ประวัตินักบุญอย่างย่อเดือนธันวาคม (วันที่ 1-15 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 01, 2021 11:11 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๑ ธันวาคม
นักบุญเอ็ดมุนด์แคมเปียน
St. Edmund Campion

เอ็ดมุนด์เกิดที่ลอนดอนในปี ๑๕๔๐ เขาได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบคาทอลิก
ความมีสติปัญญาอันเปรื่องปราดของเขาเป็นที่ยกย่อง ด้วยวัยเพียง ๑๗ ปี
เขาได้ร่วมเป็นสมาชิกผู้เยาว์ของสภานักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

ในการเสด็จเยือนมหาวิทยาลัย พระราชินีเอลิซาเบ็ธทรงประทับใจในความเฉลียว
ฉลาดของเอ็นมุนด์เป็นอย่างยิ่งถึงกับทรงอนุญาตให้เขาทูลขออะไรก็ได้จากพระองค์
เกียรติยศและคำสรรเสริญที่ได้รับทำให้เอ็ดมุนด์หลงระเริงไปกับความฟุ้งเฟ้อเขาทอด
ทิ้งความเชื่อคาทอลิก และสาบานรับองค์ราชินีเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนจักรเขาได้เป็น
อนุสงฆ์ของคริสตจักรแองกลิกันด้วย

อย่างไรก็ตาม มโนธรรมและความเฉลียวฉลาดที่มีทำให้เอ็ดมุนด์ไม่สามารถยอมรับ
ความเป็นแองกลิกันได้นาน หลังจากใช้เวลาพำนักอยู่ในเมืองดับลินระยะเวลาหนึ่ง
เอ็ดมุนด์ก็ได้คืนสู่ความเชื่อคาทอลิก เมื่อกลับมาอังกฤษ เขาพบเห็นการไต่สวนคาทอลิก
ผู้หนึ่งซึ่งต่อมาถูกสังหารเป็นมรณสักขีเหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนเขา เอ็ดมุนด์มั่นใจแล้วว่า
กระแสเรียกของเขาคือการเป็นผู้อภิบาลบรรดาชาวคาทอลิกใน ประเทศอังกฤษที่ถูกเบียด
เบียนข่มเหง เขายังรู้สึกถึงกระแสเรียกทำงานให้พวกโปรแตสแตนท์กลับใจด้วย

เอ็ดมุนด์จาริกด้วยเท้าเปล่าไปยังโรม และในปี ๑๕๗๓ เขาก็เข้าคณะเยสุอิต เขารับศีลบวช
เป็นพระสงฆ์

ปี ๑๕๗๘ เขาเห็นภาพนิมิตจากแม่พระว่าเขาจะเป็นมรณสักขีเมื่อกลับสู่อังกฤษ เอ็ดมุนด์ก็
เริ่มทำงานอย่างน่าประทับใจ มีคนจำนวนมากมายกลับใจ

ปี ๑๕๘๑ เอ็ดมุนด์ถูกคาทอลิกคนหนึ่งทรยศเขาถูกจับขังคุก พระราชินีทรงสัญญาจะให้ความมั่ง
คั่งทุกอย่างเพียงเขาสละความภักดีต่อพระสันตะปาปา แต่เอ็ดมุนด์ปฏิเสธ

หลังจากถูกคุมขังในหอคอยแห่งลอนดอนช่วงเวลาหนึ่ง เอ็ดมุนด์ก็ถูกประหารด้วยการแขวนคอ
ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๑๕๘๑ การตายของเขานำคนจำนวนมากให้กลับคืนสู่ศาสนจักรคาทอลิก
พระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๖ ทรงประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ๑๙๗๐

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 03, 2021 9:02 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ 3 ธันวาคม
นักบุญฟรังซิส เซเวียร์
St. Francis Xavier

ฟรังซิส เซเวียร์ เกิดในปี ๑๕๐๖ ในอาณาจักร Navarre ดินแดนซึ่งขณะนี้ถูกแบ่งเป็น
ของฝรั่งเศสและสเปน มารดาของฟรังซิสสืบสายเลือดผู้สูงศักดิ์บิดาเป็นที่ปรึกษา
ของกษัตริย์ยอห์น ที่ 3 พี่น้องของฟรังซิสสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพ แต่เขาสมัคร
เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยปารีส ที่นั่น ฟรังซิสเรียนปรัชญาและทำหน้าที่สอนหลัง
จากได้รับปริญญาโท

ในปารีส ฟรังซิสจะพบเป้าหมายชีวิตของเขาโดยผ่านการช่วยเหลือของเพื่อนเก่าแก่ชื่อ
ปีเตอร์เฟเบอร์และนักศึกษาอายุมากคนหนึ่งชื่ออิกญาซีโอ โลโยลา ซึ่งมาปารีส
ในปี ๑๕๒๘ เพื่อเรียนให้จบระดับปริญญา ฟรังซิสจะถูกชักนำเข้ากลุ่มชายหนุ่มที่มุ่งจะ
ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยชีวิตของพวกเขา

ทีแรกความทะเยอทะยานส่วนตัวทำให้ฟรังซิสไม่ฟังเสียงเรียกของพระ ความสุภาพ
ถ่อมตนและรูปแบบชีวิตเคร่งครัดของอิกญาซีโอก็ไม่ได้ดึงดูดใจเขาแต่อิกญาซีโอผู้
มีประสบการณ์กลับใจอย่างตื่นเต้นเร้าใจได้ถามคำถามของพระเยซูกับฟรังซิสเสมอๆ
ว่า "จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราจะได้โลกทั้งโลกมาครองแต่สูญเสียวิญญาณ?"

ทีละน้อยอิกญาซีโอทำให้ฟรังซิสยกเลิกแผนการของเขา และเปิดใจรับพระประสงค์ของ
พระเจ้า ปี๑๕๓๔ ฟรังซิส เซเวียร์ ปีเตอร์ เฟเบอร์ และชายหนุ่มอีก ๔ คนร่วมกับอิกญาซีโอ
ถวายคำสาบานถือความยากจน ความบริสุทธิ์และการอุทิศตนเพื่อทำงานประกาศพระวรสาร
โดยจะนบนอบคำสั่งของพระสันตะปาปา

ฟรังซิสบวชเป็นสงฆ์ในปี ๑๕๓๗ สามปีต่อมา พระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๓ ทรงรับรองคณะนัก
บวชเยสุอิตของอิกญาซีโอและสหาย ระหว่างปีนั้นเองกษัตริย์โปรตุเกสทรงขอร้องให้
พระสันตะปาปาส่งธรรมทูตไปยังแว่นแคว้นอินเดียที่พระองค์เพิ่งได้ครอบครอง

ฟรังซิสกับเพื่อนเยสุอิตอีกคนหนึ่งชื่อ ซีมอน โรดริเกซ ใช้เวลาอยู่ในโปรตุเกสเพื่อดูแล
คนเจ็บป่วยและสอนเรื่องความเชื่อ แล้วในวันเกิดอายุ ๓๕ ปีเขาก็ล่องเรือเดินทางไปกัว
ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าชาวอาณานิคมโปรตุเกส
สร้างความเสื่อมเสียให้พระศาสนจักรโดยพฤติกรรมเลวทราม

ในสถานการณ์เช่นนี้ฟรังซิสทำงานทันทีเขาเยี่ยมเยียนนักโทษและคนป่วยรวมรวมเด็ก
เป็นกลุ่มเพื่อสอนเรื่องพระเจ้า เขาเทศน์ประกาศแก่ทั้งชาวโปรตุเกสและชาวอินเดียเขา
ปรับตัวเข้ากับความเป็นอยู่ของคนที่นั่นด้วยการกินข้าวและอยู่ในกระท่อมพื้นดิน

งานธรรมทูตของฟรังซิสกับคนท้องถิ่นประสบความสำเร็จแต่การทำให้คนชั้นสูงกลับใจ
ยากลำบากกว่า เขาพบเจอการต่อต้านจากทั้งชาวฮินดูและมุสลิม ปี ๑๕๔๕ ฟรังซิสเดินทาง
ขยายเขตการทำงานไปถึงมาเลเซียก่อนจะไปถึงญี่ปุ่นในปี ๑๕๔๙

เมื่อพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องแล้ว ฟรังซิสก็สอนคนญี่ปุ่นรุ่นแรกให้รับเชื่อเป็นคาทอลิก
คาทอลิกญี่ปุ่นเหล่านี้หลายคนกล่าวว่ายินดีจะรับทรมานเป็นมรณสักขียิ่งกว่าจะสละ
ความเชื่อที่นำมาสู่พวกเขาโดยเยสุอิตจากแดนไกล

ฟรังซิสล้มป่วยและเสียชีวิตในวันที่ ๓ ธันวาคม ๑๕๕๒ ขณะนั้น เขากำลังหาวิธีเดินทาง
เข้าไปในอาณาจักรจีน ปี ๑๖๒๒ ฟรังซิส เซเวียร์และอิกญาซีโอโลโยลา
ได้รับการประกาศเป็นนักบุญในวันเดียวกัน

CR. : Sinapis


+ อัศจรรย์นักบุญฟรังซิสเซเวียร์กับปู 😇🦀

นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ (Saint Francis Xavier) มีชีวิตอยู่ในช่วงปีค.ศ.1506-ค.ศ.1552
ท่านเป็นธรรมทูตผู้ยิ่งใหญ่ของคณะเยซูอิตและองค์อุปถัมภ์มิสซังสากล ท่านเป็นผู้ประกาศ
ข่าวดีมายังเอเชียด้วยใจร้อนรนและหนึ่งในเรื่องราวน่าเหลือเชื่อของธรรมทูตผู้นี้คือเรื่อง
"นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ กับ ปู" 😇🦀

ตามตำนานเล่าขานกันมาว่า ในขณะที่ท่านนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ กำลังโดยสารเรือจาก
เกาะอินโดนีเซีย เพื่อไปยังแหลมมลายู ในช่วงศตวรรษที่ 16 ในปีค.ศ.1546 แต่ในขณะที่เรือ
แล่นมาถึงช่องแคบมะละกา เรือที่ท่านโดยสารมาก็ประสบกับพายุร้าย🌪 ดังนั้นท่านจึงจุ่ม
ไม้กางเขน✝️ของท่านลงในทะเล🌊 พร้อมอธิษฐานต่อพระบิดาเจ้าให้พายุร้ายสงบลง
พายุสงบลงในทันทีแต่ไม้กางเขน✝️นั้นก็หลุดมือท่านและจมหายไปในทะเล🌊 ท่านภาวนา
วิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อที่จะได้มันกลับมา🙏

ต่อมาเมื่อท่านมาถึงชายฝั่งของแหลมมลายูได้อย่างปลอดภัยแล้ว ท่านก็ได้แลเห็นปูตัวหนึ่ง🦀
กำลังเดินอยู่บนชายหาดและที่ก้ามของมันนั้นก็ปรากฏกางเขนของท่าน✝️ ปู🦀เดินมาถึงท่าน
ซึ่งท่านก็ได้คุกเข่าลงและก้มไปหามัน มันหยุดต่อหน้าท่านและและวางกางเขนไว้✝️ ก่อนมุ่งหน้า
กลับทะเลเช่นเดิม ท่านคุกเข่าลงและเอาไม้กางเขนคืน✝️ด้วยก่อนอวยพรให้มัน และฉับพลันกางเขน✝️
ก็ปรากฏขึ้นบนกระดองของปูตัวนั้น ก่อนภาวนาขอบพระคุณพระเจ้า🙏สำหรับกางเขน✝️ได้คืนมานี้

ในปัจจุบันปู🦀ที่มีกางเขน✝️ที่กระดองมันนี้ยังสามารถพบได้อยู่ จนถึงทุกวันนี้

😇 นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ธรรมทูตผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยวิงวอนเทอญ 💒💒🙏🙏

CR. : https://servan-of-god.blogspot.com/2013 ... tjivtc&m=1
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 04, 2021 9:26 pm

ฉลองนักบุญ วันที่๔ ธันวาคม
นักบุญยอห์นแห่งดามัสกัส
St. John of Damascus

นักบุญยอห์นแห่งเมืองดามัสกัส (ปี ๖๗๖-๗๔๙) เป็นที่รู้จักดีที่สุดในฐานะผู้ปกป้อง
ศิลศักดิ์สิทธิ์ของคริสตชน โดยเฉพาะในรูปแบบของไอคอน (icons) พระศาสนจักร
แห่งโรมและคอนสแตนติโนเปิลยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันในช่วงอายุของยอห์น
แต่จักรพรรดิเลโอ ที่ ๓ แห่งไบแซนไทน์ได้แยกตัวออกจากธรรมเนียมเก่าแก่ของ
พระศาสนจักรโดยกล่าวหาว่าการนมัสการภาพไอคอนถือเป็นบาปกราบกรานรูปเคารพ

ยอห์นเติบโตมาภายใต้การปกครองของมุสลิมในเมืองดามัสกัส แต่บิดามารดาของท่าน
เป็นคริสตชนที่มีความเชื่อแน่นแฟ้น การศึกษาดีเลิศของยอห์น โดยเฉพาะในด้านเทววิทยา
ได้เตรียมความพร้อมแก่ท่านในการปกป้องรักษาธรรมเนียมภาพไอคอนศักดิ์สิทธิ์

ในปี ๗๒๐ ยอห์นเริ่มต่อต้านอย่างเปิดเผยต่อคำสั่งของจักรพรรดิที่ห้ามมีภาพศักดิ์สิทธิ์
ท่านเขียนหนังสือหลายเล่ม ประเด็นสำคัญของข้อโต้แย้งมี ๒ ประการ คือ
๑. คริสตชน ไม่ได้นมัสการภาพ แต่โดยอาศัยภาพเหล่านั้น พวกเขานมัสการพระเจ้า
และให้ความเคารพในการระลึกถึงพวกนักบุญ และ
๒. ยอห์นยืนยันว่าการที่พระคริสต์บังเกิดมารับสภาพเป็นมนุษย์ก็คือข้อสนับสนุน
ให้พระศาสนจักรวาดภาพพระองค์ได้

ปี ๗๓๐ ยอห์น ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องศิลปศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์อย่างเป็นทางการ
ได้เป็นศัตรูอย่างถาวรของจักรพรรดิ พระองค์ใช้ให้คนเขียนจดหมายปลอมลายเซ็นของ
ยอห์นว่าได้รับข้อเสนอที่จะหักหลังผู้ปกครองชาวมุสลิมแห่งเมืองดามัสกัส

คาลิฟผู้ครองนครเชื่อว่าจดหมายนั้นเป็นจริง พระองค์ออกคำสั่งให้ตัดศีรษะยอห์น แต่ตาม
ชีวประวัติของท่านที่คงเหลือเพียงเล่มเดียวกล่าวว่าพระนางมารีย์ได้ต่อคืนศีรษะให้ท่านอย่าง
น่าอัศจรรย์ และยอห์นสามารถทำให้ผู้ปกครองมุสลิมเชื่อในความบริสุทธิ์ของท่านได้ในที่สุด
หลังจากนั้น ยอห์นตัดสินใจเป็นฤษีและบวชเป็นพระสงฆ์

งานเขียนด้านเทววิทยาของยอห์นมีอิทธิพลลึกซึ้งต่อนักบุญโทมัส อไควนัส และอีกหลาย
ศตวรรษให้หลัง บทเทศน์ของท่านเรื่องการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ทางกายของพระนางมารีย์ก็ถูก
อ้างอิงโดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๒ เมื่อพระองค์ทรงให้นิยามข้อความเชื่อเรื่องนี้

บทขับร้องและกวีนิพนธ์ของยอห์นแห่งดามัสกัสยังถูกใช้ในพิธีกรรม
ของศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ตะวันออกมาจนทุกวันนี้

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 05, 2021 4:43 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๕ ธันวาคม
บุญราศีฟิลิป รีนัลดี
Blessed Phillip Rinaldi

ฟิลิปเกิดวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๑๘๕๖ ในเมือง Piedmont ประเทศอิตาลีเขาพบ
ดอนบอสโกเมื่ออายุเพียง ๕ ขวบ แต่รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าท่านเป็นบุรุษผู้มีภารกิจ
ยิ่งใหญ่

เมื่ออายุ ๒๒ ปี ฟิลิปเข้าคณะซาเลเซียนภายหลังต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อกระแสเรียก
และแม้กระทั่งก่อนถวายตัวเขาก็ถูกตั้งให้เป็นผู้ช่วยนวกจารย์และให้ดูแลพวกผู้มี
กระแสเรียกที่อายุมากแล้ว ฟิลิปบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ๑๘๘๒

ไม่นาน ฟิลิปได้เป็นอธิการเจ้าคณะแขวงในสเปน ท่านเปิดบ้านใหม่หลายหลังและ
รับหน้าที่เป็นรองมหาอธิการของคณะซาเลเซียนก่อนจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งคนที่ ๓
ต่อจากดอนบอสโกในปี ๑๙๒๒

ท่านปกครองดูแลคณะอย่างสุภาพถ่อมตนและเงียบๆ ท่านชอบที่จะอยู่เบื้องหลัง
ไม่เป็นที่สังเกตของฝูงชน ท่านมีคุณธรรมเยี่ยงนักบุญและความกระตือรือร้นในการ
ประกาศพระวรสาร การเยียวยาให้หายอย่างอัศจรรย์จากผู้สวดขอต่อท่านในปลาย
สงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้เริ่มกระบวนการแต่งตั้งท่านเป็นนักบุญ

ท่านเสียชีวิตวันที่ ๕ ธันวาคม ๑๙๓๑ ในเมืองตูริน และรับการประกาศเป็นบุญราศี
วันที่ ๒๙ เมษายน ๑๙๙๐ โดยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒

"เธอต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดรน่ะหรือ? ก่อนอื่นหมด สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือ
สวดภาวนาขอความกล้าหาญทุกวันให้แบกกางเขนที่พระเจ้ามอบให้เธอจากนั้น
เธอแต่ละคนจงทำงานของตัวเองอย่างดี งานที่เหมาะกับสภาพของเธออย่างที่พระเจ้า
ทรงต้องการ" บุญราศีฟิลิป รีนัลดี

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 06, 2021 9:18 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๖ ธันวาคม
นักบุญนิโคลาสแห่งไมรา
St. Nicholas of Myra

วันนี้คริสตชนรำลึกถึงสังฆราชท่านหนึ่งในยุคแรกของพระศาสนจักร ซึ่งมีชื่อเสียง
ในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรักพวกเด็กๆ ท่านเกิดเมื่อปลายศตวรรษที่ ๓ หรือ ๔
ใน Lycia ซึ่งอยู่ในเอเชียไมเนอร์ นักบุญนิโคลาสแห่งไมราเป็นแรงบันดาลใจและ
เป็นที่มาของซานตาคลอสในยุคของเรา

เมื่อเป็นหนุ่ม ท่านจาริกแสวงบุญไปที่ปาเลสไตน์และอียิปต์เพื่อศึกษาในสำนักของ
ปิตาจารย์ทะเลทรายเมื่อเดินทางกลับถิ่นเกิดในอีกหลายปีให้หลัง ท่านก็ได้รับการ
บวชเป็นสังฆราชแห่งไมราแทบจะในทันที ไมราปัจจุบันคือเมือง Demre เป็นเมือง
ชายฝั่งของประเทศตุรกี

ในยุคเบียดเบียนศาสนาคริสต์โดยจักรพรรดิ Diocletian ท่านถูกจับขังคุกและได้
รับการปล่อยตัวหลังจากพระเจ้าคอนสแตนตินมหาราชก้าวขึ้นสู่อำนาจและประกาศ
ให้คริสตศาสนาเป็นศาสนาทางการของจักรวรรดิโรมัน

เรื่องเล่าถึงความเอื้อเฟื้อของท่านที่มีชื่อเสียงมากเรื่องหนึ่งคือท่านโยนถุงบรรจุทองคำ
ผ่านหน้าต่างบ้านของชายยากจนคนหนึ่งเพื่อให้เขาใช้เป็นเงินหมั้นหมายของลูกสาว
ซึ่งมิฉะนั้นจะถูกขายเป็นทาส

เล่ากันว่าทองหล่นลงในถุงเท้าของคนในครอบครัว ซึ่งผึ่งใกล้ไฟ นี่เองจึงเป็นเหตุที่พวก
เด็กๆ แขวนถุงเท้าไว้ที่ประตูหรือเตาผิงเพื่อรอรับของขวัญในวันก่อนวันฉลองของท่าน

นักบุญนิโคลาสเกี่ยวข้องกับคริสต์มาสเพราะมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าท่านมักจะแอบให้
ของขวัญอย่างลับๆ แก่พวกเด็กเสมอ นอกจากนั้น ตัวท่านนักบุญซึ่งใส่ชุดสีแดงและไว้
เครายาวได้ถูกปรับแปลงตามวัฒนธรรมจนเป็นคนร่างอ้วนใหญ่นั่งบนเลื่อนลากด้วย
กวางเรนเดียร์บรรทุกของเล่นเต็มคัน เพราะว่าในภาษาเยอรมัน ชื่อของท่าน
San Nikolaus ก็ออกเสียงคล้ายๆ Santa Claus (ซานตาคลอส) น่ะเอง

พระศาสนจักรตะวันออกรู้จักท่านในนามนักบุญนิโคลาสแห่งไมรา ตามชื่อเมืองที่ท่าน
ปกครอง แต่สำหรับศาสนจักรตะวันตก ท่านถูกเรียกว่านักบุญนิโคลาสแห่งบารี (Bari)
เพราะในช่วงที่ชาวมุสลิมพิชิตตุรกีปี ๑๐๘๗ พระธาตุของท่านถูกนำไปเมืองบารีโดย
ชาวอิตาเลียน

ท่านเป็นนักบุญอุปถัมถ์ของเด็กๆ และกลาสีผู้คนสวดขอความช่วยเหลือจากท่าน
เมื่อเกิดเหตุเรืออัปปาง เกิดสภาวะยากลำบากทางเศรษฐกิจและประสบอัคคีภัย

ท่านสิ้นใจในวันที่ ๖ ธันวาคม ๓๔๕

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 07, 2021 8:13 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๗ ธันวาคม
นักบุญอัมโบรส
St. Ambrose

วันนี้พระศาสนจักรคาทอลิกฉลองนักบุญอัมโบรส สังฆราชผู้ปราดเปรื่องแห่งมิลาน
ท่านมีอิทธิพลต่อการกลับใจของนักบุญออกัสติน และท่านได้รับการประกาศเป็น
นักปราชญ์ของพระศาสนจักร

อัมโบรสเกิดประมาณปี ๓๔๐ ท่านได้รับการศึกษาอย่างดีและเป็นเหมือนปัญญาชน
ในยุคนั้นที่ต้องการจะประสานวัฒนธรรมทางสติปัญญาของกรีกกับโรมันด้วยความเชื่อ
คาทอลิก ท่านฝึกฝนเป็นทนายความ และที่สุดได้เป็นผู้ว่าการเมืองมิลาน ท่านแสดง
ให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านสติปัญญาในการปกป้องความเชื่อคาทอลิกก่อนท่านจะรับ
ศีลล้างบาปเสียอีก

ขณะที่อัมโบรสเป็นผู้ว่าการเมืองมิลานอยู่นั้น สังฆราชชื่อออเซนติอุส (Auxentius)
เป็นผู้นำของสังฆมณฑล สังฆราชผู้นี้แม้จะเป็นนักเทศน์ชั้นเลิศและมีบุคลิกทรงอำนาจ
แต่เขาก็เห็นด้วยกับความคิดอันผิดพลาดของอาริอุส (Arius) ซึ่งปฏิเสธสภาวะพระเจ้า
ของพระคริสต์

สังคายนาแห่งเมืองนีเชีย (Nicaea) ยืนยันในคำสอนตามธรรมประเพณีเรื่องความเป็น
พระเจ้าของพระเยซู แต่สมาชิกศาสนจักรที่มีการศึกษาสูงจำนวนมากรวมทั้งสังฆราช
ส่วนใหญ่ในช่วงเวลาหนึ่งได้ถือว่าลัทธิของอาริอุสมีความลึกซึ้งและเหมาะกับประชากร
คริสตชนที่อาศัยอยู่ในเมือง สังฆราชออเซนติอุสบังคับให้พระสงฆ์ในสังฆมณฑลยอม
รับข้อความเชื่อของอาริอุส

เมื่อสังฆราชออเซนติอุสเสียชีวิต อัมโบรสยังไม่ได้รับศีลล้างบาป แต่ความเข้าใจลึกซึ้ง
และความรักในความเชื่อตามธรรมประเพณีของท่านได้ปรากฏชัดแจ้งแก่คริสตชน
เมืองมิลาน พวกเขาเห็นว่าท่านเป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะสืบทอดตำแหน่งสังฆราช แม้ว่า
ขณะนั้นท่านยังเป็นเพียงผู้เรียนคำสอน

แล้วด้วยความช่วยเหลือของจักรพรรดิวาเลนเทียน (Valentian) ฝูงชนคาทอลิกชาว
มิลานกลุ่มหนึ่งก็บังคับให้อัมโบรสเป็นสังฆราชของพวกเขา เพียง ๘ วันภายหลังรับศีล
ล้างบาป อัมโบรสก็รับการอภิเษกเป็นสังฆราชในวันที่ ๗ ธันวาคม ๓๗๔ ซึ่งวันดังกล่าวนี้
เองที่ได้เป็นวันฉลองรำลึกถึงท่านตามปฏิทินพิธีกรรมศาสนจักร

สังฆราชอัมโบรสไม่สร้างความผิดหวังให้กับผู้แต่งตั้งและอภิเษกท่าน ท่านเริ่มงาน
อภิบาลด้วยการแจกจ่ายทุกอย่างที่มีให้กับคนยากจนและพระศาสนจักร ท่านใช้งาน
เขียนของนักเทววิทยาชาวกรีกอย่างเช่นนักบุญบาซิลเพื่อช่วยอธิบายคำสอนตามธรรม
ประเพณีของพระศาสนจักรในช่วงเวลาที่เกิดความสับสนในด้านข้อคำสอน

และเช่นเดียวกับปิตาจารย์ของพระศาสนจักรตะวันออกอัมโบรสได้นำเอาปรีชาญาณ
ที่มีในปรัชญาและวรรณกรรมก่อนยุคคริสตศาสนามาช่วยอธิบายให้เรื่องความเชื่อเป็น
ที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับสัตบุรุษทั่วไป ความกลมกลืนของความเชื่อกับแหล่งความรู้อื่นๆ
เช่นนี้ได้ดึงดูดหลายๆ คน รวมทั้งอาจารย์หนุ่มชื่อออเรลิอุส ออกัสติน (Aurelius Augustinus)
ให้ติดตามคำสอนของท่าน อัมโบรสสอนและล้างบาปให้อาจารย์หนุ่มคนนี้ผู้ซึ่งประวัติศาสตร์
จะรู้จักในนามนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป

อัมโบรสใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เขียนหนังสือมากมายและทำมิสซาทุกวัน แต่กระนั้น
ท่านยังมีเวลาให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ตอบคำถามคนต่างศาสนา อธิบาย
ความเชื่อแก่คาทอลิกที่สับสน และบรรเทาใจคนบาปที่เป็นทุกข์ ประชาชนชาวมิลานไม่ต้อง
สำนึกเสียใจเลยที่พวกเขายืนยันให้ผู้บริหารฝ่ายบ้านเมืองคนนี้มาเป็นผู้นำศาสนจักรท้องถิ่น
ของพวกตน

ความเป็นที่นิยมยกย่องของอัมโบรสได้ช่วยปกป้องท่านจากบรรดาผู้ต้องการจะบีบบังคับ
ให้ท่านออกจากสังฆมณฑล หนึ่งในนั้นคือจักรพรรดินีจัสตินา (Justina) และกลุ่มที่ปรึกษา
ของพระนาง อัมโบรสปฏิเสธพระนางอย่างกล้าหาญในการที่พระนางพยายามจะแต่งตั้ง
พวกสังฆราชที่เป็นเฮเรติก (ถือความเชื่อผิด) ในอิตาลี รวมทั้งความพยายามจะยึดครอง
ศาสนจักรต่างๆ ให้ถือเชื่อตามลัทธิของอาริอุส

เมื่อจักรพรรดิธีโอโดซีอุส (Theodosius) สั่งประหารพลเมืองเธสะโลนิกา ๗ พันคน อัมโบรส
ก็ได้แสดงความกล้าหาญอย่างที่สุดโดยประกาศห้ามไม่ให้จักรพรรดิรับศีลมหาสนิท จักรพรรดิ
ซึ่งเกิดความสำนึก ได้แสดงความเป็นทุกข์เสียพระทัยและประกอบกิจการใช้โทษบาปเพื่อผู้ที่
พระองค์ได้สังหาร

"หลังจากนั้น ไม่มีสักวันที่พระองค์ไม่เป็นทุกข์เศร้าพระทัยในความผิดของพระองค์" อัมโบรส
เทศน์ในพิธีฝังพระศพของจักรพรรดิ การติเตียนของอัมโบรสครั้งนี้ยังสร้างผลเปลี่ยนแปลง
อย่างลึกซึ้งแก่จักรพรรดิธีโอโดซีอุส พระองค์ทรงกลับคืนดีกับพระศาสนจักรและสังฆราช
อัมโบรส ผู้ซึ่งได้เฝ้าอยู่ข้างเตียงในวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย

อัมโบรสเสียชีวิตในปี ๓๙๗ งานรับใช้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเป็นเวลา ๒๓ ปีของท่าน
ได้ทำให้สังฆมณฑลที่มีปัญหาฝังรากลึกกลายเป็นสังฆมณฑลตัวอย่างในการถือปฏิบัติ
ความเชื่อ งานเขียนของท่านยังเป็นหมุดหมายอ้างอิงสำคัญของพระศาสนจักรตราบจนกระทั่ง
ยุคกลาง และภายหลังในการประชุมสังคายสากลครั้งที่ ๕ ของพระศาสนจักรคาทอลิก
ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิลปี ๕๕๓ ซึ่งได้กำหนดคำสอนที่ยังส่งอิทธิพลต่อคาทอลิกและ
คริสตชนออร์โธดอกซ์ตะวันออกมาจนถึงปัจจุบัน

บรรดาสังฆราชที่เข้าร่วมประชุมได้ประกาศว่าอัมโบรส พร้อมกับผู้เป็นศิษย์ของท่าน
ออกัสติน เป็น "ปิตาจารย์ศักดิ์สิทธิ์" ของพระศาสนจักร และสังฆราชทุกคนควรจะถือ
ตามคำสอน ของพวกท่าน "ในทุกวิถีทาง"

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 08, 2021 5:51 pm

วันที่ ๘ ธันวาคม
สมโภชการปฏิสนธินิรมลของพระนางมารีย์พรหมจารี
Solemnity of the Immaculate Conception of the Blessed Virgin Mary

"นับจากขณะแรกเริ่มของการปฏิสนธิของพระนางมารีย์พรหมจารีโดยพระหรรษทาน
และสิทธิพิเศษจากพระเจ้า และโดยคุณความดีของพระเยซูคริสต์ผู้ไถ่แห่งมนุษยชาติ
พระนางทรงรับการยกเว้นจากมลทินแห่งบาปกำเนิด" พระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๙
จากสมณสาสน์ Ineffabilis Deus

การประกาศอย่างสง่าของพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๙ ในปี ๑๘๕๔ เป็นการยืนยันถึง
ความเชื่อของพระศาสนจักรที่ยึดถือมานานว่าพระนางมารีย์ทรงปฏิสนธิโดยปราศจาก
บาปกำเนิด

พระนางมารีย์ได้รับสิทธิพิเศษนี้เพราะบทบาทอันเป็นเอกลักษณ์ในประวัติศาสตร์ของ
พระนางคือเป็นพระมารดาของพระเจ้า พระนางได้รับของขวัญแห่งความรอดในพระคริสต์
จากขณะแรกของการปฏิสนธิของพระนาง

แม้พระนางจะพิเศษกว่ามนุษย์ทั้งมวลเพราะถือกำเนิดโดยปราศจากบาป แต่พระศาสนจักร
ก็ยึดถือพระนางเป็นตัวอย่างสำหรับมนุษย์ทั้งหลายในความศักดิ์สิทธิ์และความบริสุทธิ์
ในความเต็มใจที่จะยอมรับแผนการของพระเจ้าสำหรับพระนาง

เราแต่ละคนถูกเรียกให้รู้จักและตอบสนองเสียงเรียกของพระตามกระแสเรียกของตน
เพื่อจะได้ดำเนินตามแผนการของพระเจ้าในชีวิตนี้ และปฏิบัติภารกิจที่ทรงจัดเตรียมให้เรา
ก่อนเริ่มกาลเวลา คำตอบของพระนางมารีย์ที่ทรงให้แก่ทูตสวรรค์คาเบรียลว่า
"จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่าน" คือการตอบรับของคริสตชนทุกคนต่อแผนการ
ของพระเจ้า

การสมโภชการปฏิสนธินิรมลของแม่พระเป็นเวลาเฉลิมฉลองด้วยความเบิกบานยินดี
ในของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานแก่มนุษย์คือพระนางมารีย์ และการได้ตระหนักว่า
มนุษย์แต่ละคนถูกพระเจ้าสร้างมาเพื่อให้มีส่วนร่วมในภารกิจเฉพาะที่มีเพียงบุคคลนั้นจะ
กระทำให้สำเร็จลุล่วงได้

"เราได้รู้จักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าขึ้นในครรภ์และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์
เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะแก่บรรดาประชาชาติ"
เยเรมีย์๑:๕-๖

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 09, 2021 8:30 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๙ ธันวาคม
นักบุญฮวน ดีเอโก
St. Juan Diego

วันนี้พระศาสนจักรคาทอลิกฉลองนักบุญฮวน ดีเอโก ชาวชนเผ่าเม็กซิกัน
ที่กลับใจเป็นคาทอลิก

เหตุการณ์แม่พระประจักษ์แก่เขาได้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธามหาชนต่อแม่พระ
แห่งกัวดาลูป (Our Lady of Guadalupe)

ปี ๑๔๗๔ ห้าสิบปีก่อนจะได้รับชื่อว่าฮวน ดีเอโก จากพิธีศีลล้างบาป เด็กน้อยชื่อ
Cuauhtlatoatzin ซึ่งแปลว่า "นกอินทรีย์ร้องเพลง" เกิดในหุบเขา Anahuac
ดินแดนที่เป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน

แม้เขาจะได้รับการเลี้ยงดูตามศาสนาและวัฒนธรรม Aztec แต่เขาก็แสดงให้เห็น
อย่างพิเศษถึงสัมผัสต่อเรื่องเร้นลับก่อนจะได้ยินพระวรสารจากมิสชันนารีคณะฟรังซิสกัน

ในปี ๑๕๒๔ Cuauhtlatoatzin และภรรยาได้รับศีลล้างบาปเข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิก
ชาวไร่ชาวนาผู้นี้ซึ่งบัดนี้มีชื่อว่า ฮวน ดีโอโก ยึดมั่นในความเชื่อของเขา เขาเดินทางเป็น
ระยะไกลเพื่อเรียนคำสอน

วันที่ ๙ ธันวาคม ปี ๑๕๓๑ ฮวน ดีเอโกรีบร้อนจะไปร่วมมิสซาฉลองการปฏิสนธินิรมลของ
แม่พระ แต่สตรีที่เขากำลังจะไปที่วัดเพื่อเฉลิมฉลองนั้น กลับปรากฏมาพบเขา

สตรีผู้มีแสงสว่างรุ่งเรืองพูดด้วยภาษาแอ็ซแท็กท้องถิ่นว่าพระนางคือ "มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
เสมอมา ผู้ได้รับเกียรติเป็นพระมารดาของพระเจ้าเที่ยงแท้"

"เราคือมารดาผู้เมตตาต่อเธอ ครอบครัวเธอและทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินนี้" เธอกล่าวต่อ
"และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์"

พระนางบอกให้ฮวน ดีเอโกไปแจ้งต่อสังฆราชท้องถิ่น "เราอยากให้พวกเขาสร้างบ้านเล็กๆ
หลังหนึ่งที่นี่" บ้านนี้จะอุทิศถวายแด่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระนาง และจะสร้างบนวิหาร
ของคนต่างศาสนา เพื่อ "แสดงพระองค์ให้เป็นที่รู้จัก" แก่ชาวเม็กซิกันทุกคนและ
"ยกย่องเชิดชูพระองค์" ไปทั่วโลก

เรื่องที่พระนางขอให้ชาวนาธรรมดาๆ คนนี้กระทำเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวจึงไม่น่าแปลกใจ
เมื่อฮวน ดีเอโกแจ้งพระสังฆราช Juan de Zumárraga ตามคำบอก ท่านจึงไม่เชื่อ
แต่ฮวน ดีเอโกกล่าวกับท่านว่าเขามีสิ่งที่จะพิสูจน์ยืนยันการประจักษ์ของแม่พระ แต่เขาจะ
ต้องดูแลลุงของเขาที่กำลังป่วยหนักเสียก่อน

แล้วในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ขณะที่ฮวน ดีเอโกเดินทางไปวัดเพื่อตามพระสงฆ์มาโปรดศีล
เจิมคนไข้ให้ลุงของเขา เขาก็พบพระนางพรหมจารีย์มารีย์อีกครั้ง พระนางสัญญาว่าจะ
รักษาลุงของเขาให้หายและจะให้เครื่องหมายอย่างหนึ่งไปแสดงกับสังฆราช นั่นคือให้เขา
ขึ้นไปบนเนินเขาที่แม่พระประจักษ์มาครั้งแรก ที่นั่น เขาจะได้พบเจอดอกกุหลาบและดอกไม้
อื่นๆ แม้ว่าขณะนั้นเป็นฤดูหนาว

เมื่อทำตามที่พระนางบอกฮวน ดีเอโกก็พบดอกไม้มากมายและนำกลับมาถวายพระนาง
พระนางมารีย์วางดอกไม้เหล่านั้นภายในเสื้อคลุมที่เขาสวม เธอบอกให้เขาพันห่อดอกไม้ไว้
จนกว่าจะไปถึงบ้านพักสังฆราช

เมื่อเขาทำอย่างที่พระนางบอก สังฆราช Zumarraga ก็เชื่อ เขาได้พบแม่พระแห่งกัวดาลูป
โดยผ่านทางภาพของพระนางที่ประทับรอยอยู่ท่ามกลางดอกไม้ในเสื้อคลุม

ปัจจุบัน สักการสถานแม่พระที่เม็กซิโก ซิตี้ซึ่งเก็บรักษาเสื้อคลุมนั้น เป็นสถานที่ที่คาทอลิก
จาริกมานมัสการกันมากที่สุดในโลก

อัศจรรย์นี้นำข่าวดีของพระวรสารมาสู่ชาวเม็กซิกันล้านๆ คน และยังมีผลลึกซึ้งต่อชีวิตจิตของ
ฮวน ดีเอโก หลังประสบการณ์แม่พระประจักษ์เขาใช้ชีวิตสันโดษเพื่อภาวนาและทำงานใน
บ้านเล็กหลังหนึ่งใกล้กับวัดที่ภาพพระนางถูกเก็บแสดงครั้งแรก ผู้แสวงบุญได้หลั่งไหลมายัง
สถานที่แห่งนั้นอย่างมากมายแล้วในเวลาที่เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม อันเป็นวันครบ
รอบปีของการประจักษ์ครั้งแรก

พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ทรงประกาศตั้งฮวน ดีเอโกเป็นบุญราศี
ในปี ๑๙๙๐ และเป็นนักบุญในปี ๒๐๐๒

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 11, 2021 1:26 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม
นักบุญ ยูลาเลียแห่งเมริดา
St. Eulalia of Mérida

ยูลาเลียเกิดในตระกูลสำคัญตระกูลหนึ่งของสเปน เธอได้รับการอบรมแบบคริสตชน
และถูกสอนให้มีความศรัทธาที่สมบูรณ์เพียบพร้อม นับแต่วัยเยาว์เธอแสดงให้เห็น
ถึงความอ่อนหวาน ความสำรวมตนและจิตใจศรัทธา

ยูลาเลียรักความเป็นพรหมจรรย์ เธอไม่ใส่ใจกับเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับ
ประดา หรือกลุ่มเพื่อนพูดคุยเรื่องทางโลก เธอแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแท้จริง
ที่จะดำเนินชีวิตดุจชาวสวรรค์บนโลกนี้ หัวใจของเธอถูกยกขึ้นเหนือโลก ดังนั้น
ความเพลิดเพลินใดๆ ที่คนรุ่นหนุ่มสาวอย่างเธอจะหลงใหลคลั่งไคล้จึงไม่มีเสน่ห์ดึงดูด
เธอได้เลย แต่ละวันในชีวิต เธอเติบโตก้าวหน้าในคุณธรรม

ยูลาเลียอายุเพียง ๑๒ ปีเมื่อจักรพรรดิ Diocletian ประกาศกฎหมายให้ทุกคน ไม่ว่าอายุ
เพศหรืออาชีพใด จะต้องถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าของจักรวรรดิโรม

แม้จะอายุยังน้อยแต่ยูลาเลียถือว่าคำสั่งที่ประกาศออกมานี้เป็นเครื่องหมายที่เธอต้องสู้รบ
ต่อต้าน ทว่ามารดาของเธอพาเธอหนีออกไปยังชนบท อย่างไรก็ตาม นักบุญองค์น้อยนี้
ก็หาวิธีการหลบหนีออกมาได้ในเวลากลางคืน และหลังจากเดินทางอย่างเหนื่อยอ่อน
เธอก็มาถึงเมืองเมริดาก่อนรุ่งอรุณ

เช้าวันนั้น ทันทีที่ศาลเปิดทำการเธอก็มายืนต่อหน้าผู้พิพากษาผู้โหดร้าย ชื่อ Dacian
และตำหนิถึงความไร้ศรัทธาของเขาที่พยายามทำลายดวงวิญญาณด้วยการบีบบังคับให้
ละทิ้งพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่องค์เดียว

ผู้ปกครองเมืองสั่งให้จับยูลาเลีย ในระหว่างการควบคุมตัว Dacian หว่านล้อมให้เธอเห็น
ถึงผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล อายุยังเยาว์ และทรัพย์สมบัติที่เธอได้รับ และความทุกข์
โศกเศร้าที่จะเกิดกับพ่อแม่ของเธอหากเธอไม่เชื่อฟังคำสั่งของกฎหมาย แต่เมื่อเห็นว่าวิธีนี้
ไม่ได้ผลเขาก็เริ่มข่มขู่เธอ เขานำเครื่องทรมานที่ร้ายแรงที่สุดมาให้เธอเห็น กล่าวกับเธอว่า
"เธอจะไม่ต้องพบเจอความทุกข์ทรมานจากมัน ถ้าหากเธอเพียงแต่แตะเกลือและกำยาน
ด้วยปลายนิ้ว"

แต่ยูลาเลียกลับขว้างรูปปั้นของเทพเจ้าลงกับพื้น เหยียบขนมที่ถูกนำมาถวายเป็นเครื่องบูชา
และถ่มน้ำลายใส่ผู้พิพากษาผู้พิพากษาออกคำสั่งทันที มือประหารสองคนใช้ห่วงเหล็กคล้อง
และกระชากร่างเธอฉีกขาดเห็นกระดูก

ยูลาเลียเปล่งเสียงออกพระนามพระคริสต์ จากนั้น พวกเขาเอาคบไฟนาบทรวงอกและสีข้างเธอ
แต่เธอไม่ส่งเสียงครวญคราง มีแต่การร้องสรรเสริญขอบพระคุณพระเจ้า ในที่สุด ไฟก็ลามไหม้
เส้นผม ศีรษะและหน้าตาของเธอ ร่างของเธอท่วมด้วยควันไฟและเปลวเพลิง

ประวัติศาสตร์เล่าว่านกพิราบขาวตัวหนึ่งเหมือนจะบินออกจากปากเธอสู่เบื้องบนพร้อมลมหายใจ
สุดท้าย พวกที่ร่วมกันทรมานเธอตกใจกลัวจนวิ่งหนี

พระธาตุของเธอถูกเก็บรักษาเพื่อแสดงความเคารพศรัทธาที่เมือง Oviedo
ที่ซึ่งเธอได้ชื่อเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ บันทึกมรณสักขีของโรมจารึกชื่อเธอ
ในวันฉลอง ๑๐ ธันวาคม

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 11, 2021 1:29 pm

ฉลองนักบุญวันที่ ๑๑ ธันวาคม
พระสันตะปาปานักบุญดามาซัส
St. Damasus, Pope

ดามาซัสเกิดที่โรมในต้นศตวรรษที่ ๔ บิดาของท่านซึ่งเป็นพ่อม่าย ได้รับศีลบวชและ
รับใช้ในฐานะพระสงฆ์เจ้าอาวาสวัดนักบุญลอเรนซ์

ดามาซัสเป็นหัวหน้าอนุสงฆ์ของศาสนจักรโรมในปี ๓๕๕ เมื่อพระสันตะปาปานักบุญรีเบรีอุส
สิ้นพระชนม์ในปี ๓๖๖ ดามาซัสก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา ขณะนั้นท่านอายุ ๖๒ ปี
แต่ Ursinus ซึ่งอิจฉาที่ท่านได้รับเลือกในตำแหน่งที่เขาก็ต้องการได้ให้พวกศิษย์ประกาศว่า
เขาก็เป็นพระสันตะปาปาด้วยเกิดการต่อสู้กันในโรม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ๑๓๗ คน

จักรพรรดิวาเลนติเนียนได้ยื่นมือปกป้องดามาซัส พระองค์ปราบปรามพวกต่อต้าน ดามาซัสจึง
กลับมาปกครองพระศาสนจักร ท่านจัดประชุมสมัชชาที่มีสังฆราช ๔๔ คนเข้าร่วม ท่านยืนยัน
ความชอบธรรมในการรับตำแหน่งของท่านและประกาศอัปเปหิผู้ต่อต้าน

หลังจากนั้น สันตะปาปาดามาซัสต้องรับมือกับลัทธิเอเรียน (Arianism) ทางตะวันตกและ
Apollinarianism ทางตะวันออก พระองค์จึงเรียกประชุมสังคายนาหลายครั้ง พระองค์ส่งนักบุญ
Zenobius ซึ่งภายหลังเป็นสังฆราชแห่งฟลอเรนซ์ไปยังเมืองคอนสแตนติโนเปิ้ลในปี ๓๘๑
เพื่อปลอบบรรเทาคริสตชนที่ถูกเบียดเบียนอย่างโหดร้ายโดยจักรพรรดิ Valens

พระองค์สั่งให้นักบุญเยโรมแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาละตินฉบับถูกต้องและเป็นทางการ
ที่รู้จักกันในชื่อว่า Vulgate และสั่งให้มีการขับบทสวดจากหนังสือสดุดี พระองค์ทรงฟื้นฟูการ
ก่อสร้างและประดับประดาวัดนักบุญลอเรนซ์ซึ่งทุกวันนี้มีชื่อเรียกว่าวิหารนักบุญลอเรนซ์แห่ง
ดามาโซ พระองค์สั่งให้กักน้ำพุในวาติกันจนแห้ง เพื่อขุดสุสานของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกฝัง
และทรงตบแต่งแท่นบูชาของมรณสักขีจำนวนมากในสุสาน และโปรดให้มีถ้อยคำจารึกไว้
สันตะปาปาดามาซัสทรงอภิเษกสังฆราชจำนวน ๖๒ องค์ตลอดสมณสมัย

พระองค์ทรงปกครองพระศาสนจักรเป็นเวลา ๑๘ ปีกับ ๒ เดือน เมื่อสิ้นพระชนม์
ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๓๘๔ พระองค์ทรงมีอายุเกือบ ๘๐ ปี

ในศตวรรษที่ ๘ พระธาตุของพระองค์ถูกนำไปบรรจุอยู่ในวิหารนักบุญลอเรนซ์แห่งดามาโซ
ยกเว้นศีรษะ ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่มหาวิหารนักบุญเปโตร

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 12, 2021 9:30 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๒ ธันวาคม
แม่พระแห่งกัวดาลูป
Our Lady of Guadalupe

ในปี ๑๕๓๑ "สตรีจากสวรรค์" ได้ปรากฏแก่นักบุญฮวน ดิเกโอ ชาวพื้นเมืองยากจน
ที่ Tepeyac เนินเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโกซิตี้ พระนางประกาศตนว่า
เป็นพระมารดาของพระเจ้าเที่ยงแท้และบอกให้เขาไปแจ้งสังฆราชให้สร้างวัดบนที่
แห่งนั้น พระนางยังประทับภาพของพระนางภายในเสื้อคลุมของเขาอย่างน่าอัศจรรย์
เสื้อคลุมนี้จะค่อยๆ เสื่อมลงภายใน ๒๐ ปีแต่ไม่ปรากฏอาการเน่าเปื่อยเลย หลังจาก
เวลานานกว่า ๔๗๐ ปีจนทุกวันนี้ เสื้อคลุมผืนนี้ยังคงสร้างความพิศวงงงงวยแก่วงการ
วิทยาศาสตร์ว่ามีที่มาอย่างไร

สิ่งที่เห็นปรากฏชัดเจนในเสื้อคลุมนั้น คือในดวงตาของแม่พระแห่งกัวดาลูป เราเห็น
ภาพสะท้อนของสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเธอในปี ๑๕๓๑ ข่าวสาสน์แห่งความรักและเมตตา
คำสัญญาจะช่วยเหลือและปกป้องมนุษยชาติรวมทั้งเหตุการณ์ประจักษ์ถูกเขียนเล่าไว้
ใน "Nican Mopohua" เอกสารศตวรรษที่ ๑๖ ด้วยภาษาท้องถิ่น Nahuatl

มีเหตุผลที่น่าเชื่อว่า ณ Tepeyac พระนางมารีย์เสด็จมาด้วยพระวรกาย และมือของพระนาง
ได้จัดวางดอกกุหลาบในเสื้อคลุมของฮวน ดิอาโก ซึ่งทำให้การประจักษ์นี้พิเศษเฉพาะยิ่ง

เกิดอัศจรรย์มากมายการเยียวยารักษาและการให้ความช่วยเหลือจากการวอนขอแม่พระ
แห่งกัวดาลูป แต่ละปีคนประมาณ ๑๐ ล้านมาที่สักการสถานนี้ ทำให้เม็กซิโกซิตี้เป็นวิหาร
แม่พระที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และมีคนมาเยี่ยมชมมากที่สุดรองจากมหาวิหารนักบุญเปโตร
ในวาติกัน

พระสันตะปาปา ๒๔ องค์ได้ถวายเกียรติเป็นทางการแด่แม่พระแห่งกัวดาลูป
พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ทรงเสด็จเยี่ยมสักการสถานของพระนางแห่งนี้ถึง ๔ ครั้ง

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 12, 2021 9:46 pm

…การประจักษ์ของแม่พระแห่งกวาดาลูปเพิ่มเติมค่ะ…
🌹🇲🇽 พระแม่มารีย์แห่งกวาดาลูป 🇲🇽🌹

🌹 พระแม่มารีย์แห่งกวาดาลูป ทรงประจักษ์แก่ (นักบุญ)ยวง ดิเอโก
ประเทศเม็กซิโก ค.ศ.1531 🇲🇽🇲🇽

พระวิหารแม่พระกวาดาลูป สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1700 ณ เชิงภูเขา เตเปย้าก ใกล้เมือง
เม็กซิโกนั้น เป็นสำคัญพิเศษแห่งความรักในการแพร่ธรรมของพระนาง ซึ่งแตกต่างจาก
ธรรมดา พระนางทรงสอน ผู้ที่พระนางทรงพอพระทัย ชื่อวัดมารีอาแห่งกวาดาลูป เป็นชื่อ
ที่พระมารดาเองประทาน เพราะพระมารดานิรมล ได้ประจักษ์มาในแคว้นอาสเตก มีรูปร่า
งหน้าตาและผิวพรรณของหญิงสาวชาวอาสเตก และทรงเรียกบุคคลผู้อยู่ในแคว้นนั้นว่า
"บุตรของเรา" พระนางทรงนำความรอดอันยิ่งใหญ่คือ ผลของการไถ่บาปมนุษย์ของ
พระบุตรมาสู่ชาวแอซเท็ก (Astec)

ในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 1531 ชาวอินเดียแดงผู้หนึ่งชื่อ ยวง ดิเอโก (Juan Diego)
ขึ้นไปที่ตำบลเตเปย้าก ที่เม็กซิโก เพื่อจะไปวัดที่วานเตียโก ตลาดเตโลโก เป็นวัดของฤาษี
คณะฟรันซิสกัน เพื่อไปร่วมถวายบูชามิสซาเป็นเกียรติแด่พระมารดา คริสตังใหม่ผู้นี้มีความ
เชื่อมั่นคง ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ เขาเป็นพ่อม่าย ตั้งแต่ลูเซียภรรยาของเขาถึงแก่กรรม
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสวดภาวนา เช้าวันนั้นเขาเดินทางไปถึงภูเขาเตเปย้าก ได้ยินเสียง
เพลงไพเราะอ่อนหวาน เขาหยุดมองดูยอดเขาเพื่อจะฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหน เขาประหลาดใจ
ที่เห็นก้อนเมฆขาวสว่างทอแสงเป็นสีรุ้งงามตา เขารู้สึกสบายใจเหมือนอยู่ในสวรรค์ เขาพิศวง
งงงวยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อรวบรวมสติได้ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานของสตรีซึ่งมาจากเมฆนั้น
เรียกชื่อเขา แล้วเชิญให้เข้าไปใกล้ ยวงไม่เสียเวลาคิดรีบปีนขึ้นบนเขานั้น

พอถึงยอดเขา ก็เห็นสตรีงามมากในแสงสว่างอันรุ่งโรจน์จนแสบตา พระพักตร์ค่อนข้าง
คล้ำเหมือนชาวพื้นเมือง อาภรณ์ส่องแสงดังจะเปลี่ยนศิลาที่กระทบให้กลายเป็นเพชร สตรีงาม
พูดภาษาแอซเท็กด้วยสำเนียงอ่อนหวานว่า "ลูกรัก จะไปไหน?" ยวงตอบด้วยความเคารพว่า
"ผมจะไปเม็กซิโกเพื่อร่วมถวายมิสซาซึ่งพระสงฆ์ของพระเป็นเจ้าถวายเพื่อเรา"

สตรีงามกล่าวว่า "ลูกรักของแม่ แม่คือ มารีอา ผู้เป็นพรหมจารี และมารดาพระเจ้า พระผู้ทรง
ผู้สร้างสรรพสิ่งและอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม่ปรารถนาให้เขาสร้างวัดในที่นี้ ณ วัดนี้ แม่...มารดาผู้รัก
ชาวอินเดียนจะแสดงความเมตตาอย่างลึกซึ้งสำหรับผู้ที่มาหาแม่ ในวัดนี้แม่จะฟังคำภาวนาและ
บรรเทาความทุกข์ของผู้ทุกข์ร้อน เพื่อให้สำเร็จตามความปรารถนานี้ ลูกจงไปเมืองเม็กซิโก
ไปหาท่านสังฆราชบอกท่านว่า แม่เองส่งลูกให้ไปหาเพื่อให้ท่านสร้างวัด ณ ที่นี้ จงบอกท่านให้
ทราบถึงสิ่งที่ลูกได้เห็นและได้ยิน อย่าเป็นห่วง แม่จะตอบแทนภาระซึ่งแม่จะมอบนี้ และลูกจะได้
มีเกียรติด้วย"

ยวงกราบลงกล่าวว่า "ผมจะไปทันที ผมจะกระทำตามที่ท่านบอก ผมจะรับใช้ท่าน"
แล้วยวงก็ตรงไปยังสำนักพระสังฆราช

พระสังฆราชผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชแห่งเม็กซิโก แต่ยังมิได้รับการอภิเษก
ชื่อคุณพ่อยวงแห่งซูมาร์รากา ยวง ดิเอโกไปถึงสำนักพระสังฆราช เต็มตื้นไปด้วยความยินดี
แต่แล้วเขาก็เริ่มพบอุปสรรค คนรับใช้ของพระสังฆราช เห็นอาการซอมซ่อของผู้ขอเข้าพบ
พระสังฆราชแต่เช้าเช่นนี้ ก็พยายามหาเรื่องหน่วงเหนี่ยวไว้มิให้พบ แต่ยวงไม่หมดหวัง เขานั่ง
รออยู่ที่นั้นจนกว่าเหตุขัดข้องต่างๆ จะหมดไป คนใช้เมื่อเห็นเขานั่งรออยู่เป็นชั่วโมงๆ ทั้งโกรธ
ทั้งแปลกใจ ในที่สุดก็ยอมให้เข้าพบท่านสังฆราช

ยวง ดิเอโกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านสังฆราชฟัง ท่านฟังทุกอย่างด้วยความแปลกใจ
แต่ด้วยความรอบคอบ ท่านไม่แสดงความรู้สึก ท่านคิดแต่ในใจว่ายวงดิเอโกเป็นผู้ได้รับศีล
ล้างบาปใหม่ๆ อาจฝันไป หรืออาจเป็นการล่อลวงของปีศาจก็ได้ ท่านบอกกับยวงว่าจะพิจารณา
ดูก่อน ยวง ดิเอโกออกจากสำนักท่านสังฆราชด้วยความน้อยใจคิดว่า "แน่ละ คิดดูซิ ใครจะมา
เชื่อชาวอินเดียนจนๆ ไม่มีความรู้อย่างฉัน" สิ่งที่เขาเสียใจก็คือ พระประสงค์ของพระมารดา
ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างสมควร เขากลับมาจากเมือง เศร้าโศกและหมดหวัง

เมื่อถึงภูเขาเตเปย้าก เขาพบพระมารดาประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งประจักษ์มาเมื่อเช้านี้ ดูเหมือนว่า
กำลังคอยเขา เขากราบลงถึงพื้นด้วยความจงรักภักดี เล่าเรื่องการส่งข่าวที่ไร้ผลของเขาด้วย
ความเสียใจ พลางพูดว่า "แม่หนูพระราชินีที่รัก สุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์ ผมขอให้ท่านส่งผู้มีตระกูล
น่านับถือ เพื่อจะได้รับความเชื่อถือ เพราะว่าผมเป็นแต่ชาวนาผู้ยากจน ต่ำต้อย" และด้วยความ
กลัว เขาเสริมว่า "ยกโทษให้ผมด้วยที่ผมกล้าพูดเช่นนี้บางทีจะขาดความเคารพต่อท่าน
ผมไม่ประสงค์จะทำให้ท่านเสียพระทัยเลย"

พระนางทรงมองยวงด้วยสายพระเนตรอันเมตตา ตรัสว่า "ไม่มีใครจะรับใช้แม่ดีกว่าลูก
จงกลับไปบอกกับพระสังฆราชอีกว่า เป็นมารดาพระเจ้าที่มีพระประสงค์จะให้สร้างพระวิหาร
ของพระนาง"

รุ่งขึ้นเป็นวันที่ 10 ธันวาคม ยวง ดิเอโกไปปรากฏตัวที่สำนักพระสังฆราชอีก เขาไปพบกับ
คนใช้ที่คอยขัดขวางเช่นเดิม แต่ที่สุดก็ได้พบกับพระสังฆราช การสนทนาครั้งนี้ได้ผลดีขึ้น
พระสังฆราชเชื่อในความซื่อสัตย์ของชาวอินเดียนคนนี้ เพราะเหตุว่า เมื่อท่านบอกว่าให้ขอ
เครื่องหมายจากแม่พระเพื่อแสดงพระประสงค์ของพระนาง เขาดีใจมาก พระสังฆราชไม่ได้
กำหนดว่าเป็นเครื่องหมายอะไร เมื่อเขากลับไป ท่านสังฆราชสั่งให้คนใช้ 2 คน สะกดรอย
ตามเขาไป คนใช้ทั้งสองก็ตามไป แต่เมื่อไปถึงภูเขาเตเปย้าก ชายอินเดียนนั้นก็หายไปจาก
สายตา เขาไม่ทราบว่าจะไปตามหาได้อย่างไร จึงกลับมาเรียนพระสังฆราชว่า ยวงเป็นคน
หลอกลวงพระสังฆราชและศาสนา ที่จริงยวงไม่ทราบว่ามีคนสะกดรอยตามมา เขาเดินอย่าง
สบาย ขึ้นไปถึงยอดเขาเตเปย้าก ไปหาพระมารดา เล่าถึงการพบปะกับพระสังฆราชเป็น
ครั้งที่ 2 และพระสังฆราชต้องการเครื่องหมาย

พระนางพรหมจารีแสดงความพอพระทัย ตรัสว่า "รุ่งขึ้นลูกจงมาที่นี่เพื่อจะได้นำ
เครื่องหมายไปให้พระสังฆราช" ครั้งนี้ยวงดีใจมาก

เขากลับไปบ้าน พบยวง แบร์ดีโน ลุงของเขากำลังป่วยเป็นไข้ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงของ
ตำบลนี้ การรักษาไม่ทำให้อาการดีขึ้น มีแต่ทรุดลง วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 11 ธันวาคม ยวง
รีบเข้าไปในเมืองเพื่อตามหมอ ความเป็นห่วงลุงทำให้เขาลืมคำสัญญาที่ให้ไว้แก่พระนาง
รุ่งขึ้นวันที่ 12 ลุงมีอาการหนัก เขาวิ่งไปที่วัดเพื่อจะไปตามพระสงฆ์ฟรังซิสกันให้มาโปรด
ศีลเจิมคนไข้ เมื่อเขาขึ้นมาถึงภูเขาที่แม่พระประจักษ์ เขาใจเต้นนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนี้เขาผิดนัด
เขารู้สึกเสียใจและเกรงว่าแม่พระจะตำหนิเขา แต่เวลาเดียวกันก็เป็นห่วงเรื่องการเชิญพระสงฆ์
มาส่งศีลให้แก่ผู้ป่วย เขาตั้งใจจะเดินหลีกไปทางอื่นเพื่อจะได้ไม่พบ

แต่ในถนนที่ยวงตั้งใจจะไปนั้น เขาเห็นแสงสว่างและพบพระนางมารีอา พระนางถามเขา
อย่างอ่อนหวานว่า "ลูกรักจะไปไหน" ยวงรู้สึกกลัวเพราะถูกจับได้ว่าหลีกเลี่ยง เขารีบกราบลง
บนพื้นด้วยความอาย ทูลว่า "เมื่อคืนนี้สบายดีหรือ? ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะลุงผมป่วยหนัก เวลานี้
ผมจะรีบไปตามพระสงฆ์ เสร็จธุระนี้แล้วผมจะมาที่นี่ จะมารับเครื่องหมายเพื่อนำไปให้พระสังฆราช
ที่ผมมิได้มาตามที่สัญญาก็เพราะเหตุนี้ พรุ่งนี้ผมจะมาแน่นอน"

พระพักตร์ พระมารดา แสดงว่าทรงสงสารในเหตุขัดข้องของยวง พระนางตรัสว่า

"ฟัง ลูกรัก ลูกไม่ต้องเป็นห่วงกังวลด้วยสิ่งใด ไม่ต้องกลัวการป่วยหรือความทุกข์
เราผู้เป็นมารดาของลูกอยู่ที่นี่มิใช่หรือ?
ลูกไม่ได้อยู่ภายใต้ความอารักขาคุ้มครองของแม่หรือ?
แม่มิได้เป็นผู้รับผิดชอบลูกหรือ?
ลูกยังต้องการอะไรอีก?
ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการป่วยของลุง เขาจะไม่ตาย รู้ไว้เถิดว่า เวลานี้เขาสบายดีแล้ว"

ยวงฟังคำบอกเล่านี้ด้วยความยินดีและสบายใจ เขาไม่คิดจะไปตามพระสงฆ์ เพราะ
เขาเชื่อวาจาของพระมารดา เขาตั้งใจจะไปหาพระสังฆราช ดังนั้นพระมารดาสั่งว่า
"จงขึ้นไปยังยอดเขา แล้วเก็บดอกกุหลาบทั้งหมดใส่ในเสื้อคลุมแล้วกลับมาที่นี่
เราจะบอกว่าต้องทำอย่างไร"

ยวง ดิเอโกเคารพเชื่อฟังทันทีโดยไม่คัดค้าน แม้ว่าคำสั่งนั้นจะแปลกสำหรับเขา
เขาไม่รู้จักดอกไม้และเขารู้ดีกว่ายอดเขามีแต่หิน และเวลานี้เป็นฤดูหนาวด้วย เขาขึ้นไป
ที่ยอดเขาเตเปย้าก เห็นพุ่มดอกไม้งามมาก เป็นกุหลาบหอม เขาเก็บมามากที่สุดที่จะ
เก็บได้ แล้วกลับมาหาพระนาง พระนางประทับคอยเขาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ พระมารดาหยิบ
ช่อกุหลาบจัดลงในเสื้อคลุมของยวง แล้วบอกว่า "นี่คือเครื่องหมายที่ต้องนำไปให้ท่าน
สังฆราช เรียนท่านว่า เมื่อได้เห็น ดอกกุหลาบนี้แล้วให้ทำตามคำสั่ง และเจ้า ลูกรัก
แม่ไว้ใจลูก อย่าให้ใครดูดอกกุหลาบนี้ตามทางที่พบ อย่าเปิดเสื้อคลุมให้ใครดูนอกจาก
เวลาอยู่ต่อหน้าท่านสังฆราช เล่าให้ท่านทราบถึงสิ่งสำคัญที่แม่ส่งมาเพื่อสร้างวัดให้แม่"

เมื่อได้ฟังคำสั่ง ยวงดีใจ เขาถือช่อกุหลาบซึ่งห่อในเสื้อคลุมรีบไปหาพระสังฆราช

การประจักษ์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไปถึงสำนัก ยวงขอเข้าไปพบ เขาได้รับการปฏิเสธ
เช่นเดิม แต่ครั้งนี้เขารบเร้าจนพวกคนใช้สงสัย อยากทราบว่าเขาซ่อนอะไรมาในเสื้อคลุม
จึงบอกให้เขาเปิดให้ดู แต่ยวงปฏิเสธ พวกนั้นจึงเข้ายื้อแย่ง ยวงเกรงว่า ดอกกุลาบจะช้ำจึง
เปิดให้ดู เมื่อคนใช้เห็นกุหลาบงามเช่นนั้น จึงเอื้อมมือมาจับ แต่จับไม่ได้เพราะกลายเป็น
ภาพวาดติดกับผ้า เขาตกใจรีบวิ่งไปเล่าเรื่องให้ท่านสังฆราชฟัง ท่านสังฆราชสั่งให้เรียก
ยวงเข้าไปหา ยวงเรียนว่ามีเครื่องหมายที่ขอจากสตรีนั้น แล้วเขาเปิดเสื้อคลุม ดอกกุหลาบ
บางดอกก็หล่นลงบนพื้น

เรื่องดอกไม้ที่เกิดนอกฤดูกาลและเกิดผิดสถานที่ก็เป็นสิ่งที่แปลกอยู่แล้ว แต่ที่อัศจรรย์ที่สุด
ก็คือ ภาพวาดรูปแม่พระที่อยู่บนเสื้อคลุม ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกยำเกรง คุกเข่าลงต่อหน้า
ภาพอันงามนั้น ขณะนั้นยวงไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น เขาคิดถึงแต่ดอกกุหลาบ เมื่อเขาเห็น
ภาพที่เสื้อคลุม ยวงรู้สึกสะเทือนใจด้วยความยินดีอย่างใหญ่หลวง
"นี่คือรูปของสตรีที่ได้ประจักษ์มา" เขารีบถอดเสื้อคลุม ท่านสังฆราชจึงได้นำไปไว้ในวัดของท่าน
ด้วยความศรัทธา เพื่อให้ทุกคนเห็นและสรรเสริญพระมารดา ท่านสังฆราชหลังจากที่ได้ภาวนา
พักหนึ่ง แล้วได้เชิญยวงดิเอโกพักอยู่กับท่านในคืนนั้น เพื่อจะได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างละเอียด

วันรุ่งขึ้นท่านขอร้องให้ยวงพาท่านไปดูสถานที่ที่สตรีนั้นได้ประจักษ์มา ยวงดิเอโกยินดีปฏิบัติตาม
เขาพาท่านไปดูสถานที่ที่สตรีประจักษ์ และที่ที่เขาไปเก็บดอกกุหลาบ แล้วเขากล่าวลาอย่างสุภาพ
น่ารัก เพราะยังเป็นห่วงเรื่องไปเยี่ยมลุง ท่านสังฆราชมีความยินดี และสั่งว่า ถ้าลุงหายจริงๆ ให้ไป
หาท่าน เรื่องของลุงก็เป็นพยานถึงการประจักษ์นี้ด้วย ขากลับ ยวงพบลุงชื่อ ยวง แบร์นาดีโน
หายเป็นปรกติ ตรงกับเวลาที่แม่พระตรัสกับเขา ในไม่ช้าท่านสังฆราชได้สร้างวัด และมอบให้ยวง
เป็นผู้ดูแลวัดนั้น ยวงได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความศรัทธา และละเอียดถี่ถ้วน เขาสิ้นชีวิตเมื่อ ปี 1584

:s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 14, 2021 9:21 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๓ ธันวาคม
นักบุญลูเซีย หรือนักบุญลูซีอา
St. Lucy or St. Lucia

ลูเซียเป็นพรหมจารีและมรณสักขีแห่งเมือง Syracuse ในซิซิลี ธรรมประเพณีกล่าวว่า
เธอเกิดในตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่งในปี ๒๘๓ บิดาของเธอเป็นชาวโรมัน มารดาชื่อยูธีเชีย
สืบเชื้อสายกรีก

ลูเซียมอบถวายการถือพรหมจรรย์แด่พระเจ้าและเธอต้องการจะสละทรัพย์สมบัติทาง
โลกเพื่อช่วยเหลือคนจน

มารดาได้จัดเตรียมการแต่งงานให้ลูเซีย แต่เธอผัดผ่อนเลื่อนเวลาออกไปได้ ๓ ปีลูเซีย
สวดภาวนาที่สุสานนักบุญอากาธาเพื่อให้แม่เปลี่ยนใจกลับถือความเชื่อคริสตชน ผลคือ
อาการป่วยเรื้อรังของแม่ได้หายขาด แม่ของเธอจึงยอมตามความปรารถนาที่ลูเซียจะ
ใช้ชีวิตถวายให้พระ

คู่หมั้นที่ถูกลูเซียปฏิเสธ Paschasius แจ้งผู้ปกครองบ้านเมืองว่าเธอเป็นคริสตชน พวกเขา
จึงวางแผนจะบังคับให้เธอเป็นโสเภณีแต่เมื่อพวกทหารไปจับเธอ พวกเขาก็ไม่อาจดึงเคลื่อน
ย้ายเธอได้แม้จะใช้วัวหลายตัวเข้าช่วย ผู้ว่าการเมืองจึงออกคำสั่งให้ฆ่าเธอแทน

พวกเขาทรมานลูเซียหลายอย่าง รวมทั้งควักลูกตาเธอออกมา พวกเขาเอาฟืนสุมรอบตัวเธอ
และจุดไฟ แต่ไฟก็ดับลงในไม่ช้า ลูเซียทำนายถึงชะตากรรมของพวกที่ทำร้ายเธอก่อนจะถูก
สังหารด้วยมีด

ตำนานกล่าวว่าเธอสามารถกลับมามองเห็นได้ก่อนตาย ดังนั้น เธอจึงเป็นนักบุญอุปถัมภ์
เกี่ยวกับดวงตาไม่ว่าจะเป็น คนตาบอด คนมีปัญหาด้านการมองเห็น และอาการเจ็บป่วยต่างๆ
เกี่ยวกับตา

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 14, 2021 9:25 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๔ ธันวาคม
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน
St. John of the Cross

ยอห์นแห่งไม้กางเขนเป็นพระสงฆ์คาร์เมไลท์ในศตวรรษที่ ๑๖ ท่านปฏิรูปคณะของท่าน
ร่วมกับนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา ท่านเขียนหนังสือชีวิตภายในที่เป็นคลาสสิคคือ
"คืนมืดแห่งวิญญาณ"

ปี ๑๙๒๖ ยอห์นได้รับการประกาศว่าเป็นนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร ท่านยังถูกเรียกว่า
"นักปราชญ์แห่งรหัสนัย" เพราะคำสอนลึกซึ้งในเรื่องวิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

ยอห์น เด เยเปส เกิดในปี ๑๕๔๒ ใน Fontiveros ใกล้เมืองอาวีลาของสเปน ท่านเป็นลูกชาย
คนสุดท้องของครอบครัวทอผ้าไหม บิดาของยอห์นตายตั้งแต่ยังอายุไม่มากแม่จึงต้องทำงาน
หนักเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ

ยอห์นเก่งด้านการศึกษาแต่ไม่เก่งด้านการฝึกหัดค้าขาย ท่านใช้เวลาหลายปีทำงานใน
โรงพยาบาลเพื่อดูแลคนจน และพร้อมกันนั้น ก็เรียนต่อที่วิทยาลัยคณะเยสุอิตในเมือง
Medina del Campo

ยอห์นเข้าคณะนักบวชคาร์เมไลท์ในปี ๑๕๖๓ ท่านฝึกตนบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดก่อนจะเข้า
คณะเสียอีก เมื่อเข้าคณะแล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ดำเนินชีวิตตามพระวินัยเดิม ซึ่งเน้นการ
ถือเงียบ อยู่ลำพังความยากจน ทำงานและพิศเพ่งภาวนา หลังสำเร็จการศึกษาที่เมือง Salamanca
ยอห์นรับศีลบวชปี ๑๕๖๗ แต่ท่านคิดอยากย้ายเข้าคณะคาร์ธูเซียน ซึ่งถือปฏิบัติเคร่งครัดกว่า

อย่างไรก็ตาม ยอห์นได้พบนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา ภคินีคณะคาร์เมไลท์ เธอเปลี่ยนความตั้งใจ
ของยอห์น แทนที่จะออกจากคณะ ขอให้ยอห์นทำงานเพื่อปฏิรูปคณะแทน

ยอห์นเปลี่ยนชื่อทางศาสนาของตนจากยอห์นแห่งนักบุญมัทธีอัส เป็นยอห์นแห่งไม้กางเขน
ในปี ๑๕๘๘ ท่านดำเนินชีวิตในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งร่วมกับสมาชิกชายของคณะ ๒ คน นับจากเวลานั้น
ยอห์นรับผิดชอบในการหาสมาชิกใหม่ให้กับคณะคาร์เมไลท์ปฏิรูป

ขบวนการปฏิรูปเติบโตอย่างรวดเร็วแต่ก็พบการต่อต้านอย่างรุนแรงด้วย ต้นเดือนธันวาคม ๑๕๗๗
ในระหว่างการถกเถียงถึงเรื่องแต่งตั้งยอห์นในคณะกลุ่มผู้คัดค้านต่อการถือวินัยเคร่งก็จับกุมตัวท่าน
คุมขังไว้ในห้องเล็กๆ แห่งหนึ่ง ยอห์นถูกจำจองนาน ๙ เดือน พร้อมกับถูกเฆี่ยนและลงโทษรุนแรงอื่นๆ
แต่ในช่วงเวลานี้เองที่ท่านได้แต่งบทกวีซึ่งเป็นพื้นฐานของงานเขียนเกี่ยวกับชีวิตภายในของท่าน

ยอห์นสามารถหลบหนีออกจากที่คุมขังได้ในเดือนสิงหาคม ๑๕๗๘ ท่านกลับไปทำงานก่อตั้งและดูแล
คณะคาร์เมไลท์ปฏิรูปต่อไป ช่วงเวลากว่า ๑๐ ปีต่อมายอห์นเขียนคำสอนทางชีวิตจิต เช่น
"สู่เขาคาร์แมล" "ลำนำเพลงชีวิตจิต" "เปลวไฟนิรันดร์แห่งรัก" รวมทั้ง "คืนมืดแห่งวิญญาณ"
แต่ความขัดแย้งในคณะทำให้ท่านพ้นสภาพผู้นำ ปีท้ายๆ ของชีวิต ยอห์นมีอาการเจ็บป่วยและถูกปฏิบัติ
อย่างเลวร้าย ต่างๆ นานา

ยอห์นสิ้นใจวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๑๕๙๑ ตลอดชีวิตการเป็นนักบวช ยอห์นได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย
ถูกดูถูกถูกตั้งข้อสงสัยแต่การทดลองเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น เพราะท่านไม่มี
ที่พึ่งพิงทางโลกใดอื่นนอกจากพระเจ้า ดังนั้น งานเขียนของท่านจึงเน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องรักพระเจ้า
เหนือทุกสิ่ง ไม่ถูกดึงรั้งด้วยสิ่งใด และไม่ยึดติดอะไรด้วย

เมื่อใกล้วาระสุดท้ายของชีวิตยอห์น อธิการอารามจึงตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์และปรีชาญาณของท่าน
แม้ท่านถูกเข้าใจในทางเสื่อมเสียหลายต่อหลายปีแต่เหตุการณ์เปลี่ยนไปทันทีหลังการตายของท่าน

ยอห์นถูกประกาศเป็นนักบุญในปี ๑๗๒๖ และพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๙ ประกาศว่าท่านเป็นนักปราชญ์
ของพระศาสนจักรแห่งศตวรรษที่ ๒๐ ในจดหมายที่เขียนในวาระครบรอบ ๔๐๐ ปีแห่งการเสียชีวิตของ
ยอห์น พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ผู้ซึ่งเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับงานเขียนของท่าน
แนะนำให้คริสตชนศึกษางานของผู้เป็นมิสติกชาวสเปน ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า
"อาจารย์แห่งความเชื่อและพยานของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต"

CR. : Sinapis
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2021 10:51 pm

ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๕ ธันวาคม
นักบุญเวอร์จิเนีย เซนตูริโอเน บราเชลลี
St. Virginia Centurione Bracelli

เวอร์จิเนียเกิดในเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี ในวันที่ ๒ เมษายน ๑๕๘๗ ตระกูลของเธอ
เป็นขุนนางแต่ก็มีความศรัทธา ตั้งแต่วัยเยาว์เวอร์จิเนียปรารถนาจะมอบถวายชีวิต
แด่พระเจ้าด้วยการเป็นนักบวช แต่เธอถูกกดดันให้ต้องแต่งงานเมื่ออายุ ๑๕ ปีเพื่อ
สถานภาพทางสังคม เธอมีลูกสาว ๒ คน

สามีของเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นนักดื่มและนักเล่นพนัน เสียชีวิตเพียง ๕ ปีหลังแต่งงาน
เวอร์จิเนียใช้เวลา อบรมเลี้ยงดูลูกๆ สวดภาวนาและทำกิจเมตตา เมื่อลูกๆ เติบโต
แล้วเธอก็อุทิศเวลาเต็มที่ในการใส่ใจดูแลคนป่วยผู้สูงอายุและผู้ถูกทอดทิ้ง

เวอร์จิเนียตั้งศูนย์อพยพในเจนัวในปี ๑๖๒๕ ซึ่งไม่ช้าก็มีคนมาพำนักมากมายเธอ
เช่าอารามว่างหลังหนึ่งในปี ๑๖๓๑ ที่ซึ่งเธอดูแลคนป่วยโดยมีสตรีคนอื่นๆ ช่วยเธอ
สอนพวกสตรีเหล่านั้นเรื่องความเชื่อเพิ่มเติมจากการทำงาน

เวอร์จิเนียสร้างวัดหลังหนึ่งถวายแด่แม่พระผู้เป็นที่พึ่ง ในไม่ช้า สตรีที่ทำงานร่วมงาน
กับเธอในโรงพยาบาลก็ได้รวมตัวกันเป็นคณะนักบวช ๒ คณะคือ ซิสเตอร์แห่งพระแม่
ผู้เป็นที่พึ่งบนเขากัลวารีโอ และธิดาของแม่พระเขากัลวารีโอ

เวอร์จิเนียลาเกษียณจากงานบริหารคณะเธอทำงานด้วยมือและออกขอทาน แต่ก็ถูก
เรียกตัวกลับมาทำหน้าที่บริหารคณะ ไม่นานหลังจากนั้นเวอร์จิเนียเริ่มเห็นภาพนิมิต
และได้ยินเสียงจากพระเจ้าในปีท้ายๆ ของชีวิต

เธอตายที่เจนัวในวันที่ ๑๕ธันวาคม ๑๖๕๑
พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ประกาศตั้งเธอเป็นนักบุญวันที่ ๘ พฤษภาคม๒๐๐๓

CR. : Sinapis
ตอบกลับโพส