“ รอยทางของเตี่ย”

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 04, 2021 2:52 pm

………รอยทางของเตี่ย​'………

มีแค่นี้เองหรือ ?
ในครอบครัว อาหมวยตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก อาหารในบ้านเราคือ
อาหารที่อร่อยที่สุดโดยเฉพาะ ฝีมือเตี่ย

มื้อเช้า จะเป็นอาหารง่ายๆ
เช่น ข้าวต้มหมู ข้าวผัด หรือ ข้าวต้มขาวกินกับ เกี่ยมฉ่ายบ้าง
กุนเชียงทอดบ้าง หรือ ไข่เจียว ซึ่งทำง่าย รวดเร็ว บางวันก็อาจจะเป็นโจ๊ก
น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋

มื้อกลางวัน ถ้าเป็นวันหยุด จะเป็นก๋วยเตี๋ยวเป็นส่วนใหญ่ ราดหน้า ผัดซีอิ้ว
หรือ เส้นใหญ่น้ำหมูสับ

ส่วนมื้อเย็น จะเป็นแกงจืดอย่าง ผัดเผ็ดอย่าง หรือ แกงผัดผักอย่าง หรือของทอด
เรียกว่า ครบ ทั้งจืดทั้งเผ็ด

และ การกินอาหาร เตี่ยก็สามารถนำมาสอนลูกได้

เย็นวันหนึ่ง อาหมวยเปิดฝาชีบนโต๊ะอาหาร แล้วทำหน้าเบ้ ร้องถามเตี่ย
" เตี่ยคะ ทำไมมีกับข้าวแค่นี้"

เตี่ยเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ "แค่นี้ คือแค่ไหน " "ก็มีแค่จับฉ่าย"

"จับฉ่าย แปลว่า ผักสิบชนิด มีตั้งสิบ ลื้อยังบอกแค่นี้หรือ"

เตี่ยถามเสียงเรียบๆ แต่อาหมวยรู้ว่าเตี่ยกำลังไม่พอใจ จึงเงียบ ไม่ตอบโต้
เตี่ยพับหนังสือพิมพ์เก็บ วางไว้บนชั้นวางหนังสือ แล้วเดินมาหาอาหมวย

" มานี่ซิ มาคุยกันหน่อย " ลางไม่ดีมาแล้ว โดนดุแน่ๆ

เตี่ยไม่ชอบให้ลูกฟุ่มเฟือย เตี่ยไม่ชอบให้ลูกดูถูกสิ่งที่มี

อาหมวยเดินตัวลีบ ลงไปนั่งข้างเตี่ย
" ไหนบอกเตี่ยซิ ว่าในจับฉ่าย มีอะไรบ้าง "

" ก็มีผักหลายๆชนิด มีซี่โครงหมู
มีเต้าหู้ทอดค่ะ " "อืม ครบห้าหมู่ไหม
"ครบค่ะ

เตี่ยถามเสียงเครียดขึ้น " แล้วทำไมลื้อถึงพูดว่า มี แค่ นี้ " ท้ายประโยค เตี่ยเน้นคำ

" อั๊วหมายถึง มีแค่อย่างเดียว
ปกติมื้อเย็น มีสามสี่อย่าง นี่คะ"

"วันนี้ เราอยู่กันแค่สองคน
กินแค่นี้ก็พอ

เตี่ยเคยสอนลื้อว่ายังไง เรื่องกินอาหาร " อาหมวยจำได้ เพราะเตี่ยย้ำจนขึ้นใจ

" ของอร่อย ของแพงๆ นอกบ้าน
ต้องรอกินกันพร้อมหน้าค่ะ "

เตี่ยยิ้ม ที่ลูกจำได้ อาหมวยยังคงโอดครวญ " แบบนี้ ถ้าอยู่กันสองคน
อั๊วก็ได้กินแค่นี้ อย่างนั้นหรือคะ"

สีหน้าของเตี่ยเปลี่ยนทันที " อาหมวย ลื้อกำลังนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่นึกถึงพี่น้อง"

" อาหยี่เฮีย อาตั่วเฮีย ไปบ้านปากน้ำโพกับอาแหมะ ป่านนี้กินแต่ของดีดี อั๊วรู้ "

"อาหมวย" เตี่ยเอ่ยเสียงเข้ม
เตี่ยไม่ชอบให้ลูกเปรียบเทียบมากน้อยกันเอง

"อาหมวย เตี่ยมีอะไรจะเล่าให้ฟัง "

เตี่ย เทน้ำร้อนจากกระติกน้ำร้อน
ลงในกาน้ำชาใบเล็ก ปิดฝา
แล้วรอเวลา ให้น้ำร้อนแทรกซึม
ใบชา จากนั้น ค่อยๆรินลงถ้วยชา
ใบน้อยๆ ก่อนจะยกขึ้นจิบ อาหมวยรู้ว่า เตี่ยกำลังใช้ความคิด

" สมัยที่อาม่า พาเตี่ยมาอยู่แผ่นดินสยามแรกๆ พวกเราไม่มีบ้าน ต้องอาศัยเช่า
เรือนแพ อาม่ารับจ้างตามสวน พี่น้องสิบสามคน โตหน่อยก็ช่วยหางานรับจ้าง
เล็กลงมาก็อยู่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงน้อง
ทุกๆเย็น ทุกคนได้ค่าแรงมา เอามาให้อาม่าหมด แต่ก็น้อยนิด
อาหารบางมื้อมีแค่ ข้าวต้มใส่เกลือ ก็ล้อมวงกินกัน ไม่เคยพูดว่า มีแค่นี้

บางคืนกลางดึก ตลาดริมฝั่ง มีรถส่งพวกถั่วมาลง มีทั้งถั่วลิสง ถั่วเขียว
ถั่วเหลือง ลูกเดือย

เตี่ยกับอาแปะ อาเจ็ก ของลื้อ
ออกไปช่วยขนลงจากรถ ค่าแรงไม่ได้หรอกนะ เพราะยังเด็ก ตัวเล็ก ขนได้ไม่มาก
แต่ที่ไป ก็เพราะ ตามพื้นจะมีถั่วหล่น พอช่วยขนเสร็จ ก็ช่วยกันเอามือเก็บถั่ว
ใส่กระป๋อง กลับบ้าน แล้วค่อยมาคัดแยก ถั่วลิสงเอามาต้มใส่ข้าว บางทีก็ใส่เอียเล้ง
ถั่วเขียวเอามาเพาะ รอเป็นถั่วงอกมาผัด ลูกเดือยก็หุงกินได้ "

เตี่ยหยุดเล่า จิบชาอีกถ้วย ก่อนจะถามว่า "ลื้อว่า พวกเตี่ยลำบากไหม"

อาหมวยพยักหน้าน้ำตาคลอ เตี่ยลำบากมากจริงๆ

" แต่ลื้อรู้ไหม พวกเรากินข้าวด้วยรอยยิ้มทุกมื้อ อาม่าสอนว่า อิ่มท้อง อุ่นใจ
ไม่ต้องกินอะไรแพงๆ แค่กินข้าวพร้อมหน้ากัน ก็ถือว่า เป็นความสุขแล้ว "

อาหมวยยิ้มรับ จริงของเตี่ย เวลาที่อากง อาม่าพาอาหมวยไปกินอาหารเหลา
อาหมวยแอบคิดถึงเตี่ยทุกที คิดทุกครั้งว่า ถ้าเตี่ยมาด้วยจะดีมาก

" แล้ววันหนึ่ง อาม่า ก็แอบไปเห็น อาแปะของลื้อ ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ตลาด "
" อาม่า ทำยังไงคะ"

"ลื้อคิดว่า อาม่าทำยังไง"

"อาแหมะเตี่ยอั๊วไม่รู้ แต่ถ้าเป็นอาแหมะอั๊ว มีหวังหัวอั๊ว ลงไปอยู่รวม
กับเส้นก๋วยเตี๋ยวในชาม"

เตี่ยปล่อยเสียงหัวเราะ ก่อนจะเล่าต่อ

" อาม่า ลงไปนั่งตรงข้ามอาแปะ

นั่งมองลูกยิ้มๆ แต่อาแปะลื้อ พอเงยหน้ามา ถึงกับอ้าปากค้าง
น้ำตาร่วง อาม่าบอกว่า ไม่ต้องร้อง กินเสียให้หมด"

"อาม่า ใจดีเสมอ "

เตี่ยพยักหน้า " อาม่าพูดว่า

อาเป้งกินให้อร่อย ไม่ต้องกลัว เรื่องนี้พี่น้องของลื้อ จะไม่รู้
แม่ จะเก็บเป็นความลับ แม่เข้าใจลื้อ

ตอนนั้นอาแปะเป้งของลื้อ เป็นหนุ่มแล้ว รับจ้างลากรถ
บางทีก็เหนื่อยมาก กินแต่ข้าวต้ม กับผัดผักคงไม่ไหว เพราะใช้แรงมาก
อาม่าถึงบอกว่า เข้าใจ" "แล้วทำไมเตี่ยรู้เรื่องนี่คะ"

"ตกเย็นวันนั้น อาแปะลื้อ มาสารภาพกับพี่น้องเอง สารภาพทั้งน้ำตา
พี่น้องก็หัวเราะกัน เสียงหัวเราะในวันนั้น
ก็เหมือนการให้อภัยกัน ถามกันว่า อร่อยไหม เพราะไม่เคยกิน"

อาหมวย ถึงกับน้ำตาร่วง ตั้งแต่จำความได้ เตี่ยไม่เคยได้กินก๋วยเตี๋ยว

" ร้องไห้ทำไม สงสารเตี่ยหรือ "

อาหมวยพยักหน้าแทนคำตอบ
สะอื้นจนตัวโยน เตี่ยเอื้อมมือมาลูบหัว " ไม่ต้องสงสารเตี่ยนะ
~ ความลำบาก เป็นส่วนหนึ่งของบทเรียนแห่งชีวิต
~ ความอดอยาก สอนให้เรา
ไม่ฟุ่มเฟือย
- ความขาดแคลนบางครั้ง
ก็สอนให้เราเป็นคนมีน้ำใจ
~ ความผิดหวังก็สอนให้เรา
รู้จักยอมรับ และ
~ ความหิวก็สอนให้เรารู้ว่า
ข้าวเปล่าถ้วยเดียวก็อร่อยได้"

" ค่ะ เตี่ย "

" อาหมวย อย่าดูถูกสิ่งที่เรามี
- อย่าคิดว่า พี่น้องได้มากกว่า
- อย่าคิดว่า คนอื่นได้ ลื้อต้องได้
- อย่าโวยวายเรียกร้อง หากสิ่งที่เคยมีนั้นหายไป
จะข้าวเปล่า หรือ เนื้อมังกร มันไม่มีความหมายหรอก
~ ถ้าลื้อต้องกินคนเดียว
~ ถ้าลื้อต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
~ ถ้าน้ำในใจลื้อมันเหือดหาย น้ำตาจะมาสู่ชีวิตลื้อ "

"อาหมวยรู้แล้วค่ะเตี่ย
~ ความสัมพันธ์อันดี
~ ความเอื้ออาทรของคนในครอบครัวนั้น สำคัญกว่าอื่นใดค่ะ"

" ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าลื้อฝึกตนเป็นผู้ให้ เป็นผู้มีน้ำใจ เริ่มจากคน
ในครอบครัว ไปสู่คนรอบข้าง ไปสู่สังคม
ฝึกแบบนี้กันทุกคน ทุกบ้าน บ้านเมืองก็จะน่าอยู่

~ การให้ คือการลดอัตตา
~ คือการลด กิเลส พอไม่มีอัตตา ไม่มีกิเลส ลื้อก็จะพอใจในสิ่งที่มี
ในสิ่งที่เป็น จะได้ไม่ต้องพูดอีกว่า
มีแค่นี้หรือ "

จากเพจ รอยทางของเตี่ย

:s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 10, 2021 4:33 pm

……ใครแสบกว่า... 🙋💁………

นาย"โหล่วเอี๊ยว" กับ นาย"แบ๋ลัก" เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เล็ก ชอบกระเซ้าเย้าแหย่
กลั่นแกล้งกัน จนกลายเป็นตำนานที่ชาวจีนรู้จัก

เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยสร้างครอบครัว

โหล่วเอี๊ยว มีพ่อทั้งรวยและมีอิทธิพล ไม่ต้องกังวลว่าจะหาเมียไม่ได้

แต่ "แบ๋ลัก" ยากจน หาเช้ากินค่ำ ยังไม่มีคู่ ทำให้รู้สึกท้อแท้มาก

อยู่มาวันหนึ่ง มีคนส่งแม่สื่อขอแต่งงานกับ "แบ๋ลัก" เขาดีใจมาก แต่ฝ่ายผู้หญิงเรียก
สินสอดสูงมาก เขากลัดกลุ้มใจอยู่นาน สุดท้าย จึงไปขอความช่วยเหลือจาก
เพื่อนรัก "โหล่วเอี๊ยว"

"โหล่วเอ๊ยว" กลับพูดว่า "ชะชะ เอง วาสนาดีนี่ มีผู้หญิงหน้าตาดีมาขอแต่งงานด้วย
ไม่รู้ว่าทำบุญมาจากชาติไหน

เรื่องยืมเงินสินสอดนั้นได้ แต่มีข้อแม้ คืนส่งตัวเจ้าสาว ข้าขอแทนแก 3 วันนะ ว่าไงฮ่าๆ”

แบ๋ลักถึงกับเข่าอ่อน
"นี่เมียเพื่อนนะ แกทำงี้ได้ยังไง เพื่อนต้องไม่เอาเปรียบรังแกกันนะ แกเข้าใจคำนี้ไม๊
พูดออกมาได้ไง?”

แม้พูดอย่างสุภาพ แต่ในใจโกรธสุดๆ อยากซัดให้หน้าแหกซักหมัด

สุดท้าย จึงได้แต่รับปากไป

วันมงคลมาถึง "แบ๋ลัก" ได้แต่แอบซ่อนอยู่อีกที่ มอง "โหล่วเอี๊ยว" เข้าออก
ห้องหอตัวเอง แถมยังร้องเพลงเยาะเย้ยอย่างอารมณ์ดี

ในใจยิ่งกว่าถูกมีดกรีดก็ไม่ปาน

วันที่ 4 ถึงคิวตัวเองเข้าหอ แต่ก็ไร้ความสุขของการแต่งงาน เขาได้แต่มุดขึ้นไป
นอนคุมโปงอยู่บนเตียง นอนไม่หลับ ด้วยยังทำใจไม่ได้

เจ้าสาวเห็นดังนั้น ก็เข้ามาถามด้วยความแปลกใจว่า “ทำไม 3 คืนก่อน เห็นอ่านหนังสือ
ท่องตำราจนสว่าง ไม่หลับไม่นอน คืนนี้เป็นอะไร ทำไมต้องคลุมโปงด้วย"

ฟังถึงตรงนี้ "แบ๋ลัก" รู้แล้วว่า ที่แท้เพื่อนล้อเล่นกับตัวเอง จึงทั้งโกรธและดีใจ
ถูกเพื่อแกล้งแรงแบบนี้ มันช่างเหลือทนจริงๆ

หลังจากนั้น "แบ๋ลัก" ก็ใช้ความขยัน วิริยะอุตสาหะอ่านหนังสืออย่างจริงจัง
จนสอบเข้ารับราชการที่เมืองหลวง แล้วทำงานจนได้ตำแหน่งใหญ่โต

------------------------- 💁

หันมาดูเรื่องของ "โหล่วเอี๊ยว" บ้าง เกิดมาร่ำรวย จิตใจดี มีความจริงใจต่อเพื่อน
"แบ๋ลัก" มาก เพียงแต่เป็นคนชอบล้อเล่นแรงๆ กับเพื่อนเท่านั้น

"โหล่วเอี๊ยว" เห็น "แบ๋ลัก" กังวลเรื่องหาเมียไม่ได้ จึงแอบหาแม่สื่อ ไปขอผู้หญิงที่ดีมา
ให้เป็นภรรยาของ "แบ๋ลัก" และวางแผนแกล้งในวันแต่งงาน จนเพื่อนแทบคลั่งใจ
ตายนั่นเอง โดยที่ตัวเขาเอง ทั้ง 3 คืนก็ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวด้วยซ้ำ

แต่เรื่องราวในโลกนี้ มักจะเปลี่ยนแปลงมีขึ้นมีลง

หลายปีต่อมาครอบครัวของ "โหล่วเอี๊ยว" จากเศรษฐีร่ำรวย กลายเป็นยากจน
แทบเอาตัวไม่รอด จึงคิดถึง "แบ๋ลัก" ขึ้นมา ไปเมืองหลวง ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรัก

"แบ๋ลัก" พอเห็นเพื่อน ก็ดีใจมากจนเสียงหลง ต้อนรับทั้งสุราอาหารพร้อม และชวน
ให้พักอยู่กับตนนานๆ

แต่พอ "โหล่วเอี๊ยว" บอกเจตนาที่มา "แบ๋ลัก" กลับเหมือนไม่ได้ยิน หูตึงขึ้นมาทันที
ได้แต่พูดเรื่องไร้สาระ และบอกให้เขาดื่มๆๆๆ

ผ่านไปหลายวัน ก็ยังไม่เห็นเอ่ยปากว่าจะช่วยอย่างไร แถมยังถูกพูดเหมือนรังเกียจว่า

"เพื่อนเอ๋ย รีบกลับบ้านเถิด อาซ๊อน่าจะเป็นห่วงแย่แล้ว"

เขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง โกรธจนหัวหมุน กลับบ้านด้วยความท้อแท้

เมื่อมาถึงบ้าน ก็แปลกใจมากว่าที่บ้านมีงานศพ คนมาจำนวนมาก เห็นโลงศพตั้งอยู่
กลางบ้าน ภรรยากับลูกๆ ใส่ชุดไว้ทุกข์นั่งร้องให้

พอภรรยาและลูกหันมาเห็น "โหล่วเอี๊ยว" ถึงกับสะดุ้งตกใจ เหมือนเห็นผี

จนทราบว่า แท้จริงแล้ว โลงศพใบนี้ "แบ๋ลัก" ส่งมาจากเมืองหลวง

บอกว่าเขาไปถึงเมืองหลวง ป่วยหนักกระทันหันเสียชีวิต

"โหล่วเอี๊ยว" โกรธจัด ใช้เท้าถีบฝาโลงจนเปิดออก

ไอ้หยา (โอ้โห) ภายในโลง บรรจุด้วยทรัพ์สินมีค่ามากมาย

มีกระดาษ 1 แผ่น เขียนว่า "你让我妻守空房--我让你妻哭断肠

(ลื่อเหยี่ยงอั๋วชี สิวคงปั๊ง อั้วเหยี่ยงหลือชี เค้าตึ่งตึ๊ง )

แปลว่า แกทำเมียข้าเฝ้าหอร้าง..ข้าทำเมียแกร้องไส้ขาด ฮ่าๆๆๆ

"โหล่วเอี๊ยว" ได้แต่หัวเราะ พร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหล ไอ้ ไอ้ "แบ๋ลัก"
ไอ้ชั่ว ไอ้เลว แกน่าจะนอนมาในโลงด้วย ฮ่าๆๆ ไอ้เพื่อนเลว

ข้อคิด :

ชีวิตคนเรานี้สั้นนัก แค่ไม่กี่สิบปี แม้คบเพื่อนได้มากมาย แต่เพื่อนแท้ที่รู้ใจ
จริงใจ เจ็บแทนได้ มีสักกี่คน?

หากท่านมีวาสนา ได้มีเพื่อนที่ดีเช่นนี้ โปรดทนุถนอมไว้เถอะ

เพื่อนแท้ เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ทำให้เส้นทางชีวิตไม่โดดเดี่ยว

เรื่องนี้เป็นที่มาของคำพูดว่า
路遥知马力--日久见人心
(โหล่วเอี้ยวไจแบ๋ลัก ยิกกู้เกี๊ยงหนั่งซิม)

เส้นทางพิสูจน์แรงม้า เวลาพิสูจน์ใจคน

แปลและเรียบเรียงโดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง 黄振炎 20/1/2017

อ.มาศตัดสั้นและสรุปเรื่องให้อ่านง่าย
ตอบกลับโพส