น้ำหนักของมิสซา

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ย. 21, 2021 8:39 pm

น้ำหนักของพิธีมิสซา

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องราวที่ซิสเตอร์เอ็ม. เวโรนิกา เมอร์ฟีย์
(Sister M. Veronica Murphy)ได้รับฟังมาโดยตรงจากคุณพ่อสตานิสเลาส์
(Father Stanislaus SS.CC.)

วันหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน ในหมู่บ้านเล็กๆ ในลักเซมเบิร์ก หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่า
กำลังพูดคุยกับคนขายเนื้ออย่างจริงจังขณะที่มีหญิงชราคนหนึ่งมาถึง คนขายเนื้อ
ถามหญิงชราว่าต้องการอะไร เธอบอกเขาว่าเธอต้องการเนื้อชิ้นเล็กๆสักชิ้นหนึ่ง
แต่เธอไม่มีเงินจ่าย

กัปตันคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกสิ้นดี... "แค่เนื้อชิ้นเล็กๆเท่านั้น...แต่คุณจะคิดเงินจาก
เธอเท่าไหร่?" เขาพูดกับคนขายเนื้อ

หญิงชราจึงพูดกับคนขายเนื้อว่า “ฉันขอโทษ ฉันไม่มีเงินเลย แต่ฉันจะไปร่วมพิธีมิสซา
ให้คุณแทน” เนื่องจากคนขายเนื้อและหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าไม่ใช่คนที่สนใจศาสนา
พวกเขาจึงเริ่มหัวเราะเยาะหญิงชราผุ้นั้น .

“ดีมาก” คนขายเนื้อพูด “ไปร่วมพิธีมิสซาให้ผมแล้วค่อยกลับมา ผมจะให้ชิ้นเนื้อแก่คุณ
ตามความเหมาะสมกับคุณค่าของพิธีมิสซานั้น”

ดังนั้นหญิงชราจึงไปร่วมพิธีมิสซาแล้วกลับมาอีกครั้งในเวลาต่อมา เธอเดินไปที่เคาน์เตอร์
แล้วคนขายเนื้อก็พูดว่า "เอาละ..เรามาดูกัน”

หญิงชราคนนั้นหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วเขียนลงไปว่า “ฉันได้ร่วมพิธีมิสซาเพื่อคุณแล้ว”
คนขายเนื้อวางกระดาษไว้ด้านหนึ่งของตาชั่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งเขาวางกระดูก แต่กระดาษ
นั้นหนักกว่า แล้วเขาก็วางชิ้นเนื้อ แทนที่กระดูก แต่กระดาษก็ยังหนักกว่า

ชายทั้งสองรู้สึกละอายใจที่ได้เยาะเย้ยหญิงชรา แต่พวกเขายังคงเล่นเกมต่อไป คนขายเนื้อ
วางเนื้อชิ้นใหญ่ไว้บนตาชั่ง: แต่กระดาษยังหนักกว่าเสมอ! ทั้งสองรู้สึกโกรธมาก คนขายเนื้อ
ตรวจดูตาชั่งแต่ก็พบว่ามันปกติดี

คุณต้องการอะไร คุณผู้หญิง? ผมจะต้องให้ขาแกะทั้งชิ้นแก่คุณไหม?

ดังนั้นเขาจึงวางขาแกะไว้บนตาชั่ง แต่กระดาษก็ยังหนักกว่า เขาวางชิ้นเนื้อที่ใหญ่กว่าชิ้นเดิม
ลงบนตาชั่ง แต่ตาชั่งยังคงเอียงไปทางกระดาษ สิ่งนี้ทำให้คนขายเนื้อเกิดความประทับใจมาก
จนในที่สุดเขาก็กลับใจและสัญญากับหญิงชราว่าจะให้เนื้อแก่เธอทุกวัน

หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าก็กลับใจด้วยและเขาได้ไปร่วมพิธีมิสซาทุกวัน ลูกชายสองคน
ของเขาได้บวชเป็นพระสงฆ์: คนหนึ่งอยู่ในคณะเยซูอิตและอีกคนหนึ่งเป็น
พระสงฆ์แห่งคณะดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์

คุณพ่อสตานิสเลาส์จบการเล่าเรื่องของท่านโดยกล่าวว่า “พ่อเป็นพระสงฆ์แห่ง
คณะดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์และหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าคนนั้นเป็นบิดาของพ่อเอง
หลังจากเหตุการณ์นี้ บิดาของพ่อก็กลายเป็นผู้ที่ศรัทธาต่อพระเจ้า เมื่อลูกๆของเขา
ได้เป็นพระสงฆ์แล้ว ท่านได้แนะนำลูกชายของเขาให้ประกอบพิธีมิสซาอย่างดีทุกวัน
และอย่าละเลยการถวายยัญบูชาแห่งมิสซาเพราะความผิดพลาดของตนเองเป็นอันขาด

https://freewill14.blogspot.com/2021/09 ... st_20.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ต.ค. 03, 2021 7:19 pm

……ชีวิตพระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์….
พระสงฆ์ใช่ใส่หัวโขนจริงหรือ? ขอตอบว่าไม่ใช่แต่เป็นตราที่ประทับของพระจิตเจ้า
ลงในวิญญาณและชีวิตจิตตลอดจนทั่วร่างสรรพภางค์กายเป็นสงฆ์นิรันดร เป็นตรา
ประทับอันมิรู้เลือนอันศักดิ์สิทธ์ ซึ่งลบล้างไม่ได้ จึงไม่ใช่ของเล่น หรือโยนกันไปมา
ที่คิดจะทำอะไรก็ทำได้ แต่ทำตามเสียงของพระจิตเจ้าผู้อยู่กับพระศาสนจักรจวบจน
สิ้นพิภพ ทำให้ผมมีข้อคิดจากการไปร่วมงานเกษียณอายุราชการของท่านผู้ให้ระดับ
สูงท่านหนึ่ง เมื่อวานนี้ มีคนเกษียณมากมายมาร่วมงาน และก็มีผู้เข้ารับกน้าที่ใหม่ก็
มากมายพอกัน พอเริ่มงานผู้ให้ปาฐกถาที่เคยเป็นใหญ่สูงสุดก็ออกมาบรรยายพร้อม
ถ้วยกาแฟกระดาษแก้วหนึ่ง พอท่านออกมา ทุกคนก็ปรบมือต้อนรับให้เกียรติผู้บรรยาย
ตามมารยาท แล้วผู้บรรยายก็กล่าวสวัสดีทุกคนพร้อมหยิบถ้วยกาแฟกระดาษขึ้นมาจิบ
แล้วก็เริ่มบรรยายว่า เมื่อปีที่แล้วผมก็มายืนตรงนี้และให้การบรรยายแก่พวกท่าน
ข้าราชการอันมีเกียรติรวมทั้งตัวผมเองด้วยที่ได้รับตำแหน่งสูงสุด ในเวลานั้นต่างกับ
เวลานี้มาก เพราะการมาบรรยายมีตั๋วเครื่องบินชั้นสูงส่งมาให้แล้วยังมีรถพิเศษกับคน
มารอรับจากบ้านผม เค้ากุลีกุจอช่วยยกกระเป๋า ถมบอกว่ายังมีอะไรให้ช่วยถืออีกไหม
แล้วก็เปิดประตูรถขับไปยังสนามบิน ที่สนามบินก็มีคนมารอรับช่วยบริการทุกอย่าง
ไม่ขาดตกบกพร่องราวกับว่าเป็นเทพยดาปานนั้น บนเครื่องก็การอำนวยความสะดวก
มากแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะปรับเบาะ อาหาร เครื่องดื่ม เพียงเอ่ยปาก ก็ได้
ตามนั้น สุขสบายมาก พอมาถึงก็มีรถมารับ พาไปยังโรงแรมหรูมีคนเช็คอินให้
มายกกระเป๋าไปที่ห้อง แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าห้องหรู เพลงเพราะ อาหารอร่อย
เครื่องดื่ม บรรยากาศดีมากเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย หลังจากได้หลับพักผ่อน ตอนเช้า
หลังรับประทานอาหารและทำธุระเสร็จก็มีคนมารอที่ห้องล็อบบี้ แล้วขับรถไปส่งที่ยังสถานที่
จะให้การบรรยาย พาผมเดินไปข้างหลังเป็นห้องรับรองพิเศษ และมีคนนำถ้วยกาแฟเซรามิก
สวยมากพร้อมกาแฟหอมกรุ่นมาเสริฟ แต่ทว่าในวันนี้หลังจากที่ผมเกษียณ ผมต้องตีตั๋ว
เครื่องบินเอง ขับรถไปจอดที่สนามบิน ยกกระเป๋าเอง นั่งแท็กซี่ไปโรงแรมระดับธรรมดา
ไม่มีใครมาต้อนรับ ต้องไปเช็คอินเอง ยกกระเป๋าขึ้นห้องเอง พักก็ไม่สะดวกสบายเท่าไหร่
ก็พอใช้ได้ เช้าก็ต้องนั่งแท็กซี่มาที่นี่ ต้องถามเค้าว่าสถานที่จะบรรยายอยู่ตรงไหน
เค้าก็ชี้ไปตรงโน้น ไม่มีใครมาต้อนรับ ไม่มีห้องรับรองพิเศษ ผมถามเค้าว่า กาแฟอยู่ตรงไหน
เค้าก็ชี้ไปตรงหม้อต้มกาแฟพร้อมถ้วยกระดาษที่ใส่ซองกาแฟแบบสำเร็จรูปเทน้าร้อนใส่
ก็เป็นกาแฟ จิบกาแฟวันนั้นต่างจากวันนี้มาก ถ้วยเซรามิกสวยหรู พวกให้เกียรติกันก็
เพียงแค่หัวโขน ที่เค้ามาช่วยยกกระเป๋า บริการโน้นนี่นั่น ก็เพราะหัวโขน วันนี้คนใหม่ที่
จะรับหน้าที่ก็อย่าได้ลืมตัวน่ะ อย่าหลงตัวเอง ไม่สนใจใคร คอยเหยียดคนอื่น มีความสัมพันธ์
กับผู้ร่วมงานที่ไม่ดี ไม่มีใครชอบ แล้ววันหนึ่งสิ่งที่สวมอยู่ก็จะถูกยกไปให้คนอื่น พวกเค้าก็
จะไปคอยบริการคนนั้น แต่ทว่าชีวิตพระสงฆ์มีค่ากว่านั้นเยอะเป็นพระสงฆ์จนตาย ถ้าท่าน
ทำดีแบบพระเยซูเจ้าจริง สาวกก็ยังคงเป็นสาวกตลอดจนตัวตาย ไม่มีวันหมดอายุ เพราะ
พวกเค้ากล้าประกาศความจริงในสิ่งที่พระเยซูเจ้าสอน ทำในสิ่งที่พระเยซูเจ้าให้แบบอย่าง
และยังเป็นสักขีพยานด้วยชีวิตด้วยสัตบุรุษที่ศรัทธาในความประพฤติที่ไม่เสื่อมคลาย
เห็นเด่นชัด สง่างามด้วยคุณธรรม มีเมตตาธรรม มีความรักนำทาง จนใครๆก็รัก
เป็น Alter Christus เป็นพระคริสต์เจ้าอีกองค์แท้ๆ ไม่ใช่แค่หัวโขน
ขอพระอวยพร

จากเพื่อนในไลน์ส่งมา :s015:
ตอบกลับโพส