น่ารู้ทั่วไป
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 27, 2021 9:48 pm
เพราะเลิกติดเหล้า แล้วหันมาติดกาแฟ คนยุโรปจึงได้เจริญและพัฒนา
.
คุณรู้หรือไม่ว่า เครื่องดื่มคาเฟอีน
ขวัญใจคนสมัยนี้ทั้งหลายเช่น “ชา” หรือ “กาแฟ” นั้นนอกจากจะอร่อยแล้ว
เครื่องดื่มนี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยนำพามนุษยชาติเข้าสู่ความก้าวหน้าทางปัญญา
หรือ “ฉลาด” ขึ้นอีกด้วย
.
เท้าความก่อนว่า ก่อนที่ชาหรือกาแฟจะได้รับความนิยมในยุโรป เนื่องจากน้ำเปล่า
ในยุคนั้นสกปรกเกินกว่าที่จะดื่มได้ เครื่องดื่มประจำที่ชาวยุโรปนิยมดื่มในชีวิตประจำวัน
เช้าเย็นนั้นไม่ใช่อะไรแต่คือ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ทั้งหลายนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นเบียร์
หรือไวน์ หรือเหล้าอื่นๆ จึงทำให้มียุคหนึ่งที่คนยุโรปมีสถานะเมาหัวราน้ำอยู่แทบจะตลอดเวลา
.
แต่หลังจากที่มีการนำเข้ากาแฟจากตุรกีเข้าสู่ยุโรป โดยเข้ามาในอิตาลีก่อนเป็นที่แรก
ในปีค.ศ.1570 เครื่องดื่มคาเฟอีนชนิดนี้ก็เข้ามาแทนที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
และได้รับความนิยมอย่างสูงจนมีร้านกาแฟผุดขึ้นมามากมายเป็นดอกเห็ดในอิตาลีและ
ลามไปถึงที่อื่นๆ เช่น ยุโรปในที่สุด ร้านกาแฟบางร้านในยุคสมัยนั้นยังคงเปิดให้บริการ
ยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นร้านกาแฟที่เปิดทำการยาวนานที่สุดในโลก
เช่นร้าน Caffè Florian ในประเทศอิตาลี และร้าน Café Procope ในฝรั่งเศส
.
พอมนุษยชนเลิกเมาเหล้า แล้วหันมาเสพคาเฟอีนในร้านกาแฟแทน สิ่งมหัศจรรย์จึงถือกำเนิดขึ้น...
.
“ร้านกาแฟ” หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญแห่งยุคเรืองปัญญา (the Age of the Enlightenment)
.
“ยุคเรืองปัญญา” (Age of the Enlightenment) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ยุคแห่งเหตุผล”
(Age of Reason) เป็นยุคหนึ่งของยุโรปที่มีการใช้สติปัญญาและเหตุผลในการมองโลก
ในมุมที่แตกต่างออกไปมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมุมศาสนา ศิลปะ การเมืองการปกครอง
ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ สามารถเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคสำคัญที่พลิกโฉมโลกทั้งใบ
.
ซึ่งการที่จะบอกว่าเครื่องดื่มกาแฟหรือ “ร้านกาแฟ” เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน
ยุคนี้ก็ไม่ผิดนัก
.
หลังจากที่ชาวยุโรปสร่างเมา เลิกดื่มแอลกอฮอล์ และหันมาดื่มกาแฟ ในที่สุดคนยุโรป
ก็มีสติมากพอที่จะใช้ความคิดและแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่มีประโยชน์ ร้านกาแฟจึงเป็น
สถานที่ที่เป็นบ่อเกิดบทสนทนาและไอเดียสำคัญๆ มากมายในยุคแห่งการใช้เหตุผลนี้
.
แต่ไม่ใช่ทุกที่ ที่ชอบให้ประชาชนได้ถกเถียงพูดคุย
.
ในบางที่ ร้านกาแฟถูกมองว่าเป็นสถานที่ “สุ่มเสี่ยง” ที่อาจก่อให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อ
เคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาจเป็นภัยต่อเบื้องบนได้ จึงมีหลายที่ที่แบนไม่ให้มีการดื่มกาแฟ
เช่นในยุคสุลต่านมูราดที่สี่ (Murad IV) แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ผู้ที่นอกจากจะแบนกาแฟแล้ว
เขายังหวั่นกลัวการก่อกบฏจนถึงขั้นปลอมตัวใส่เสื้อผ้าธรรมดาลงเดินในท้องถนนเพื่อดักจับ
คนที่ไปร้านกาแฟแล้วนำไปประหารเลยทีเดียว
.
เมื่อกาแฟได้เข้ามาสู่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) แห่งเมืองออกซฟอร์ด
ประเทศอังกฤษ เครื่องดื่มนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเช่นกัน และถึงแม้ว่าทางมหาลัย
จะพยายามแบนไม่ให้มีการดื่มกาแฟ แต่ในปี 1655 กลุ่มนักเรียนที่นิยมชมชอบในกาแฟและ
มีหัวคิดก้าวหน้าได้โน้มน้าวให้อาเธอร์ ทิลยาร์ด (Arthur Tillyard) เภสัชกรคนหนึ่งเปิด
ร้านกาแฟที่ชื่อว่า “Tillyard’ s Coffee House” ซึ่งภายหลังถูกเรียกกันว่าเป็น “Oxford Coffee Club”
.
ซึ่งร้านกาแฟดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ที่นักศึกษาและบุคคลทั่วไปมานัดพบปะพูดคุยแลกเปลี่
ยนความคิดเห็นกันเป็นประจำ ไม่ว่าจะเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองข่าวต่างๆ หรือมีแม้แต่การถก
ความรู้ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือการเมือง เป็นสถานที่ที่มีความรู้
มากมายให้เก็บเกี่ยว และนักคิดหัวใสมากมายก็มาขัดเกลาปัญญากันที่นี่
.
ขาประจำบางคนของร้านกาแฟแห่งนี้ก็เป็นคนที่คุ้นหูคุ้นตาเรากันมาบ้าง เช่น โรเบิร์ต บอยล์
(Robert Boyle) นักวิทย์ผู้ให้กำเนิด “กฎของบอยล์” (Boyle’ s law) เอ็ดมันด์ แฮลลีย์
(Edmund Halley) นักดาราศาสตร์ผู้เป็นเจ้าของชื่อ “ดาวหางแฮลลีย์” (Halley’ s comet)
หรือไอแซค นิวตัน (Isaac Newton) ผู้ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วงผู้โด่งดังนั่นเอง
.
โดยร้านกาแฟแห่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถาบันความรู้อีกที่หนึ่งเลยก็ว่าได้ และร้านกาแฟนี้
ยังได้ชื่อเล่นว่าเป็น “มหาลัยหนึ่งเพนนี” (Penny University) จากผู้คนในสมัยนั้น นั่นเป็น
เพราะว่าเพียงแค่คุณจ่ายค่าเข้าร้านในราคาเพียงแค่หนึ่งเพนนี ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมา
จากไหน ชนชั้นอะไร จะรวยหรือจนก็ไม่มีความหมายที่นี่ คุณสามารถที่จะนั่งลงที่โต๊ะและ
แลกเปลี่ยนและถกความรู้กับใครก็ได้
.
จึงทำให้ร้านกาแฟนี้มีบรรยากาศการพูดคุยถกเถียงจ้อกแจ้กจอแจ และมีความรู้และ
ประสบการณ์จากผู้คนต่างชนชั้นและพื้นเพปลิวว่อนไปมาอยู่มากมาย ร้านกาแฟ
ดังกล่าวกลายเป็นต้นแบบโมเดลให้ร้านกาแฟอื่นๆ ทำให้ร้านกาแฟในสมัยนั้น
กลายเป็นสถานที่สำหรับเก็บเกี่ยวและขัดเกลาความรู้ที่สำคัญอีกที่หนึ่งไปโดยปริยาย
.
ด้วยการที่มีผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาจิบกาแฟกลิ่นหอม พร้อมกับพูดคุยแลก
เปลี่ยนกันระหว่างนักคิดที่กระหายความรู้ ร้านกาแฟ หรือ Coffee House จึงเป็น
สถานที่ที่เอื้อให้ความคิดและไอเดียต่างๆ จากหลายที่มาผสมผสานรวมกันเป็น
ไอเดียใหม่ ไอเดียที่อาจไม่เกิดขึ้นถ้านั่งคิดอยู่ที่บ้านคนเดียว
.
ร้านกาแฟจึงไม่ใช่แค่ที่ไว้สั่งเครื่องดื่มเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดไอเดียสำคัญ
ที่จุดประกายความคิดเปลี่ยนโลกมากมายทั้งในแง่วิทยาศาสตร์หรือการเมือง
.
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมบางครั้งพอเอางานไปทำที่ร้านกาแฟแล้วคิดงานออกได้ดีกว่าเดิม
หรือใครๆ ก็ชอบทำงานที่ร้านกาแฟ
.
ปัจจุบันความนิยมในกาแฟและร้านกาแฟก็ยังไม่เสื่อมคลาย มีแต่จะนิยมมากขึ้นทั่วโลก
แม้ว่าร้านกาแฟจะไม่ใช่สถานที่เอาไว้ถกเถียงความรู้เหมือนในอดีตแล้ว แต่ว่าทุกครั้งที่
คุณยกกาแฟขึ้นดื่ม คุณก็รู้แล้วว่านอกจากรสชาติที่หอมอร่อย เครื่องดื่มรสเข้มในมือยัง
เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้โลกของเราพัฒนามาเป็นอย่างในทุกวันนี้อีกด้วย
#รากเหง้าเล่าอนาคต
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 9022389690
.
คุณรู้หรือไม่ว่า เครื่องดื่มคาเฟอีน
ขวัญใจคนสมัยนี้ทั้งหลายเช่น “ชา” หรือ “กาแฟ” นั้นนอกจากจะอร่อยแล้ว
เครื่องดื่มนี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยนำพามนุษยชาติเข้าสู่ความก้าวหน้าทางปัญญา
หรือ “ฉลาด” ขึ้นอีกด้วย
.
เท้าความก่อนว่า ก่อนที่ชาหรือกาแฟจะได้รับความนิยมในยุโรป เนื่องจากน้ำเปล่า
ในยุคนั้นสกปรกเกินกว่าที่จะดื่มได้ เครื่องดื่มประจำที่ชาวยุโรปนิยมดื่มในชีวิตประจำวัน
เช้าเย็นนั้นไม่ใช่อะไรแต่คือ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ทั้งหลายนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นเบียร์
หรือไวน์ หรือเหล้าอื่นๆ จึงทำให้มียุคหนึ่งที่คนยุโรปมีสถานะเมาหัวราน้ำอยู่แทบจะตลอดเวลา
.
แต่หลังจากที่มีการนำเข้ากาแฟจากตุรกีเข้าสู่ยุโรป โดยเข้ามาในอิตาลีก่อนเป็นที่แรก
ในปีค.ศ.1570 เครื่องดื่มคาเฟอีนชนิดนี้ก็เข้ามาแทนที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
และได้รับความนิยมอย่างสูงจนมีร้านกาแฟผุดขึ้นมามากมายเป็นดอกเห็ดในอิตาลีและ
ลามไปถึงที่อื่นๆ เช่น ยุโรปในที่สุด ร้านกาแฟบางร้านในยุคสมัยนั้นยังคงเปิดให้บริการ
ยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นร้านกาแฟที่เปิดทำการยาวนานที่สุดในโลก
เช่นร้าน Caffè Florian ในประเทศอิตาลี และร้าน Café Procope ในฝรั่งเศส
.
พอมนุษยชนเลิกเมาเหล้า แล้วหันมาเสพคาเฟอีนในร้านกาแฟแทน สิ่งมหัศจรรย์จึงถือกำเนิดขึ้น...
.
“ร้านกาแฟ” หนึ่งในฟันเฟืองสำคัญแห่งยุคเรืองปัญญา (the Age of the Enlightenment)
.
“ยุคเรืองปัญญา” (Age of the Enlightenment) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ยุคแห่งเหตุผล”
(Age of Reason) เป็นยุคหนึ่งของยุโรปที่มีการใช้สติปัญญาและเหตุผลในการมองโลก
ในมุมที่แตกต่างออกไปมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมุมศาสนา ศิลปะ การเมืองการปกครอง
ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ สามารถเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคสำคัญที่พลิกโฉมโลกทั้งใบ
.
ซึ่งการที่จะบอกว่าเครื่องดื่มกาแฟหรือ “ร้านกาแฟ” เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน
ยุคนี้ก็ไม่ผิดนัก
.
หลังจากที่ชาวยุโรปสร่างเมา เลิกดื่มแอลกอฮอล์ และหันมาดื่มกาแฟ ในที่สุดคนยุโรป
ก็มีสติมากพอที่จะใช้ความคิดและแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่มีประโยชน์ ร้านกาแฟจึงเป็น
สถานที่ที่เป็นบ่อเกิดบทสนทนาและไอเดียสำคัญๆ มากมายในยุคแห่งการใช้เหตุผลนี้
.
แต่ไม่ใช่ทุกที่ ที่ชอบให้ประชาชนได้ถกเถียงพูดคุย
.
ในบางที่ ร้านกาแฟถูกมองว่าเป็นสถานที่ “สุ่มเสี่ยง” ที่อาจก่อให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อ
เคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาจเป็นภัยต่อเบื้องบนได้ จึงมีหลายที่ที่แบนไม่ให้มีการดื่มกาแฟ
เช่นในยุคสุลต่านมูราดที่สี่ (Murad IV) แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ผู้ที่นอกจากจะแบนกาแฟแล้ว
เขายังหวั่นกลัวการก่อกบฏจนถึงขั้นปลอมตัวใส่เสื้อผ้าธรรมดาลงเดินในท้องถนนเพื่อดักจับ
คนที่ไปร้านกาแฟแล้วนำไปประหารเลยทีเดียว
.
เมื่อกาแฟได้เข้ามาสู่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) แห่งเมืองออกซฟอร์ด
ประเทศอังกฤษ เครื่องดื่มนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเช่นกัน และถึงแม้ว่าทางมหาลัย
จะพยายามแบนไม่ให้มีการดื่มกาแฟ แต่ในปี 1655 กลุ่มนักเรียนที่นิยมชมชอบในกาแฟและ
มีหัวคิดก้าวหน้าได้โน้มน้าวให้อาเธอร์ ทิลยาร์ด (Arthur Tillyard) เภสัชกรคนหนึ่งเปิด
ร้านกาแฟที่ชื่อว่า “Tillyard’ s Coffee House” ซึ่งภายหลังถูกเรียกกันว่าเป็น “Oxford Coffee Club”
.
ซึ่งร้านกาแฟดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ที่นักศึกษาและบุคคลทั่วไปมานัดพบปะพูดคุยแลกเปลี่
ยนความคิดเห็นกันเป็นประจำ ไม่ว่าจะเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองข่าวต่างๆ หรือมีแม้แต่การถก
ความรู้ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือการเมือง เป็นสถานที่ที่มีความรู้
มากมายให้เก็บเกี่ยว และนักคิดหัวใสมากมายก็มาขัดเกลาปัญญากันที่นี่
.
ขาประจำบางคนของร้านกาแฟแห่งนี้ก็เป็นคนที่คุ้นหูคุ้นตาเรากันมาบ้าง เช่น โรเบิร์ต บอยล์
(Robert Boyle) นักวิทย์ผู้ให้กำเนิด “กฎของบอยล์” (Boyle’ s law) เอ็ดมันด์ แฮลลีย์
(Edmund Halley) นักดาราศาสตร์ผู้เป็นเจ้าของชื่อ “ดาวหางแฮลลีย์” (Halley’ s comet)
หรือไอแซค นิวตัน (Isaac Newton) ผู้ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วงผู้โด่งดังนั่นเอง
.
โดยร้านกาแฟแห่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถาบันความรู้อีกที่หนึ่งเลยก็ว่าได้ และร้านกาแฟนี้
ยังได้ชื่อเล่นว่าเป็น “มหาลัยหนึ่งเพนนี” (Penny University) จากผู้คนในสมัยนั้น นั่นเป็น
เพราะว่าเพียงแค่คุณจ่ายค่าเข้าร้านในราคาเพียงแค่หนึ่งเพนนี ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมา
จากไหน ชนชั้นอะไร จะรวยหรือจนก็ไม่มีความหมายที่นี่ คุณสามารถที่จะนั่งลงที่โต๊ะและ
แลกเปลี่ยนและถกความรู้กับใครก็ได้
.
จึงทำให้ร้านกาแฟนี้มีบรรยากาศการพูดคุยถกเถียงจ้อกแจ้กจอแจ และมีความรู้และ
ประสบการณ์จากผู้คนต่างชนชั้นและพื้นเพปลิวว่อนไปมาอยู่มากมาย ร้านกาแฟ
ดังกล่าวกลายเป็นต้นแบบโมเดลให้ร้านกาแฟอื่นๆ ทำให้ร้านกาแฟในสมัยนั้น
กลายเป็นสถานที่สำหรับเก็บเกี่ยวและขัดเกลาความรู้ที่สำคัญอีกที่หนึ่งไปโดยปริยาย
.
ด้วยการที่มีผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาจิบกาแฟกลิ่นหอม พร้อมกับพูดคุยแลก
เปลี่ยนกันระหว่างนักคิดที่กระหายความรู้ ร้านกาแฟ หรือ Coffee House จึงเป็น
สถานที่ที่เอื้อให้ความคิดและไอเดียต่างๆ จากหลายที่มาผสมผสานรวมกันเป็น
ไอเดียใหม่ ไอเดียที่อาจไม่เกิดขึ้นถ้านั่งคิดอยู่ที่บ้านคนเดียว
.
ร้านกาแฟจึงไม่ใช่แค่ที่ไว้สั่งเครื่องดื่มเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดไอเดียสำคัญ
ที่จุดประกายความคิดเปลี่ยนโลกมากมายทั้งในแง่วิทยาศาสตร์หรือการเมือง
.
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมบางครั้งพอเอางานไปทำที่ร้านกาแฟแล้วคิดงานออกได้ดีกว่าเดิม
หรือใครๆ ก็ชอบทำงานที่ร้านกาแฟ
.
ปัจจุบันความนิยมในกาแฟและร้านกาแฟก็ยังไม่เสื่อมคลาย มีแต่จะนิยมมากขึ้นทั่วโลก
แม้ว่าร้านกาแฟจะไม่ใช่สถานที่เอาไว้ถกเถียงความรู้เหมือนในอดีตแล้ว แต่ว่าทุกครั้งที่
คุณยกกาแฟขึ้นดื่ม คุณก็รู้แล้วว่านอกจากรสชาติที่หอมอร่อย เครื่องดื่มรสเข้มในมือยัง
เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้โลกของเราพัฒนามาเป็นอย่างในทุกวันนี้อีกด้วย
#รากเหง้าเล่าอนาคต
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 9022389690