ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2556,
โดย เมโลดี วอร์นิก รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
………เคราะห์ดีของเจ้าหมาน้อย
ตอนที่พายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ถล่มปี 2555 โรงรถและชั้นใต้ดินที่บ้านของคริสทีน
ในกรุงนิวยอร์กถูกน้ำท่วม : รถยนต์สองคัน, เอกสารที่เก็บมาหลายปี
และภาพถ่ายเสียหายไปกับน้ำ แต่คริสทีนยังรู้สึกโชคดีที่สามีของเธอ
ลูก 5 คน (วัย 2-12 ปี) และบัสเตอร์ สุนัขหลังอานปลอดภัยดี
หกเดือนก่อนหน้านั้น คริสทีนพาบัสเตอร์ซึ่งตอนนั้นผอมโซอายุแค่ 6 เดือน
กลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน หลังเธอพบมันถูกผูกทิ้งไว้กับเสาโทรศัพท์
แต่เพียงหนึ่งเดือนต่อมา ตอนที่ช่างมาทำงานซ่อมแซมบ้าน บัสเตอร์ก็
กระโดดวิ่งออกนอกประตูบ้านไป “ฉันเศร้ามาก” คริสทีนเล่า แม้จะค้นหา
ในแถบนั้นหลายต่อหลายครั้งก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ
หลายสัปดาห์ต่อมา คริสทีนได้รับข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งให้เธอเข้าไปดู
หน้าเฟซบุ๊ค ซึ่งมีรายชื่อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าในวันรุ่งขึ้นที่ศูนย์พักพิงสัตว์
ของกรุงนิวยอร์ก เป็นไปตามคาด เมื่อคริสทีนเข้าไปที่เว็บไซต์แห่งนั้น
ก็เห็นภาพของบัสเตอร์ ซึ่งมีกำหนดจะถูกฉีดยาให้เสียชีวิตในอีก 8 ชั่วโมง
ข้างหน้าตอน 6.00 น. ขณะนั้นเป็นเวลาปิดทำการของศูนย์พักพิงนั้น
และจะเปิดอีกครั้งในเวลา 8.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
“ฉันมาคิดว่าทำยังไงถึงจะเอาบัสเตอร์ออกมาได้ก่อนที่มันจะถูกฆ่า” คริสทีนเล่า
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอขับรถไปที่ศูนย์พักพิงพร้อมกับลูก ๆ ทั้ง 5 คน เมื่อไปถึงก็ถาม
เจ้าหน้าที่หญิงที่โต๊ะด้านหน้าว่าบัสเตอร์ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตอบว่ายังอยู่
“ฉันรู้สึกโล่งอกเหมือนหินก้อนใหญ่ถูกยกออกจากบ่า” คริสทีนเล่าต่อ
เพื่อพิสูจน์ว่าเธอเป็นเจ้าของบัสเตอร์ตัวจริง คริสทีนบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า
“พาฉันไปดูมันสิ แล้วคุณจะเห็นเองว่ามันเป็นสุนัขของฉัน”
เมื่อบัสเตอร์เห็นเจ้าของซึ่งพลัดพรากกันไปนาน มันทำท่าดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
ทั้งเห่าและกระโดดเข้ามาเลียหน้าของเธอเป็นการใหญ่ คริสทีนเองก็ปล่อยโฮ
อย่างกลั้นไม่อยู่ เจ้าหน้าที่ศูนย์ไม่ต้องการข้อยืนยันมากไปกว่านั้นอีกแล้ว
และบัสเตอร์ก็ได้กลับบ้าน
*****************************
ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้
……ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ตอนที่ (2)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2556,
โดย เมโลดี วอร์นิก รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
…ขโมยกันต่อหน้าต่อตา
หลังกลับจากพักผ่อนหนึ่งสัปดาห์ที่บ้านพักในรัฐแคโรไลน่า เดวิดวัย 56 ปี
นำเครื่องบินขนาด 4 ที่นั่ง (เซสน่า 182) บินวนเหนือไร่ขนาด 100 ไร่เตรียม
ลงจอดโดยมีภรรยานั่งโดยสารมาด้วย
ขณะที่บินอยู่เหนือตัวบ้าน ภรรยามองออกไปนอกหน้าต่าง
“ที่รัก มีรถบรรทุกจอดอยู่ตรงทางเข้าบ้านเราแน่ะ” เธอพูดใส่หูฟัง แล้วทั้งคู่ก็
เห็นชายแปลกหน้าเดินขึ้นไปที่ประตูบ้านของตน
เดวิดบินวนอีกรอบ ตอนนี้ชายคนนั้นเดินไปรอบ ๆ บ้านและมองเข้าไปทางหน้าต่าง
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นเครื่องบินที่บินอยู่สูงขึ้นไปไม่มากนัก เขารีบกลับไป
ที่ถนนและพ่วงรถเทรลเล่อร์ราคา 1,200 เหรียญของเดวิดเข้ากับรถบรรทุกสีเงินและ
ขับออกไปทันที “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า เขากล้าเอารถไปต่อหน้าต่อตาเรา” เดวิดร้องขึ้น
เดวิดขับเครื่องบินตามหัวขโมยไปโดยมุ่งมั่นว่าต้องจับโจรให้ได้ รถบรรทุกสีเงินขับ
เข้าเมืองเล็ก ๆ แล้วมุ่งหน้าต่อไป ขณะที่เดวิดนำเครื่องลงจอดที่สนามบินของเมือง
เขารีบกระโดดออกจากเครื่องบินและโทรศัพท์แจ้งเหตุร้าย
หลังเล่าเหตุการณ์โดยละเอียด ตำรวจท้องที่ก็ตามจับกุมผู้ต้องสงสัยรวมทั้งรถเทรลเล่อร์
ของกลางได้ภายในครึ่งชั่วโมง
เดวิดแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากกลางอากาศ
“ความเป็นไปได้ที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นมีน้อยมาก” เขาเล่า
“ตำรวจถึงขนาดอยากให้ผมเลือกซื้อล็อตเตอรรี่ให้เขาสักใบด้วยซ้ำ”
……เพชรในดิน
เดือนตุลาคมปี 2554 ขณะทำสวนที่บ้านในชนบท ประเทศสวีเดน ลีนากำลังจะโยน
หัวแครอทแคระทิ้งเข้ากองขยะ แต่มีบางอย่างทำให้เธอต้องเขม้นมองใกล้ ๆ
แล้วเธอก็สังเกตเห็นวัตถุแวววาวชิ้นหนึ่ง ใช่จริง ๆ ด้วย บริเวณใต้ใบแครอทหัวเล็ก ๆ
นั้น มีแหวนแต่งงานของเธอที่หายไปนานแสนนานแล้ว
ลีน่ากรีดร้องเสียงดังจนลูกสาวของเธอวิ่งลงมาจากบ้าน “ลูกคิดว่าฉันได้รับบาดเจ็บ”
ลีน่าเล่า
เมื่อ 16 ปีก่อน ลีน่าถอดแหวนแต่งงานตัวเรือนทองคำขาวฝังเพชรออก ตอนที่จะนวด
แป้งทำขนม พอกลับไปจะสวมแหวนคืน ก็พบว่ามันหายไปแล้ว เธอสงสัยว่าต้องเป็น
ลูกสาวคนใดคนหนึ่งในสามคนซึ่งตอนนั้นอายุ 10 ขวบ 8 ขวบและ 6 ขวบหยิบไป
แต่ลูก ๆ ปฏิเสธกันทั้งสามคน ลีน่าและสามีช่วยกันค้นหาทุกซอกทุกมุมในห้องครัว
แต่ก็ไม่พบ 11 ปีต่อมาตอนที่ปรับปรุงห้องครัว ลีน่าหวังว่าจะเจอแหวนวงนี้ซึ่งเธอ
สั่งทำขึ้นสำหรับพิธีแต่งงานในปี 2527 โดยเฉพาะ แต่ก็ไม่พบ
“ฉันเลิกหวังไปแล้วว่าจะหาแหวนเจอ” เธอเล่า ลีน่าไม่ได้หาแหวนวงใหม่มาทดแทน
ลีน่ากับสามีมานั่งคิดทบทวนและสรุปว่า ตอนนั้นแหวนคงถูกกวาดทิ้งไปพร้อมเศษขยะ
ในห้องครัวและถูกนำไปทิ้งที่สวนเป็นปุ๋ยหมัก แล้วแหวนก็อยู่ตรงนั้นเรื่อยมาจนกระทั่ง
ใบแครอทโผล่ขึ้นจากดินทะลุวงแหวนขึ้นมา สำหรับลีน่าแล้ว
ผักแปลงนี้เป็นสวนผักที่งามอุดมสมบูรณ์ที่สุด
***************************
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2556,
โดย เมโลดี วอร์นิก รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
…ขโมยกันต่อหน้าต่อตา
หลังกลับจากพักผ่อนหนึ่งสัปดาห์ที่บ้านพักในรัฐแคโรไลน่า เดวิดวัย 56 ปี
นำเครื่องบินขนาด 4 ที่นั่ง (เซสน่า 182) บินวนเหนือไร่ขนาด 100 ไร่เตรียม
ลงจอดโดยมีภรรยานั่งโดยสารมาด้วย
ขณะที่บินอยู่เหนือตัวบ้าน ภรรยามองออกไปนอกหน้าต่าง
“ที่รัก มีรถบรรทุกจอดอยู่ตรงทางเข้าบ้านเราแน่ะ” เธอพูดใส่หูฟัง แล้วทั้งคู่ก็
เห็นชายแปลกหน้าเดินขึ้นไปที่ประตูบ้านของตน
เดวิดบินวนอีกรอบ ตอนนี้ชายคนนั้นเดินไปรอบ ๆ บ้านและมองเข้าไปทางหน้าต่าง
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นเครื่องบินที่บินอยู่สูงขึ้นไปไม่มากนัก เขารีบกลับไป
ที่ถนนและพ่วงรถเทรลเล่อร์ราคา 1,200 เหรียญของเดวิดเข้ากับรถบรรทุกสีเงินและ
ขับออกไปทันที “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า เขากล้าเอารถไปต่อหน้าต่อตาเรา” เดวิดร้องขึ้น
เดวิดขับเครื่องบินตามหัวขโมยไปโดยมุ่งมั่นว่าต้องจับโจรให้ได้ รถบรรทุกสีเงินขับ
เข้าเมืองเล็ก ๆ แล้วมุ่งหน้าต่อไป ขณะที่เดวิดนำเครื่องลงจอดที่สนามบินของเมือง
เขารีบกระโดดออกจากเครื่องบินและโทรศัพท์แจ้งเหตุร้าย
หลังเล่าเหตุการณ์โดยละเอียด ตำรวจท้องที่ก็ตามจับกุมผู้ต้องสงสัยรวมทั้งรถเทรลเล่อร์
ของกลางได้ภายในครึ่งชั่วโมง
เดวิดแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากกลางอากาศ
“ความเป็นไปได้ที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นมีน้อยมาก” เขาเล่า
“ตำรวจถึงขนาดอยากให้ผมเลือกซื้อล็อตเตอรรี่ให้เขาสักใบด้วยซ้ำ”
……เพชรในดิน
เดือนตุลาคมปี 2554 ขณะทำสวนที่บ้านในชนบท ประเทศสวีเดน ลีนากำลังจะโยน
หัวแครอทแคระทิ้งเข้ากองขยะ แต่มีบางอย่างทำให้เธอต้องเขม้นมองใกล้ ๆ
แล้วเธอก็สังเกตเห็นวัตถุแวววาวชิ้นหนึ่ง ใช่จริง ๆ ด้วย บริเวณใต้ใบแครอทหัวเล็ก ๆ
นั้น มีแหวนแต่งงานของเธอที่หายไปนานแสนนานแล้ว
ลีน่ากรีดร้องเสียงดังจนลูกสาวของเธอวิ่งลงมาจากบ้าน “ลูกคิดว่าฉันได้รับบาดเจ็บ”
ลีน่าเล่า
เมื่อ 16 ปีก่อน ลีน่าถอดแหวนแต่งงานตัวเรือนทองคำขาวฝังเพชรออก ตอนที่จะนวด
แป้งทำขนม พอกลับไปจะสวมแหวนคืน ก็พบว่ามันหายไปแล้ว เธอสงสัยว่าต้องเป็น
ลูกสาวคนใดคนหนึ่งในสามคนซึ่งตอนนั้นอายุ 10 ขวบ 8 ขวบและ 6 ขวบหยิบไป
แต่ลูก ๆ ปฏิเสธกันทั้งสามคน ลีน่าและสามีช่วยกันค้นหาทุกซอกทุกมุมในห้องครัว
แต่ก็ไม่พบ 11 ปีต่อมาตอนที่ปรับปรุงห้องครัว ลีน่าหวังว่าจะเจอแหวนวงนี้ซึ่งเธอ
สั่งทำขึ้นสำหรับพิธีแต่งงานในปี 2527 โดยเฉพาะ แต่ก็ไม่พบ
“ฉันเลิกหวังไปแล้วว่าจะหาแหวนเจอ” เธอเล่า ลีน่าไม่ได้หาแหวนวงใหม่มาทดแทน
ลีน่ากับสามีมานั่งคิดทบทวนและสรุปว่า ตอนนั้นแหวนคงถูกกวาดทิ้งไปพร้อมเศษขยะ
ในห้องครัวและถูกนำไปทิ้งที่สวนเป็นปุ๋ยหมัก แล้วแหวนก็อยู่ตรงนั้นเรื่อยมาจนกระทั่ง
ใบแครอทโผล่ขึ้นจากดินทะลุวงแหวนขึ้นมา สำหรับลีน่าแล้ว
ผักแปลงนี้เป็นสวนผักที่งามอุดมสมบูรณ์ที่สุด
***************************
" 9 สิ่งในชีวิต ที่เราไม่ควรลืม "
1. อย่าลืมทำตามความสุขของตัวเองแม้ใครจะมองว่าไร้สาระก็ตาม
2. อย่าลืมชัดเจนกับความรู้สึก แม้มันจะทำให้เราเจ็บแต่อย่างน้อยก็
จะไม่เสียความรู้สึก เพราะความไม่ชัดเจนของตัวเอง
3. ใครจะมองเราอย่างไรก็ช่าง ถ้าเขาไม่มาเป็นเรา เขาไม่มีวันเข้าใจหรอก
4. อย่าลืมคนแรกที่รักเรา กลายเป็นคนสุดท้ายที่เราคิดถึง
5.ทสุดท้ายแล้วความสุขของชีวิตไม่ใช่มีเท่าไหร่แต่ได้ให้อะไรไว้บนโลกใบนี้
6. ขอบคุณความผิดหวัง ถ้าไม่เจอความผิดหวัง ไม่รู้ชีวิตจะมาถึงวันนี้หรือเปล่า
7. อย่าลืมว่า คนที่เก่งที่สุดไม่ใช่คนที่เก่งตลอดเวลา แต่คือคนที่รู้เวลา
ว่าตอนไหนควรโง่ ตอนไหนควรฉลาด
8. ยิ่งคาดหวังยิ่งทุกข์ มองว่าทำดีที่สุดแล้วผลจะเป็นอย่างไรก็ช่างเราเต็มที่กับมันก็พอแล้ว
9. อยากรู้อดีตให้มองปัจจุบัน อยากรู้อนาคตให้มองปัจจุบันอเพราะปัจจุบันกำหนดทุกสิ่ง
“ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ทำทุกวันให้ดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
โฟกัสว่าเราได้ทำเต็มที่ มันก็ดีที่สุดแล้ว “
1. อย่าลืมทำตามความสุขของตัวเองแม้ใครจะมองว่าไร้สาระก็ตาม
2. อย่าลืมชัดเจนกับความรู้สึก แม้มันจะทำให้เราเจ็บแต่อย่างน้อยก็
จะไม่เสียความรู้สึก เพราะความไม่ชัดเจนของตัวเอง
3. ใครจะมองเราอย่างไรก็ช่าง ถ้าเขาไม่มาเป็นเรา เขาไม่มีวันเข้าใจหรอก
4. อย่าลืมคนแรกที่รักเรา กลายเป็นคนสุดท้ายที่เราคิดถึง
5.ทสุดท้ายแล้วความสุขของชีวิตไม่ใช่มีเท่าไหร่แต่ได้ให้อะไรไว้บนโลกใบนี้
6. ขอบคุณความผิดหวัง ถ้าไม่เจอความผิดหวัง ไม่รู้ชีวิตจะมาถึงวันนี้หรือเปล่า
7. อย่าลืมว่า คนที่เก่งที่สุดไม่ใช่คนที่เก่งตลอดเวลา แต่คือคนที่รู้เวลา
ว่าตอนไหนควรโง่ ตอนไหนควรฉลาด
8. ยิ่งคาดหวังยิ่งทุกข์ มองว่าทำดีที่สุดแล้วผลจะเป็นอย่างไรก็ช่างเราเต็มที่กับมันก็พอแล้ว
9. อยากรู้อดีตให้มองปัจจุบัน อยากรู้อนาคตให้มองปัจจุบันอเพราะปัจจุบันกำหนดทุกสิ่ง
“ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ทำทุกวันให้ดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
โฟกัสว่าเราได้ทำเต็มที่ มันก็ดีที่สุดแล้ว “
เราเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่เชื่อฟังพ่อแม่ และเป็นรุ่นแรกที่รับฟังลูกหลาน
พวกเราคือคนรุ่น Limited Edition
⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘
หลานถามปู่ว่า ในสมัยปู่นั้น คนใช้ชีวิตกันอย่างไรโดยที่
ไม่มีเทคโนโลยี
ไม่มีเครื่องบินพาณิชย์
ไม่มีอินเตอร์เน็ต
ไม่มีคอมพิวเตอร์
ไม่มีโรงหนัง
ไม่มีโทรทัศน์
ไม่มีเครื่องปรับอากาศ
ไม่มีรถหรู
ไม่มีโทรศัพท์มือถือ
คุณปู่ตอบหลานว่า “เราไม่ใช้ชีวิตอย่างคนรุ่นหลานที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้”
นั่นคือ….
ไม่มีการสวดมนต์
ไม่มีน้ำใจให้กัน
ไม่มีการให้เกียรติกัน
ไม่มีมารยาท
ไม่รู้จักละอาย
ไม่นอบน้อมถ่อมตน
คนรุ่นปู่ที่เกิดระหว่างปี 2490 ถึง 2510 นั้นช่างโชคดี เพราะการใช้ชีวิต
ของพวกเราคือของจริงที่พิสูจน์ได้
เราขี่จักรยานกันโดยไม่สวมหมวกกันน็อก
หลังเลิกเรียนเราเล่นกันจนค่ำมืดโดยไม่เคยดูโทรทัศน์
เราเล่นกับเพื่อนตัวเป็นๆ ไม่ใช่เพื่อนทางอินเตอร์เน็ต
เรากระหายน้ำเราก็ดื่มน้ำจากก๊อกไม่ใช่น้ำบรรจุขวด
เราไม่เคยป่วย แม้เราจะดื่มน้ำร่วมแก้วเดียวกับเพื่อนถึงสี่คน
เรากินข้าวเป็นจานๆ ทุกวันโดยไม่มีปัญหาเรื่องอ้วน
เท้าเราไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเดินด้วยเท้าเปล่า
เราไม่เคยกินอาหารเสริมเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง
เราประดิษฐ์ของเล่นเอามาเล่นเอง
พ่อแม่เราไม่ร่ำรวย ท่านจึงให้เราได้แต่ความรัก ไม่ใช่วัตถุ
เราไม่เคยมีมือถือเครื่องเล่น DVD วิดีโอเกมส์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต
เรามีแต่เพื่อนที่มีตัวตน
เราไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านโดยไม่ต้องนัดหมาย แล้วเราก็หาอะไรกินกัน
อย่างสนุกสนาน
ญาติพี่น้องอยู่ใกล้ชิดกัน เราจึงมีเวลาให้กันมาก
ภาพถ่ายเราอาจเป็นขาวดำ แต่ความทรงจำของมันช่างหลากสีสัน
คนรุ่นเรามีเอกลักษณ์ และเข้าใจกันเพราะเราเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่เชื่อฟัง
พ่อแม่ และเป็นคนรุ่นแรกที่รับฟังลูกหลาน
พวกเรา คือ คนรุ่น Limited Edition จงสนุกไปกับเรื่องราวของเรา
เรียนรู้จากเรา และ เก็บเราไว้เป็นสมบัติอันทรงคุณค่าตลอดไป
ใครเขียนไม่รู้
ชอบมากขอบคุณ
และหากคุณเป็นรุ่นเดียวกับเรา ส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้อ่านด้วยนะครับ
พวกเราคือคนรุ่น Limited Edition
⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘
หลานถามปู่ว่า ในสมัยปู่นั้น คนใช้ชีวิตกันอย่างไรโดยที่
ไม่มีเทคโนโลยี
ไม่มีเครื่องบินพาณิชย์
ไม่มีอินเตอร์เน็ต
ไม่มีคอมพิวเตอร์
ไม่มีโรงหนัง
ไม่มีโทรทัศน์
ไม่มีเครื่องปรับอากาศ
ไม่มีรถหรู
ไม่มีโทรศัพท์มือถือ
คุณปู่ตอบหลานว่า “เราไม่ใช้ชีวิตอย่างคนรุ่นหลานที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้”
นั่นคือ….
ไม่มีการสวดมนต์
ไม่มีน้ำใจให้กัน
ไม่มีการให้เกียรติกัน
ไม่มีมารยาท
ไม่รู้จักละอาย
ไม่นอบน้อมถ่อมตน
คนรุ่นปู่ที่เกิดระหว่างปี 2490 ถึง 2510 นั้นช่างโชคดี เพราะการใช้ชีวิต
ของพวกเราคือของจริงที่พิสูจน์ได้
เราขี่จักรยานกันโดยไม่สวมหมวกกันน็อก
หลังเลิกเรียนเราเล่นกันจนค่ำมืดโดยไม่เคยดูโทรทัศน์
เราเล่นกับเพื่อนตัวเป็นๆ ไม่ใช่เพื่อนทางอินเตอร์เน็ต
เรากระหายน้ำเราก็ดื่มน้ำจากก๊อกไม่ใช่น้ำบรรจุขวด
เราไม่เคยป่วย แม้เราจะดื่มน้ำร่วมแก้วเดียวกับเพื่อนถึงสี่คน
เรากินข้าวเป็นจานๆ ทุกวันโดยไม่มีปัญหาเรื่องอ้วน
เท้าเราไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเดินด้วยเท้าเปล่า
เราไม่เคยกินอาหารเสริมเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง
เราประดิษฐ์ของเล่นเอามาเล่นเอง
พ่อแม่เราไม่ร่ำรวย ท่านจึงให้เราได้แต่ความรัก ไม่ใช่วัตถุ
เราไม่เคยมีมือถือเครื่องเล่น DVD วิดีโอเกมส์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต
เรามีแต่เพื่อนที่มีตัวตน
เราไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านโดยไม่ต้องนัดหมาย แล้วเราก็หาอะไรกินกัน
อย่างสนุกสนาน
ญาติพี่น้องอยู่ใกล้ชิดกัน เราจึงมีเวลาให้กันมาก
ภาพถ่ายเราอาจเป็นขาวดำ แต่ความทรงจำของมันช่างหลากสีสัน
คนรุ่นเรามีเอกลักษณ์ และเข้าใจกันเพราะเราเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่เชื่อฟัง
พ่อแม่ และเป็นคนรุ่นแรกที่รับฟังลูกหลาน
พวกเรา คือ คนรุ่น Limited Edition จงสนุกไปกับเรื่องราวของเรา
เรียนรู้จากเรา และ เก็บเราไว้เป็นสมบัติอันทรงคุณค่าตลอดไป
ใครเขียนไม่รู้
ชอบมากขอบคุณ
และหากคุณเป็นรุ่นเดียวกับเรา ส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้อ่านด้วยนะครับ
……ข้อคิดคนวัย 30+
1. อย่าฝากความหวังไว้ที่ใคร เพราะสุดท้าย อาจเจ็บเอง
2. อยากมีความสุข ก็จงเลิกเดินตามลมปากคนอื่น เดินตามวิถีของตัวเองได้แล้ว
3. ทำไปเถอะอะไรที่ชอบ ทำไปแล้วเสียใจมันก็ยัง ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
4. คนที่น่านับถือไม่ใช่คนที่มี การศึกษาสูง ๆ เงินเดือนเยอะ ๆหรือมีตำแหน่ง
ใหญ่โตในสังคม แต่คนที่น่านับถือคือคนที่รู้จักให้เกียรติผู้อื่นเสมอ
5. ความรัก . . ไม่จำเป็นต้องหวือหวามากแค่ทัศนคติตรงกัน ,ไม่ดูถูก
, ไม่นอกใจเป็นกำลังให้กัน ในวันที่ใครบ้างคนอ่อนแอ ก็พอแล้ว
6. ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต คือ ความรัก รอยยิ้มและความสามัคคี
ของคนในครอบครัว
7. สุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หมั่นดูแลมันบ้างเพราะถ้าสุขภาพเราพัง
ชีวิตเราก็พังไปด้วย
8. เงินก็สำคัญ ต้องรู้จักเก็บ รู้จักใช้ อาจจะไม่จำเป็นต้องมีมากมาย
แต่ขอให้ประทังชีวิตได้ก็พอ
9. ชีวิตที่เกิดมาได้แบ่งปันสิ่งดีๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ แม้ไม่ยิ่งใหญ่อะไรมาก
แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว ที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ วัยนี้แม้จะผ่านโลกมาไม่มาก
แต่พอจะเข้าใจ “ความสุข” คือ การไม่เปรียบตัวเองกับคนอื่น
ปล่อยวางกับอดีต ไม่ฝากชีวิต ไว้กับอนาคต อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ฝากความหวังไว้กับสิ่งใด ทำทุกลมหายใจให้ดีที่สุด
ทำได้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว
1. อย่าฝากความหวังไว้ที่ใคร เพราะสุดท้าย อาจเจ็บเอง
2. อยากมีความสุข ก็จงเลิกเดินตามลมปากคนอื่น เดินตามวิถีของตัวเองได้แล้ว
3. ทำไปเถอะอะไรที่ชอบ ทำไปแล้วเสียใจมันก็ยัง ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
4. คนที่น่านับถือไม่ใช่คนที่มี การศึกษาสูง ๆ เงินเดือนเยอะ ๆหรือมีตำแหน่ง
ใหญ่โตในสังคม แต่คนที่น่านับถือคือคนที่รู้จักให้เกียรติผู้อื่นเสมอ
5. ความรัก . . ไม่จำเป็นต้องหวือหวามากแค่ทัศนคติตรงกัน ,ไม่ดูถูก
, ไม่นอกใจเป็นกำลังให้กัน ในวันที่ใครบ้างคนอ่อนแอ ก็พอแล้ว
6. ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต คือ ความรัก รอยยิ้มและความสามัคคี
ของคนในครอบครัว
7. สุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หมั่นดูแลมันบ้างเพราะถ้าสุขภาพเราพัง
ชีวิตเราก็พังไปด้วย
8. เงินก็สำคัญ ต้องรู้จักเก็บ รู้จักใช้ อาจจะไม่จำเป็นต้องมีมากมาย
แต่ขอให้ประทังชีวิตได้ก็พอ
9. ชีวิตที่เกิดมาได้แบ่งปันสิ่งดีๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ แม้ไม่ยิ่งใหญ่อะไรมาก
แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว ที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ วัยนี้แม้จะผ่านโลกมาไม่มาก
แต่พอจะเข้าใจ “ความสุข” คือ การไม่เปรียบตัวเองกับคนอื่น
ปล่อยวางกับอดีต ไม่ฝากชีวิต ไว้กับอนาคต อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ฝากความหวังไว้กับสิ่งใด ทำทุกลมหายใจให้ดีที่สุด
ทำได้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว