คนดีๆพังพินาศได้อย่างไร( ความโกรธจนขาดสติ)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 21, 2021 12:50 pm

( 1 )

…คนดีๆ พังพินาศได้ใน ๓ วินาทีเพราะอะไร !

เรื่องที่ ๑
…..ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่ง รูปหล่อ ร่ำรวย อายุ 33 ปี ได้แต่งงานกับบุตรสาว
ของบุคคลในกลุ่มทุนใหญ่ เธอทั้งสวยและฉลาด อายุ 28 ปี ปีต่อมาก็ได้ให้กำเนิดบุตร
ฝาแฝดชาย-หญิงน่ารักคู่หนึ่ง เขาเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ทำงานจริงจัง
…..คติพจน์ ประจำใจ คือ “..ไม่มีเรื่องใดในโลกที่เป็นเรื่องยาก ขอเพียงเราตั้งใจทำจริงเท่านั้น..”
…..คืนหนึ่ง เขาได้ขับรถเบนซ์คันเก่งของเขา ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เขาขับรถชน
กับรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง ที่ฝ่าฝืนกฎจราจรขับย้อนศรมา เขาจึงโมโหมาก…เกิดการ
การทะเลาะกันหนักหน่วง ในที่สุด…เขาโดนวัยรุ่นพาลเกเรอายุยังไม่ถึง 18 แทงตาย !

เรื่องที่ ๒
…..ดาวมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง อายุ 20 ปี ใบหน้างดงาม สูง 170 ซม.ได้รับการอบรมบ่มนิสัย
จากพ่อแม่อย่างดีตั้งแต่เด็ก เชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีหลายชนิด และชำนาญภาษาต่างประเทศ
มีรอยยิ้มอันอ่อนหวาน บุคลิกสง่างาม
…..คติพจน์ประจำใจว่า “..เพียงแต่คุณหันหน้าเข้าหาแสงสว่าง ก็จะไม่มีเงามืด..”
…..คืนวันหนึ่ง หลังจากจัดปาร์ตี้วันเกิดแล้ว เป็นวันฝนตก เธอได้ทะเลาะกับแฟนหนุ่ม ที่คบกัน
มากกว่า 1 ปี ด้วยความโมโหของเธอ…เธอจึงกระโดดตึก..เสียชีวิต !

เรื่องที่ ๓
…..เจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง อายุ 60 ปี ก่อร่างสร้างตัวจากมือเปล่า ในวัยหนุ่ม
เขาประสบความสำเร็จในตลาดการค้า ได้สร้างอาณาจักรธุรกิจของตนเอง เขาอ่านตำราพิชัย
สงครามของซุนอู่จนชำนาญ และเชี่ยวชาญการทำธุรกิจร่วมทุน (Venture Capital)
…..คติพจน์ประจำใจคือ “...เป็นผู้นำ…และผู้สร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพที่สำคัญที่สุด..”
…..คืนวันหนึ่ง หลังจากการประชุมทางวิดิโอแล้ว (Video Conference) ในคืนท้องฟ้าครึ้มฝน
เขาโมโห…ได้ด่าพนักงานระดับล่างคนหนึ่งอย่างรุนแรง ว่า…โง่เหมือนหมู ด้วยความโกรธ
พนักงานจึงได้หยิบเอาที่เขี่ยบุหรี่ทุบศีรษะเขา…จนกะโหลกแตกตาย ! ทำให้ธุรกิจของเขาถูก
ทุบทำลายพังพินาศไปด้วย

….เรื่องทั้ง 3 ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีจุดสำคัญที่เหมือนกันคือ
ความโมโห…ที่เกิดขึ้นใน 3 วินาที
…..ทำไม.? มีคนจำนวนมากใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังรอบคอบ วางแผนไว้รอบด้าน บนโต๊ะก็
แปะติดคติพจน์การดำรงชีวิตต่างๆ กินอาหาร…เครื่องดื่มประเภทบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงตลอด
ในสมุดบันทึกก็จดสูตรลับต่างๆ ที่ใช้เพื่อการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง…เพื่อให้มีอายุยืนยาว
แต่ทุกอย่างมักพังทลายจากความโกรธ…ความโมโห…อารมณ์ชั่ววูบใน 3 วินาทีเท่านั้น
…..เพราะว่า ใน 3 วินาทีนี้ ไม่สามารถมีสติ…ที่จะทนได้..ทนไม่ไหว ลืมที่จะอดทน ในที่สุด…
นำมาซึ่งผลงานที่ได้สร้างมา…ถูกพังทลายจนสิ้น
…..การแต่งงาน …ต้องใช้เวลาดำเนินการที่ยาวนาน พูดเรื่องหย่าใช้เวลาเพียง 3 วินาที
…..การคบเพื่อนสนิท…ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน ครั้นจะโกรธกันก็ใช้เวลาเพียง 3 วินาที
…..การมีภาพพจน์ที่ดี…ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน การพูดผิดใช้เวลาเพียง 3 วินาที
…..ความสุขต้องใช้เวลาบ่มเพาะที่ยาวนาน …ปลงไม่ตกใช้เวลาเพียง 3 วินาที
…..การสำรวมต้องใช้ความอดทนที่ยาวนาน …อารมณ์ชั่ววูบใช้เวลาเพียง 3 วินาที
…..พี่ๆน้องๆ และเพื่อนๆครับ คนโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่ฉลาดมาชั่วชีวิต แต่กลับทำเรื่องเหลวไหล…
เพียงครั้งเดียว…ทุกอย่างอาจพังทลายไปหมดได้
~ ครั้งต่อไป ไม่ว่าจะมีอารมณ์โกรธ…หรือ โมโห…เกิดขึ้นในเวลาใดก็ตาม… ขอให้จำไว้ว่า
กลั้นลมหายใจ ทำจิตตัวเองให้นิ่งจริงๆ บางที เพียง 3 วินาทีที่วิกฤตินี้ก็…อาจจะผ่านไปได้
~ การใช้เวลาครุ่นคิดอย่างมีสติ…ใน 3 วินาทีที่วิกฤตินี้ สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณได้ทั้งชีวิต
นี่คือเหตุผลสำคัญ..ทำไม เราต้อง "ทำสมาธิ " เพื่อผลิตพลังจิต และสะสมพลังจิตทุกวัน…ขยันก็ทำ
…ขี้เกียจก็ต้องทำ…ไม่ใช่ใครไหนที่ได้ประโยชน์…ตัวคุณนั่นเองแหละที่ได้ประโยชน์…ใครทำใครได้
… ทำแทนกันไม่ได้…ทั้งนี้…ก็เพื่อฝึกที่จะผ่าน ..3 วินาที ที่สำคัญนี้ไปให้ได้ด้วยดี ……อย่าลืม.
..อย่าให้ 3 วินาทีแห่งความโกรธ(ความโง่) และ ความโมโห (ความบ้า) ของคุณนี้ พังชีวิตของคุณลงไป

~ ขอให้วันนี้เป็นวันดี ขอให้คุณพระรักษา ธรรมคุ้มครองตัวข้าพเจ้า ครอบครัว
และสังคมของข้าพเจ้าด้วยเทอญ....

Cr. จากเพื่อนในไลน์ส่งมาค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:14 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 28, 2022 6:15 pm

( 2 )

เรื่องจริงที่อยู่ใกล้ตัว
แต่มักถูกมองข้าม

สามสี่วันก่อน เกิดความผิดพลาดเรื่องการงาน ทำให้จิตใจว้าวุ่นไม่ยอมสงบลงสักที
เมื่อวานหลังอาหารเย็น พ่อโทรมาหาแล้วบอกว่า "พรุ่งนี้พ่อจะเอาข้าวสารกับผักไปให้
ที่บ้านปลูกเอง ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อข้างนอก........"

พ่อยังไม่ทันพูดจบ จิตใจที่ว้าวุ่นอยู่แล้วเลยโพร่งออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อปนความรำคาญว่า
"อากาศหนาวซะขนาดนี้ ขอร้องเลย อย่าทรมานตัวเองได้เปล่า ของที่จะหิ้วมามันจะสักกี่สตางค์
กันเชียว"

ภรรยาที่ยืนเช็ดโต๊ะอยู่ข้างๆ รู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมณ์นัก รีบเข้ามาแย่งโทรศัพท์
ไปพูดแทน หล่อนรีบเออออกับพ่อพร้อมกล่าวคำขอบคุณไม่ขาดปาก หลังวางโทรศัพท์ ภรรยาหัน
มาตำหนิว่า "พ่อพี่อุตส่าห์จะหิ้วข้าวหิ้วผักมาให้ เป็นความปรารถนาดีของพ่อแท้ๆ แล้วพี่พูดจา
แบบนั้นกับพ่อได้ไง ลองคิดถึงตอนที่พี่สื่อสารหรือปฏิบัติตนกับหัวหน้าสิ พี่ควรจะเอารูปแบบเหล่านั้น
มาใช้กับพ่อบ้าง อย่างน้อยได้สักครึ่งก็ยังดี"

เออ มาลองคิดๆดูก็จริงอย่างที่หล่อนวิจารณ์ พออยู่กับหัวหน้า การพูดการจาต้องระวังทุกคำพูด
ทั้งเคารพทั้งยกย่อง แต่พอพูดกับพ่อ มันช่างต่างกันลิบลับ สงสัยพ่อจะคุ้นเคยกับนิสัยแย่ๆแบบนี้
ของผม ไปแล้ว เลยไม่เคยถือสา

ชอบกล่าวหาว่าภรรยามักบ่นเพ้อเจ้อไร้สาระไปวันๆ แต่คำพูดเมื่อสักครู่มันช่างกระแทกหัวใจได้
ตรงเป้าจริงๆ เอานะ ไอ้ที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยมันไป จากนี้ไปจะต้องรู้จักพูดดีทำดีกับพ่อแม่ยิ่งๆขึ้น

วันรุ่งขึ้น พ่อฝ่าความหนาวเหน็บมาถึงบ้าน ผมรีบชงชาร้อนๆแล้วรินใส่ถ้วย สองมือประคอง
ถ้วยชานั้น มายืนโค้งตัวอยู่หน้าพ่อ พ่อตกใจเล็กน้อย พอตั้งสติได้ พ่อรีบลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือ
ทั้งสองมารับ ชาถ้วยนั้นไป

พอพ่อดื่มชาถ้วยนั้นไปได้สักครึ่ง ผมกำลังจะยื่นมือเพื่อไปหยิบชาถ้วยนั้นไปเติมให้เต็มอีก แต่พ่อก็
รีบจับมือผมกุมไว้แน่น ยังไงก็ไม่ยอมให้ผมจัดการให้

พ่อเป็นคนติดบุหรี่ สังเกตว่าระหว่างที่นั่งคุยกัน มือพ่อยกขึ้นไปจับกระเป๋าเสื้อที่ใส่ซองบุหรี่ไว้ถึงสองครั้ง
แต่ก็ไม่ได้ดึงบุหรี่ออกมา แล้วหดมือกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมรู้ว่าพ่อเกรงใจผมเรื่องสูบบุหรี่ในบ้านผม แต่พอผมเห็นพ่อยกมือขึ้นไปจับกระเป๋าเสื้ออีกครั้งอย่าง
ไม่ได้ตั้งใจ ผมรีบหยิบไฟแช็คจากลิ้นชักโต๊ะข้างโซฟา แล้วบอกพ่อว่า “อยากสูบก็สูบเลย ไม่เป็นไรหรอก”

พ่อยิ้มด้วยความเก้อเขิน สายตาส่อแววลังเล จนกระทั่งผมกดไฟแช็คแล้วมีเปลวไฟพุ่งออกมา พ่อถึงได้
ดึงบุหรี่ออกมาจากซอง

ตอนผมยื่นมือไปจุดบุหรี่ให้พ่อ สังเกตว่ามือพ่อสั่นเล็กน้อย

หลังอาหารเที่ยง พ่อจะกลับบ้านแล้ว พ่อตั้งใจจะขึ้นรถเมล์แล้วไปต่อรถไฟที่สถานี แต่ผมจัดการโทรเรียก
แท็กซี่ให้พ่อนั่งไปสถานีแทน

พอแท็กซี่ขับมาจอดต่อหน้าพ่อ ผมรีบก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้พ่อ ตอนพ่อจะก้มตัวก้าวขึ้นรถ ผมรีบ
กางแขนไปกันขอบบนของประตูรถไว้ กลัวว่าหัวพ่อจะไปชนขอบประตู พ่อคงตกใจกับการกระทำที่ไม่
คุ้นเคยเหล่านี้ของผม ทำให้รอยยิ้มน้อยๆที่มีอยู่บนใบหน้าหยุดชะงักไปแป๊ป ก่อนที่จะส่งแววตาที่ฉงนปน
ความประทับใจมองหน้าผม แล้วพ่อก็ก้าวขึ้นรถไป

ตอนเย็นสี่โมงกว่า แม่โทรมาบอกว่าพ่อกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่เล่าต่อว่า ดูพ่อจะดีใจมีความสุขมาก
ดีใจจนคล้ายเด็กไปเลย พ่อเล่าเรื่องที่ผมเสิร์ฟชา จุดบุหรี่ เปิดประตูรถให้แม่ฟังเป็นฉากๆ แม้ว่าแม่เล่า
ให้ผมฟังด้วยความปิติ แต่ผมกลับรู้สึกว่าน้ำตาผมเริ่มซึมแล้ว มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ทั้งจุกทั้งสับสนอย่าง
บอกไม่ถูกจริงๆ ไม่ว่าการเสิร์ฟชา จุดบุหรี่ เปิดประตูรถ สิ่งเหล่านี้ผมทำให้หัวหน้าไม่เว้นแต่ละวัน มันบ่อย
จนกลายเป็นเรื่องปกติที่แสนธรรมดาไปแล้ว แต่ต่อหน้าพ่อ ผมเพิ่งทำได้เพียงครั้งเดียว แต่กลับสามารถ
สร้างความประทับใจและความสุขให้กับพ่ออย่างล้นเหลือ บอกตรงๆ ผมรู้สึกละอายใจอย่างมากจนยากที่
จะให้อภัยตัวเอง

***************

บทความนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่เป็นจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่า
หลายๆคน ก็คงเคยผ่านหรือปฏิบัติตนแย่ๆกับพ่อแม่มาแล้ว ว่ากันตามตรง พวกเราที่ดิ้นรนกันอยู่
ในสังคม ทุกคนล้วนอยู่ในสถานะที่มุ่งสร้างผลงานและอนาคตเพื่อตนเองทั้งนั้น กับเจ้านายหรือหัวหน้า
กับลูกค้าหรือผู้มีอุปการะคุณ เราทำดีต่อพวกเขาได้สารพัดอย่าง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงเหล่านี้
เรามักลืมไปว่า เรายังมีอีกหนึ่งสถานะ นั่นคือสถานะของความเป็นลูก เรายังมีพ่อแม่ที่ไม่ควรถูก
มองข้าม ต้องไม่ลืมกันว่า ก็พ่อแม่ของเรานี่แหละ ที่เป็นคนเสียสละและให้ความรักแก่พวกเราอย่าง
แท้จริง โดยปราศจากเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนใดๆทั้งสิ้น แล้วเราจะเฉยเมยต่อพ่อแม่เราได้ลงคอ
เลยเหรอ ลองถามหัวใจตัวเองดู

“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
Credit: 正能量家族
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:14 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 28, 2022 6:21 pm

( 3 )

📝 คนที่เคยล้มเหลว

แปลโดย : กอบกิจ ครุวรรณ

(#) ชายคนหนึ่งพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ อ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ ถูกไล่ออก
จากโรงเรียน และถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค เคยถูกอาจารย์ระบุว่า
"สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเอง" ชายคนนั้น
ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (1879 -1955 )
บิดาแห่งการคิดค้นปรมาณู

(#) ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี เคยถูกปฏิเสธจากผู้บริหารของบริษัท Decca Records
ด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และวงดนตรีที่เล่นกีต้าร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้นมีนามว่า เดอะ บีเทิลส์ (The Beatles : 1960 -1970) ตำนานแห่งสี่เต่าทอง อันลือเลื่อง.

(#) ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง ในปี 1954 เคยถูกผู้จัดการของ Grand Ole Opry ไล่ออกและดูถูกว่า
" แกมันไปไม่ถึงไหนหรอก ควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า "... ชายคนนั้นคือ เอวิส เพรสลีย์

(#) ชายคนหนึ่งเป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน และสูญเสียความสามารถในการฟังเป็นลำดับ
ชายคนนั้นหูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี ชายคนนั้นได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลง
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดชายคนนั้นชื่อ ลุดวิก ฟอน บีโธเฟน (Ludwig Van Beethoven : 1770 -1827 )

(#) ชายคนหนึ่งเป็นนักกีฬาเล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม เคยถูกคัดออกจากทีม
โรงเรียน ชายคนนั้น ชื่อ ไมเคิล จอร์แดน (1963 - )

(#) ชายคนหนึ่งเคยเรียนปริญญาตรี สอบได้ที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชา เคมี ชายคนนั้น
ชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ ( 1822 - 1895 )

👍👍👍👍👍👍👍👍
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:15 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ค. 07, 2022 8:50 pm

( 4 )

ไม่เก่งในโรงเรียน ไม่เป็นไร เพราะความฉลาดมี 9 แบบ

เลิกถามว่าฉลาดมั้ยเฉยๆ ให้ถามว่า “ฉลาดแบบไหน”

หลายๆครั้งที่ความฉลาดถูกยกเอามาแค่สำหรับความฉลาดทางด้านตรรกะ
(เลขหรือวิทยาศาสตร์) หรือทางด้านภาษา (การจดจำภาษา คำต่างๆได้เยอะๆ)

แค่ IQ หรือการสอบบางอย่างในโรงเรียนนั้นอาจจะเป็นการจำกัดคำว่าฉลาดที่แคบไปหน่อย

บางคนไม่ได้เก่งในโรงเรียน แต่เป็นอัจฉริยะด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา ซึ่งความฉลาดนั้นไม่ควร
ถูกวัดแค่จากเกรดในโรงเรียน หรือการบอกว่าตัวเองโง่นั้น ควรลองไล่ความฉลาดทั้ง 9 อย่างนี้
ดูก่อนที่จะตัดสินตัวเองหรือใครๆ

ต่อไปนี้ถ้ามีคนถามว่า “ฉลาดมั้ย? ”
เราก็จะถามกลับว่า “พูดถึงความฉลาดแบบไหนล่ะ ? ”

1. Logic Smart ฉลาดเรื่องตัวเลขและตรรกะ

ความฉลาดตามมาตรฐานโรงเรียน ที่จะมีความสามารถในการเข้าใจอะไรต่างๆ และมีทักษะอย่าง
การคำนวณ การแก้ปัญหา การมีความละเอียดรอบคอบ และทำข้อสอบได้ดี

2. Word Smart ฉลาดเรื่องภาษา

คนที่มีทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาได้ดี ซึ่งจะทำให้คนคนนั้นชอบอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ
ท่องคำศัพท์ และแน่นอนว่าในโรงเรียนนั้นมีแบบทดสอบจำพวกนี้เยอะ และได้เปรียบมากๆ
สำหรับการเรียนในโรงเรียน

3. Picture Smart ฉลาดในเรื่องภาพ

คนประเภทนี้คือจะชอบศิลปะ การออกแบบ แฟชั่น การออกแบบตึก และคนที่สามารถจินตนาการ
และอธิบายหลายอย่างที่ออกมาเป็นภาพได้อย่างดี คนพวกนี้จะชอบเรียนรู้จากภาพ

4. Body Smart ฉลาดในการใช้ร่างกาย

ความฉลาดทางด้านร่างกาย เป็นความสามารถที่สามารถควบคุมร่างกายได้ดี คนพวกนี้เป็น
คนที่นั่งนิ่งๆไม่ได้และเป็นคน active เช่น นักเต้น นักกีฬา นักแสดง

5. Sound Smart ฉลาดเรื่องเสียง

คนที่รู้สึกมีความสุขกับการได้ฟังเสียงเพลง และสิ่งๆนั้นทำให้ชอบการเขียนเพลง ร้องเพลง
แสดงดนตรี เช่น นักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรี

6. People Smart ฉลาดเกี่ยวกับผู้คน

เวลาที่คนพวกนี้พูดจะมีเสนน่ห์มากๆ คนพวกนี้จะชอบพูด ชอบเข้าสังคม เล่าเรื่อง ไปงานต่างๆ
และทำกิจกรรมกับคนเยอะๆ เช่น นักพูด คุณครู ที่ปรึกษาในด้านต่างๆ ซึ่งจริงๆแล้วทักษะนี้ก็
สำคัญมากๆกับการทำงานเกือบทุกรูปแบบ

7. Self Smart ฉลาดรู้ทันตัวเอง

แตกต่างจากพวกคนที่เก่งในการเข้าสังคม คนพวกนี้ชอบทำงานคนเดียว และทำอะไรคนเดียว
มากกว่าเป็นกลุ่ม คนพวกนี้จะชอบอ่านหนังสือ How to, Self- Help คนประเภทนี้รู้จักตัวเอง
และเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้ดี เช่น นักจิตวิทยา นักปรัชญา นักบำบัด คนแต่งกวี
และจริงๆแล้วทักษะนี้ก็ควรมีในการสามารถเข้าใจตัวเองและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง

8. Nature Smart ฉลาดทางธรรมชาติ

คนพวกนี้ชอบธรรมชาติ พวกเขาชอบเลี้ยงสัตว์ต่างๆ และมีทักษะในการสื่อสารให้สัตว์สงบลง
หรือสามารถฝึกสัตว์ป่าให้เชื่องได้ คนพวกนี้ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ความชอบของคนพวกนี้คือ
ตกปลา ดูนก ดูแลสัตว์เลี้ยง เช่น สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ในสวนสัตว์ นักอนุรักษ์ป่าไม้ หรืออาจ
จะแค่เป็นคนชอบสัตว์ก็ได้

9. Spirit Smart ฉลาดในการใช้ชีวิต

คนพวกนี้ชอบตั้งคำถามซับซ้อนอย่างเช่น “เกิดมาทำไม?” “เราเป็นใครกันแน่” คนพวกนี้
สามารถที่จะหาความสงบในตัวเองได้ และเป็นคนที่อยากหาความหมายของการเข้าใจตัวเอง
มากกว่าการครอบครองสิ่งของต่างๆ และชอบนั่งสมาธิ เช่น พระ นักบวช นักปรัชญา
(ตัวอย่างสำหรับคนที่ไปสุดทาง แต่จริงๆทุกคนควรมีความฉลาดแบบนี้ไว้เพื่อหาเส้นทาง
ในการใช้ชีวิตของตัวเอง)

ลองสำรวจดูว่า ตัวเราเองนั้นมีความฉลาดแบบไหนบ้าง และนอกจากจะพยายามขยาย
ความหมายของคำว่า “ฉลาด” แล้ว อย่าลืมพยายามสร้างความฉลาดในตัวเราเองในหลายๆ
ด้านด้วย อาจจะไม่ต้องถึงกับฉลาดมากๆทั้ง 9 อย่าง แต่ค่อยๆขุดคุ้ยพลังบางอย่าง
ในตัวเราเองของแต่ละแบบของความฉลาด

คิดว่า ทุกคนไม่ได้โง่ แต่แค่ว่า เขาอาจจะไม่ได้ทำข้อสอบในโรงเรียนเก่งเท่านั้นเอง

อยากให้สังคมค่อยๆเปิดรับและขยายความหมายของคำว่า “ฉลาด” เพื่อให้เด็กและผู้ใหญ่
ได้มีโอกาสได้รู้สึกดีกับความสามารถตัวเองและคนอื่น

ได้นิยามความสามารถใหม่และเปิดโอกาสให้คนทุกคนพร้อมที่จะเป็นตัวเอง
ในเวอชั่นที่ดีที่สุด (หรือชอบตัวเองที่สุด)


อ้างอิง
Dr. Howard Gardner developed the Theory of Multiple Intelligences
https://understandingcompassion.com/art ... ces-smart/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:15 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 09, 2022 8:22 pm

( 5 )

“ ลืม ” กับ “ จำ ”
อะไร.. สำคัญกว่ากัน..?

เราเคยคิดว่า ...
การมี.. ความ “ จำ ” ดี
เป็น.. สิ่งที่ “ พิเศษ ”

แต่ ...
เมื่อเรา “ เข้าใจ ” มันมากขึ้น

“ ลืม ” ต่างหาก... ที่เป็น
สิ่งที่พิเศษ, อย่างแท้จริง..!

หาก “ ลืมไม่ได้ ” ชีวิตเรา
ก็เหมือนกับ..อยู่ในโลกสีเทา

“ ลืม ” ความรุ่งเรืองในอดีตได้
👉 นี่คือ “ การปล่อยวาง ”

“ ลืม ” ความล้มเหลวในอดีตได้
👉 นี่คือ “ ความกล้าหาญ ”

“ ลืม ” บาดแผล
ที่คนอื่น...ฝากไว้ได้
👉 นี่คือ “ การให้อภัย ”

“ ลืม ” ความผิดพลาด
ของคนอื่น...ในอดีตได้
👉 นี่คือ “ ความเมตตา ”

“ ลืม ” ความไม่ใส่ใจ
ที่มิตรสหาย...มีต่อเราได้
👉 นี่คือ “ ความใจกว้าง ”

“ ลืม ” ความแค้นชิงชัง
ที่ผู้อื่น...มีต่อเราได้
👉 นี่คือ “ ความกรุณา ”

“ ลืม ” การทะเลาะเบาะแว้ง
กับคน...ที่เรารักได้
👉 นี่คือ “ การให้ความรักอันยิ่งใหญ่ ”

... “ ลืม ” ยากกว่า “ จำ ” ...
มากมาย...หลายเท่านัก

👉 จำ .. คือ “ ฉลาด ”
👉 ลืม .. คือ “ ปัญญา ”

“ ชีวิต ” เหลือ...อีกไม่นาน
ที่สำคัญ ... อย่าลืม ...
“ ยิ้ม 😊 ให้กันไว้นะ ”
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:16 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 19, 2022 8:56 pm

( 6 )

🌼20 ความจริงทางจิตวิทยา
ที่จะทำให้คุณรู้จักคนรอบตัวมากขึ้น..

1. มิตรภาพที่เกิดขึ้นในช่วงอายุ 16-28 ปี
มีแนวโน้มที่จะเหนียวแน่นและยั่งยืนกว่าวัยอื่น

2. ผู้หญิงมักชอบผู้ชายที่มีน้ำเสียงห้าวแต่นุ่มลึก
เพราะพวกเขาดูมั่นใจในตัวเองและไม่ก้าวร้าว

3. มีแนวโน้มว่า คนที่ให้คำแนะนำดีที่สุด
คือคนที่มีปัญหามากที่สุด

4. คนที่ยิ่งฉลาด จะยิ่งคิดเร็ว
และลายมือก็ยิ่งห่วยตามไปด้วย

5. วิธีที่ผู้คนปฏิบัติต่อพนักงานร้านอาหาร
จะส่งผลต่อบุคลิกการแสดงออกของพวกเขาอย่างมาก

6. บุคคลที่มีความรู้สึกสำนึกผิดที่ดี
จะยิ่งเข้าใจความคิดและความรู้สึกคนอื่นมากกว่า

7. ผู้ชายไม่ใช่เป็นเพศที่ตลกกว่าผู้หญิง
พวกเขาแค่เล่นมุกตลก โดยไม่สนใจว่า
ใครจะรู้สึกยังไงต่างหาก

8. ผู้หญิงมีตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดมาก
บนร่างกายกว่าผู้ชาย 2 เท่า แต่พวกเธอ
มีความอดทนมากกว่าผู้ชาย

9. ถ้าคุณไม่สามารถหยุดคิดฟุ้งซ่าน
ตอนกลางคืนได้ ให้เขียนมันออกมา
จะทำให้คุณคิดน้อยลงและหลับสบายมากขึ้น

10. สวัสดีตอนเช้า และ นอนหลับฝันดีนะ
เป็นข้อความที่ช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่รับรู้ความสุข

11. เวลาเฉลี่ยที่ผู้หญิงสามารถเก็บความลับได้
คือ 47 ชั่วโมง 15 นาที

12. ผู้คนที่พยายามทำให้คนอื่นมีความสุข
มักเป็นคนที่ขี้เหงาที่สุด

13. เมื่อเรามีความสุขมากขึ้น ความต้องการนอนก็น้อยลง

14. เมื่อคุณได้กุมมือคนที่คุณรัก
ความเจ็บปวดและความกังวลจะลดน้อยลง

15. คนที่ยิ่งฉลาดจะยิ่งมีเพื่อนน้อยลงกว่าคนทั่วไป
เพราะพวกเขาจะฉลาดเลือกเพื่อนมากขึ้น

16. การแต่งงานกับเพื่อนสนิท
จะช่วยลดอัตราการหย่าร้างได้ถึง 70%
และมีแนวโน้มที่ชีวิตคู่จะยืนยาวกว่าอีกด้วย

17. ผู้หญิงที่มีเพื่อนส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
มีแนวโน้มที่จะอารมณ์ดีกว่า

18. คนที่พูดได้สองภาษา
จะเปลี่ยนบุคลิกตัวเองไปโดยไม่ตั้งใจ
เวลาที่เปลี่ยนการพูดจากภาษาหนึ่งไปยังภาษาหนึ่ง

19. การเดินทางท่องเที่ยว ช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง
และลดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคซึมเศร้า

20. เมื่อมีคนสองคนคุยกัน
และหนึ่งในนั้นหันเท้าของเขาออกไป
หรือขยับเปลี่ยนทิศทางเท้าของเขาซ้ำๆ
นั่นเป็นสัญญาณที่แสดงว่า ..
เขาไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย
และต้องการจะออก ไปจากตรงนั้น..🌼

ที่มา https://brightside.me/inspiration-psych ... sychology-
facts-that-will-help-you-better-understand-yourself-and-others-163255/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:17 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2022 12:04 am

( 7 )

ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง...

ชายหนุ่ม หญิงสาวคู่หนึ่งได้พบกับท่านตาอายุเกือบเก้าสิบปี ทั้งสามพบกันโดยบังเอิญ
เพราะถนนด้านหน้ามีไม้ล้มขวางทาง

ตอนนี้ทางการกำลังให้คนมาขนย้าย พวกเขาจึงรอที่ศาลาพูดคุยกัน

หญิงสาวเอ่ยถาม "ท่านตาอายุมากแล้ว ไฉนยังเดินทางเพียงลำพัง"

ชายชราตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน "ครอบครัวข้าจากไปหมดแล้ว เหลือเพียงข้าผู้เดียว"

ชายหนุ่ม "ท่านจะไปไหนหรือ ให้ข้าไปส่งดีหรือไม่"

ชายชราส่ายหน้า "ไม่ต้องหรอก ข้าเดินทางไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น ไม่มีอะไรต้องห่วง
ชีวิตข้าข้ามผ่านภูเขา ทะเลกว้างมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล หวาดกลัว ที่สำคัญแม้ครอบครัว
จะจากไปแล้ว แต่เดี๋ยวข้าก็ได้พบพวกเขาจะคิดมากไปทำไมกัน"

หญิงสาวได้ฟังก็รู้สึกอยากสนทนาด้วย

"ท่านตา สิ่งใดที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุดในชีวิตหรือเจ้าคะ"

"ตราบที่ข้ายังมีประโยชน์ข้าก็มีความสุขที่สุด"

หญิงสาวแปลกใจในคำตอบจึงถามต่อ
"แล้วสิ่งใดที่ทำให้ท่านเสียใจที่สุดเจ้าคะ"

"เมื่อใดที่ข้าไร้ประโยชน์ต่อโลกใบนี้ นั่นคือความเสียใจที่สุด"

ชายหนุ่มแย้งว่า "ท่านตา ท่านจะแบกโลกไว้ทั้งใบไม่ได้นะขอรับ สรรพสิ่งมีวิถีตามครรลอง
ของมันเอง ยามนี้ท่านแก่ชราแล้ว สมควรหยุดพัก"

ชายชราหัวเราะ "พ่อหนุ่ม ยามที่เจ้าชวนข้าคุยก็เท่ากับข้าได้ทำประโยชน์แล้ว การทำประโยชน์
ให้โลกใบนี้ไม่ใช่แค่การแบกหาม หรือไปเที่ยวแบกความรู้สึกของใคร แต่เป็นสิ่งที่เราสมัครใจ
ทำ เพื่อให้การดำรงอยู่มีคุณค่ามากที่สุด"

ชายชราผายมือให้คนหนุ่มสาวได้เห็น

"พวกเจ้าเห็นต้นไม้ไหม ต้นไม้อยู่กับที่แต่กลับให้คุณมากมาย พวกเขาให้ร่มเงา ให้อากาศ
ที่บริสุทธิ์ เป็นที่พักพิงแก่เหล่าสัตว์มากมาย บ้างเป็นอาหารให้ทั้งคนและสัตว์

ขนาดพวกเขาเคลื่อนย้ายตนเองไม่ได้ ยังคงมีประโยช์มากมาย แล้วคนอย่างเราจะไม่ทำประโยชน์
ให้ผู้อื่นเลยหรือ"

ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟัง
"ข้าขอถามหน่อยเถอะท่านตา แล้วในวัยของท่านตอนนี้ นอกจากพูดคุยแล้ว
ท่านทำอะไรได้อีกบ้างขอรับ"

ชายชราหัวเราะร่า

"เยอะแยะเลย ข้าเคยช่วยนกที่ตกน้ำให้รอดตายได้

ข้าเคยเดินผ่านครอบครัวยากจนและหยุดสอนหนังสือเด็กๆอยู่สามเดือนจนพวกเขา
นับเลขได้ คิดเลขเป็น

ข้าเคยทานอาหารแล้วเห็นขอทานสองคนพ่อลูกเดินทางผ่านมา

ข้าชวนพวกเขามาทานอาหารด้วย
แต่เมื่อร้านไม่อนุญาต ข้าก็แค่ซื้อไก่ให้พวกเขาคนละน่อง หมั่นโถวสามลูกต่อคนและ
น้ำอีกหนึ่งถุงต่อคน

ข้าเคยช่วยหญิงชราวัยเดียวกันถือของกลับบ้านนาง นางแก่มากแล้ว แต่ยังต้อง
ทำงานเลี้ยงลูกที่พิการ

ข้าเคยนั่งฟังหญิงหม้ายที่สามีทอดทิ้งและนางจะพาลูกชาย ลูกสาวมาโดดแม่น้ำตาย

ข้านั่งคุยครึ่งค่อนวันจนนางยอมวางความโศกเศร้าและจูงลูกๆกลับบ้าน

ข้าแอบตามไปเห็นนางปาดน้ำตาทำครัวให้ลูกๆกิน และบอกลูกๆว่าต่อไปต้องช่วย
นางทำสวนนะจะได้ไม่อดตาย

ข้าไม่ได้ทำการใหญ่อะไรเลย แค่ทำประโยชน์เล็กๆน้อยก็เท่านั้น
แม้จะไม่ยิ่งใหญ่

แต่นกน้อยตัวนั้นก็ยังรอดชีวิต
พ่อลูกคู่นั้นไม่ต้องหิวตายในวันนั้น
ครอบครัวหนึ่งสามารถคิดเลขได้เป็น
ก็จะไม่โดนหลอกเวลาไปซื้อของ
หญิงชราผู้นั้น วันนั้นนางได้พักเหนื่อยหนึ่งวัน เพราะมีคนช่วยแบกของ
ข้าช่วยให้สามแม่ลูกรอดชีวิตได้ เพราะแค่นั่งฟังนางระบายความในใจ

... ก็แค่นั้นเอง ชีวิตคนเรามันก็แค่นั้นเอง"

ชายหนุ่มหญิงสาวรู้สึกประทับใจมากๆกับคำสอนของชายชรา

ใช่แล้วการดำรงอยู่บนโลกใบนี้
ไม่จำเป็นต้องบริจาคทรัพย์นับล้าน
หรือทำอะไรมากจนเกิดกว่าที่ตัวเราจะทำได้

ทว่าหากเพียงทำสิ่งเล็กๆในแต่ละวันให้คนที่อยู่ใกล้ๆเราขณะนั้นรู้สึกดี
มีกำลังใจ สุขใจ หรือขอบคุณในใจได้ แค่นั้นก็มากพอแล้ว

ชายหนุ่มหญิงสาวเห็นทางการเลื่อนไม้ออกแล้ว จึงหันมาชวนชายชราให้เดินทางต่อ
แต่ชายชราหายไปแล้ว พวกเขางุนงงจึงออกเดินทางไป

เพียงผ่านจุดที่ต้นไม้ล้มไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับเห็นรูปปั้นผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนยิ้มตระหง่านอยู่
พวกเขาถามทหารแถวนั้นว่าชายผู้นี้คือใคร

ทหารตอบว่า "เป็นพ่อเฒ่าท่านหนึ่งแซ่หู ท่านเป็นคนทางเหนือ เดินทางมาทางใต้จนลงหลัก
ปักฐานที่นี่ ครอบครัวนี้ดีมาก มักทำบุญทำทาน ช่วยเหลือผู้คนไปทั่ว

จนวันหนึ่งครอบครัวทะยอยจากไปเหลือผู้เฒ่าเพียงลำพัง ท่านผู้เฒ่ามักท่องเที่ยวไปทั่ว
สร้างรอยยิ้มให้ผู้คน และสอนเรื่องดีๆ แต่ท่านจากไปได้สิบปีแล้ว ท่านเป็นที่รักของชาวบ้าน
แถวนี้มากๆ ทุกคนเคารพท่านเหมือนเทพประจำหมู่บ้านก็ว่าได้"

ทหารเล่าจบก็หันไปขนท่อนไม้ที่ผ่าไว้เป็นท่อนๆ ให้ออกไปพ้นทาง

ชายหนุ่มหญิงสาวยกมือไหว้
"ขอบคุณที่ชี้ทางพวกเรา การทำความดี ทำเพียงเล็กน้อย
แต่ทำอย่างสม่ำเสมอก็นับว่าวิเศษแล้วจริงๆ"

Cr.Fwd Line
Photo:pepe_soho
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:17 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 13, 2022 9:11 pm

( 8 )

แรงนะ ญี่ปุ่นวิจารณ์ไทย แต่เป็นเรื่องจริง
วันนี้มาดูญี่ปุ่นวิจารณ์ไทยกันบ้าง อ่านแล้วแสบทั้งไส้และทั้งทรวงเลย
เห็นทีคนไทยต้องกลับมาพิจารณาตนเองครั้งใหญ่แล้วครับ

นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นประจำกรุงเทพ
(Japan External Trade Organization,Bangkok : JETRO Bangkok)
ระบุว่า ไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน เหมือนที่ผ่านมาในสายตาของนักลง
ทุนญี่ปุ่น โดยได้แสดงทรรศนะถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อ คือ
1.คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก
โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม คือ เป็นประเภท มือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็นธุรกิจการเมือง
ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติ ล้าหลังไปเรื่อยๆ
2.การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับ
ต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง
จึงตามหลังชาติอื่น คนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก เพื่อโอกาสที่ดีกว่า
3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงาน แบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน
มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน
4.ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ
ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับ สัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะ
หมายถึง ความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อย ๆ
5.การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาส
ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6.การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการ ไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก
ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอด
ไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน
7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี้ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน
โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูก แล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้าย
ยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว
8.เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับ ผลประโยชน์ บ่อยครั้งที่ต้องเสียโอกาสอย่าง
มหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน
9.ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือ ในเวทีการค้าระดับโลกยังขาดทักษะและ
ทีมเวิร์คที่ดีทำให้สู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้
10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง
เพราะการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูก ช่วยตัวเอง ไม่กระตือรือร้น ในการช่วยตนเองขวนขวาย
แสวงหา ค้นหาตัวเองและไม่สอนให้สำนึกผิดชอบต่อสังคม-------!!!
……………แรงมากครับ และยอมรับทุกข้อ
คำถามคือ..แล้วเราจะ เริ่มต้นแก้ไขกันอย่างไรดีครับ เป็นหน้าที่คนไทยทุกคนนะครับ

:s005:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:18 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ต.ค. 14, 2022 8:54 pm

( 9 )

ครอบครัวที่ล่มสลาย หัวใจที่พังทะลายของฆาตกรที่สังหารอดีตนายกฯ อาเบะ
/////

ปมทางจิตที่แม่สร้างไว้ให้ลูก

ประวัติความล่มสลายของครอบครัวคนร้าย นายเท็ตสึยะ ยามากามิ (อายุ 41 ปี)
ที่ฆ่าอดีตนายกฯ อาเบะ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มลัทธิที่ตัวเขาชิงชัง

ความจริงในวัยเยาว์ เขาเป็นเด็กที่เพรียบพร้อม บ้านมีฐานะ เรียนก็เก่ง เล่นกีฬาก็ดี
แต่แล้วชีวิตต้องมาพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อมาร ดาเขาคลั่งลัทธินิกายใหม่

เท็ตสึยะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ มีพี่ชาย 1 คน น้องสาว 1 คน

เพื่อนโรงเรียนประถมและมัธยมต้น เล่าให้ฟังว่า ...

เท็ตสึยะเรียนเก่ง กีฬาก็เยี่ยม ใจดี นิสัยดี ไม่มีที่ติเลย ครูประจำห้องมักชมเท็ตสึยะเสมอๆ

เพื่อนร่วมชมรมบาสเก็ตบอลเล่าให้ฟังว่า ...

เท็ตสึยะหัวดีมากๆ เป็นคนขยัน ไม่แสดงทีท่าว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษ เขาเก่งกว่า
คนอื่นในทุกๆ ด้าน ทั้งกีฬาและการเรียน แต่เขาเป็นคนที่พูดน้อย สงบเงียบๆ สอนการบ้าน
เพื่อนประจำ ไม่เคยมีศัตรู และไม่มีพิษภัยกับใคร
ผมยังไม่เชื่อเลยว่าฆาตกรเป็นเพื่อนตัวเอง เคยเห็นเขาสอนการบ้านเพื่อน แต่ไม่ค่อยเห็นเขา
คบเพื่อนคนไหนเป็นพิเศษ

คนที่รู้จักเท็ตสึยะช่วงมัธยมปลาย เล่าว่า

เท็ตสึยะอยู่ชมรมเชียร์ ได้ไปเชียร์การแข่งขันเบสบอลที่สนามโคชิเอ็งด้วย

เพื่อนอีกคนเล่าว่า

เท็ตสึยะชอบอยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร เวลาพักกลางวันหรือพักกินข้าวก็ไปคนเดียวตลอด

.........

ผู้มีศักด์เป็นลุง (พี่ชายของพ่อเท็ตสึยะ) เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า

"พ่อเท็ตสึยะฆ่าตัวตาย ตั้งแต่เท็ตสึยะอายุได้ 4 ขวบ ตอนนั้นแม่เท็ตสึยะกำลังท้องน้องสาว
เท็ตสึยะได้ 8 เดือน

ลูกชายคนโตเป็นมะเร็งตั้งแต่เล็ก หลังจากผ่าตัด สูญเสียการมองเห็นไปข้างนึง

ผมให้เงินช่วยเหลือเดือนละ 5 หมื่นเยนมาตลอด

หลังจากพ่อเท็ตสึยะเสียได้สักพัก แม่เท็ตสึยะก็เข้ากับกลุ่มลัทธิโบสถ์เอกภาพ หลายครั้งที่ปล่อย
ให้ลูกๆ อยู่ลำพัง ส่วนตัวเองบินไปสาขาแม่ที่เกาหลี พี่ชายเท็ตสึยะต้องโทรมาขอเงินไปซื้อข้าวกิน

ผมพบบันทึกของภรรยาผม ที่โน้ตไว้ว่าเงินที่ช่วยเหลือครอบครัวเท็ตสึยะ ถูกถ่ายโอนไปที่โบสถ์
เอกภาพมาตลอด 9 ปี รวมๆ แล้ว หลายล้านเยน

นั่นทำให้ผมรู้ว่าน้องสะใภ้ได้เข้าไปในกลุ่มลัทธินี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

หลังจากที่น้องชายผมเสียชีวิต แม่เท็ตสึยะได้โอนเงินค่าสินไหมจากการเสียชีวิต เป็นจำนวน
เงิน 50 ล้านเยน (13 ล้านบาท) ให้กับโบสถ์เอกภาพ

นอกจากนี้ ยังมีค่าปลอบวิญญาณผู้ล่วงลับอีก เกือบ 3 ล้านเยน (8 แสนบาท) "

..........

โบสถ์เอกภาพคงเป็นทางออกจากความทุกข์ทางเดียวสำหรับแม่เท็ตสึยะ

เดือนสิงหาคม ปี 1998 แม่เท็ตสึยะขายที่ดินที่ตาให้ไว้ ตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์พ่อลูก
ก็สั่นคลอน และสองเดือนให้หลัง ตาก็จากไป

แม่เท็ตสึยะได้เป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างต่อจากตา

เดือนมีนาคม ปี 1999 แม่เท็ตสึยะขายบ้านและอาคารอื่นๆ ที่เป็นสมบัติของตา โดยโอนเงิน
ทั้งหมดให้โบสถ์เอกภาพ

ลุงเท็ตสึยะลำบากใจมาก แต่ก็ต้องตัดใจเลิกให้เงินช่วยเหลืออีก เพราะรู้ว่าเงินที่ให้แม่เท็ตสึยะ
นางจะเอาไปทุ่มให้โบสถ์เอกภาพทั้งหมด

เท่าที่ลุงเท็ตสึยะรู้ แม่เท็ตสึยะได้บริจาคให้กับโบสถ์เอกภาพไปมากกว่า 100 ล้านเยน (26 ล้านบาท)

หลังจากเท็ตสึยะจบมัธยมปลาย เขาไม่มีเงินเรียนต่อ ลุงเท็ตสึยะให้ความช่วยเหลือ แต่เท็ตสึยะ
ตัดสินใจเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน

เท็ตสึยะสมัครเข้าเป็นทหารในกองกำลังป้องกันตนเอง ระยะเวลา 3 ปี ระหว่างนั้น เขามีเรื่องกับคน
ในกองทัพ เจ้าตัวถึงกับจะฆ่าตัวตายด้วยการกรอกน้ำมันเบนซินผสมเหล้า แต่แล้วเขากลับเรียก
รถพยาบาล มาเอง เขาก็เลยไม่ตาย

หลังจากออกจากกองกำลังป้องกันตนเอง เขาได้ไปทำงานที่บริษัทหนึ่ง ทำงานอยู่ที่นั่นสิบกว่าปี
จนถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา

เท็ตสึยะขอลาออกเพราะสุขภาพไม่อำนวย คนในบริษัทเล่าให้ฟังว่า แรกๆ ที่เข้ามาทำงานก็
เรียบร้อยดี แต่พอผ่านไปครึ่งปี เริ่มเข้ากับคนอื่นไม่ได้

หลังจากออกจากงาน เท็ตสึยะก็ตกงาน จนถึงวันก่อเหตุฆาตกรรมอดีตนายกฯ อาเบะ

.........

ครอบครัวเท็ตสึยะถูกประกาศเป็นผู้ล้มละลาย หลังจากที่เท็ตสึยะไปประจำกองกำลังตนเอง
ได้ไม่นาน

ปี 2015 พี่ชายของเท็ตสึยะฆ่าตัวตาย

ลุงเท็ตสึยะซึ่งมีอาชีพทนายได้ทำหนังสือไปถึงโบสถ์เอกภาพ ให้ชี้แจงเงินบริจาคของแม่เท็ตสึยะ
ทางโบสถ์เอกภาพตัดปัญหาด้วยการคืนเงินมา 50 ล้านเยน

แต่สุดท้ายแล้ว แม่เท็ตสึยะก็เอาเงินทั้งหมดไปให้โบสถ์เอกภาพต่ออีก

น้า (น้องสาวแม่) ของเท็ตสึยะกล่าวว่า

"พ่อฉันช่วยเหลือครอบครัวพี่สาวมาตลอด เพราะเห็นว่าพี่เขยมาด่วนเสียชีวิต และทิ้งภาระให้พี่สาว
เลี้ยงดู จนหลังๆ พี่สาวก็มาขอเงินจากฉัน แต่ฉันปฏิเสธไป จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มองหน้ากัน

ฉันสงสารเท็ตสึยะจริงๆ จะมีลูกคนไหนที่กล้าฆ่าแม่ตัวเองล่ะ ..."

สุดท้าย เท็ตสึยะจึงระบายความโกรธแค้นแม่ตัวเองที่ตัวเขาเก็บกดมาทั้งชีวิต
มาที่อดีตนายกฯ อาเบะแทน

*****

ข้อมูลอ้างอิง :

FNN
デイリー新潮
文春オンライン
กลุ่มตะลอนเที่ยวญี่ปุ่น
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:19 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 17, 2022 8:40 pm

( 10 )

ทางเลือกของความสุขกับความถูกต้อง
สองวันก่อน ผมขับรถพาครอบครัวไปรับประทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เลี้ยวรถ
ตามลูกศรเข้าไปตามทางในที่จอดรถ โชคดี มีรถกำลังออกจากซองพอดี จึงกดไฟกระพริบรอ
ทันใดนั้นเอง ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นรถอีกคันหนึ่งขับย้อนศรมากดไฟกระพริบรออยู่เช่นกัน
เราคุยกันในรถว่าที่จอดนี้ควรเป็นของเรา เพราะเรามาตามทางที่ถูก รถอีกคันพยายามเขยิบ
เข้ามาใกล้เป็นสัญญาณว่า "นี่ที่จอดของฉัน"
จังหวะที่รถคันเดิมออกจากซอง ผมขับรถเคลื่อนไปข้างหน้า เตรียมถอยเข้าจอด รถที่ย้อน
ศรกดกระจกลง สีหน้าโกรธเกรี้ยว ภรรยาบอกกับผมว่า "เรามาถูกทาง"
ผมถอยเข้าไปจอดได้ครึ่งคันแล้ว แต่ตัดสินใจขับออกมา ยกที่จอดนั้นให้กับรถคันนั้น วนหา
ที่จอดกันอีกไม่กี่นาทีก็ได้ที่จอด แล้วลงไปกินข้าวกันอย่างมีความสุข
เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ ผมมิได้ต้องการจะบอกว่า ใครควรตัดสินใจอย่างไร ทั้งมิได้ต้องการ
ชวนคิดว่าใครถูกใครผิด
ผมเพียงอยากเล่าให้ฟังว่า การไม่จอดรถ ณ ตำแหน่งนั้น ทำให้วันนั้นของผมเคลื่อนต่อไป
อย่างราบรื่นกว่าการยืนยันในความถูกต้องของตัวเอง(ที่ขับมาตามเส้นทางที่มีลูกศรชี้บอก)และ
เป็นความถูกต้องที่ผมหรือใครๆ เคยถือมันไว้อย่างหนักหน่วง ไม่ยอมคลายลง
ชีวิตมีเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ และผมอาจจะแก่แล้วก็ได้ เลยไม่เห็นว่าเราจะต้องทำทุกเรื่อง
ในชีวิตให้เป็นเรื่องใหญ่
ไม่เฉพาะเรื่องที่จอดรถ ในชีวิตเรามีเรื่องมากมายที่พอไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เราจดจ้องมองหน้ากัน
สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งถือความถูกต้องอย่างหนึ่ง อีกฝ่ายก็ถือความถูกต้องของตัวเอง บางทีก็ไม่ใช่เรื่อง
คอขาดบาดตาย แต่ด้วยทิฐิและอัตตาของความรู้สึกว่า "ฉันถูก-แกผิด" ทำให้เรื่องนั้นดูใหญ่โตจน
ยอมกันไม่ได้
หากถอยเข้าไปจอด ผมอาจรู้สึกดีที่ได้ยืนยันความถูกต้องของตัวเอง อาจสะใจที่เป็นฝ่ายชนะ
แต่ถ้าเจ้าของรถคันนั้น หันหน้ามาทำหน้าโกรธหรือก่นด่าใส่ ต่อให้ไม่โต้ตอบ ผมก็คงอารมณ์เสีย
ไปทั้งวัน หรือถ้าโทสะเข้ามาบดบังใจผม อาจมีเหตุการณ์อื่นเข้ามาแทรก ทำให้อาหารมื้อนั้น
สิ้นสุดลง และเปลี่ยนทุกอย่างไป
ระหว่างกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและเบิกบาน ผมคิดในใจว่า เจ้าของรถคันนั้นเหมือนเทวดา
มาลองใจวิชา "ถอยเพื่อไม่ทุกข์" ให้กับผม และรู้สึกว่าเคล็ดวิชานี้สามารถนำไปใช้ได้กับอีกหลายเรื่อง
หลายสถานการณ์ในชีวิต
บางสถานการณ์ เราอาจจะเป็นฝ่ายถูก แต่เราไม่ต้องชนะก็ได้ หากทำเช่นนั้นแล้วสบายใจกว่า
โดยเฉพาะในเรื่องที่ไม่รู้จะเอาชนะคะคานกันหนักหน่วงไปทำไม
หากต้องเลือกระหว่าง "ความถูกต้อง" กับ "ความสบายใจ" คนแก่อย่างผมเลือกอย่างหลัง เผลอๆ
วิธีนี้จะช่วยฝึกความมีเมตตาและความใจกว้างของเราไปในตัวด้วย
กินข้าวแบบบูดบึ้ง แม้เป็นฝ่ายถูก ก็สู้กินข้าวอย่างเบิกบานโดยยอมให้เขาได้เป็นฝ่ายชนะ
ไม่ได้หรอก
บางที เพื่อที่จะมีความสุข ไม่ได้หมายความว่าเราต้องชนะเสมอไป และบ่อยครั้งมิใช่หรือ
ที่ชัยชนะนั้นเองที่นำความทุกข์มาให้
อยู่ที่เราจะเลือก ระหว่าง ความถูกต้อง หรือความสุข

…………..

ปล. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบ
ผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย
ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบ
กับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ตอบกลับโพส