ประวัติบุญราศีลาว ชาวไทย

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 03, 2021 9:12 pm

บุญราศีลาว ชาวไทย
ยอแซฟ อุทัย พองพูม

บทนำ:
เป็นความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวงของพระศาสนจักรลาวที่มีบุญราศีใหม่ 17 องค์
ซึ่งได้รับการประกาศแต่งตั้งและเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ณ อาสนวิหารพระหฤทัยของ
พระเยซูเจ้า เวียงจันทน์ วันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ 2016 (พ.ศ 2559)
โดยมีพระคาร์ดินัลเกเวโด โอแลนโดแบลทรัม คณะธรรมฑูตแห่งมารีย์นิรมล (OMI) ชาวฟิลิปปินส์
ผู้แทนสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณและอ่านจดหมายแต่งตั้ง
ยอแซฟ เตียนและเพื่อนมรณสักขีอีก 16 องค์เป็น " บุญราศี " ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม
ประเทศอิตาลี วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ 2016(พ.ศ 2559)
พระศาสนจักรลาวกับพระศาสนจักรไทยเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันมายาวนาน มิสซังลาวแยก
มาจากมิสซังสยาม วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ 1899 (พ.ศ 2442) เดิม" มิสซังลาว" หมายถึง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและประเทศลาว แต่ไม่รวมแขวงซำเหนือ
แขวงไทนินตะวันออก และแขวงอัตตาปือทางภาคใต้ โดยสันตะสำนักได้แต่งตั้ง
คุณพ่อยัง มารีย์ กืออ๊าส เป็นพระสังฆราชปกครององค์แรกก่อนแยกมิสซังเวียงจันทน์
และ หลวงพระบางจากมิสซังลาวในสมัยพระสังฆราชอังเยโลมารีย์ แกวง
วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ 1938(พ.ศ 2481) มอบให้คณะธรรมฑูตแห่งมารีย์นิรมลปกครอง
ดูแลแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศลาวยังอยู่ในความดูแลของมิสซังลาว โดยมีศูนย์กลาง
อยู่ที่หนองแสง นครพนม ภายใต้การดูแลของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (MEP)
อีกทั้ง คริสตชนในมิสซังลาวล้านเป็นพี่น้องกัน ซึ่งบรรดาธรรมฑูตรุ่น บุกเบิกภายใต้การนำ
ของคุณพ่อกองสตังค์ ยัง บัปติสต์ คุณพ่อฟรังซัวร์ ซาเวียร์ เกโก ได้ให้ความช่วยเหลือ
ไถ่จากการเป็นทาส และก่อตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นตามหมู่บ้านต่างๆ ทั้งในภาคอีสานของ
ประเทศไทยและประเทศลาว ก่อนทีสันตะสำนักจะแยกมิสซังลาวออกเป็น 2 มิสซัง
ตามเขตประเทศ วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ 1950 (พ.ศ 2493) คือ " มิสซังท่าแขก" และ
" มิสซังท่าแร่ " ในสมัยพระสังฆราชเกลาดิอุส บาเยต์

กำเนิด และ ชีวิตวัยเด็ก:
อุทัย พองพูม เกิดที่บ้านคำเกื้มหมู่บ้านคริสตชนเก่าแก่ที่ตั้งโดยคุณพ่อซาเวียร์ เกโก
เมื่อ ค.ศ 1885 (พ.ศ 2428) และเคยเป็นศูนย์กลางของการแพร่ธรรมในระยะเริ่มแรก
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมไปทางเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร เราไม่ทราบแน่ชัดว่า
อุทัย พองพูมเกิดเมื่อไหร่ เนื่องจากไม่พบไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับตัวท่าน หลักฐานเดียวที่พบ
มีเพียงเอกสารศิลสมรส ที่อ้างอิงถึงวันที่ท่านได้รับศิลล้างบาปวันพระคริสตสมภพ
25 ธันวาคม ค.ศ 1933 (พ.ศ 2476) ที่วัดนักบุญยอแซฟคำเกิ้ม ในความเป็นจริงท่าน
น่าจะเกิดมาก่อนหน้านั้น โดยเป็นบุตรของเปาโลเครือกับอันนา ผาน พองพูม
จากคำบอกเล่าของนางบัวผัน วงษ์ษา(ยานคำแสน)วัย 79 ปี น้องสาวคนเล็กของ
บุญราศีอุทัย พองพูม ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เราทราบว่าบุญราศีอุทัย พองพูม เป็นลูกคนที่ 10
ในจำนวนพี่น้อง 22 คน แต่ว่าส่วนใหญ่เสียชีวิตตั้งแต่เป็นเด็ก บิดาของท่านคือ
เปาโล เครือ พองพูม เคยเป็นเณรที่บ้านเณรบางช้าง ตำบลยี่รงค์ อำเภอบางคนที่
จังหวัดสมุทรสงคราม รุ่นใกล้กับพระสังฆราชมิแชล มงคล ประคองจิต เพราะคุ้นเคยและ
รู้จักกันเป็นอย่างดี เมื่อกลับมาบ้านได้พบรักกับ อันนา ผาน และได้แต่งงานกันและสร้าง
ครอบครัวใช้วิชาความรู้ที่เคยเรียนที่บ้านเณร ทำหน้าที่ครูสอนคำสอนที่วัดคำเกิ้มและ
ช่วยงานพระศาสนจักรเต็มกำลังความสามารถ

กระแสเรียก และ แผนการณ์ของพระเจ้า:
เนื่องจากบุตรธิดาของครูเครือ กับอันนาผาน พองพูม ส่วนใหญ่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
ดังนั้นเมื่อให้กำเนิดเด็กชาย อุทัย พองพูม เดือน ธันวาคม ค.ศ 1933 (พ.ศ 2476)
ครูเครือ พองพูมได้นำบุตรชาย ไปล้างบาปที่วัดกับคูณพ่อโนแอล เดอโน เจ้าอาวาสในขณะนั้น
และมอบให้เป็นลูก โดยคุณพ่อได้มอบให้ซิสเตอร์ เวโรนีกาจากอารามเชียงหวางประเทศลาว
เป็นคนเลี้ยง ในช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และกรณีพิพาทอินโดจีน
วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ 1940 (พ.ศ 2483 ) บรรดาธรรมฑูต ชาวฝรั่งเศสถูกขับไล่ออก
นอกประเทศ วัดวาอารามถูกปิดและเกิดการเบียดเบียนศาสนา เด็กชายอุทัย พองพูม
ซึ่งอายุได้ 7 ปีรับรู้ถึงบรรยากาศแห่งความยากลำบากเคียงข้างบิดาที่คอยให้กำลังใจและ
เสริมสร้างความเชื่อชาวคำเกิ้ม เมื่อสงครามและการเบียดเบียนศาสนาสิ้นสุดลง ค.ศ 1945
(พ.ศ 2488) เด็กชายอุทัย พองพูม มีอายุได้ 12 ปี ด้วยความเป็นคนที่ฉลาด มีความเชื่อศรัทธา
และความประพฤติเรียบร้อยเป็นแบบอย่างที่ดีจึงถูกส่งเข้าบ้านเณรเล็ก ซึ่งน้องสาว (ยาย คำแสน)
ยืนยันว่าเป็นบ้านเณรบางนกแขวก โดยเรียนที่นั่นเป็นเวลา 6 ปี จนจบชั้นมัธยม
แต่ข้อมูลช่วงนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานที่บ้านเณรบางนกเเขวก
อีกทั้งสามเณรที่เคยเรียนในช่วงเวลานั้นมีชีวิตอยู่หลายคนเช่น คุณพ่อสมบูรณ์ แสงประสิทธิ์
คุณพ่ออาทร พัฒนภิรมย์ และอาจารย์พิบูลย์ ยงค์กมล ไม่มีใครรู้จักชื่อ "อุทัย พองพูม" เลย

ชีวิตครอบครัว:
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยม อุทัย พองพูมได้กลับบ้านไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหนอยู่ช่วยงาน
ครอบครัว ดูแลน้องๆอีก 4 คน ช่วยงานพระศาสนาจักรที่วัดคำเกิ้ม อย่างแข็งขัน
ด้วยการเป็นครูคำสอน ผู้นำภาวนา ร้องเพลงในวัด อ่านบทอ่าน และสอนคำสอน
ต่อมาได้พบรักและแต่งงานกับมารีอา คำตัน ทองคำมีอายุมากกว่า 5 ปี
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ 1953 (พ.ศ 2496) โดยมีคุณพ่อ เปาโล คำจวน ศรีวรกุล
เป็นผู้ประกอบพิธี ตามเอกสารทะเบียนศิลสมรสวัดคำเกิ้ม เลขที่ 20 หลังจากนั้นภรรยา
ได้ตั้งครรภ์และให้กำเหนิดบุตรสาว แต่เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจและเศร้าสลดใจ
เมื่อภรรยาท่านเสียชีวิต ในขณะที่ให้กำเนิด และ 3 เดือนต่อมาบุตรสาวได้เสียชีวิตอีก
หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี คุณพ่อโนแอล เดอโน อดีตเจ้าอาวาสซึ่งเป็นอุปสังฆราช
ของมิสซังท่าแขกที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ 1950 (พ.ศ 2493) ได้กลับไปเยี่ยม
สัตบุรุษที่วัดคำเกิ้ม คุณพ่อกำลังมองหาบุคลากรมาช่วยงานแพร่ธรรมในพื้นที่อันกว้างใหญ่
ของมิสซังใหม่ คุณพ่อชวนครูอุทัย พองพูมไปเป็นครูสอนคำสอนที่ประเทศลาวท่านยินดี
ที่จะไปกับคุณพ่อ อีกทั้งบิดา มารดาผู้ชราก็ยินดีมอบลูกชายให้กับพระศาสนจักร

ชีวิตครูคำสอน และผู้แพร่ธรรม:
ครูอุทัย ได้เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณพ่อโนแอล ในการสอนคำสอน เยี่ยมเยียนชาวบ้าน
ให้ความช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนและเจ็บป่วยตามหมู่บ้านต่างๆ โดยเฉพาะบ้านปังกิ่ว
เมืองหนองบก แขวงคำม่วน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าโล้ ที่ได้รับแสงสว่างแห่งพระวรสาร
จากการเผยแพร่ธรรมของคุณพ่อ ซาเวียร์ เดโกเมื่อ ค.ศ 1887 (พ.ศ 2430) นับเป็นหมู่บ้าน
ที่เก่าแก่และกำลังเตรียมฉลองครบรอบ 130 ปีของการฉลองความเชื่อและการแพร่ธรรม
ค.ศ 2017 (พ.ศ 2560)
บ้านปังกิ๋วตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองท่าแขกไปทางใต้ประมาณ 45 กม.อยู่ลึกเข้าไปจาก
ถนนใหญ่ 13 กม.ยังคงปรากฎร่องรอยของการเป็นหมู่บ้านที่อยู่กลางป่าลึกตามบันทึก
ของคุณพ่อซาเวียร์ เห็นได้จาก ต้นยางขนาดใหญ่ในบริเวณสุสาน บ้านพักพระสงฆ์ซึ่ง
เคยเป็นที่พักของคุณพ่อโนแอล เดอโน และครูอุทัยพองพูมตามคำยืนยันของ
ท้าวอรหันต์ วรจักร ครูสอนคำสอนวัย 77 ปึ (ซึ่งเคยได้รับการอบรมจากครูอุทัย)
ยังคงอยู่ในสภาพดี เพียงแต่เวลานี้กลายเป็นที่พักของซิสเตอร์คณะชาลิ้น
จากหลักฐานบันทึกศีลล้างบาปของวัดนักบุญยอห์น บัปติสต์ ป่งกิ่ว แสดงให้เห็นว่า
คุณพ่อโนแอล เดอโนทำหน้าที่ดูแลวัดแห่งนี้ในช่วง ค.ศ 1949-1958 (พ.ศ 2492-2501)
มีบางช่วงที่ปรากฎลายมือชื่อของพระสังฆราชองค์อื่น (รวมถึงพระสังฆราช เกลาดิอุส บาเยต์)
ครูอุทัยได้อยู่กับคุณพ่อโนแอลในช่วง ค.ศ 1954-1958 (พ.ศ 2497-2501)
เป็นเวลา 4 ปี ตามคำบอกเล่าของน้องสาว (ยายคำแสน) ทุกปีครูอุทัยได้มีโอกาสกลับไป
เยี่ยมครอบครัว รวมถึงไปร่วมงานปลงศพอันนาผาน พองพูม มารดาในวันที่ถึงแก่กรรม
ประมาณเดือนเมษายน ค.ศ 1958 (พ.ศ 2501) คุณพ่อโนแอลได้เดินทาง
กลับประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา 1ปี การจากไปของคุณพ่อเดอโน ถือเป็นห้วงเวลาแห่ง
การทดลองของครูอุทัย ความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นและสิ้นหวังทำให้ท่านตัดสินใจเดินทาง
กลับคำเกิ้มบ้านเกิด เป็นเวลาเดียวกันกับคุณพ่อมีคาแอล เกี้ยน เสมอพิทักษ์ ได้ไปถวายมิสซา
ที่วัดคำเกิ้ม คุณพ่อมีความชื่นชอบและประทับใจครูอุทัยดังนั้น เมื่อได้รับการแต่งตั้ง
และอภิเษกเป็นพระสังฆราชปกครองมิสซังท่าแร่ วันที่ 1 กรกฏาคม ค.ศ 1959 (พ.ศ 2502)
ได้ชักชวนครู อุทัยพองพูมไปอยู่ด้วย โดยมุ่งหวังให้เป็นกำลังสำคัญในการตั้งทีมแพร่ธรรม
ตามหมู่บ้านต่างๆ..

ชีวิตแห่งการเป็นพยานและ มรณสักขี:
ครูอุทัย พองพูม อยู่กับพระสังฆราชเกี้ยน เสมอพิทักษ์ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อคุณพ่อโนแอล
กลับจากประเทศฝรั่งเศส และได้มอบพันธกิจใหม่ในการบุกเบิกเขตแพร่ธรรมแห่งใหม่
ที่สะหวันนะเขต ตามเส้นทางหมายเลข 9 ตั้งแต่เมือเซโปนจนถึงชายแดนประเทศเวียดนาม
ระยะทางประมาณ 200 กม.คุณพ่อได้ไปขอครูอุทัย จากพระสังฆราชเกี้ยน เสมอพิทักษ์
เพื่อจะได้ช่วยกันประกาศข่าวดีในเขตแพร่ธรรมใหม่นี้ เมื่อพ่อลูกเจอหน้ากันต่างร้องไห้
กอดกันกลม คุณพ่อโนแอลพูดคุยกับครูอุทัยว่า "เราต้องไม่ทิ้งกัน หากต้องตาย เราจะตายด้วยกัน
และไปสวรรค์ด้วยกัน" เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าทั้งสองจะเป็นมรณสักขีด้วยกัน
ที่สุดครูอุทัยได้ติดตามคุณพ่อโนแอลไปประเทศลาวอีกครั้งและเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณพ่อ
ในงานการแพร่ธรรมทุกที่ โดยตั้งฐานที่เมืองเซโปนซึ่งไม่มีคริสตชนแม้แต่คนเดียว
นานๆจะมีคนรู้จักมาเยี่ยม เดือน เมษายน ค.ศ 1961(พ.ศ 2504) ครูอุทัย คุณพ่อโนแอล
และเยาวชนจากบ้านป่งกิ่งคนหนึ่งได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านคริสตชนสำรองที่งสามคนนั่งรถยนต์
จากสะหวันนะเขตมุ่งหน้าไปเขตเซโปนเมื่เห็นว่าสถานที่นั้นไม่มีความปลอดภัย
จึงคิดจะกลับแต่เส้นทางถูกกองทหารลาวอิสระยึดครองแล้ว..
พวกท่านทั้งหมดได้ไปหลบในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกชาวบ้านได้แจ้งจับพวกท่าน
ทหารลาวอิสระได้พาพวกท่านทั้งหมดไปยังเขตเมืองพระลาน ขณะที่กำลังเดินทางไป
ได้ถูกกลุ่มคนถืออาวุธดักซุ่มยิงจนได้รับบาดเจ็บ..
หลังจากรักษาตัวหายดีแล้วก็ถูกพาตัวไปต่ออีกไม่มีใครทราบชะตากรรม
หรือได้ข่าวอีกเลยสันนิษฐานว่าครูอุทัย และคุณพ่อโนแอลเสียชีวิต
วันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ 1962 (พ.ศ 2505)

บทส่งท้าย:
บุญราศียอแซฟ อุทัย พองพูม ได้ดำเนินชีวิตซื่อสัตย์ต่อความเชื่อคริสตชนรับใช้พระเจ้า
อย่างกล้าหาญและสละชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูเจ้า ท่านทำให้ทุกคนตระหนักถึง
ความรักของพระเจ้า ข่าวดีแห่งสันติสุข ความยุติธรรม ความรัก ความเมตตา การให้อภัย
ท่านได้เลียนแบบพระเยซูเจ้าจนถึงที่สุดคือ ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี
ที่ทำให้พระศาสนจักรเติบโตและเกิดผล..
แม้ว่าเราจะมีข้อมูล/หลักฐานของท่านน้อยมากแต่บัดนี้เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าท่านและ
เพื่อนๆมรณสักทีอีก 16 ท่านได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสฯ
ให้เป็น "บุญราศี" อันเป็นวีรกรรมที่ควรยกย่องและเป็นความชื่นชมยินดีของพระศาสนจักร
โดยเฉพาะต่อคริสตชนวัดนักบุญยอแซฟคำเกิ้มและคริสตชน ในสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง
ที่จะเลียนแบบวีรกรรมของท่านอย่างซื่อสัตย์และกล้าหาญ อีกทั้งวอนขอพระพรจากพระเจ้า
ผ่านทางคำเสนอวิงวอนของท่าน ให้สามารถสานต่อมรดกทางความเชื่อนี้สืบไป...

จบ: บุญราศี ยอแซฟ อุทัย พองพูม
ตอบกลับโพส