผ่นมีข้อความว่า “หายเร็ว ๆ นะ”
ติดอยู่บนผนังห้องรอบด้าน ความกลัวเริ่มเกาะกุมหัวใจขณะที่ฉันพยายามคิดว่า ใบหน้าที่ยืนจ้อง
อยู่นั้นเป็นใคร สถานที่น่ากลัวแห่งนี้คือที่ไหน คนพวกนี้เป็นใคร ทำไมฉันถึงไม่อยู่ที่บ้าน
ฉันลืมตาอีกครั้ง จำไม่ได้ว่าหลับไปอีกหรือไม่ แต่คิดว่าหลับแน่ ๆ เพราะคนแปลกหน้าหายไป
เกือบหมดแล้ว
ขณะจ้องมองดูความวุ่นวาย ฉันก็ค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นเป็นลำดับพร้อมกับรับรู้ถึงรสชาติของเลือดที่
จับเป็นลิ่มอยู่ในปาก ศีรษะปวดตุบ ๆ เสียงอึกทึกในห้องยิ่งทำให้รู้สึกปวดจนแทบทนไม่ได้
ฉันพยายามนึกทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น พลางบอกตัวเองว่า “ชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว” แม้จะไม่รู้ชัดว่า
เปลี่ยนไปอย่างไร ฉันพยายามตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบ แต่พอเปิดปากกลับไม่มีเสียง
เล็ดลอดออกมาเลย สมองยังสั่งการได้ แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม แต่เอ๊ะ ร่างกายของฉันหาย
ไปไหน ทำไมฉันถึงไม่มีความรู้สึกเลย เหมือนร่างกายยังไม่ตื่นจากการหลับไหล
“ตามหมอเถอะ รู้สึกว่าลูกจะฟื้นแล้ว” ฉันได้ยินเสียงพ่อพูด
ฉันนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงที่เหมือนเครื่องทรมานนักโทษสมัยโบราณมากกว่า ฉันไม่เห็นพ่อกับ
แม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง
“พูดช้า ๆ” ชายสวมชุดคลุมสีขาวบอกพ่อกับแม่ “เรายังไม่รู้ว่าแกจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดแค่ไหน”
เสียงนุ่ม ๆ ของพ่อแว่วมาจากปลายเตียง
“ลูกได้ยินที่พ่อพูดไหม เราทุกคนอยู่ที่นี่”
ชายชุดขาวใช้ไฟฉายส่องตาฉันทีละข้างแล้วถามซ้ำ ๆ ว่า “บรูกรู้ไหมว่าตัวเองเป็นใครและเกิดอะไร
ขึ้นกับหนู”
ฉันตอบไม่ได้ แม้สิ่งต่าง ๆ จะเริ่มชัดเจนขึ้น ฉันก็ยังไม่อยากรู้ความจริงในตอนนี้
แต่ฉันพอจะรับรู้อยู่บ้าง เสียงเฟี้ยว ๆ ดังมาจากเครื่องขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างเตียง
มีเสียงนี้ทุกครั้งที่ฉันหายใจเข้า ต่อมาจึงรู้ว่ามันต่อเข้ากับท่อหายใจเข้า หลังจากนั้นก็รู้ว่ามันต่อ
เข้ากับท่อในปากและทำหน้าที่หายใจแทนฉัน
ฉันขยับตัวไม่ได้ หายใจเองก็ไม่ได้ เเถมพูดไม่ได้ด้วย ฉันกลัวมาก แต่พอพยายามจ้องตา
ชายชุดขาว เขากลับหยุดตรวจ
“หมอจะปล่อยให้คุณอยู่กับลูกตามลำพัง” เขาพูดราวกับว่า แค่ใช้ไฟฉายส่องก็เข้าใจความรู้สึก
ของฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง

โปรดติดตามตอนที่ (5) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 28, 2021 10:24 pm

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอน(5)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……สัญญาของแม่
จีน : บรูกลืมตาแต่พูดไม่ได้ ฉันอ่านสีหน้าลูกออกว่าพยายามตอบคำถามในใจฉัน
แววตาของลูกไม่ได้ว่างเปล่าหรือไร้แวว แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“บรูก นี่แม่เอง ลูกจำแม่ได้ใช่ไหม”
ฉันเห็นตาลูกฉายแววหวาดกลัวและระทมทุกข์
“บรูก กะพริบตาหนึ่งครั้งถ้าลูกเข้าใจที่แม่พูด”
ฉันจ้องหน้าลูกด้วยใจระทึก ลูกกะพริบตาอย่างตั้งใจ บอกให้รู้ว่าเข้าใจคำพูดของฉัน
“ลูกยังรู้เรื่องดี” ฉันบอกเอ็ด
“บรูก รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก ลูกถูกรถชน จำได้ไหม”
ลูกกะพริบตา 2 ครั้งซึ่งเท่ากับบอกว่าจำไม่ได้
“ตอนนี้ลูกอยู่ในโรงพยาบาล” ฉันบอก “หมอกับพยาบาลทุกคนพยายามช่วยกันเต็มที่ให้ลูกหาย”
“แม่กับพ่อก็อยู่ด้วยและไม่หนีไปไหนเด็ดขาด” เอ็ดบอก
บรูก : หัวใจฉันแตกสลายแต่ไม่อยากฟูมฟาย เพราะไม่อยากให้ปัญหายุ่งยากกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งวันมีหมอเวียนกันเข้ามาดูอาการฉันตลอด ซึ่งไม่น่าจะเลวร้ายนักถ้าไม่มองโลก
ในแง่ร้ายเกินไป
หมอคนหนึ่งมาที่ห้องฉันทุกเช้า เอาเข็มมาจิ้มฉันแล้วถามซ้ำ ๆ ว่า “เจ็บไหม” โดยไม่สนใจ
ว่าฉันตอบไม่ได้
หมอพวกนี้พูดถึงฉันราวกับว่าฉันไม่ได้นอนอยู่ตรงหน้า ศัลยแพทย์โรคกระดูกคนหนึ่งอธิบาย
ถึงเส้นเอ็นที่ขาดตรงหัวเข่า หมอฝึกหัดถามว่าต้องผ่าตัดต่อเอ็นไหม อาจารย์หมอตอบว่า
คงไม่มีประโยชน์เพราะถึงอย่างไรฉันก็เดินไม่ได้ เนื่องจากระบบประสาทส่วนกลางถูกทำลายไปแล้ว
วันนั้นพ่อเกือบจะเหลืออด พ่อบอกว่า ครอบครัวเราเข้าใจดีว่าฉันบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน
ฉันเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไปและหายใจเองไม่ได้ แต่ถ้าหมอยังไม่หยุดอภิปรายอาการของฉัน
ในเชิงบั่นทอนกำลังใจ พวกหมอนั่นแหละอาจต้องกลายเป็นคนไข้นอนให้ศัลยแพทย์โรคกระดูกรักษา
จีน : หลังจากอยู่ในห้องเวชบำบัดวิกฤตหนึ่งสัปดาห์ บรูกก็ยังหายใจเองไม่ได้
ศัลยแพทย์ต้องผ่าตัดหลอดลมทิ้งแล้วสอดท่อเข้าไปในคอแทน
ตอนนี้บรูกเริ่มขยับริมฝีปากได้แล้ว ฉันกับเอ็ดสามารถอ่านริมฝีปากของลูกได้ การสื่อสารเริ่มดีขึ้น
แม้ว่าตอนแรกจะขลุกขลักบ้าง บรูกมีคำถามมากมาย ฉันพยายามเดาอย่างเต็มที่ว่า ลูกอยากพูดอะไร
“หนูจะ...” บรูกขยับปาก แต่ยังเปล่งเสียงไม่ได้
“จะอะไรหรือ” ฉันถามอย่างตื่นเต้น ลูกอยากรู้อะไร หนูจะหายใจเองได้อีกไหม หนูจะหายจากอาการ
อัมพาตหรือไม่ หนูจะตายไหม ฉันรู้สึกกลัวที่ต้องรับรู้ท่อนท้ายของคำถามจากปากลูกว่า
“หมดอนาคตหรือเปล่า” ลูกถาม
จากคำถามทั้งหมดที่ลูกน่าจะถาม ฉันรู้สึกสบายใจที่สุดที่ได้ยินคำถามนี้ ฉันตอบว่า
ลูกจะต้องหายแล้วกลับบ้าน กลับไปเรียนหนังสือเหมือนเดิม
“สัญญาได้ไหม” ลูกถามอีกครั้ง
ฉันจะสัญญาได้อย่างไรในเมื่อลูกอาการหนักขนาดนี้ แต่ใคร ๆ ก็คงจะประณามฉันแน่
ถ้าฉันท้อแท้และมองโลกในแง่ร้าย
“แม่สัญญาจ้ะ” ฉันตอบ

โปรดติดตามตอนที่ (6)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 30, 2021 11:05 am

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (6)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
…………ฝันแสนสวย
จีน : บรูกย้ายออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งมีการติดตั้งอุปกรณ์
เข้าไปที่ท่อลมเพื่อให้ลูกพูดได้ แต่แม่กับพ่อใจจะขาดรอน ๆ เมื่อเห็นลูกกระเสือกกระสน
จะทำให้ร่างกายกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมแต่ไม่สำเร็จ ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมาก
ฉันกับเอ็ดเชื่อว่าถ้ามีความหวังทุกอย่างก็เป็นไปได้ แต่เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯไม่มีความปรานีเท่าที่ควร
“อย่าพูดให้เด็กมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม” เขาพูดใส่หน้าฉัน
อยู่บ่อย ๆ “ไม่มีเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ มีสองอย่างเท่านั้นคือ มีหวังกับไม่มีหวัง” ฉันแย้ง
ถ้าศูนย์ฯทำให้ลูกมีอาการทรง ๆ เหมือนเดิม เราก็ต้องพาลูกกลับบ้านและดำเนินชีวิตต่อไป
ระหว่างนั้น เอ็ดกับฉันตกแต่งบ้านใหม่ ขยายห้องใต้บันไดให้กว้างขึ้น สร้างห้องน้ำที่นำรถเข็น
เข้าไปได้ พร้อมกับสร้างทางสำหรับรถเข็นที่บริเวณข้างบ้าน ทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก
ครอบครัวเรามีปัญหาด้านการเงินตั้งแต่ก่อนบรูกประสบอุบัติเหตุ แต่ชุมชนที่เราอยู่รณรงค์หาเงิน
มาช่วยจนเรารู้สึกตื้นตันและซาบซึ้งบุญคุณอย่างยิ่ง
ราวเดือนพฤษภาคม ทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอย บรูกออกจากศูนย์ฯเพื่อกลับบ้าน
พอรถพยาบาลถอยหลังเข้าบ้าน บรูกก็เห็นลูกโป่งพวงใหญ่ผูกกับตู้จดหมายและเหนือประตูบ้าน
มีข้อความว่า “ขอต้อนรับกลับบ้าน” ญาติมิตรและเพื่อนบ้านยืนรอรับขวัญบรูกอยู่ใต้ห่วงบาสเกตบอล
ลูกมองหน้าฉันพร้อมกับส่งยิ้มกว้าง “ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน จริง ๆ นะคะแม่”
บรูก : ฉันรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่ต้องตื่นไปโรงเรียน ขณะที่พี่น้องจะตื่นนอน กินอาหารเช้า แต่งตัว
และวิ่งเข้ามาลาฉันในห้อง ส่วนฉันได้แต่นั่งตาปริบ ๆ
แม่คอยดูแลเรื่องกินยา สวมเสื้อผ้าให้และจับนั่งรถเข็นโดยไม่เคยปริปากบ่น ฉันก็พยายาม
ไม่บ่นเหมือนกัน แต่รู้สึกห่อเหี่ยวอยู่บ่อย ๆ
ฉันเกือบทนไม่ได้แม้จะทำใจกับชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว สิ่งต่าง ๆ ในอดีตที่ไม่มีทาง
ย้อนเดินกลับคอยทิ่มแทงใจไม่หยุดหย่อน. ไม่มีใครตำหนิเลยถ้าฉันจะนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน
และเอาแต่ดูโทรทัศน์อย่างเดียว แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะเห็นแก่พ่อแม่และตัวเองด้วย
ถึงจะเจ็บป่วยแค่ไหน ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
ตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมีคนมาสอนหนังสือให้ฉันทุกวัน แต่ก็น้อยเกินกว่าจะกลับไปเรียน
พร้อมกับเพื่อน ๆ ได้ในเดือนกันยายน แม่ยังจำสัญญาที่รับปากไว้ได้จึงวางแผนการเรียนช่วงฤดูร้อน
ให้ฉัน มีครูระดับมัธยมต้น 4 คนมาสอนที่บ้าน ตอนแรกฉันรู้สึกวิตกไม่น้อย
เพราะไม่รู้ว่าครูจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับอาการของฉัน ฉันต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าสมองยังใช้การ
ได้ดีไม่แพ้คนอื่น และควรค่าแก่การยอมรับนับถือ ฉันไม่อยากให้ใครมองด้วยความสงสาร
ฉันไม่เคยเรียนภาษาต่างประเทศมาก่อน จึงตัดสินใจเริ่มต้นด้วยภาษาละติน ทีแรกครูเตือนว่า
ฉันคงเรียนไม่ไหวและน่าจะเรียนภาษาที่ง่ายกว่านี้
ครูไม่ได้ใจดีกับฉันเป็นพิเศษซึ่งฉันก็ต้องการอย่างนั้น ในที่สุดฉันก็พิสูจน์ว่าครูคิดผิด
พอหมดฤดูร้อน ฉันก็ผ่านการทดสอบทั้งหมดและพร้อมจะกลับไปเรียนต่อในเดือนกันยายน

โปรดติดตามตอนที่ (7)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 31, 2021 8:38 pm

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ (7)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

…ทางสายใหม่
จีน : ขณะที่บรูกขะมักเขม้นกับการเรียนให้ทันเพื่อน ฉันกับเอ็ดก็วางแผนไปคุยกับผู้บริหารของ
โรงเรียนในเขตที่เราอยู่ซึ่งยังไม่เคยมีนักเรียนที่ต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตไปเรียนรวมกับนักเรียนทั่วไป
บรูกต้องนั่งรถติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ มีคนคอยจดโน้ตให้ รวมทั้งต้องมีคนคอยดูแลพยาบาล
ทางโรงเรียนตกลงจะจัดหาให้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องพยาบาล ในที่สุดฉันบอกเอ็ดว่า “ถ้าฉันไป
โรงเรียนกับลูก คุณจะว่ายังไง ฉันดูแลลูกได้ดีพอ ๆ กับพยาบาลทีเดียว”
เราโทรฯไปสอบถามผู้บริหารโรงเรียนซึ่งไม่ขัดข้อง ดังนั้นแทนที่ฉันจะได้ยืนสอนอยู่หน้าชั้นตาม
ความตั้งใจเดิม ฉันกลับนั่งอยู่หลังห้องเพื่อทำหน้าที่พยาบาล แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือได้อยู่ใกล้ลูก
วันเปิดเรียน รถมารับช้าเล็กน้อย พอไปถึงบริเวณที่ปล่อยให้บรูกลงจากรถจึงมีนักเรียนอยู่บางตา
เมื่อถึงตึกเรียน ฉันจับประตูไว้ให้เอ็ดเข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนข้ามธรณีประตู
“เราพาลูกมาถึงโรงเรียนแล้ว” ฉันบอก
“ไม่อยากเชื่อเลยว่า หนูจะได้กลับมาเรียนอีก” บรูกพูดแต่ยิ้มอย่างกังวล
บรูก : “บรูก” เสียงเรียกชื่อฉันดังมาจากข้างหลัง
คนพูดเป็นเพื่อนฉันเองชื่อไมเคิล วันที่กลับจากศูนย์ฯเขาก็ไปรอรับอยู่ที่บ้านด้วย แม้ตอนนั้นฉันจะ
ยังไม่รู้จักเขา แต่เราก็สนิทกันอย่างรวดเร็ว ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน เขามาเยี่ยมบ่อย ๆ
และชอบมาขลุกอยู่ทั้งวัน ไมเคิลเป็นเพื่อนในจำนวนไม่กี่คนที่มาเยี่ยมสม่ำเสมอ
เพื่อนบางคนที่สนิทกับฉันก่อนเกิดอุบัติเหตุมาเยี่ยมระยะหนึ่งตอนกลับมาอยู่บ้านใหม่ ๆ
แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ หายหน้าไป ฉันคิดว่าทุกคนคงไม่อยากเห็นฉันในสภาพนี้เพราะเคยเห็น
ในสภาพสมบูรณ์มาก่อน แต่ไมเคิลรู้จักฉันก็เมื่อเป็นอัมพาตแล้ว จึงยอมรับได้ไม่ยาก
และฉันก็ชอบเขาเพราะจุดนี้

โปรดติดตาม(ตอนที่ 8)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 01, 2021 11:57 am

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่( 8)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……มุ่งสู่เป้าหมาย
บรูก : ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงฝีเท้าคุ้นหูเดินผ่านห้องโถง “สวัสดีค่ะ
มีใครอยู่ไหมคะ” เสียงของนักฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานนั่นเอง ฉันเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่
ในห้องโดยเอาหนังสือวางบนขาตั้งโน้ตเพลงที่ตั้งอยู่หน้าเก้าอี้ล้อเลื่อน
“มาได้เวลาพอดีเลยค่ะ” ฉันทัก “ช่วยพลิกหน้าหนังสือให้หน่อยได้ไหมคะ”
นักฟื้นฟูฯกระเซ้าว่า “อ่านหนังสือไม่ยอมพักเลยนะ”
ใคร ๆ ก็เห็นว่าฉันอ่านหนังสือไม่ได้หยุดซึ่งฉันก็หวังว่าจะขยันให้ได้อย่างนั้น
ปัญหาคือตอนทำการบ้าน ฉันต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นเพราะขยับมือและแขนไม่ได้
ถ้าต้องเขียนบทความก็ต้องอาศัยมือคนอื่น ถ้าเป็นการบ้านคณิตศาสตร์ก็ต้องคำนวณ
ในหัวแล้ววานให้คนอื่นช่วยเขียนวิธีทำใส่กระดาษ
จีน : บรูกจบมัธยมต้นด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงสุดในชั้น จึงมีสิทธิ์เรียนในแผนกวิทยาศาสตร์ซึ่ง
เรียนรวมนักเรียนระดับหัวกะทิ ฉันกับเอ็ดพาลูกไปสำรวจสภาพโรงเรียนก่อนเปิดเทอม
และพบอาจารย์หัวหน้าแผนกซึ่งเป็นสตรีร่างเล็ก
อาจารย์ท่านนี้มีกิตติศัพท์ว่าเข้มงวดมาก ไม่นานเราก็ประจักษ์ว่าคำร่ำลือนั้นเป็นจริง
“เธอต้องเป็นบรูกแน่ ๆ” อาจารย์ทักทายและประกาศกฎเกณฑ์ทันที
“ห้ามส่งรายงานช้าเกินกำหนด และครูไม่เคยยืดกำหนดส่ง” เธอพูดห้วน ๆ “ครูจะปฏิบัติต่อ
เธอเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ บอกตามตรงนะบรูก ครูไม่แน่ใจว่าเธอจะเรียนแผนกนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง
เพราะมีงานที่ต้องทำด้วยมือมากมายซึ่งหลายอย่างเธอทำเองไม่ได้ เรามาพยายามดูสักตั้ง
ก็ได้ถ้าเธออยากลอง”
พูดจบครูก็หันไปพูดกับนักเรียนคนอื่นทันที ฉันเดินตามเก้าอี้ล้อเลื่อนของบรูกออกมานอกห้อง
และเห็นลูกหน้าซีด “แม่คะ หนูไม่รู้ว่าจะเรียนไหวหรือเปล่า” ลูกบอก
“คนเรามักจะคิดเอาเองล่วงหน้าและยึดติดกับความคิดนั้น” ฉันเตือนลูก “นี่คือแผนกที่หนูจะต้อง
ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เรียนและผู้สอนไปพร้อม ๆ กัน”
ฉันรู้ว่าลูกไม่มีกำลังใจ แต่หวังว่าลูกจะเห็นเหตุการณ์นี้เหมือนเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
นี่เป็นเพียงอุปสรรคอีกอย่างที่ต้องเอาชนะให้ได้เท่านั้นเอง
บรูก : ชีวิตการเรียนมัธยมปลายโดยมีแม่คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อน ๆ
เริ่มคุ้นกับการมีแม่มานั่งอยู่ในห้อง
เวลาเปลี่ยนห้องเรียน ฉันเห็นเพื่อนเก่าหลายคนยืนอยู่ในห้องโถง ทุกคนจะหันมาทักทายฉัน
แต่ก็เป็นไปอย่างผิวเผิน พลายคนทำเป็นมองไม่เห็น
ฉันหงุดหงิดกับปฏิกิริยาเช่นนี้มาก อยากรู้ว่าทำไมทุกคนจึงรู้สึกเคอะเขินเวลาเห็นฉัน
บางคนทำท่ากลัวด้วยซ้ำ ฉันคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชีวิตพวกเขาเปราะบางแค่ไหนกระมัง
ฉันเขียนบทความระบายความในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งครูในวิชาภาษาอังกฤษใจความว่า
“มีใครรู้จักฉันอย่างแท้จริงบ้าง ฉันคือเด็กผู้หญิงที่นั่งเก้าอี้ล้อเลื่อนและใช้เครื่องช่วยหายใจ
คุณคิดว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของฉัน หรือเป็นเพียงภาพที่ปรากฏต่อสายตาของคุณเท่านั้น
ฉันยังเป็นเด็กหญิงคนเดิมอย่างที่เคยเป็น ยังมีความหวัง ความปรารถนา และความฝันเหมือนเดิม
ฉันเคยเป็นนักเต้นรำ ฉันเล่นเชลโล ฉันรักสิ่งสวยงามทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ศิลปะ
มิตรภาพ และโลกที่มีน้ำใจให้กัน”
“จิตใจคนเราซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ด้วยคำพูด ก่อนจะตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น เราต้อง
เอาใจใส่ให้มากพอจึงจะรู้ใจกันอย่างถ่องแท้ เมื่อคุณเห็นฉัน ขอให้มองทะลุผ่านโลหะ
และอุปกรณ์ทั้งหลายแล้วจึงกล่าวสวัสดี ฉันอยากรู้จักคุณอย่างแท้จริงพอ ๆ กับที่อยาก
ให้คุณรู้จักตัวจริงของฉัน”

โปรดติดตามตอนที่ (9)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 02, 2021 3:39 pm

เรื่อง "มหัศจรรย์แห่งชีวิต" ตอนที่ 9(ตอนจบ)
โดย Brooke Ellison และ Jean Ellison
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2545/2002,
เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
……พลังแห่งความหวัง
จีน : หลังบรูกกลับเข้าเรียนในชั้นมัธยมสอง ฉันกับเอ็ดต่างเห็นตรงกันว่า
ถ้าลูกจบมัธยมและทุกอย่างราบรื่นก็คงจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐใกล้ ๆ บ้าน
แต่แล้ววันหนึ่งบรูกถามฉันว่า “แม่จะว่ายังไง ถ้าหนูอยากไปเรียนไกล ๆ”
“เราจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันลูก” ฉันถาม “อยู่ที่นี่เรายังไม่มีเงินจ้างพยาบาลมาดูแลลูกเลย
ว่าแต่ว่าอยากไปเรียนที่ไหนล่ะ”
“มหาวิทยาลัยชื่อดังค่ะแม่”
ฉันไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “ลูกรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่มีเงินส่งเสียขนาดนั้นหรอก”
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่คะแม่” ลูกพูด
“ลองดูก็ได้” ฉันว่า
จากนั้นฉันกับเอ็ดก็ปรึกษากันและตกลงว่าน่าจะให้ลูกสมัครดู บรูกตัดสินใจสมัครเรียน
รอบแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ฉันกับบรูกรวบรวมเอกสารประกอบใบสมัครไปส่งให้เจ้าหน้าที่แนะแนวการศึกษา
“หนูพอจะมีหวังไหมคะ” บรูกถาม
“มีโอกาสเท่ากับคนอื่น ๆ” เจ้าหน้าที่ตอบพร้อมกับสอดใบแสดงผลการศึกษาและ
จดหมายรับรองลงในซอง หนึ่งในนั้นมาจากอาจารย์หัวหน้าแผนกที่โรงเรียนซึ่งเดิมไม่แน่ใจว่า
บรูกจะเรียนจบหลักสูตร แต่ต่อมากลับเป็นปากเสียงสำคัญให้ลูก
เมื่อส่งใบสมัครไปแล้วก็ได้แต่รอฟังผล สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ฉันสัญญากับลูกหลังเกิดอุบัติเหตุคือ
แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของลูกได้ ฉันก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีชีวิต
ดีที่สุดไม่ว่าจะต้องเหนื่อยยากสักเพียงใดก็ตาม
บรูก : วันที่ 15 ธันวาคมเป็นวันประกาศผลการคัดเลือก ฉันตัดสินใจโทรฯไปถามแผนก
รับนักศึกษาของฮาร์วาร์ด
แม่กดโทรศัพท์ในห้องพยาบาลของโรงเรียนแล้วยกหูโทรศัพท์ให้ฉันพูด หลังแจ้งชื่อและ
รายละเอียดส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่า “ขอแสดงความยินดีและขอต้อนรับเข้า
เป็นนักศึกษาฮาร์วาร์ด”
ทั้งฉันและแม่ร้องไห้ ฉันแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้ รู้สึกว่าการได้เข้าเป็นนักศึกษา
ในสถาบันชื่อดังแห่งนี้ เป็นการตอบแทนความทุ่มเทที่ครอบครัวเราร่วมแรงร่วมใจกันมาตลอด 6 ปี
จีน : บรูกโทรฯไปบอกพ่อที่สำนักงานทันที เอ็ดตื่นเต้นดีใจแต่ก็เดินหัวหมุนเหมือนฉัน
เพราะคิดไม่ออกว่าจะหาเงินที่ไหนมาส่งเสียลูกเรียนจนจบ
พอวางโทรศัพท์ ฉันกับบรูกก็ออกไปเข้าห้องเรียน พอเข้าไปในห้องวิจัย
อาจารย์หัวหน้าแผนกก็ตะโกนถามว่า “ว่าไง โทรฯไปถามแล้วหรือยัง”
บรูกยิ้มแก้มแทบปริ เพราะฉะนั้นไม่ต้องตอบก็รู้ได้ อาจารย์วิ่งเข้ามาจูบบรูกที่หน้าผาก
และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ดีใจด้วย นักศึกษาใหม่ของฮาร์วาร์ด”
บรูก : ฉันต้องแจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบว่าตกลงใจจะเข้าเรียนที่นั่น ทางมหาวิทยาลัยเสนอ
ความช่วยเหลือทางการเงิน แต่ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอ
ครอบครัวเราตกลงใจขับรถไปดูสภาพมหาวิทยาลัยและพบผู้บริหารซึ่งบอกว่า “ไม่มีปัญหา”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง ห้องพักใหญ่พิเศษ ห้องน้ำที่เอาเก้าอี้ล้อเลื่อนเข้าไปได้
หรือแม้แต่การที่แม่ต้องมาอยู่ด้วย ท่าทางผู้บริหารกระตือรือร้นที่จะมีนักศึกษาพิเศษอย่างฉัน
แม้จะไม่อยากจากครอบครัวไปไกล ๆ แต่ฉันก็อยากไปเรียนมากเพื่อพัฒนาตัวเอง
ให้สูงที่สุดตามที่พ่อแม่พร่ำสอนมาตลอด
และเรื่องน่าตลกในท้ายที่สุดก็คือ พวกที่ชอบค่อนแคะฉันนี่เองที่ผลักดันให้ฉันตัดสินใจ
ไปเรียนฮาร์วาร์ด แม้ฉันจะได้เกรดสี่ทุกวิชา แต่บางคนก็ยังคิดว่ามหาวิทยาลัยรับฉัน
เพราะความพิการจนต้องนั่งรถเข็น พวกนี้ปรามาสว่าฉันจะเรียนไม่จบด้วยซ้ำไป
ฉันรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักฉัน และพูดออกมาเพราะมีอคติที่เกิดจากความไม่รู้
ฉันจะต้องสอนบทเรียนบางอย่างแก่พวกเขา ดังนั้นจึงตัดสินใจไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด
และบางทีก็ต้องสอนบทเรียนให้คนอื่นไปพร้อม ๆ กันด้วย
บรูกเรียนที่ฮาร์วาร์ด 4 ปีโดยมีแม่ตามไปด้วยและพ่อคอยสนับสนุนอย่างดี เธอเลือกเรียน
ประสาทวิทยาด้านการรับรู้เป็นวิชาเอก วิชานี้เน้นสองสาขาคือ จิตวิทยากับชีววิทยา
หัวข้อวิทยานิพนธ์ของเธอว่าด้วยเรื่องความหวัง ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมาย
บรูกสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมในเดือนมิถุนายน 2000
ทุกวันนี้ บรูกทำงานแนะแนวแก่นักเรียนมัธยมและกลุ่มอื่น ๆ เธอตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น
“มหัศจรรย์มีจริง” บรูกกล่าว “เพราะเกิดขึ้นกับฉันมาแล้ว และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นกับพวกคุณ
แค่มองดูผู้คนรอบข้าง คุณก็จะเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเสมอ”

****************************
จบบริบูรณ์

:s012: :s012:
ตอบกลับโพส