น่ารู้ เกี่ยวกับโรคไต และ เรื่องสุขภาพ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 05, 2021 10:07 pm

โรคไต
ไม่ง่าย
ไม่ใช่เรื่องกินเค็มอย่างที่เคยรู้กันมาเท่านั้น

สุดทางที่ ต้องฟอกไต สุดแสนทรมาน

อย่าละเลย

เมื่อศึกษาเรื่องโรคไตมากขึ้น
ทำให้เราพบว่า

1. จำนวนคนเป็นโรคไต มีมากกว่าที่คิดเยอะมาก

โรตไตติดอันดับ 1 ใน 5 โรคยอดฮิตของคนไทย มะเร็งมาอันดับ 1

คนไข้โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน ที่กำลังจะกลายเป็นคนไข้โรคไต
ในไม่ช้า เพราะสาเหตุใหญ่ คือ “การกินยารักษาโรคที่สะสมเข้าไป​ และ
ผลข้างเคียงจากโรค​“ทำให้ไตต้องทำงานหนักเกินไป

2. โรคไต ไม่ใช่โรคคนแก่ เด็กๆ หนุ่มๆสาวๆ ก็เป็นโรคไตกันเยอะมาก
ตอนแรกเคยเข้าใจว่า โรคไตเป็นโรคของคนแก่ แต่ปรากฎว่า บางคนยัง
เด็กอยู่เลย อายุน้อยๆ แค่ 7 ปี ก็เป็นโรคไตได้แล้ว บางคน ยังหนุ่มยังสาวมาก
อายุแค่ 20, 30 ปี ก็ เป็นโรคไตกันแล้ว

3. โรคไตใกล้ตัวกว่าที่เคยคิดเคยเข้าใจ
สาเหตุของโรคไตไม่ใช่แค่เรื่องกินยาแรกก็เคยคิดว่าถ้าไม่ได้กินยาสะสม
คงไม่เสี่ยงโรคไต แต่ จากการได้พูดคุยกับคนเป็นโรคไตและญาติปรากฏ
มีหลายเคสที่น่าตกใจ คือมีคนหนึ่งอายุ 30 กว่าๆ เป็นโรคไต เพราะ
”กินน้ำอัดลมเยอะไป หนุ่มคนหนึ่งอายุ29 เป็นโรคไต เพราะ”ทำงานหนักไป
เลิกดึก เครียด เลิกงานแล้วสังสรรค์กับลูกค้าต่อจนดึกเป็นประจำ”
มีคุณแม่ท่านหนึ่งอายุ 50 กว่าๆเป็นโรคไตเพราะ “กลัวยุงกัดเลยทายากันยุง
เป็นประจำ (ในโลชั่นทายุงมีสารเคมี)”
เด็กเล็ก เป็นโรคไตมาแต่กำเนิด (ตอนแม่ท้องได้รับสารเคมี)
สาเหตุโรคไต มีอีกเยอะมาก
(1) เกิดจากสารเคมี ที่สูดดม (ควันธูป บุหรี่ กลิ่นไอในอากาศรอบตัว ที่ทำงาน)
ทา (โลชั่นกันยุง) สิ่งที่กินเข้า
ไป ทั้งแบบที่ไม่รู้ตัว (ปนเปื้อนมากับอาหาร ภาชนะ ถุงพลาสติกใส่อาหารร้อนๆ โฟม กะทะ)
และเหล้า เบียร์ น้ำอัดลม อาหารเสริมที่ไม่ได้คุณภาพ ยาหม้อ ยาสมุนไพร
(2) เกิดจากยา ยาเบาหวาน ยาความดัน ยาโรคหัวใจ กินมากเกินไป​ กินต่อเนื่องกันนานๆ
แม้กระทั่งกินยาแก้ปวดหัวบ่อยเกินไป ก็มีสิทธิเป็นโรคไตได้เช่นกัน
(3) เกิดจากผลข้างเคียง​ของโรคอื่น เช่น โรคเบาหวาน​ โรคความดัน โรคนิ่ว โรคภูมิแพ้
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ​ ทำให้ไตต้องทำ
งานหนัก​ ก็มีผลข้างเคียงทำให้เป็นโรคไตได้
(4) เกิดจาก ความแก่ชรา 60 ขึ้นไป ร่างกายเสื่อม ไตก็จะเริ่มเสื่อมได้ทุกคน และเป็นโรคไต
ได้เช่นกัน
(5) เกิดจากอาหารเค็มจัด​ หวานจัด​ ของหมักดอง​ อาหารปนเปื้อนสารพิษ​ ที่เรากินเข้าไป
(6) เกิดจากความเครียด​ นอนน้อย​ พักผ่อนไม่เพียงพอ

4. คนเป็นโรคไตไม่มีวันหายเว้นเสียแต่จะได้รับการบริจาคใตจากการผ่าตัดปลูกไต
คนเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ ผ่าตัดเสร็จ มีสิทธิหาย และค่าใช้จ่ายหยุด

แต่คนเป็นโรคไต เมื่อถึงขั้นต้องฟอกไตแล้ว ก็ต้องฟอกไตกันเรื่อยไปตลอดชีวิต
เพราะไตจะหยุดทำงานทันที ที่เริ่มฟอกไตครั้งแรก และ จะใช้ไม่ทำงานอีกเลยตลอดชีวิต

5. คนเป็นโรคไตถึงดูแลตัวเองดีแล้ว ไม่ต้องหาหมอ ก็ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ใน
โรงพยาบาล เพื่อฟอกไต ครั้งละ4-5 ชั่วโมง อาทิตย์ละ3 ครั้ง เท่ากับ 50 ชม.ต่อสัปดาห์

6. คนเป็นโรคไต มีค่าใช่จ่ายที่”คงที่” ไปตลอดชีวิต นอกเหนือจาก ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป
คนเป็นโรคไต มีค่าใช้จ่ายใน การฟอกไต 25000-30000 บาท ทุกเดือน ตลอดชีวิต
แม้ว่าจะรักษาตัวเองดีแล้ว ไม่ป่วยแล้ว ไม่ได้พบหมอเลย ทั้งเดือน ก็ตาม

(สิ่งที่เป็นความรู้เพิ่มเติม คือ ควรมีประกันสังคมไว้ คนที่มีประกันสังคม จะสามารถเบิก
ค่าฟอกไตได้ 1500/ครั้ง ส่วนคนที่ไม่มี หรือใช้สิทธิบัตรทอง เบิกค่าฟอกไตด้วยเครื่องไม่ได้
จะเบิกได้เป็นค่าล้างไต ล้างเองที่บ้านด้วยถุงพลาสติกและยาผ่านหน้าท้องวันละ 5 ชม.
ถ้ามีประกันสังคม อย่าทิ้งนะ กัดฟันส่งต่อไป ถ้ายังไม่มี หาทางมีไว้ดีกว่า)

7. โรคไตอันตรายกว่าที่คิด​ คนเป็นโรคไตเป็นโรคที่ คนเป็นจะทรมานมาก
ทั้งตอนไม่ฟอก และ ตอนฟอกไต เพราะ จะอ่อนเพลีย กินไม่ได้ ต้องระวังเรื่องอาหาร
ระวังเรื่องติดเชื้อ ระวังโรคหัวใจ ความดันตก ชีพจรตก และ มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต
ระหว่างหรือหลังฟอกไต ได้ตลอดเวลา

รู้แล้ว ได้โปรดดูแลรักษาตัวและ คนที่เรารัก ให้ห่างไกลโรคไตกันด้วย

อยากให้คนไทย​ ห่างไกล​ โรคไตป้องกันไว้ก่อน​ ดีกว่ารักษาทีหลัง

ด้วยความปรารถนาดี
จากครอบครัว
โรจน์วงศ์พาณิชย์
ที่อยากจะแบ่งปันความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์
จากการดูแลคนป่วยโรคไต
เพื่อเป็นวิทยาทาน และ
ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ดวงวิญญาณของนายไพโรจน์ โรจน์วงศ์พาณิชย์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 28, 2021 6:01 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 28, 2021 6:00 pm

ช่วยแบ่งปันโพสต์นี้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

" การกินผลไม้ในตอนท้องว่าง "

สิ่งนี้จะเปิดดวงตาของคุณ! อ่านให้จบ และส่งมันให้กับรายชื่อ e-list
ของคุณทั้งหมด ฉันเพียงทำมัน !

ดร. สตีเฟ่น หมาก ทำการรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายโดยวิธีการ “Un-Orthodox”
และผู้ป่วยจำนวนมากฟื้นตัว

ก่อนที่เขาได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อกำจัดการเจ็บป่วยของผู้ป่วยของเขา เขาเชื่อ
ในการรักษาโดยทางธรรมชาติในร่างกายต่อความเจ็บป่วย ช่วยดูบทความของเขาด้านล่าง

มันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการรักษาโรคมะเร็ง

เมื่อเร็วๆนี้ อัตราความสำเร็จของฉันในการรักษาโรคมะเร็งคือประมาณ 80%

ผู้ป่วยโรคมะเร็งไม่ควรตาย การรักษาโรคมะเร็งถูกค้นพบแล้ว – มันอยู่ในวิธีที่เรากินผลไม้

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่

ฉันขอโทษสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายร้อยคน ที่ตายภายใต้การรักษาธรรมดาทั่วไป

" การกินผลไม้ "

เราทุกคนคิดว่าการกินผลไม้ หมายถึงเพียงแค่ การซื้อผลไม้ ตัดมัน และก็ใส่มันเข้าไป
ในปากของเรา

มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด มันสำคัญที่จะทราบวิธีการและ * เมื่อไหร่ * ที่จะกินผลไม้

วิธีที่ถูกต้องของการกินผลไม้อย่างไร?

มันหมายถึง " ไม่กินผลไม้ " หลังมื้ออาหารของคุณ !

ผลไม้ควรกินในตอนท้องว่าง

ถ้าคุณกินผลไม้ในตอนท้องว่าง มันจะมีบทบาทสำคัญ ในการล้างพิษในระบบของคุณ,
ให้การจัดการที่ดีของพลังงาน เพื่อลดน้ำหนัก และกิจกรรมในชีวิตอื่น ๆ แก่คุณ

" ผลไม้เป็นอาหารที่สำคัญที่สุด "

สมมติว่า .. คุณกินสองชิ้นของขนมปัง แล้วชิ้นหนึ่งของผลไม้

ชิ้นของผลไม้ > พร้อมที่จะผ่านตรงไปสู่กระเพาะลงไปในลำไส้ > แต่มันถูกขัดขวางจาก
การทำเช่นนั้น เนื่องจากขนมปังถูกกินก่อนผลไม้

ในระหว่างนั้น อาหารทั้งมื้อของขนมปังและผลไม้นั้น จะเน่าเปื่อย และบูด และเปลี่ยน
เป็นกรด

ในนาทีที่ผลไม้เข้ามาสัมผัสกับอาหาร ในกระเพาะอาหาร และน้ำย่อย, มวลอาหาร
ทั้งหมดเริ่มที่จะเปื่อยเน่า

ดังนั้นโปรดกินผลไม้ของคุณในตอน * ท้องว่าง * หรือก่อนมื้ออาหารของคุณ!

คุณเคยได้ยินคนบ่น : ทุกครั้งที่ ฉันกินแตงโม-ฉันเรอ เมื่อฉันกินทุเรียน-ท้องของฉันพองขึ้น
เมื่อฉันกินกล้วย-ฉันรู้สึกเหมือนวิ่งเข้าห้องน้ำ ฯลฯ .. ฯลฯ ..

จริง .. ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณกินผลไม้ตอนท้องว่าง

ผลไม้ผสมกับการเน่าเปื่อยของอาหารอื่น ๆ และผลิตก๊าซ และด้วยเหตุนี้ ตัวคุณจะขยาย!

ผมสีเทา, หัวล้าน, การระเบิดทางประสาท และรอยคล้ำใต้ดวงตา ทั้งหมดเหล่านี้จะ
* ไม่เกิดขึ้น * ถ้าคุณกินผลไม้ตอนท้องว่าง

ไม่มีสิ่งเช่นนั้นหรอก ที่ผลไม้บางอย่าง เช่นส้มและมะนาวเป็นกรด เพราะผลไม้ทั้งหมด
> กลายเป็นด่างในร่างกายของเรา ตามที่ ดร.เฮอร์เบิร์ด เชลตัน ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถ้าคุณได้เข้าใจถ่องแท้ วิธีที่ถูกต้องของการกินผลไม้ คุณมี * ความลับ * ของความงาม
อายุยืน สุขภาพ พลังงาน ความสุข และน้ำหนักที่ปกติ

เมื่อคุณต้องการดื่มน้ำผลไม้ - ดื่มเพียงแค่ * น้ำผลไม้สดเท่านั้น * ไม่ใช่จากกระป๋อง
แพ็ค หรือฃวด

อย่าแม้แต่ .. จะดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านการทำให้ร้อนขึ้น

อย่ากินผลไม้ปรุงสุก เพราะคุณไม่ได้รับสารอาหารทั้งหมด

คุณจะได้รับรสชาติของมัน

การปรุงสุก ทำลายวิตามินทั้งหมด

แต่กินผลไม้ทั้งผล จะดีกว่า การดื่มน้ำผลไม้

หากคุณควรดื่มน้ำผลไม้สด ดื่มมันคำหนึ่ง โดยคำหนึ่งช้าๆ เพราะคุณต้องปล่อย
ให้มัน > ผสมกับน้ำลายของคุณ ก่อนที่จะกลืนกินมันลงไป

คุณสามารถดำเนินต่อไป ในการกินมังสวิรัติผลไม้ 3 วัน เพื่อทำความสะอาด
หรือล้างพิษในร่างกายของคุณ

เพียงแต่ กินผลไม้ และดื่มน้ำผลไม้สด ตลอดทั้ง 3 วัน

แล้วคุณจะต้องแปลกใจ เมื่อเพื่อนของคุณ บอกคุณว่า คุณดูเปล่งประกายอย่างไร!

กีวี : เล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่

นี้เป็นแหล่งที่ดีของ โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, วิตามินอี และไฟเบอร์

ปริมาณวิตามินซีของมันคือ สองเท่าของส้ม

แอปเปิ้ล : แอปเปิ้ล 1 ผล ต่อวัน ช่วยให้ห่างไกลจากแพทย์?

แม้ว่าแอปเปิ้ลมีปริมาณวิตามินซีต่ำ แต่ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ flavonoids
ซึ่งจะช่วยเพิ่มการทำงานของวิตามินซี จึงช่วยในการลดความเสี่ยงของ มะเร็งลำไส้ใหญ่
หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง

สตรอเบอร์รี่ : ผลไม้ป้องกัน

สตรอเบอร์รี่มีความสามารถ ในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุดในบรรดาผลไม้ที่สำคัญ
และป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็ง หลอดเลือดอุดตัน และอนุมูลอิสระ

ส้ม : ยาที่หวานที่สุด

กินส้ม 2-4 ผลต่อวัน อาจช่วยขจัดโรคหวัดออกไป, ลดคอเลสเตอรอล,
ป้องกันและละลายนิ่วในไต, และลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

แตงโม : ดับกระหายที่ยอดที่สุด ประกอบด้วยน้ำ 92% มันถูกบรรจุด้วยปริมาณ
" กลูตาไธออน " จำนวนมากมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเรา

พวกเขายังเป็นแหล่งสำคัญของ " ไลโคปีน " อนุมูลอิสระที่ต่อสู้กับโรคมะเร็ง

สารอาหารอื่นๆ ที่พบในแตงโม คือ วิตามินซี และโพแทสเซียม

ฝรั่ง และมะละกอ : รางวัลสูงสุดสำหรับวิตามินซี พวกเขาเป็นผู้ชนะที่ชัดเจน
สำหรับปริมาณวิตามินซีสูงของพวกเขา

ฝรั่ง-ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการท้องผูก

มะละกอ-อุดมไปด้วยแคโรทีนๆนี้ เป็นสิ่งที่ดี สำหรับดวงตาของคุณ

##################

การดื่มน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็นหลังอาหาร = มะเร็ง

คุณสามารถเชื่อสิ่งนี้หรือไม่?

สำหรับผู้ที่ชอบดื่มน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น, บทความนี้เหมาะสมกับคุณ

อย่างไรก็ตาม น้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น จะทำให้ของมันๆที่คุณเพิ่งจะได้กินเข้าไป
-แข็งตัว จะทำให้การย่อยอาหารช้าลง

ครั้งหนึ่ง “ ตะกอนนี้ ” จะทำปฏิกิริยากับกรด จะแยกตัว และถูกดูดซึมโดยลำไส้
เร็วกว่าอาหารที่เป็นของแข็งจะเรียงตัวที่ลำไส้

ในไม่ช้า จะกลายเป็นไขมัน และนำไปสู่โรคมะเร็ง!

มันดีที่สุด ที่จะดื่ม น้ำซุปร้อนหรือน้ำอุ่น หลังอาหาร

หมายเหตุที่สำคัญ เกี่ยวกับหัวใจวาย

กระบวนการหัวใจวาย : ( สิ่งนี้ไม่ตลก! )

ผู้หญิงควรจะทราบว่า > ไม่ใช่ทุกอาการหัวใจวาย จะเป็นการเจ็บปวดที่แขนซ้าย
โปรดระวังความเจ็บปวดที่รุนแรง ในแนวกราม ขากรรไกร

คุณอาจจะไม่เคยเจ็บหน้าอก เป็นอันดับแรก ระหว่างในช่วงของหัวใจวาย

อาการคลื่นไส้ และเหงื่อออกมาก คือ อาการทั่วไปด้วย

หกสิบเปอร์เซ็นต์ ของคนที่มีอาการ " หัวใจวายขณะที่พวกเขานอนหลับ "
จะไม่ตื่นขึ้นมา อาการปวดกราม สามารถให้คุณตื่นขึ้นมา จากการหลับสนิท

โปรดระมัดระวังและเฝ้าระวัง ยิ่งเรารู้ เรายิ่งมีโอกาสที่ดีกว่า ที่เราสามารถอยู่รอดได้

แพทย์โรคหัวใจพูดว่า : ถ้าทุกคนที่ได้รับอีเมล์นี้ โปรดส่งมันให้กับ 10 คน
คุณสามารถแน่ใจได้ว่า เราจะรักษาอย่างน้อยที่สุด หนึ่งชีวิตไว้

ดังนั้นช่วยทำ อย่างน้อยที่สุด 1 งานที่ดี ในวันนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 19, 2021 10:14 pm

ฝากให้เพื่อนๆอ่านกันทุกคนนะคะ
Nocturia=น๊อคทูเรีย
(อาการปัสสาวะบ่อย ตอนกลางคืน)

ดื่มน้ำ(อุ่น)​ตอนกลางคืนช่วยได้อย่างไร
Nocturia และปัญหาหัวใจมีความสัมพันธ์กัน

ควรใช้เวลาสองนาทีในการอ่านข้อมูลด้านล่าง

แพทย์ชาวอเมริกันบอกเราว่า Nocturia ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ และกล้ามเนื้อในสมอง
มีความเกี่ยวข้องกัน
อาการที่พบบ่อยที่สุดในวัยกลางคนและผู้สูงอายุคืออาการกลางคืน (ตื่นกลางดึกเพื่อปัสสาวะ)
เพราะปัสสาวะออกหากินเวลากลางคืนผู้สูงอายุจึงกลัวการดื่มน้ำก่อนนอน พวกเขาไม่รู้ว่าการ
ไม่ดื่มน้ำก่อนเข้านอน การตื่นกลางดึกเพื่อฉี่โดยไม่ดื่มน้ำเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือด
สมองตีบในช่วงเช้าของวัยกลางคนและผู้สูงอายุ

ในความเป็นจริง Nocturia ไม่ใช่ปัญหาของความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ Nocturia
เกิดจากความล้มเหลวของการทำงานของหัวใจในผู้สูงอายุ และการที่หัวใจห้องบนขวาไม่
สามารถดูดเลือดจากร่างกายส่วนล่างได้ ในระหว่างวันเราทุกคนอยู่ในท่ายืน เลือดจะไหลลงมา
ถ้าหัวใจไม่ดี ปริมาณเลือดของหัวใจไม่เพียงพอ ความดันในร่างกายส่วนล่างจะเพิ่มขึ้น
ดังนั้น คนวัยกลางคนและผู้สูงอายุจะมีอาการบวมน้ำตามร่างกายในระหว่างวัน เวลานอนตอน
กลางคืนจะคลายแรงกดทับที่ร่างกายส่วนล่างและมีน้ำสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อมาก น้ำจะกลับเข้าสู่
กระแสเลือด หากมีน้ำมากเกินไป ไตจะทำงานอย่างหนักเพื่อแยกน้ำออกและระบายออกไปยัง
กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการกลางคืน

ดังนั้นหลังจากนอนลงมักจะใช้เวลาประมาณสามหรือสี่ชั่วโมงจึงจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นน้ำในเลือดยังคงเพิ่มขึ้น ดังนั้นอีก 3 ชั่วโมงต่อมาพวกเขาจะต้องไปเข้าห้องน้ำอีกครั้ง

เหตุใดจึงเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและกล้ามเนื้อหัวใจตาย เพราะหลังจาก
ปัสสาวะสองหรือสามครั้ง น้ำในเลือดจะลดลงอย่างมาก ร่างกายยังคงสูญเสียน้ำผ่านการหายใจ
จากนั้นเลือดเริ่มหนาและเหนียว และอัตราการเต้นของหัวใจช้าลงเนื่องจากการเผาผลาญของ
ร่างกายต่ำระหว่างการนอนหลับ ด้วยเลือดข้นและการไหลเวียนของเลือดช้า การตีบของหลอดเลือด
จึงอุดตันได้ง่าย... นี่คือสาเหตุที่คนวัยกลางคนและผู้สูงอายุมักมีกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือกล้ามเนื้อ
หัวใจตายในเวลา 5 หรือ 6 โมงเช้า

สถานการณ์นี้จะนำไปสู่ความตายขณะหลับ สิ่งแรกที่ต้องบอกทุกคนคือ Nocturia ไม่ใช่ความผิด
ปกติของกระเพาะปัสสาวะ แต่เป็นปัญหาของหัวใจที่ชราภาพ สิ่งที่สองที่ต้องบอกทุกคนคือคุณต้อง
ดื่มน้ำอุ่นก่อนเข้านอน และคุณต้องดื่มน้ำอุ่นหลังจากตื่นนอนกลางดึกเพื่อฉี่ อย่ากลัว Nocturia
เพราะการไม่ดื่มน้ำอาจคร่าชีวิตคุณได้ สิ่งที่สามคือคุณต้องออกกำลังกายมากขึ้นในเวลาปกติเพื่อ
เสริมสร้างการทำงานของหัวใจ ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร เครื่องจักรจะเสื่อมสภาพเมื่อใช้บ่อยๆ
แต่ร่างกายของมนุษย์จะตรงกันข้าม จะแข็งแรงขึ้นเมื่อใช้บ่อยๆ อย่ากินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้งและของทอด

( ขอขอบคุณที่อ่านจนจบครับ )

~ และจะเป็นประโยชน์มากหากท่านได้ส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง
ที่เข้าวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ เพื่อที่จะได้เป็นวิทยทานต่อไป ~
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 29, 2021 6:29 pm

“น้ำตาล” เป็นพิษอย่างเลวร้ายสําหรับมนุษย์
..และมันถูกกฎหมาย..!!
.
น้ำตาลไม่เคยถูกแบน เพราะมันเป็นธุรกิจ
ที่ร่วมมือกับอุตสาหกรรม
.
น้ำตาล คือ ความหิวโหยของเซลล์มะเร็ง😬
.
แนวคิดใหม่ของการรักษา คือ..
การงดเว้นน้ำตาล เข้าสู่ร่างกาย
ทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อ และ ค่อยๆ ตาย..!!
.
น้ำตาลเป็นอาหารของเซลล์มะเร็งทั้งหลาย
.
📚 ดร. Raymond Francis
เขียนหนังสือที่น่าทึ่ง จำนวนสามเล่ม:
.
(1) 🌿 ไม่เคยป่วย
(2) 🌿 อย่ากลัวมะเร็ง
(3) 🌿 อย่าอ้วนอีก
.
ดร.เรย์มอนด์ เขียนหนังสือเหล่านี้
หลังจากมีประสบประสบการณ์กับมะเร็ง
ที่แพทย์หมดหวังกับเขาเมื่อตอนอายุ 45 ปี
.
วันนี้เขาอายุ 75 แล้ว และ..
ไม่เคยเจ็บป่วยเลยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
ยกเว้นเป็นหวัดเพียงครั้งเดียว
.
กุญแจสําคัญที่ Dr. Raymond พูด
ในหนังสือสามเล่มของเขาคือ :
.
“อยู่ห่างจากน้ำตาลตลอดไป”
.
นอกจากการออกกําลังกายที่ดีแล้ว
เราต้องควบคุมอาหารที่ร่างกายต้องการ
.
หมอบอกว่า:
.
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ ไข้หวัด ทั้งปวง 💥
🌿การกินน้ำตาลหนึ่งช้อน
จะลดภูมิคุ้มกันของร่างกายลง 50%
🌿การดื่มโคคาโคล่าหนึ่งกระป๋อง
ลดภูมิคุ้มกันลง 10% เป็นเวลา 10 ชั่วโมง
🌿น้ำตาลทําให้เกิดโรค อัลไซเมอร์
🌿นัำตาลเป็นอาหารของ เซลล์มะเร็ง 💥
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ โรคหัวใจทั้งหมด
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ ความอ้วน บวมฉุ
🌿น้ำตาลเป็นสาเหตุของ การกักเก็บไขมัน
🌿ทุกโรคที่เกิดกับมนุษย์ มีน้ำตาลเป็นพระเอก
.
หมอบอกว่า:
พ่อแม่ ไม่ยอมให้ลูก สูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุรา
แต่ซื้อขนมหวานที่อันตรายกว่ามาให้บริโภค
.
ข้อมูลที่เป็นประโยชน์:
.
🌿โยเกิร์ต เป็นแหล่งแคลเซียมสูงสุด
เนื่องจากมีแคลเซียม 450 มก. ต่อแก้ว
ดังนั้น จงกินโยเกิร์ตเป็นอาหารทุกวัน❤
.
🌿มิ้นท์ สะระแหน่ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียน
ของเลือดและบำรุงหัวใจ ให้ทานเป็นประจํา
ช่วยผ่อนคลายแก๊ส ทําให้ตับแข็งแรง
แก้ไอ บำรุงประสาท และลดความโกรธ
ช่วยอาการนอนไม่หลับและขับปัสสาวะ
และช่วยย่อยอาหารได้ดี
.
🌿น้ำอัดลม เป็นสาเหตุ โรคกระดูกพรุน
หัวใจและไต โรคอ้วน เบาหวาน ฟันผุ
.
🌿เครื่องดื่มชูกําลังเป็นอันตรายต่อเด็ก
ทําให้หัวใจเต้นเร็ว ตะคริว ลิ่มเลือดอุดตัน
.
🌿ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระ
ที่สามารถปกป้องคุณจากมะเร็งได้
.
🌿แซลมอน แอปเปิ้ล องุ่น เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่
ผักโขม เป็นอาหารที่ช่วยเซลล์ประสาท
และเสริมสร้างความจํา
.
🌿ความผิดพลาดที่พบบ่อย คือการบอกว่า
ดื่มน้ำระหว่างอาหารทําให้ย่อยอาหารยาก
จริงๆ แล้วน้ำ ไม่ทําให้ท้องอืด
แต่ ช่วยในการย่อยอาหารด้วย
.
🌿คุณควรดื่มน้ําสักแก้วเมื่อตื่นนอน
เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำตอนหลับ
และช่วยชะล้างสารพิษในร่างกาย
.
🌿เดินวันละ 20 นาที 3 วันต่อสัปดาห์
ปกป้องคุณจาก โรคหัวใจ เบาหวาน
โรคซึมเศร้า ความดัน คอเลสเตอรอล
.
🌿กระเทียม ช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็ง
เพราะมันสามารถเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
.
🌿ขิงทานร้อนๆ ตอนบ่าย ช่วยผลาญไขมัน
และขับสารพิษออกจากร่างกาย
.
.
Cr: Florentin Patriotaseven
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 30, 2021 9:40 pm

โรงพยาบาลธรรมชาติ
บอกต่อไป ได้บุญครับ

🚫 1. ไขมันในเลือดสูง
แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัวตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินวันละ 10 กลีบ
กินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว
--------------------------
🚫 2. ปวดหัว
ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง(แมกนีเซียม)กินวันละ 4 ขีดและกินปลาทูอีกวันละ 2 ตัว
(น้ำมันปลาลดการอักเสบได้)หรือจะชงโกโก้กินก็ช่วยได้
-------------------------
🚫 3. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้น และกินกระเทียม หอม พริกให้มากๆ
____________________
🚫 4. ภูมิแพ้
แค่กินฝรั่งวันละ 4 ชิ้นกินเมล็ดฝักทองวันละ 1 กำมือ(สังกะสี)
--------------------------
🚫 5. แพ้ฝุ่นละอองไรฝุ่น
หาโยเกิร์ตรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน
------------------------------
🚫 6. โรค หืดหอบ ไอเรื้อรัง
กินต้มยำไก่ กินหัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน
--------------------------
🚫 7. ไขข้ออักเสบ
หาปลาเนื้อมันกินวันละ 2 ขีด เช่น ปลาทู ปลาสวาย ปลาแซลมอน หรือปลากระป๋อง
-------------------------
🚫 8. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ 3 มื้อ
------------------------
🚫 9. ท้องอืด
แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อยๆ
---------------------
🚫 10. ท้องผูก
ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ 3 ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า/เย็น.
-------------------------
🚫 11. โรคกระเพาะอาหาร
หากล้วยหักมุกปิ้งกิน กล้วยน้ำว้า หรือกระหล่ำปลีให้เยอะมาก
-------------------------
🚫 12. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย
ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทานเช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง น้ำขิง ชาขิง
--------------------------
🚫 13. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์แปรปรวน
ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ 1 แผ่นหรือถั่วลิสงวันละ 1 กำมือ
-------------------------
🚫 14. หงุดหงิดง่าย
ให้กินอาหารร่าเริง คือข้าวเหนียว ข้าวโพด กลอย กล้วยหอม และทูน่า
---------------------------
🚫 15. กระดูกพรุน
ให้กินงาดำวันละ 4 ช้อนโต๊ะ(ได้แคลเซียมมาก)
------------------------
🚫 16. ความจำไม่ดี
ให้กินปลาทูวันละ 2 ขีด หอยแครง และหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้
------------------------
🚫 17. มะเร็งเต้านม
ให้กินบร็อกโคลี หรือคะน้าวันละ 5 ขีด
------------------------
🚫 18. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ
ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วงให้มากเพราะวิตามินซี
ช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี
-------------------------
🚫 19. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน
กินแอปเปิ้ลเขียววันละ 1-2 ผลหรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกากจะเป็นการล้างพิษ
ไปในตัว
--------------------------
🚫 20. เจ็บอกโรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอก ผลอโวคาโด
เพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชา ให้หาชาเขียว
สดมาชงดื่มวันละถ้วย
---------------------------
🚫 21. ความดันสูง
ต้องงดบุหรี่และความเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากิน หรือผักคึ่นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้
จะช่วยควบคุมความดันให้ดีขึ้น
-------------------------
🚫 22. เบาหวานถามหา
ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อกโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวาน
ให้กินส้มโอ และฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก
โรงพยาบาลธรรมชาติ
บอกต่อกันไป ได้บุญครับ....
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 31, 2021 5:57 pm

"เฉลียงชีวิต" ของ เปลว สีเงิน

เช้าตื่นขึ้นมา ได้อ่านบทความ "เฉลียงชีวิต" ของ เปลว สีเงิน แล้ว เหมาะกับ
พี่ ป้า น้า อา มากๆ จึงอยากจะแชร์ ต่อ....

พ่อ-แม่ ยิ่งแก่ ยิ่งห่วง
ส่วนลูก ยิ่งโต ยิ่งห่าง

อย่าไปกังวลว่า ถ้าคุณจากไป อะไรจะเกิดขึ้น...

เพราะเมื่อกลายเป็นผงธุลีไปแล้ว ใครเขาจะยกย่องชื่นชมหรือตำหนิประณามอย่างไร
คุณจะไปรู้สึกรู้สาอะไรได้

ลูกของคุณเขาจะเป็นอย่างไร ก็อย่าเป็นห่วงให้มากนัก พวกเขาต่างก็มีจุดหมายและ
หนทางชีวิตของตนเอง ตายไปแล้ว...คุณก็ยังไม่เลิก เป็นทาสของลูกๆ อีกหรือ

อย่าคาดหวังอะไรมากจากเด็กๆ ต่อให้คุณชุบเลี้ยงใคร ไว้ดูแลคุณยามแก่เฒ่า เขาก็
ต้องวุ่นวายกับการงานและภาระผูกพันต่างๆ เกินกว่าจะมีเวลามาช่วยเหลือดูแลอะไร
คุณได้มากนัก

คนอายุเกิน 50-60 อย่างคุณ ต้องเลิกเอาสุขภาพไปแลกกับความร่ำรวยได้แล้ว มีเงินเท่าไร
ก็ซื้อสุขภาพคืนมาไม่ได้

คุณตอบได้ไหม ว่าจะหยุดหาเงินเมื่อใด...เท่าไหร่คุณถึงจะบอกว่า
พอแล้ว...ร้อย พัน หมื่น ล้าน สิบล้าน...พอรึยัง ไม่ทราบ ?

ต่อให้คุณมีไร่นานับพันไร่
คุณก็กินข้าวได้แค่วันละสามจาน แม้นมีคฤหาสน์นับพัน
หลัง คุณก็ต้องการพื้นที่หลับนอนยามค่ำคืนเพียงแปดตารางเมตร

ดังนั้น..ตราบใดที่คุณยังมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ มีเงินพอใช้สอยได้ทุกวัน
เพียงเท่านี้ก็ดีเหลือหลายแล้ว

อายุเท่านี้แล้ว คุณควรอยู่อย่างเป็นสุข ทุกบ้านต่างก็มีปัญหาของตนเอง อย่ามัวไปคิด
เปรียบเทียบ แก่งแย่งแข่งดีกัน ไม่ว่าชื่อเสียง ฐานะในสังคม หรือความก้าวหน้าของเด็กๆ

สิ่งที่ควรจะแข่งกันทำกันจริงๆ นั้น คือแข่งกันมีความสุข แข่งกันมีสุขภาพดีและอายุยืนนาน

ส่วนอะไร ที่เราเปลี่ยนมันไม่ได้
ก็อย่าไปฝังอกฝังใจให้ป่วยการและทำลายสุขภาพตัวเองเลย อายุป่านนี้แล้วก็ยังเปลี่ยน
มันไม่ได้เลย

หลัง ๖๐ แล้วอย่างนี้ คุณต้องค้นหาหนทางของคุณเองที่จะสร้างชีวิตที่เป็นอยู่ดีๆ
และสุขสดใสขึ้นมาให้ได้ ตราบใดที่มันทำให้คุณอารมณ์ดี คิดถึงแต่สิ่งที่ทำ
ให้เป็นสุข ทำอะไรก็สุขสนุกกับมันอยู่ทุกวัน นั่นก็หมายความว่า คุณได้ผ่านวัน
เวลาอย่างเป็นสุขแล้ว

ทุกวันวานที่ผ่านไป คุณจะสูญเสียไป ๑ วัน แต่ถ้ามันผ่านไป
อย่างเป็นสุข วันนั้นคือกำไรชัดๆ เลย

จิตใจที่ดีจะช่วยรักษาโรคภัยได้ ถ้าจิตใจเป็นสุขโรคก็จะหายเร็วขึ้น แต่ถ้าจิตใจทั้งดี
ทั้งเป็นสุขด้วยแล้วล่ะก็ ความเจ็บป่วยจะไม่มีทางมาแผ้วพานได้

ด้วยอารมณ์ที่ดีแจ่มใสอยู่เป็นนิจ ออกกำลังกายให้เพียงพอ
อยู่กลางแจ้งบ่อยๆ กินอาหารให้ครบหมู่ ได้วิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ
เพียงเท่านี้ก็เชื่อได้แน่นอนว่า ชีวิตที่เป็นสุขอีก ๒๐ หรือ ๓๐ ปี จะเป็นของคุณแน่นอน

เหนือสิ่งอื่นใด...คุณต้องรู้จัก
บ่มเพาะและเก็บเกี่ยวความสุขดีๆ จากการได้อยู่ ได้เที่ยว ได้คุยกับเพื่อนๆ เพราะเขา
เหล่านี้จะช่วยให้คุณ รู้สึกเยาว์วัยและมีความหมายอยู่เสมอ ขาดพวกเขาเมื่อใด...
คุณจะต้องรู้สึกสูญเสียอย่างแน่นอน

อ่านแล้วเห็น "เฉลียงชีวิต" ในวัยชรากันบ้างมั้ย?

ก็ต้องขอบคุณทั้งเจ้าของความคิด ผู้เผยแพร่ และทั้งผู้ส่งให้อ่าน ก็อยากบอกว่า
อายุเราเลือกไม่ได้ก็จริง แต่ชีวิตแต่ละช่วงชีวิต เราเลือกได้

เปลว สีเงิน
อ่านแล้วดี รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชย์เลยฝากให้ผู้ที่จะ 50-60 และเลย 60 ไปแล้ว..!

แนวทางปฏิบัติ
#1แชร์=1ธรรมทาน แชร์เยอะๆ ได้บุญครับ
โปรดทราบ!


ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน
อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 02, 2022 8:11 pm

โรคอัลไซเมอร์ ไม่ใช่แค่โรคที่จำอะไรไม่ได้ แต่ยังเป็นโรคที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
เราควรเริ่มดูแลผู้สูงอายุ
ตั้งแต่ก่อนมีอาการ เพราะโรคอัลไซเมอร์นอกจาก
จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แล้ว เมื่อเป็นแล้ว ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้อีกด้วย
แต่เราสามารถ “ชะลอ” ได้

เสาหลักแห่งการป้องกันอัลไซเมอร์

1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะป้องกันโรคอัลไซเมอร์
ได้ 50% เพราะสมองทานออกซิเจน เป็นอาหาร โดยมีเลือดเป็นตัวส่ง ดังนั้นเราต้องทำให้
หัวใจเต้นแรงด้วยการออกกำลัง เพื่อให้เลือดสูบฉีดไหลเวียน .. แต่สำหรับผู้สูงอายุ
การทำงานบ้าน ทำสวนดูแลสวน หรือการขยับร่างกาย
อย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นการออกกำลังกายที่ดี และเหมาะสมแล้ว

2.อ่านหนังสือและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ใช้สมองให้มากขึ้น เพราะสมอง
เมื่อเราไม่ใช้ เราจะเสียมันไป

3.ทานผักและอาหารสด
ต้องเยอะ น้ำมันปลา (fish oil) เป็นอาหารเสริมที่ดี

4.นอนวันละ 7-8 ชั่วโมง เพราะการนอนน้อย เป็นการสั่งสมอง ให้ทำลายตัวเอง ..

ผู้สูงอายุควรนอนกลางวันด้วย เพราะสมองของผู้สูงอายุ ต้องการการพักผ่อน
มากกว่าวัยรุ่นหรือวัยทำงาน

5.เมื่อเราเครียด เซลล์สมองจะทำลายตัวเองเร็วมาก มากกว่าการไม่นอน ดังนั้น
พยายามทำให้ตัวเอง อยู่ในสภาวะที่เครียดน้อยที่สุด

6.อยู่กับคน เพราะสมองถูกสร้างมา ให้อยู่ร่วมกับผู้อื่น เมื่อไหร่ที่เราไม่ได้เข้าสังคม
หรือขาดการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นบ่อยๆ จะทำให้สมองฝ่อ .. ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะ
แต่จำเป็นต้องมีเพื่อน ที่มีคุณภาพ

การปฏิบัติตาม 6 ข้อข้างต้น สามารถชะลอ การเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ หรือหากเป็นแล้ว
ก็จะช่วยให้ใช้ชีวิตไปจนเสียชีวิตได้ โดยที่ลูกหลานไม่เป็นทุกข์ หรือหากดีที่สุด ก็คือ
ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์เลย “กันไว้ ดีกว่าแก้”

ข้อมูลจาก : คุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร นักจิตวิทยาด้านสมอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 05, 2022 9:47 pm

ความร่วงโรยจากการแก่ชรา จะเริ่มจากเท้าขึ้นมา...

..จงทำให้ขาทั้งสองของท่านแข็งแรงและคล่องแคล่วว่องไวอยู่เสมอ..

▪︎ในขณะที่เราร่วงโรยลงทุกวัน ขาทั้งสองของเราต้องแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา
เราไม่ควรกังวลไปกับเผ้าผมที่เปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ผิวหนังและผิวหน้าที่เหี่ยวย่น

▪︎วารสารชื่อดังของสหรัฐชื่อ Prevention ได้สรุปไว้ว่า คนที่อายุยืนยาวนั้น การมี
กล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด..จงออกกำลังด้วยการเดินทุกวัน..

▪︎หากคุณไม่ขยับแข้งขยับขาสักสองอาทิตย์ ความแข็งแรงของขาของคุณขะลดลงไป
10 ปี...จงเดินเถิด..

▪︎มหาลัยโคเปนเฮเก้นที่เดนมาร์ก ได้ศึกษาพบว่า ไม่ว่าคนหนุ่มหรือคนแก่ หากไม่
เคลื่อนไหวตัวเองเลยราวสองสัปดาห์ จะทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแอลงไปราวหนึ่งในสาม
ซึ่งจะเทียบเท่ากับการชราภาพลงไปถึง 20-30 ปี..ดังนั้น จงออกแรงเดินเสมอ...

▪︎เมื่อกล้ามเนื้อขาเราอ่อนแอลง การฟื้นตัวจะใช้เวลานานมาก แม้ว่าเราจะพยายามฟื้นฟู
ร่างกายและออกกำลังกายในภายหลังก็ตาม.. จงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป..

▪︎ด้วยเหตุนี้ การออกกำลังกายด้วยการเดินเสมอ จึงสำคัญมาก

▪︎ร่างกายทั้งร่างและน้ำหนักตัวของเรา ต่างมีขาทั้งสองประคองเอาไว้

▪︎ขาทั้งสองจึงทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่รับน้ำหนักทั้งหมดของตัวเรา...จงเดินต่อไป...

▪︎ที่น่าสนใจคือ 50%ของกระดูกและ 50%ของกล้ามเนื้อ ต่างอยู่ที่ขาทั้งสองของเรา..
…จงอย่าหยุดเดิน..

▪︎ส่วนของข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด อยู่ที่ขาทั้งสอง..จงเดินวันละหมื่นก้าว...

▪︎กระดูกและกล้ามเนื้อขาที่แข๊งแรงและข้อต่อที่ยืดหยุ่นได้ดี เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ
"สามเหลี่ยมดุจเหล็ก" ที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย

▪︎70%ของกิจกรรมทางร่างกายและการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ใช้ขาทั้งสองเป็นหลัก

▪︎ใครรู้บ้างว่า เมื่อเรายังมีอายุน้อย ต้นขาของเราไม่ว่าหญิงหรือชาย สามารถจะยกรถยนต์
ขนาดเล็กที่หนักได้ถึง 800 กก.

▪︎ขาของเราคือ จุดศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย

▪︎ขาทั้งสองของเราประกอบไปด้วย 50%ของเส้นประสาท 50%ของเส้นโลหิต และ50%
ของระบบโลหิตที่ไหลเวียนผ่านเท้าทั้งคู่...

▪︎เท้าทั้งสองจึงเป็นระบบไหลเวียนที่ใหญ่ที่สุดที่เชื่อมโยงทั้งร่างกายเข้าด้วยกัน
..จงเดินต่อไป..

▪︎เมื่อเท้าทั้งสองแข็งแรง จะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีและกล้ามเนื้อขาเข้มแข็ง
ซึ่งทั้งหมดจะทำให้หัวใจแข็งแรง..จงเดินต่อไป..

▪︎การชราภาพเริ่มจากเท้าขึ้นไปยังส่วนบนของร่างกาย

▪︎เมื่อเราแก่ตัวลง ความแม่นยำและความรวดเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับ
เท้าทั้งสอง จะลดลง..ไม่เหมือนตอนที่ยังมีอายุน้อย.. จงเดินต่อไป...

▪︎นอกจากนั้น ส่วนที่เรียกว่า Bone Fertilizer Calcium ที่สูญเสียไปตามกาลเวลา
เมื่อเราแก่ตัวลง จะทำให้คนแก่กระดูกหัก (bone fractures)ได้ง่าย..จึงควรเดินต่อไป...

▪︎อาการกระดูกหักของคนแก่อาจนำไปสู่อาการที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกหลายอย่าง
ที่ร้ายแรง อาทิเช่นอาการเส้นเลือดในสมองอุดตัน (brain thrombosis)

▪︎รู้กันบ้างไหมว่า 15%ของคนแก่ที่มีอาการกระดูกต้นขาหัก จะเสียชีวิตไปในเวลาไม่เกิน
หนึ่งปี..จงเดินทุกวันอย่าได้ขาด...

▪︎การเดินออกกำลัง ไม่มีคำว่าสายไปแม้คุณจะอายุเกิน 60 ไปแล้ว

▪︎แม้กำลังขาของเราจะเสื่อมลงตามกาลเวลา แต่การเดินถือเป็นภารกิจ
ตลอดชีวิตของเรา..จงเดินให้ได้ถึง 10,000 ก้าว..

▪︎หากเราเดินเพื่อทำให้เท้าแข็งแรง จะช่วยให้ขาของเราลดการอ่อนแอลง..
จงเดินตลอด 365 วัน...

▪︎จงเดินอย่างน้อย 30-40 นาทีทุกวัน เพื่อให้เท้าทั้งสองได้ออกกำลัง
และทำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงเสมอ

:s007: :s007:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 13, 2022 9:56 pm

เรื่องนี้ดีมาก หมอศิริราชส่งมาให้
@svh9535i ❤️❤️❤️❤️❤️😊❤️

ความจำเสื่อมพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยน

เรื่องนี้ดีมาก หมอศิริราชส่งมาให้

บทความโดย : หมอแดง ดิ อโรคยา

เคยเป็นกันบ้างไหมครับ อาการที่บางครั้งเราพยายามจะนึกอะไรซักอย่างให้ได้ แต่มันนึกไม่ออก
จะว่าลืมก็ไม่ใช่ เหมือนมันติดอยู่ที่ปากหรือเวลาจะก้าวออกจากบ้านไปทำงาน ทีไรก็ต้องลืมโน่น
ลืมนี่เป็นประจำ อาการแบบนี้จะเรียกว่าเป็นอาการความจำเสื่อมก็คงจะไม่ใช่ แต่ก็ใกล้เคียง

ผมพบคนป่วยหลายรายที่มีอาการ ความจำเสื่อม แต่ที่เห็นได้ชัดเมื่อเร็วๆนี้

คนไข้เป็นผู้ชาย เคยทำงานรัฐวิสาหกิจ ตำแหน่งใหญ่โตเชียวล่ะครับ เกษียณมาได้ปีกว่าๆแล้ว
พอเกษียณมาได้แล้ว ก็เกิดอาการความจำเสื่อมกำเริบอย่างหนัก มีอาการเหมือนเด็ก จำอะไร
ไม่ค่อยได้ จะกินจะนอนก็ดูยากไปหมด พูดฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางครั้งมีอาการซึม บางครั้ง
ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าซีดเหมือนไม่มีเลือดมาเลี้ยง มือสั่นบ้าง ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหมอ
วินิจฉัยว่า เป็นโรค “พาร์คินสัน” ก็เลยให้ยาสารพัดมากิน แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย เป็นที่
กลุ้มใจของ ผู้เป็นภรรยา ที่ต้องคอยดูแลสามีเหมือนเป็นเด็กเล็ก

จากการสอบถามประวัติความเป็นอยู่ อาหารการกิน การออกกำลังกาย ภรรยาของคนไข้ก็
บอกว่า ผู้ป่วยก็กินดีอยู่ดี ออกกำลังกายประจำ ผู้ป่วยเป็นวิศวกรใหญ่ จึงน่าเชื่อได้ว่าต้องกินดี
อยู่ดีแน่นอน กรรมพันธุ์ก็ไม่มี แล้วเกิดอาการได้อย่างไร หมอก็ให้คำตอบไม่ได้ ได้แต่รักษาไป
ตามอาการ ให้วิตามินบ้าง ยาแก้พาร์คินสัน ยาแก้อาการสั่นบ้าง หลายปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม

พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่คนไข้ทำพลาดไป ก็คือ

เขาดื่มน้ำน้อยมาก วันละไม่เกิน 2 แก้ว ไม่กระหายน้ำก็ไม่ดื่ม น้ำหนักเกือบ 60 กิโลกรัม
ซึ่งน้ำหนักขนาดนี้ควรดื่มน้ำ 9-10 แก้วต่อวัน แต่นี่ดื่มแค่ 2 แก้ว บวกกับทำงานใช้สมองมาก
มีความเครียดด้วย เลือดเมื่อขาดน้ำก็ทำให้เลือดข้นหนืด ทำให้หลอดเลือดไม่มีความยืดหยุ่น
เพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ แล้วเลือดจะฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้อย่างไรกัน

ทดลองเอาเครื่องสูบน้ำไปสูบน้ำในปลักวัวปลักควาย ที่วัวควายนอนแช่เป็นน้ำโคลนดูซิว่า
เครื่องจะสูบน้ำขึ้นไปได้ไหม สุดท้ายเครื่องก็ต้องพัง ซึ่งเครื่องสูบน้ำก็เหมือนหัวใจคนเรา
ที่ต้องสูบฉีดเลือดขึ้นไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อเลือดมันข้นเหนียว ไม่ช้าหัวใจก็
ต้องพัง เส้นเลือดในหัวใจก็อุดตันหมด

ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ก็มีลักษณะเหมือนกัน เขามีอาการความจำเสื่อมหรือสมองไม่ทำงาน
ก็เพราะสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เหมือนเราใช้คนให้ทำงานแล้วไม่จ่ายเงินเดือน ไม่ให้
ข้าวกิน แล้วเขาจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานให้เรา

เลือดนั้นจะนำพาอาหาร อ๊อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าส่วนไหน เรามัวแต่กินยา
กินวิตามิน โดยไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต โดยเฉพาะการดื่มน้ำที่ถูกต้อง คงไม่มีวันที่โรคนี้จะหายได้
เพราะยาและวิตามิน ก็เข้าสู่ร่างกายไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำพาไป เพราะเลือดประกอบด้วยน้ำถึง 91%
ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญ กับการดื่มน้ำเป็นอันดับแรก โดยถือว่าน้ำเป็นยาวิเศษเลยทีเดียว

เมื่อได้แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมวิถีชีวิตใหม่แล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็ทำการนวดกระตุ้น
ฝ่าเท้า และนวดตัว เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะภายในร่างกายทั้งหมด ทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เลือด
ลมหมุนเวียนได้ดี บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าการนวดเท้านั้นเป็นการรักษาเท้า ท่านเข้าใจผิดนะครับ
การนวดเท้าสามารถรักษาโรคได้เป็นอย่างดี ผู้ป่วยรายนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมได้นวดเท้าและนวดกดจุด
จากใบหน้าที่ขาวซีดกลับดูมีเลือดฝาด ดูสดใสขึ้นเยอะ พูดคุยได้ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าแต่ก่อน
มีการตอบสนองที่ดี นั่นแสดงว่าเลือดลมเดินได้ดีขึ้นแล้วนั่นเอง

สรุปแล้วสาเหตุของอาการความจำเสื่อมก็คือ อาการที่เลือดข้นหรือเลือดจาง ทำให้เลือดไม่สามารถ
ไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอนั่นเอง ท่านใดที่รู้ตัวว่าเริ่มมีอาการดังกล่าวแล้ว ผมว่าทางที่ดีท่านควรจะ
ดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้อง ตามที่ผมได้บอกไว้แล้ว
อาการความจำเสื่อมจะไม่มาเยือนท่านโดยง่ายแน่นอน

ป้าศรีขอเติม comment ของคุณหมอ Nart Fongsmut เข้ามานะคะ คุณหมอเชี่ยวชาญการดูแล
ผู้สูงอายุค่ะ ...
"เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะดื่มน้ำไม่พอ dehydrated เป็นผลให้เลือดไหลเวียน
ไปเลี้ยงสมองไม่ดี สมองที่เสื่อม หดอยู่แล้วจะ function ได้ด้อยลงมากมาย พบบ่อยในสถาน
สงเคราะห์คนชราหรือ nursing home ที่ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากนัก dependent..."

ขอให้ช่วยกันแชร์ เพื่อประโยชน์ในวงกว้างนะ

โปรดทราบ!

ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละ
อย่าลืมส่งให้กับคุณและคนที่คุณรักได้อ่านกันนะ
.... ด้วยรักและห่วงใย จากเพื่อนถึงเพื่อน ....
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2022 10:58 pm

……น้ำมันมะพร้าว……
ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 5.4 ล้านคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ ตัวเลขนี้
เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยประชากรสูงอายุ

หนึ่งในนั้นคือสตีฟ นิวพอร์ต แมรี่ นิวพอร์ต ภรรยาของเขาเป็นหมอ ดร.แมรีรู้ว่าสามีของ
เธอเป็นโรคอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรง

เมื่อแพทย์ตรวจดูสามีของเธอที่โรงพยาบาล เขาขอให้สตีฟทาสีนาฬิกา แต่เขาวาดวงกลม
สองสามวงแล้ววาดรูปสองสามตัวโดยไม่มีตรรกะ ไม่เหมือนนาฬิกาเลย!.

หมอดึงเธอออกมาแล้วพูดว่า: "สามีของคุณใกล้จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรงแล้ว!"

ปรากฎว่าเป็นการทดสอบว่าบุคคลนั้นเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือไม่ ดร. แมรี่ในตอนนั้นอารมณ์
เสียมาก แต่ในฐานะหมอ เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอเริ่มศึกษาโรค เธอพบว่าโรคอัลไซเมอร์
เกี่ยวข้องกับการขาดกลูโคสในสมอง

งานวิจัยของเธอกล่าวว่า: "ภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุก็เหมือนมีโรคเบาหวานที่ศีรษะ !
ก่อนที่จะมีอาการของโรคเบาหวานหรือโรคอัลไซเมอร์ ร่างกายมีปัญหามา 10 ถึง 20 ปีแล้ว"

จากการศึกษาของ Dr. Mary โรคอัลไซเมอร์มีความคล้ายคลึงกับโรคเบาหวานประเภท 1
หรือประเภท 2 มาก สาเหตุก็คือความไม่สมดุลของอินซูลินด้วย

เนื่องจากอินซูลินมีปัญหา จึงป้องกันไม่ให้เซลล์สมองดูดซับกลูโคส กลูโคสเป็นสารอาหารของ
เซลล์สมอง หากไม่มีกลูโคส เซลล์สมองก็ตาย

ปรากฏว่าโปรตีนคุณภาพสูงเหล่านี้เป็นเซลล์ที่เลี้ยงร่างกายของเรา

แต่สารอาหารสำหรับเซลล์สมองของเราคือกลูโคส ตราบใดที่เราเชี่ยวชาญแหล่งที่มาของอาหาร
สองประเภทนี้ เราก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของเราเอง!

คำถามต่อไปคือ จะหากลูโคสได้ที่ไหน? ไม่ใช่กลูโคสสำเร็จรูปที่เราซื้อจากร้านค้า ไม่ได้มาจาก
ผลไม้อย่างองุ่น เธอเริ่มมองหาทางเลือกอื่น

สารอาหารทดแทนสำหรับเซลล์สมองคือคีโตน คีโตนมีความจำเป็นในเซลล์สมอง ไม่พบคีโตน
ในวิตามิน

*น้ำมันมะพร้าว* มีไตรกลีเซอไรด์ หลังจากบริโภคไตรกลีเซอไรด์ใน *น้ำมันมะพร้าว* แล้ว
จะถูกเผาผลาญเป็นคีโตนในตับ นี่คือสารอาหารทางเลือกสำหรับเซลล์สมอง!

หลังจากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ดร. แมรี่ได้เพิ่ม *น้ำมันมะพร้าว* ลงในอาหารของสามี
หลังจากผ่านไปเพียงสองสัปดาห์ เมื่อเขาไปโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อทำการทดสอบภาพวาดและ
นาฬิกา ความก้าวหน้านั้นน่าทึ่งมาก

ดร.แมรี่กล่าวว่า: "ในตอนนั้น ฉันคิดว่า พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของฉันหรือเปล่า น้ำมันมะพร้าว
ไม่ได้ผลหรอกหรือ แต่ไม่มีทางอื่นแล้ว ยังไงก็ดีกว่าถ้าใช้*น้ำมันมะพร้าว*ต่อไป"

ปัจจุบัน ดร.แมรี่ เป็นส่วนหนึ่งของฐานปฏิบัติการทางการแพทย์แผนโบราณ เธอรู้ถึงความสามารถ
ของยาแผนโบราณอย่างชัดเจน

สามสัปดาห์ต่อมา ครั้งที่สามที่เธอพาเขาไปทำการทดสอบนาฬิกาอัจฉริยะ ผลงานดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว
ความก้าวหน้านี้ไม่เพียงแต่มีสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์และร่างกายด้วย

ดร.แมรี่กล่าวว่า "เขาวิ่งไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาวิ่งได้ เขาอ่านหนังสือไม่ออกเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง แต่ตอนนี้
เขาสามารถอ่านได้อีกครั้งหลังจากกิน *น้ำมันมะพร้าว* เป็นเวลาสามเดือน"

การกระทำของสามีของเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้พูดในตอนเช้า ตอนนี้เธอสังเกตเห็นการ
เปลี่ยนแปลงมากมาย: "ตอนนี้หลังจากที่เขาลุกขึ้น เขาก็ร่าเริง พูดและหัวเราะ เขาดื่มน้ำเองและ
ถือช้อนส้อมสำหรับตัวเอง"

บนพื้นผิวงานเหล่านี้เป็นงานประจำวันที่เรียบง่าย แต่เฉพาะผู้ที่มาที่คลินิกหรือมีญาติที่เป็นโรคสมอง
เสื่อมที่บ้านเท่านั้นที่สามารถสัมผัสกับความสุขได้: ไม่ง่ายที่จะเห็นความก้าวหน้าดังกล่าว!

หลังจากทอดผักใบเขียวและหัวหอมในน้ำมันมะพร้าว ทำเค้กกับมะพร้าว หลังจากทานน้ำมันมะพร้าว
3 ถึง 4 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 2-3 เดือนต่อมา ดวงตาก็สามารถโฟกัสได้ตามปกติเช่นกัน

การศึกษาของเธอพิสูจน์ว่า *น้ำมันมะพร้าว* สามารถปรับปรุงปัญหาภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้จริงๆ

ทา *น้ำมันมะพร้าว* ลงบนขนมปัง เมื่อใช้กะทิรสชาติดีเกินคาด

คนหนุ่มสาวยังสามารถใช้เพื่อบำรุงสุขภาพและป้องกัน และสามารถปรับปรุงได้หากพวกเขามีอาการ
ของภาวะสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมเกิดขึ้นเนื่องจากสารอาหารไม่สามารถขนส่งไปยังเซลล์สมองได้ และสารอาหารจะต้อง
ส่งผ่านจากร่างกายไปยังสมองด้วยอินซูลิน

โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน การหลั่งอินซูลินไม่ใช่เรื่องง่าย “โภชนาการไม่สามารถไปถึงสมองได้
เมื่อเซลล์สมองถูกอดอาหารจนตาย พวกเขาจะขาดสติปัญญา”

*น้ำมันมะพร้าว* มีไตรกลีเซอไรด์สายกลาง ซึ่งสามารถให้สารอาหารไปยังสมองได้โดยไม่ต้องใช้อินซูลิน

*ดังนั้นจึงสามารถปรับปรุงโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสันได้*

อ่านบทความเสร็จแล้วอย่าลืมแชร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 30, 2022 10:44 pm

"จิงจูฉ่าย" เป็นผัก มหัศจรรย์ สามารถใช้รักษามะเร็งได้ !
————————————

“ผม..นิกกี้ อิทธิเกษม KU37 อดีตนายกสมาคม ม.เกษตรฯ แห่งอเมริกา จะขอเล่าประสบการณ์ที่
เคยสัมผัสมากับตัวเองเมื่อปี 2007 เพื่อเป็น กรณีศึกษาตัวอย่างและเป็นทางออกให้กับผู้ป่วย
โรคมะเร็งทั้งหลาย
ผมมีร้านอาหารอยู่ในเขต N. Hollywood วันหนึ่งกลางปี 2007 ผมได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์เก่าที่
เคยมาเรียนแจกไพ่ที่ร้าน ถามทุกข์สุขกันไปมา ถึงได้รู้ว่าเขาเคยเป็นมะเร็งที่คอ 1 ครั้ง, มะเร็งที่
ต่อมลูกหมาก 1 ครั้ง ปัจจุบันหายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งพี่น้องญาติอีก 8 คนที่เป็นมะเร็งภายในเวลา
5 ปี ทุกคนหายหมด ผมจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะถามว่า มีวิธีรักษากันอย่างไร ? 
วันนั้นคุณแม่เขามาด้วยจึงอธิบายให้ฟังว่า "ฉันมีต้นจิงจูฉ่ายอยู่ในสวนหลังบ้านเยอะ ปกติก็จะใส่
ในแกงจืดให้ลูก ๆ กินเป็นประจำ เพราะคนจีนบอกต่อ ๆ กันมาถึงสรรพคุณช่วยฟอกเลือดและขับ
สารพิษออกจากร่างกายทำ ให้ลูก ๆ ไม่ค่อยเป็นอะไร
วันหนึ่งลูกฉันไปตรวจกับหมอกลับมา บอกว่าเป็นมะเร็ง อีก 2 เดือนต้องไปฉายแสง ฉันจึงลองเอา
จิงจูฉ่าย 1 กำมือมาตำ จะได้น้ำออกมาแก้ว (เล็ก) หนึ่ง ให้เขากินตอนเช้าทุกวัน 2 เดือนถัดมา
ไปตรวจ หมอถามไปทำอะไรมา ทุกอย่างปกติหมด มะเร็งได้หายไปแล้ว"
หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า คน 8 คนเป็นมะเร็งในที่ต่างกัน กินน้ำจิงจูฉ่าย
2-3 เดือน ทุกคนหายหมด (ไม่มีใครต้องทำคีโมเลย) ผมจึงเกิดความเชื่อถือขึ้นมาระดับหนึ่ง    
ก่อนหน้านั้น พี่สะใภ้ผม 2 คน (ปี 2006) เป็นมะเร็งที่เต้านม, มดลูก คนหนึ่งต้องทำคีโม
ใช้วิธี "นั่งสมาธิ" ทุกวัน 8 เดือน หายเป็นปกติ
ต่อมาผมได้ต้นจิงจูฉ่ายมา 1 ต้น จากคุณแม่ของลูกศิษย์ จึงรีบนำมาเพาะขยาย ปลายปี 2008
ผมได้รู้ว่าแม่ค้าที่เช่าที่ในร้านผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมขั้น 3 หน้าคล้ำ เดินตัวแข็งแล้ว ผมรีบเชิญ
มานั่งคุยเล่าเรื่องจิงจูฉ่ายให้ฟังและเรื่องพี่สะใภ้นั่งสมาธิ ก็เลยแนะนำให้ทำ 2 อย่างควบคู่กันไป
เชื่อไหมว่า 3 เดือนถัดไป หายเป็นปลิดทิ้ง (ผมให้เขาไปเพียง 1 ต้นไปปลูก และเด็ดใบทานเลยวันละ
1 ใบ เพราะมีน้อย ก็ยังได้ผล)
ปี 2009 ผมมีต้นจิงจูฉ่ายมากขึ้นและแจกจ่ายให้กับคนรู้จักหลายคน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง 3 เดือน
ทุกคนอาการดีขึ้นหมด ถ้าเราอยากช่วยผู้ที่เรารักและห่วงใยซึ่งกำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้ ผมแนะนำวิธีนี้
ถ้าคุณต้องทำคีโมก็ทำไป กินใบจิงจูฉ่าย และนั่งสมาธิผมว่าคุณมีโอกาสหาย        
ผมพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผักชนิดนี้ แพทย์จีนโบราณเรียกว่า "ยาเย็น" เป็น "หยิน"
ช่วยฟอกเลือด, ขับสารพิษ..ฆ่าเชื้อ ไวรัสทุกชนิด..
เพื่อน KU 37 คนหนึ่งลองให้ลูกกิน เนื้องอกที่คอก็ยุบลง เนื่องจากที่ LA เรามีน้อยมาก ถ้าเกิดใคร
ต้องการมาก ๆ (จริง ๆ ต้องทานวันละ 1 กำ) ลองคุยกับคุณน้อยที่สวนคุณน้อย จ.เชียงใหม่
เขาขาย กก.ละ 35 บาท ใครเป็นมะเร็งลองดูซิครับ ทานแล้วยังไงก็ไม่มีผลข้างเคียง แต่ คุณมี
โอกาสหายครับ ใครที่เคยสั่ง "เกาเหลาเลือดหมู" มาทาน เคยสงสัยกันไหมว่า ในชามเกาเหลาของเรา
จะมีผักสีเขียวชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ผักกาดหอม คึ่นฉ่าย หรือใบตำลึงใส่ชามมาด้วย หลายคนไม่ทราบว่า
เจ้าผักชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แล้วมีสรรพคุณอย่างไร เอ้า...ใครที่ไม่รู้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลยค่ะ
เจ้าผักชนิดนี้เรียกว่า "จิงจูฉ่าย" ค่ะ หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า "เซอเลอรี่" (Celery) เป็นผักสมุนไพร
ชนิดหนึ่งของจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ลักษณะต้น "จิงจูฉ่าย" จะเป็นกอคล้าย
ใบบัวบก สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ ชอบอากาศเย็น
มากกว่าอากาศร้อน
คุณค่าทางโภชนาการของ "จิงจูฉ่าย" มีไม่น้อยทีเดียวค่ะ เพราะ "จิงจูฉ่าย" 100 กรัม ให้พลังงาน 392
กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสารอาหารนานาชนิด คือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, แคลเซียม,
เหล็ก, ฟอสฟอรัส, วิตามินเอ, วิตามินบี 6, วิตามินซี และวิตามินอี
มาที่สรรพคุณทางยากันบ้างดีกว่า จุดเด่นของ "จิงจูฉ่าย" คือมีกลิ่นหอม คล้าย ๆ กับตั้งโอ๋ ยิ่งโดน
ความร้อนจะยิ่งหอม และยิ่งเพิ่มสรรพคุณมากขึ้น โดยกลิ่นหอมของ "จิงจูฉ่าย" มาจากน้ำมันหอม
ระเหยที่มีอยู่ในลำต้นและใบนั่นเอง ประกอบด้วยสารไลโมนีน ซิลนีน และสารกลัยโคไซด์ที่มีชื่อว่า
อะปิอิน ซึ่งสารเหล่านี้มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดัน
แถมยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย
ส่วนต้นสด และเมล็ดของ "จิงจูฉ่าย" มีโซเดียมต่ำ จึงดีต่อผู้ป่วยโรคไต
นอกจากนี้ ในทางการแพทย์เชื่อว่า "จิงจูฉ่าย" เป็นยาเย็น จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด
เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานในหน้าหนาว
เพื่อช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลให้ร่างกายได้ดีนั่นเอง
ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเราจึงมักเห็น "จิงจูฉ่าย" อยู่ในเกาเหลาเลือดหมู นั่นก็เพราะ "จิงจูฉ่าย"
มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ดีด้วยค่ะ
แต่จริง ๆ แล้ว "จิงจูฉ่าย" ไม่ได้ใช้ทำอาหารได้เพียงแค่ต้มเลือดหมูเท่านั้นนะ เพราะอาหารประเภท
แกงจืดทั้งหลาย หรือผัดผัก ผัดฉ่าก็สามารถใช้ "จิงจูฉ่าย" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวน่ารับประทานไม่แพ้กัน
จิงจูฉ่ายในรูปแบบชา  คัดวัตถุดิบใบจิงจูฉ่ายคุณภาพ  ปลอดสาร ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน
สะอาดปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อน รสชาติหอมหวานไม่ขม ดื่มง่าย โดยกระบวนการหมัก นวดอย่าง
พิถีพิถัน และอบด้วยไฟอ่อนเพื่อให้คงคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยา  ชาจิงจูฉ่ายจึงมี
ประโยชน์มากมาย  และเนื่องจากเป็นสมุนไพรจึงไม่มีผลข้างเคียง
มะเร็งระยะสุดท้าย 2 ปี ไม่เข้ารับรักษา ค่ามะเร็งลดได้…: https://youtu.be/uITAm2Gi5mQ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 27, 2022 8:27 pm

หมอ Arnaldo Liechtenstein
ถามนักศึกษาแพทย์ในห้องเรียนว่า
อะไรคือต้นเหตุของ
ความเลอะเลือนในผู้สูงอายุ
บางคนตอบว่า
เนื้องอกในสมอง
บางคนว่า
อาการเริ่มต้นของ
อัลไซเมอร์
หมอบอกว่า No


และคำตอบ
คือ 3 สาเหตุหลัก

1.เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
2.ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
3.การขาดน้ำ

มันดูเหมือนเรื่องตลก
คนอายุเกิน60 ความรู้สึกกระหายน้ำจะหายไป
และความสม่ำเสมอในการดื่มเครื่องดื่มจะหมดไป
และ
เมื่อไม่มีคนรอบข้าง
คอยย้ำเตือนให้ดื่มของเหลว
เขาก็จะเข้าสู่ภาวะขาดน้ำอย่างรวดเร็ว

การขาดน้ำ
จะมีผลความเสียหายรุนแรงทั่วร่างกาย
อาจจะเกิดความเลอะเลือน ขึ้นทันที
ความดันโลหิต
ลดลง
มีอาการใจสั่นเพิ่มขึ้น

อาการปวดร้าวในทรวงอก
อาจเข้าสู่ภาวะโคม่า
อาจถึงแก่ความตาย

นิสัย ลืมดื่มน้ำและของเหลว
เมื่ออายุ 60 นี้

ทำให้ร่างกายมีน้ำไม่เกิน 50%
ของที่ควรจะมี

คนอายุ 60
มีแหล่งน้ำสำรองในร่างกายน้อย

นี่คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติการเข้าสู่
ภาวะชรา

มันมีความซับซ้อนอยู่ภายใน
แม้พวกเขาจะอยู่ในภาวะขาดน้ำ
แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบการดื่มน้ำ

เหตุเพราะ กลไกในร่างกาย
ไม่สมดุลย์และทำงานได้ไม่ดีพอ

สรุป
คนอายุเกิน60
มีภาวะการขาดน้ำได้ง่าย
ไม่เพียงเพราะเขามีแหล่งน้ำสำรองน้อย
แต่ยังเพราะร่างกายเขาไม่รู้สึกถึงการขาดน้ำ

นี่คือสองคำแนะนำ

1.สร้างนิสัยการดื่มของเหลว
ในที่นี้รวมถึง น้ำเปล่า
น้ำผลไม้ ชา น้ำมะพร้าว นม
ซุป ผลไม้ที่มีน้ำเยอะเช่นแตงโม
เมล่อน พีช สัปปะรด ส้ม

ควรจำไว้ว่าทุกสองชั่วโมง

ต้องดื่มกินของเหลว
เหล่านี้

2.คำเตือนสำหรับสมาชิกในครอบครัว
ต้องคอยให้น้ำและของเหลวแก่คนอายุเกิน60
ในบ้านและคอยสังเกตเขาด้วย

ถ้าเราสังเกตเห็นว่าเขาปฏิเสธการดื่มน้ำ
ถึงสองวัน

จะเริ่มเห็นอาการหงุดหงิด หายใจเบาลง ขาดสมาธิ

นั่นคือภาวะของการขาดน้ำ

ช่วยกันกระต้น
ให้เกิดการดื่มน้ำมากขึ้น

ส่งต่อข้อมูลนี้ให้ผู้อื่น เพื่อน

และครอบครัวควรจะได้รับรู้เรื่องนี้เพื่อมีสุขภาพที่ดีขึ้น
มีความสุขมากขึ้น

ผู้คนอายุเกิน 60

ควรได้รับการแชร์เรื่องนี้

:s015:
ตอบกลับโพส