“สัญชาตญาณแม่”
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 24, 2021 12:10 am
เรื่อง "สัญชาตญาณแม่" ตอนที่ (1)
โดย Paula Michaels จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2545/2002, รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
‘แซค’ ลูกชายฉันเกิดมาเป็นเด็กสมบูรณ์น่ารัก หนัก 3,200 กรัม ผมสีทองและ
ตาสีน้ำเงินเข้ม ลูกมีพัฒนาการเหมือนเด็กทั่วไปทุกอย่าง เช่น ยิ้มเมื่ออายุ 7 สัปดาห์
และพลิกตัวเมื่อ 12 สัปดาห์
ทุกครั้งที่เราพาลูกไปตรวจสุขภาพตามกำหนดและถามข้อสงสัยบางอย่าง กุมารแพทย์
จะตอบว่า “ปกติ” แถมทำเสียงขึ้นลงเหมือนทำนองเพลงจนกลายเป็นเรื่องตลกที่ฉันกับ
เดวิดสามีนำมาล้อเล่นกัน “ปกติ...ปกติ...ปกติ...” เรามักจะเดินร้องเพลงนี้ออกมาจากห้องหมอ
แต่ฉันจำได้แม่นถึงวันที่เราร้องเพลง “ปกติ” ไม่ออกอีกต่อไป ตอนบ่ายสุดสัปดาห์วันหนึ่ง
ฉันอุ้มแซคซึ่งอายุ 6 เดือนขณะนั่งคุยกับพี่เลี้ยงเด็กอยู่ในครัว แล้วจู่ ๆ แขนของแซคก็กระตุก
และตากรอกไปด้านหลังเล็กน้อย เหมือนปฏิกิริยาที่เรียกว่า “โมโร” (moro reflex) ซึ่งฉันเคย
อ่านพบในหนังสือการดูแลเด็ก แต่ผิดกันตรงที่ลูกทำท่าแบบนี้ซ้ำ 6 ครั้งแล้ว ฉันโทรฯหาหมอเด็ก
ในวันรุ่งขึ้น ฉันเล่าอาการให้หมอฟัง “ปกติ ฟังดูก็ปกตินี่” หมอตอบ ฉันอยากให้คำยืนยันนี้
เป็นจริงเช่นกัน แต่อาการของลูกยังไม่หาย แม้จะไม่กระตุกถี่ทุก 2-3 ชั่วโมง แต่ก็บ่อยพอดูทีเดียว
นอกจากนี้ แซคยังค่อนข้างจะเชื่องช้าลง ไม่พลิกตัวบ่อยอย่างเคย และไม่แสดงทีท่าว่าจะหัดนั่ง
อาการเหล่านี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย พ่อแม่ทั่วไปอาจคิดว่าเป็นเพราะเด็กเหนื่อยหรืออ้วนเกิน
กว่าจะนั่งเองได้
ผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ แต่อาการที่เล่ามาก็ยังไม่หาย ฉันเลยโทรฯหาหมออีก คราวนี้หมอค่อน
ข้างจะเคือง “หมอไม่กังวลเลยจริง ๆ” หมอบอก “ถ้าเด็กอายุ 8 เดือนแล้วยังมีอาการเหมือนเดิม
เราค่อยมาดูกันอีกที” แต่อาการของแซคยังคงถี่ขึ้นจนเช้าวันหนึ่งเมื่ออาการของแซครุนแรงกว่า
ทุกวัน ฉันรีบตะโกนเรียกเดวิดให้หยิบกล้องวิดีโอมาบันทึกภาพ ส่วนตัวฉันรีบโทรฯ หาหมอ
เราไปถึงโรงพยาบาลพร้อมกับกล้องวิดีโอ เดวิดฉายภาพให้หมอดู “อาการแบบนี้หมอคิดว่า
ไม่มีอะไรจริง ๆ” หมอพูดพลางชี้ไปที่ภาพ
ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในใจ ปกติฉันเป็นคนขี้อาย พูดจานิ่มนวลแถมยังพูดตะกุกตะกัก
แต่วินาทีนั้น ฉันกลับลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ฉันจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าหมอจะติดต่อให้ลูกฉัน
ได้พบหมอเฉพาะทางสมอง และอยากให้หมอตรวจวันนี้เลย แล้วฉันก็เริ่มร้องไห้”
ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรมาดลใจให้ทำเช่นนั้น ฉันเดาว่าคงเป็นสัญชาตญาณความเป็นแม่
อย่างที่ภาษิตโบราณกล่าวว่า “คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีเสมอ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เราก็ได้นัดพบหมอเฉพาะทางในบ่ายวันนั้น
ทันทีที่เห็นกุมารแพทย์ระบบประสาทซึ่งเป็นชายวัย 50 ปี เศษและสวมแว่นตาหนาเตอะ
ฉันรู้ทันทีว่าเราได้หมอที่ดีแล้ว “หมอจะลองตรวจดู” หมอพูดขณะจับแซคนอนลงบนเตียงตรวจ
เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันนึกย้อนกลับไปเสมอเวลาที่สงสัยว่าปาฏิหาริย์มีจริงหรือไม่
แซคแสดงอาการให้หมอเห็นต่อหน้าต่อตาบนเตียงตรวจ ฉันมองใบหน้าและดวงตา
ที่เปี่ยมเมตตาของหมอ พร้อมกับแสงแห่งความหวังอันเรืองรองในใจที่ไม่มีวันลืม
โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
โดย Paula Michaels จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2545/2002, รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
‘แซค’ ลูกชายฉันเกิดมาเป็นเด็กสมบูรณ์น่ารัก หนัก 3,200 กรัม ผมสีทองและ
ตาสีน้ำเงินเข้ม ลูกมีพัฒนาการเหมือนเด็กทั่วไปทุกอย่าง เช่น ยิ้มเมื่ออายุ 7 สัปดาห์
และพลิกตัวเมื่อ 12 สัปดาห์
ทุกครั้งที่เราพาลูกไปตรวจสุขภาพตามกำหนดและถามข้อสงสัยบางอย่าง กุมารแพทย์
จะตอบว่า “ปกติ” แถมทำเสียงขึ้นลงเหมือนทำนองเพลงจนกลายเป็นเรื่องตลกที่ฉันกับ
เดวิดสามีนำมาล้อเล่นกัน “ปกติ...ปกติ...ปกติ...” เรามักจะเดินร้องเพลงนี้ออกมาจากห้องหมอ
แต่ฉันจำได้แม่นถึงวันที่เราร้องเพลง “ปกติ” ไม่ออกอีกต่อไป ตอนบ่ายสุดสัปดาห์วันหนึ่ง
ฉันอุ้มแซคซึ่งอายุ 6 เดือนขณะนั่งคุยกับพี่เลี้ยงเด็กอยู่ในครัว แล้วจู่ ๆ แขนของแซคก็กระตุก
และตากรอกไปด้านหลังเล็กน้อย เหมือนปฏิกิริยาที่เรียกว่า “โมโร” (moro reflex) ซึ่งฉันเคย
อ่านพบในหนังสือการดูแลเด็ก แต่ผิดกันตรงที่ลูกทำท่าแบบนี้ซ้ำ 6 ครั้งแล้ว ฉันโทรฯหาหมอเด็ก
ในวันรุ่งขึ้น ฉันเล่าอาการให้หมอฟัง “ปกติ ฟังดูก็ปกตินี่” หมอตอบ ฉันอยากให้คำยืนยันนี้
เป็นจริงเช่นกัน แต่อาการของลูกยังไม่หาย แม้จะไม่กระตุกถี่ทุก 2-3 ชั่วโมง แต่ก็บ่อยพอดูทีเดียว
นอกจากนี้ แซคยังค่อนข้างจะเชื่องช้าลง ไม่พลิกตัวบ่อยอย่างเคย และไม่แสดงทีท่าว่าจะหัดนั่ง
อาการเหล่านี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย พ่อแม่ทั่วไปอาจคิดว่าเป็นเพราะเด็กเหนื่อยหรืออ้วนเกิน
กว่าจะนั่งเองได้
ผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ แต่อาการที่เล่ามาก็ยังไม่หาย ฉันเลยโทรฯหาหมออีก คราวนี้หมอค่อน
ข้างจะเคือง “หมอไม่กังวลเลยจริง ๆ” หมอบอก “ถ้าเด็กอายุ 8 เดือนแล้วยังมีอาการเหมือนเดิม
เราค่อยมาดูกันอีกที” แต่อาการของแซคยังคงถี่ขึ้นจนเช้าวันหนึ่งเมื่ออาการของแซครุนแรงกว่า
ทุกวัน ฉันรีบตะโกนเรียกเดวิดให้หยิบกล้องวิดีโอมาบันทึกภาพ ส่วนตัวฉันรีบโทรฯ หาหมอ
เราไปถึงโรงพยาบาลพร้อมกับกล้องวิดีโอ เดวิดฉายภาพให้หมอดู “อาการแบบนี้หมอคิดว่า
ไม่มีอะไรจริง ๆ” หมอพูดพลางชี้ไปที่ภาพ
ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในใจ ปกติฉันเป็นคนขี้อาย พูดจานิ่มนวลแถมยังพูดตะกุกตะกัก
แต่วินาทีนั้น ฉันกลับลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ฉันจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าหมอจะติดต่อให้ลูกฉัน
ได้พบหมอเฉพาะทางสมอง และอยากให้หมอตรวจวันนี้เลย แล้วฉันก็เริ่มร้องไห้”
ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรมาดลใจให้ทำเช่นนั้น ฉันเดาว่าคงเป็นสัญชาตญาณความเป็นแม่
อย่างที่ภาษิตโบราณกล่าวว่า “คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีเสมอ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เราก็ได้นัดพบหมอเฉพาะทางในบ่ายวันนั้น
ทันทีที่เห็นกุมารแพทย์ระบบประสาทซึ่งเป็นชายวัย 50 ปี เศษและสวมแว่นตาหนาเตอะ
ฉันรู้ทันทีว่าเราได้หมอที่ดีแล้ว “หมอจะลองตรวจดู” หมอพูดขณะจับแซคนอนลงบนเตียงตรวจ
เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันนึกย้อนกลับไปเสมอเวลาที่สงสัยว่าปาฏิหาริย์มีจริงหรือไม่
แซคแสดงอาการให้หมอเห็นต่อหน้าต่อตาบนเตียงตรวจ ฉันมองใบหน้าและดวงตา
ที่เปี่ยมเมตตาของหมอ พร้อมกับแสงแห่งความหวังอันเรืองรองในใจที่ไม่มีวันลืม
โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้