เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ (ชุดที่9)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 27, 2022 9:04 pm

🎈เสียงเธอสะเทือนพิภพ ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2007
โดย แครี ฮาวลีย์ และจากวิกิพีเดีย 2021 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วาฟา (Wafa Sultan) เกิดในปี 1958 และเติบโตในเมืองบานิอัส (Baniyas)
ประเทศซีเรีย บ้านเกิดของเธออยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พ่อทำธุรกิจด้าน
เมล็ดพืช ที่บ้านเป็นมุสลิม ”อะลาไว้ต์” (Alawite) ซึ่งแยกมาจากนิกายชีอะห์
พวกเขายอมให้มีดื่มสุราพอประมาณ ในงานสังคมได้และเชื่อเรื่องเวียนว่าย
ตายเกิด ในวัยเด็ก พวกพี่ชายและน้องชายดูแล เธอราวกับไข่ในหิน วาฟา
ตั้งใจเรียนและแทบจะไม่ย่างก้าวออกนอกสังคมมุสลิมเลย
ขณะเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยอะเลปโป (University of Aleppo)
ในปี 1979 วาฟาเห็นอาชญากรรมอุกอาจที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
ในวันนั้น ขณะที่วาฟานั่งอยู่ในห้องบรรยายพร้อมเพื่อนนักศึกษาอีก 200 คน
ทุกคนกำลังตั้งใจฟังอาจารย์ ‘ยูเซฟ’ (Yusef al Yusef) บรรยายเรื่องโรคตา
ทันใดนั้น วาฟาได้ยินเสียงปืนยิงรัวดังสนั่นและเห็นอาจารย์ยูเซฟล้มคว่ำ มือปืน
กลุ่มหนึ่งถือปืนไรเฟิลยืนจังก้าอยู่ข้างร่างของเขาร้องตะโกนเป็นภาษาอาหรับว่า
“อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่” จากนั้นกลุ่มฆาตกรซึ่งเป็นมุสลิมหัวรุนแรงก็วิ่งหนีไป
ปล่อยให้นักศึกษานั่งมองร่างไร้ ลมหายใจของอาจารย์ด้วยความตะลึงงัน
วาฟารู้สึกสะเทือนใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกล่าวว่า "ฉันเลิกเชื่อพระเจ้าของ
พวกเขาและเริ่มตั้งคำถามกับคำสอนที่พวกเราเรียน ฉันจะต้องเสาะหาพระเจ้าองค์อื่นแล้ว”
วาฟารู้สึกสะเทือนใจยิ่งขึ้นเมื่อเธอทำงานเป็นจิตแพทย์ในโรงพยาบาล​ หลังจากเพิ่ง
แต่งงาน กับ”เดวิด”อาจารย์ด้านวิศวกรรม ทุกวันวาฟามีเรื่องมาเล่าให้สามีฟังเกี่ยว
กับเหยื่อ ความรุนแรงในครอบครัว
คนไข้หญิงหลายคนเดินเข้ามาพร้อมกับดวงตาเขียวคล้ำเป็นวง มีบาดแผลที่หลัง
บางรายกระดูกหัก วาฟารักษาได้เฉพาะบาดแผลภายนอกและรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ไม่สามารถปริปากพูดถึงสาเหตุลึก ๆ ของปัญหานี้ได้ เพราะนั่นคือวัฒนธรรมที่บีบ
บังคับให้ผู้หญิงต้องยอมศิโรราบต่อผู้ชายโดยเฉพาะมุสลิมแนวคิดรุนแรงยิ่งทำ
ให้ผู้หญิงหมดทางต่อสู้มากขึ้น
วาฟากับเดวิดสามีเริ่มปรึกษากันเรื่องอพยพไปจากซีเรียเพื่อหนีความยากจนที่
รุนแรงขึ้นและแนวคิดรุนแรงด้านศาสนาซึ่งรุมเร้าอยู่รอบด้าน แต่กว่าจะสำเร็จก็ใช้
เวลาถึง 10 ปี เดวิดได้วีซ่าและบินไปแคลิฟอร์เนียในปี 1988 เขารอรับครอบครัวซึ่ง
เดินทางไปสมทบในอีกหลายเดือนต่อมา
ก่อนหน้านั้น วาฟาไม่เคยออกนอกซีเรียเลย เธอพูดอังกฤษได้เล็กน้อยและมีลูกสาว
วัย 4 ขวบกับลูกชายวัย 9 ขวบ ช่วงปีแรก ๆ ที่แคลิฟอร์เนีย ทั้งสองต้องกัดฟันทำงาน
หลายอย่างรวมทั้งการเป็นพนักงานเก็บเงินในปั๊มน้ำมันและพนักงานขายพิซซ่า
เนื่องจากวาฟาไม่มีใบประกอบโรคศิลปะในสหรัฐฯ หลังจากอยู่ได้ราว 1 เดือนวาฟา
ก็ตั้งท้องลูกคนที่สาม อย่างไรก็ตาม การได้ออกจากซีเรียก็ทำให้วาฟากับครอบครัว
“มีความสุขมากกว่าในซีเรีย” เธอกล่าว

โปรดติดตามตอนที่ (2) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ม.ค. 28, 2022 4:17 pm

🎈เสียงเธอสะเทือนพิภพ ตอนที่ (2)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2007
โดย แครี ฮาวลีย์ และจากวิกิพีเดีย 2021 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วาฟาเข้าร่วมสังคมกับชุมชนมุสลิมในแคลิฟอร์เนียแต่ยืนยันว่าจะเลี้ยงดูลูกแบบ “อเมริกันชน”
ลูกทั้งสามฟังภาษาอาหรับรู้เรื่องแต่สองคนเล็กพูดไม่ได้ วาฟาได้สัญชาติเป็นคนอเมริกัน
ในปี1989 และเนื่องจากสิ่งที่เธอประสบมาที่บ้านเกิดยังคงรบกวนจิตใจอยู่เสมอ เธอจึงเริ่ม
เขียนบทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้หญิง ศาสนาอิสลาม และแนวคิดหัวรุนแรง
เธอป้อนบทความของเธอให้กับสื่อมวลชนภาษาอาหรับ วาฟาเลี่ยงไม่วิจารณ์ศาสนาตรง ๆ
แต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการตีความคำสอนของศาสนาอิสลามที่ดูเหมือนจะสนับสนุนการก่อการร้าย
และการทุบตีภรรยา
กระนั้นก็ตาม ผู้อ่านบางคนคิดว่าวาฟาปากกล้าเกินไป ครั้งหนึ่งมีผู้ชายโทรฯมาเตือนเธอว่า
“แม้อยู่ในสหรัฐฯ ก็อย่าคิดว่าจะมีอิสระทุกอย่าง” คนที่โทรฯมาอ้างตัวว่ามาจากองค์กรอิสลาม
ชื่อดัง การข่มขู่ลักษณะนี้ทำให้วาฟารู้สึกกลัว รวมทั้งบรรณาธิการที่ถึงกับหัวหดทีเดียว

ต่อมาเกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 วาฟารู้สึกเดือดดาลและ
กล้าขึ้นมาก เธอบอกสามีว่า “เป็นไงเป็นกัน ฉันอยากเขียนอะไรก็จะเขียน”

เช้ามืดวันหนึ่งกลางปี 2005 วาฟาและสามีสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบลุกไปรับ
โทรศัพท์ ผู้ชายที่โทรฯ มาแนะนำตัวว่าเป็นพนักงานของสถานีโทรทัศน์อัลจาชีรา (Al Jazeera)
และ CNN ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศกาตาร์ (Qatar) ออกอากาศเป็นภาษาอาหรับ อัลจาซีราเป็นสถานี
โทรทัศน์ที่มีอิทธิพลที่สุดในตะวันออกกลางมานานกว่า 10 ปีแล้ว
ผู้โทรฯ มาเป็นผู้ผลิตรายการ เขาอธิบายว่า มีเพื่อนคนหนึ่งได้อ่านงานเขียนของเธอเกี่ยวกับ
ศาสนาอิสลามและการก่อการร้ายซึ่งเผยแพร่อยู่ในเว็บไซด์ภาษาอาหรับ ผู้โทรฯ เชิญเธอไปเป็น
แขกร่วมรายการของสถานีฯ

วาฟางงไปหมดเพราะเธอไม่ใช่นักเขียนอาชีพและไม่ได้เป็นนักวิชาการด้านตะวันออกกลางแม้จะ
เติบโตในซีเรียก็ตาม เธอเรียกแคลิฟอร์เนียว่า​”บ้าน”มานาน 16 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม เธอมี
ความคิดเห็นชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงและรับปากจะไปร่วมรายการ

โปรดติดตามตอนที่ (3) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 30, 2022 10:32 pm

🎈เสียงเธอสะเทือนพิภพ ตอนที่ (3)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2007 โดย แครี ฮาวลีย์
และจากวิกิพีเดีย 2021 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันนั้นในปี 2005 วาฟานั่งอยู่ในห้องส่งที่ลอสแอนเจลิส เจ้าหน้าที่นำไมโครโฟนมาติด
ให้และพาไปนั่งหน้ากล้อง ผู้ดำเนินรายการซึ่งอยู่ที่สถานีกลางที่กาตาร์เริ่มรายการด้วย
การปูพื้นฐานเรื่องศาสนาอิสลามกับการก่อการร้ายให้ผู้ชมฟัง จากนั้นวาฟาก็ตกใจสุดขีด
เมื่อผู้ดำเนินรายการแนะนำผู้ร่วมรายการอีกคนคือ “อาหมัด บิน โมฮัมหมัด” อาจารย์สอน
กฎหมายอิสลามชาวแอลจีเรีย
วาฟาไม่รู้มาก่อนว่าจะมีผู้ร่วมรายการอีกคนที่จะโต้แย้งความคิดเห็นของเธอ
และเพิ่งทราบว่าเป็นรายการชื่อ “คนละขั้ว” (The Opposite Direction)
ผู้ดำเนินรายการให้เธอพูดก่อน ยิ่งพูดวาฟายิ่งรู้สึกสะเทือนใจ :
“ศาสนาในประเทศของเราเป็นแหล่งกำเนิดด้านการศึกษา และยังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
พวกผู้ก่อการร้ายด้วย”
อาหมัดตอบโตด้วยการเปลี่ยนประเด็นไปพูดถึงประธานาธิบดีบุช “มีแต่คนถามว่า
เยาวชนมุสลิมพลีชีพด้วยระเบิดได้อย่างไร แต่ทำไมไม่ถามด้วยว่า ประธานาธิบดีบุชฆ่า
ผู้บริสุทธิ์ในอิรักได้อย่างไร”
วาฟาเพิ่งประจักษ์ชัดว่า รายการสดครั้งแรกในชีวิตของเธอ ไม่ใช่การสนทนาธรรมดา
แต่เป็นการโต้วาที เธอพรั่งพรูคำพูดออกไปราวกับเขื่อนแตก เธออ้างถึงเหตุการณ์ที่กลุ่ม
มุสลิมหัวรุนแรงทำร้ายผู้บริสุทธิ์หลายครั้ง “คุณ(อาหมัด)อธิบายได้ไหมว่า ทำไมเด็ก​ ผู้ใหญ่
ทั้งหญิงชายในแอลจีเรียนับแสนคนถูกฆ่าตาย” หรือ “ทำไมพลเรือนราว 15,000 คน
ถูกสังหารในซีเรีย” “ทำไมจึงเกิดการถล่มโรงเรียนทหารในอะเลปโป ...โศกนาฏกรรมเหล่านี้
เป็นการแก้แค้นชาวอเมริกันหรืออิสราเอลหรือไม่ หรือเป็นเพียงการตอบสนองต่อสัญชาตญาณ
ความป่าเถื่อนที่ปลูกฝังแนวคิดให้ปฏิเสธคนอื่นด้วยการสังหาร”

ทั้งสองฝ่ายประชันฝีปากกันอย่างดุเดือด 45 นาที วาฟาทราบในภายหลังว่า รายการนี้มีผู้ชม
ในตะวันออกกลางหลายล้านคน เมื่อจบรายการเธอตรงกลับบ้านพร้อมกับสามีทันที
เดวิดบอกภรรยาด้วยรอยยิ้มกว้างขณะขับรถพาเธอกลับบ้านว่า “คุณเยี่ยมมาก” แต่ทั้งสอง
คาดไม่ถึงว่า หลังจากค่ำวันนั้นชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด

โทรศัพท์มือถือของวาฟาดังขึ้นทันทีที่ย่างเท้าออกจากสถานีฯ มีคำขู่ฆ่าอยู่มากมายในกล่อง
ฝากข้อความเสียง ชื่อของเธอปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ภาษาอาหรับและบนเว็บไซต์
ของกลุ่มหัวรุนแรง วาฟากลายเป็นกระบอกเสียงคนใหม่ในโลกมุสลิมและมีทั้งผู้ที่ชื่นชอบ
และผู้ที่ประณามเธอ

ชื่อเสียงของวาฟาดังกระฉ่อนโลกเมื่อเธอไปออกรายการเดิมเป็นครั้งที่สอง
ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2006 ครั้งนี้คู่ปรับของวาฟาคือ “ดร. อิบราฮิม อัล-คูลี”
( Ibrahim Al-Khouli) อิหม่ามชาวอียิปต์ เป็นการปะทะกันระหว่างแนวคิดสุดโต่ง 2 ขั้ว
ขั้วหนึ่ง มาจากยุคกลาง และอีกขั้วมาจากยุคศตวรรษที่ 21 มีอยู่ช่วงหนึ่ง วาฟากล่าวกับ
อัล-คูลีตรง ๆ ว่า “พี่ชายคะ ถ้าคุณเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาด้วยก้อนอิฐ ก็เชื่อไปเถิด
แต่อย่าเอาก้อนอิฐเหล่านั้นมาขว้างปาใส่ดิฉัน” อีกช่วงหนึ่ง อัล-คูรี อ้างว่า วาฟาดูหมิ่น
ศาสนาและพระศาสดาโมฮัมหมัด
หลังสถานีนำเทปสัมภาษณ์นี้ไปออกอากาศ บรรดาอิหม่ามในซีเรียต่างประณามเธอว่า
เป็นพวกนอกศาสนาและคำขู่จะเอาชีวิตเธอก็เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หลายคนทั่วโลกเห็นว่า
เธอกล้าพูดความจริง องค์กรหนึ่งนำภาพการสัมภาษณ์ครั้งนี้ไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ มีคนเปิด
เข้าไปดูมากถึง 6 ล้านครั้งภายในเวลา 4 เดือน
วาฟาได้รับอีเมลจากผู้ชมทั่วโลก หลายคนขอบคุณเธออย่างสุดซึ้ง : “คุณหมอวาฟาคะ
คุณเป็นคบเพลิงและแสงแห่งความหวัง”; ผู้หญิงชาวเลบานอนที่อยู่ในแคนาดาเขียนว่า
“ฉันพยายามต่อสู้เรื่องนี้มาตั้งแต่รู้ความ คุณทำให้ฉันภูมิใจมากที่เกิดเป็นผู้หญิงชาว
ตะวันออกกลาง”

โปรดติดตามตอนที่ (4) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 30, 2022 10:35 pm

🎈เสียงเธอสะเทือนพิภพ ตอนที่ (4) (ตอนจบ)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2007
โดย แครี ฮาวลีย์ และจากวิกิพีเดีย 2021 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หนังสือพิมพ์ “นิวยอร์กไทม์”เรียกวาฟาว่า “ผู้ปลุกกระแสโลก” เธอได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถา
เรื่องมุสลิมหัวรุนแรงตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และเข้าร่วมประชุมเรื่องศาสนาอิสลามที่กรุง
วอชิงตัน ดี.ซี.และอีกหลายเมืองทั่วยุโรป นิตยสาร”ไทม์”ยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งในร้อยของ
บุคคลทรงอิทธิพลของโลกในปี 2006
ทุกวันนี้เธอเหลือเพื่อนที่ชุมชนมุสลิมในลอสแอนเจลิสไม่กี่คน บางคนถามเธอว่า “ในเมื่อเธอ
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วทำไมจะต้องเสี่ยงชีวิตขนาดนั้น” เธอตอบว่า “ฉันอยู่ใน
ฐานะที่สามารถปฏิรูปวัฒนธรรมในบ้านเกิดของตัวเองได้ ฉันมีการศึกษา มีพรสวรรค์ในการ
เขียนและมีศิลปะในการพูด ทั้งหมดนี้เป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในตัวนักปฏิรูปศาสนาอิสลาม
โดยเฉพาะผู้หญิงมุสลิม”

วาฟาประกาศชัดเจนว่า จะไม่หยุดเคลื่อนไหวเด็ดขาด มีคนถามว่า เธอจะลดความแข็งกร้าว
ลงบ้างไหมเพื่อจูงใจให้ผู้คนคล้อยตามได้มากขึ้น วาฟาตอบว่า “หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมลดค่ะ
ดิฉันถูกปิดปากเงียบมาครึ่งชีวิตแล้ว บัดนี้ดิฉันพร้อมจะพูดจนสุดเสียง”
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 01, 2022 9:18 pm

🌞แสงสว่างจากมุมมืด ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมีนาคม 2550 โดย รักขิต รัตจุมพฏ
และจาก Google 2564 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

พยาบาลสาวสวยระดับนางงามวิวาห์กับชายหนุ่มชาติตระกูลดี หากเป็นละครโทรทัศน์
เรื่องนี้คงจะจบลงด้วยความสุข แต่ในโลกแห่งความจริง การแต่งงานครั้งนี้คือฝันร้ายและ
กลายเป็นจุดหักเหในชีวิตของ “อารีวรรณ จตุทอง” เธอตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของสามี
และรับบทบาทชีวิตใหม่เป็นตัวแทนภรรยาที่ถูกสามีทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง

อารีวรรณ (ชื่อเล่น ‘อ้วน’) เป็นลูกสาวคนสุดท้อง เธอมีพี่ชายและพี่สาวอย่างละคน พ่อเป็น
ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ครอบครัวย้ายไปอยู่ปักษ์ใต้ตั้งแต่เธออายุได้ 4 ขวบ
เมื่อจบชั้นมัธยมปลายในจังหวัดสงขลา เธอเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
จังหวัดยะลาจนได้ประกาศนียบัตรด้านการพยาบาลและผดุงครรภ์ระดับต้นในปี 2535

จุดเปลี่ยนในชีวิตเริ่มขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจประกวดนางสาวไทยปี 2537 ขณะรับราชการใช้ทุน
อยู่ที่โรงพยาบาลเทพา จังหวัดสงขลา แม้ปีนั้นมงกุฎจะตกเป็นของอารียา สิริโสภา (น้องป๊อป)
แต่สาวผิวเข้มตาคมวัย 22 ปี​จากสงขลาก็กลับบ้านพร้อมตำแหน่งรองอันดับสอง

ตำแหน่งความงามบวกกับประสบการณ์ด้านพยาบาลเป็นใบเบิกทางชั้นเยี่ยมให้เธอได้งานฝ่าย
ส่งเสริมสุขภาพและประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ชะตากรรมบันดาลให้เธอรู้
จักชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยงานในโรงพยาบาล จากนั้นไม่กี่เดือนเธอก็ตัดสินใจแต่งงานกับเขาด้วย
ความคิดที่ว่า “พบรักแท้แล้ว”

สามีที่เธอหวังจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดชีวิตเริ่มใช้ความรุนแรงเพียงไม่กี่เดือนหลังการแต่งงาน
เมื่อเธอเคยถามถึงเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่า การทำร้ายร่างกายจะทำให้เธอกลัวจนไม่กล้าหนีไป
จากเขา จากวันนั้นเขาก็ทำร้ายเธอหนักมากขึ้น มีพฤติกรรมวิปริต เช่นใช้เทียนหยดหรือใช้ก้นบุหรี่จี้
ตามร่างกายของเธอจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง เป็นต้น

เธอเครียดมากถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะเหมือนตกนรกทั้งเป็น อีกทั้งบางคนมองว่าเธอเป็น
นางงามไม่มีสมอง

สามีของเธอคือ สุรชัย วิวัฒนชาติ หรือ คณิศร เป็นผู้ที่มีฉายารู้จักกันทั่วไปว่า “เอ็ม พญาไท” หรือ
“เอ็ม แรมบ้า” เนื่องจากกลางดึกวันที่ 30 มิ.ย.2540 เขาควงปืนเอ็ม 16 ลำกล้องติดเลเซอร์เดินอาดๆ
เข้าโรงพักพญาไทก่อนรัวยิงเพดานห้องสอบสวนนับ 10 นัดแล้วใช้ปืนจี้หัวนายร้อยฝึกหัด 2 นาย
พร้อมกับออกคำสั่งให้คืนปืนพกสั้นของลูกน้องที่ถูกจับคืน จนที่สุดบิดาและมารดาเข้ามาเกลี้ยกล่อม
จึงยอมมอบตัว

โปรดติดตามตอนที่ (2) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 03, 2022 11:21 pm

🌞แสงสว่างจากมุมมืด ตอนที่ (2)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมีนาคม 2550 โดย รักขิต รัตจุมพฏ
และจาก Google 2564 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

😊ลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเอง

ในยุคนั้นสังคมไม่มีพื้นที่ให้กับผู้หญิงที่ถูกทำร้ายหรือเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว
แต่เมื่อเหตุการณ์มีแต่เลวร้ายมากขึ้น ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจทำสิ่งที่สวนกระแสสังคมที่ให้
ฝ่ายผู้หญิงต้องอดทนอยู่ฝ่ายเดียว หลังจากอารีวรรณอดทนอยู่ได้ 7 เดือน เธอก็ตัดสินใจ
หนีออกจากบ้านโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต เธอได้รับความช่วยเหลือจาก
เพื่อนสาวคนหนึ่งที่ถูกสามีทำร้ายร่างกายเช่นกัน
“ดิฉันรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่หนีต้องตายแน่ ๆ ก็เลยโทรหาเพื่อนคนนี้ และเพื่อนก็มา
รับดิฉันไปอยู่ด้วย หลังจากนั้นฝ่ายผู้ชายขึ้นโรงพักแจ้งความที่ สน.พญาไท ว่าภรรยาหายตัว
ไปจากบ้านเพราะมีเรื่องทะเลาะกันโดยไม่พูดถึงเรื่องที่ตนกระทำทารุณกรรมภรรยาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม นักข่าวคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น นักข่าวจึงตามหาดิฉันและสัมภาษณ์จน
เป็นประเด็นขึ้นมา” อารีวรรณกล่าว
“จากการเป็นข่าวใหญ่ ทำให้มีมูลนิธิที่ทำงานช่วยเหลือผู้หญิงติดต่อมาและแนะนำด้าน
กฎหมายว่าต้องมีทนายความ และแนะนำให้ฟ้องร้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดังนั้นดิฉันจึง
เดินหน้า โดยหวังว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคม แม้จะต้องแลกมา
ด้วยความยากลำบากเพียงใดก็ตาม”

หลังจากสู้ความกันอยู่หลายปี ที่สุดศาลตัดสินให้เธอเป็นฝ่ายชนะและอดีตสามีต้องรับโทษ
จำคุก 6 ปี (หลังรับโทษแล้ว อดีตสามียังได้ก่อคดีในลักษณะเดียวกันที่ร้ายแรงกว่าเดิม
ระหว่าง 19 เม.ย. -10 ส.ค.2551 อดีตสามีต่อสู้คดีจนที่สุดศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
และศาลอุทธรณ์คือสั่งจำคุก 50 ปีในหลายข้อหาเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2560)

“ช่วงที่เป็นคดีความกัน บางครั้งดิฉันรู้สึกเครียดมากที่ต้องมารื้อฟื้นเล่าถึงความหลังที่ถูกทำร้าย
เหมือนกับเราถูกทำร้ายอีกครั้งบนศาล แถมมีหลายคนกดดันให้ดิฉันถอนฟ้อง แต่แม่ซึ่งเป็น
ผู้หญิงที่เข้มแข็งมากคอยให้สติว่า ถ้าเราไม่สู้ ความจริงก็ไม่ถูกเปิดเผย คนที่ข้องใจอยู่ก็จะ
ไม่เชื่อเรา นอกจากนี้การต่อสู้นี้ยังจะเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้หญิงอีกหลายคนด้วย” อารีวรรณ
ทวนความหลัง

นอกจากใช้สิทธิต่อสู้ทางกฎหมายเป็นคดีตัวอย่างแล้ว อารีวรรณยังอุทิศตนเป็นวิทยากรถ่ายทอด
ประสบการณ์ของตัวเองให้แก่หน่วยงานรัฐ, สถาบันการศึกษา และ องค์กรมูลนิธิต่าง ๆ ที่ศึกษา
ปัญหาเรื่องความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์เพื่อเปิดเผย
เรื่องราวชีวิตคู่ที่ขมขื่นของลูกผู้หญิงอยู่หลายครั้ง บทสัมภาษณ์ในประเด็นนี้ปรากฏอยู่ในหน้า
หนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ

ตั้งแต่ปี 2540 ระหว่างที่คดียังอยู่ในศาล อารีวรรณตัดสินใจเข้าทำงานเป็นนักข่าวให้กับนิตยสาร
“ชีวิตต้องสู้” และรับผิดชอบคอลัมน์ตอบปัญหาชีวิตให้กับผู้อ่านจากทั่วประเทศที่ขอคำปรึกษา
โดยเฉพาะปัญหาครอบครัว

โปรดติดตามตอนที่ (3) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 03, 2022 11:25 pm

🌞แสงสว่างจากมุมมืด ตอนที่ (3)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมีนาคม 2550
โดย รักขิต รัตจุมพฏ และจาก Google 2564 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

“การเป็นนักข่าวให้กับนิตยสาร ‘ชีวิตต้องสู้’ (2540-2547) ทั้งที่ภูมิหลังเป็นพยาบาล และไม่เคย
เขียนข่าวมาก่อนเลย ดิฉันฝึกฝนจนเขียนได้ดี ซึ่งส่งผลดีต่อการเรียนกฎหมายต่อมา ดิฉันเริ่มต้น
จากการเขียนคอลัมน์ ‘อารีวรรณตอบปัญหาชีวิต’ ซึ่งมีคนเขียนจดหมายมาเยอะมาก บางคนก็
โทรมาปรึกษาเรื่องถูกสามีทำร้ายแต่เธอพูดไม่ได้ บอกใครก็ไม่ได้ ซึ่งดิฉันก็ได้แต่ให้กำลังใจ
เป็นการช่วยเหลือด้านจิตใจ”
นอกจากนั้น อารีวรรณยังเข้าร่วมกิจกรรม Group support ขององค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อผู้หญิง
ที่ถูกทำร้าย เธอรับหน้าที่เป็นวิทยากรเล่าประสบการณ์การต่อสู้ชีวิตของตัวเอง บางครั้ง พวกเรา
4 - 5 คนนั่งล้อมวงเล่าถึงสิ่งที่ผ่านมาแต่ละรูปแบบ บางคนโดนน้ำกรด บางคนโดนยิง... แต่ที่สุด
ก็ยังยิ้มและฮึดสู้ได้ กิจกรรมนี้จึงเป็นวิธีการเยียวยาและเสริมพลังให้แก่กันและกันได้เป็นอย่างดี

“เมื่อตอนที่ดิฉันลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้ใหม่ ๆ ทัศนคติในตอนนั้นเชื่อว่าผู้หญิงที่ถูกทำร้ายมักจะเป็น
ผู้หญิงที่ทำตัวไม่เหมาะสม เช่น ไม่ทำงานบ้าน เที่ยวเตร่ เล่นไพ่ เล่นการพนัน จนผู้ชายต้องลุกขึ้นมา
ใช้ความรุนแรงอบรมสั่งสอน”ด้วยความรัก” เพื่อให้ผู้หญิงปรับปรุงตัว โดยเชื่อว่าผู้ชายเป็นเจ้าของ
และผู้หญิงเป็นสมบัติของเขา“ อารีวรรณนึกย้อนไปในอดีต

“ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ตอนนั้นดิฉันเพิ่งทำงานเป็นข้าราชการพยาบาลที่ต่างจังหวัด ดิฉันเคยเจอผู้หญิง
คนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ที่ป้ายรถเมล์ใกล้โรงพยาบาลที่ดิฉันทำงาน เธอบอกว่าถูกสามีทำร้ายและจะ
หนีกลับบ้านแม่แต่ไม่มีเงินค่ารถ ดิฉันก็สงสาร อยากจะช่วยเหลือ แต่มีรุ่นพี่พยาบาลอีกคนบอกว่า
เป็นเรื่องผัวเมีย อย่าไปยุ่งเลย บางทีผู้หญิงเองอาจจะทำอะไรไม่ดีก็ได้จึงถูกสามีทำร้าย” นี่เป็น
ตัวอย่างกรณีหนึ่งที่สะท้อนถึงทัศนคติของสังคมในยุคนั้นว่า ปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมา
เปิดเผยต่อสาธารณะ มิฉะนั้นภรรยาผู้ถูกทำร้าย จะถูกตั้งคำถามจากคนรอบข้างว่าเป็นผู้หญิงที่ทำ
ตัวไม่ดีก็ได้”

นอกจากนั้น การต่อสู้ในศาลที่ยุ่งยากก็มีส่วนผลักดันให้อารีวรรณคิดที่จะเรียนต่อด้านกฎหมาย
“ดิฉันรู้สึกคับข้องใจเพราะไม่เข้าใจระบบของกระบวนการยุติธรรม เช่นทำไมดิฉันต้องหาพยาน
หลักฐานมาพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่าถูกสามีทำร้ายอย่างไรบ้าง หรือทำไมขั้นตอนของศาลจึงยุ่งยาก
เมื่อถามทนายก็ได้รับคำอธิบายไม่กระจ่างนัก”

สมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว มีเพียง
ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมักมองคดีความรุนแรงในครอบครัวว่าเป็น
“เรื่องของผัวเมีย” และเมื่อเป็นความกันได้ไม่นาน ผู้หญิงก็มักจะเป็นฝ่ายมาขอถอนแจ้งความ

ด้วยเหตุจูงใจทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้ ทำให้อารีวรรณบอกตัวเองว่า “ถึงเวลาแล้วที่ดิฉันจะ
ต้องรู้กฎหมายให้แน่ชัดด้วยตัวเอง”

ปี 2543 เธอได้รับทุนเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ แม้ว่าในช่วงนั้นเธอ
ทำงานเป็นนักข่าวคู่กับรับงานละครแต่เธอก็มุ่งมั่นเรียนอย่างจริงจังควบคู่ไปด้วยจนสำเร็จการ
ศึกษาโดยได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

ความรู้ด้านนิติศาสตร์ทำให้เธอเห็นปัญหาอย่างชัดเจนว่าชายและหญิงในสังคมไทยยังไม่เสมอภาค
กันในทางกฎหมาย เช่นสามีฟ้องหย่าภรรยาได้ หากภรรยาไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่น แต่ภรรยา
จะฟ้องหย่าสามีได้ก็ต่อเมื่อสามียกย่องและเลี้ยงดูหญิงคนอื่นอย่างภรรยาเท่านั้น ดังนั้น ภรรยา
จึงฟ้องหย่าไม่ได้ถ้าสามีไม่ได้เลี้ยงดูผู้หญิงอื่นแบบไม่เปิดเผย“

โปรดติดตามตอนที่ (4) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.พ. 04, 2022 11:25 pm

🌞แสงสว่างจากมุมมืด ตอนที่ (4) (ตอนจบ)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนมีนาคม 2550
โดย รักขิต รัตจุมพฏ และจาก Google 2564 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในประมวลกฎหมายอาญา ถ้าผลของการทำร้ายร่างกายเบาบาดเจ็บไม่ร้ายแรงนัก ก็อาจจะ
ไกล่เกลี่ยกันได้ และมีเพียงโทษปรับ ถ้าบาดเจ็บสาหัส ผู้เสียหายที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
ก็ไม่สามารถไปแจ้งความได้อยู่แล้ว ปกติผู้ทำร้ายผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส ถือเป็นอาญาแผ่นดิน
ยอมความไม่ได้ แต่ผู้เสียหายหลายรายก็ไม่ได้แจ้งความเอาผิด

หลังเรียนจบในปี 2547 อารีวรรณลาออกจากอาชีพนักข่าวและเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสายอาชีพ
เป็นนักกฎหมาย เธอได้รับทุนศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขากฎหมายมหาชนในสถาบันเดิม
พร้อมกับเตรียมสอบประกาศนียบัตรของเนติบัณฑิตยสภา

ปี 2555 เธอสำเร็จได้เป็น “เนติบัณฑิตไทย” สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
และในปี 2561 ได้รับประกาศนียบัตรกฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง รุ่นที่ 9
จัดโดยมูลนิธิวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางปกครอง

นอกเหนือจากกิจกรรมอาสาสมัครโดยไม่มีค่าตอบแทนในรูปเงินตราแล้ว อารีวรรณยังเป็น
อาจารย์พิเศษประจำภาควิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมอีกด้วย เธอเต็มใจ
และภูมิใจที่การกลับมาใหม่ของเธอในครั้งนี้จะสามารถช่วยคลายทุกข์ให้กับสตรีที่ประสบ
ชะตากรรมในลักษณะเดียวกับเธอได้กลับมาเข้มแข็งเช่นเธอ

ด้วยปณิธานตั้งมั่นช่วยเหลือเพื่อนสตรีตามที่กล่าวมานี้ จึงไม่มีผู้ใดแปลกใจเลยที่
อารีวรรณ จตุทอง ในวันที่ 8 มี.ค. 2555 ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ และเป็นหนึ่งในสตรีดีเด่น
ประเภทสื่อวิทยุกระจายเสียง
งานด้านสื่อสารมวลชน

1. ดีเจจัดรายการพูดจาภาษากฎหมาย ทุกวันเสาร์ เวลา 13.30-15.00 น.
ที่คลื่น FM 97.0 เมกกะเฮิร์ต ให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมายกับผู้หญิงที่ถูกเอาเปรียบ

2. พิธีกร ผู้ดำเนินรายการ NBT มีคำตอบ ทุกวันพุธ เวลา 10.00 – 11.00 น.
(สลับกับทนายความ นายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช)

3. ผู้ดำเนินรายการและวิทยากรในรายการ “พูดจาภาษากฎหมาย” คลื่นวิทยุ 99.0 FM

4. ผู้ดำเนินรายการในรายการ “101 ปฏิรูปกฎหมายประชาชนกับ คปก” คลื่นวิทยุ 101 FM
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.พ. 05, 2022 12:49 pm

⛵เรือแตก ตอนที่ (1) (7ตอนจบ)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2007
และเรื่อง “Ship Wrecked” by Kenneth Miller เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

จอห์น (John Silverwood) ล่องเรือเป็นครั้งแรกในชีวิตตอนอยู่ชั้นมัธยมปลาย
เมื่อครอบครัวเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งชวนไปแล่นเรือด้วย จากนั้นเขาก็หลงรักการล่องเรือ
เป็นชีวิตจิตใจ เขามีพี่น้องผู้ชายอีก 3 คน พ่อเป็นวิศวกรอุตสาหกรรม เขาเป็นเด็กซน
ฉลาดและชอบเล่นกีฬามากเพราะกีฬาให้อิสรภาพและความท้าทายทั้งร่างกายและจิตใจ
สำหรับเขา ตอนเรียนมหาวิทยาลัย จอห์นตัดสินใจพักการศึกษา 2 ปีเพื่อล่องเรือในบริเวณ
ทะเลแคริบเบียน (Caribbean) พอเรียนจบ เขาก็เริ่มทำงานเกี่ยวกับธุรกิจก่อสร้าง แต่ก็ยัง
เจียด เวลาไปต่อเรือในโรงเก็บเรือ เสร็จแล้วก็ล่องเรือบ่อย ๆ ไปจนถึงบาฮามาส
ช่วงที่จอห์นได้งานเป็นผู้จัดการโครงการของบริษัทแห่งหนึ่งบนเกาะ “Saint Thomas”
เขาก็หาเวลาล่องเรือไปจนทั่วหมู่เกาะเวอร์จิน และพบกับ “จีน” สาวสวยผมบลอนด์จาก
รัฐนิวยอร์กซึ่งเป็นลูกเรืออยู่ที่เกาะ”Saint Croix” ที่อยู่ใกล้กันในทะเลคาริบเบียน

“จีน” เหมือนกับจอห์นคือเกิดในครอบครัวใหญ่และเป็นคนขยัน ครอบครัวเธอมีคติว่า
“ทำงานจริงจังและเล่นเต็มที่” ช่วงฤดูร้อน จีนชอบไปตั้งแคมป์และแล่นเรือใบ เธอเป็น
คนติดดิน ไม่เสแสร้งและพูดน้อยซึ่งเติมเต็มได้ดีกับนิสัยจอมโวยของจอห์น ทั้งคู่
แต่งงานกัน ในปี 1986 ที่สโมสรเรือยอร์ชในลองไอส์แลนด์ (Long Island) รัฐนิวยอร์ก
คู่สามีภรรยาย้ายไปตั้งหลักแหล่งที่ซานดิเอโก (San Diego) จอห์นทำงานในบริษัทพัฒนา
อสังหาริมทรัพย์ตั้งใจสร้างครอบครัว เก็บเงินและสักวันจะล่องทะเลอย่างน้อย 1 ปีกับคนที่
เขารักที่สุด จีนร่วมฝันกับสามีแต่ก็ยืนกรานว่าจะต้องดูสภาพความเป็นจริงด้วย
เมื่อแต่งงานใหม่ ๆ ทั้งคู่มีเงินไม่มาก ต่อมาก็มีลูกตามกันมาถึง 4 คน จนเมื่อจอห์นอายุ
ได้ 50 เศษ ทุกอย่างจึงเข้าที่เข้าทาง ธุรกิจสร้างบ้านไปได้ดี ฐานะการเงินของครอบครัวมั่นคง
ขณะเดียวกัน “เบ็น”ลูกชายคนโตวัย 16 ปีกำลังจะจบมัธยมปลาย หากรอต่อไป เบ็นก็จะติด
ภาระเรื่องเรียนต่อในมหาวิทยาลัย “ต้องไปตอนนี้ ไม่งั้นจะหมดโอกาสตลอดชีวิต” จอห์นบอก
กับภรรยา เดือนกุมภาพันธ์ 2003 ทั้งสองก็พบเรือในฝันที่ไมอามี่ เจ้าของเรือเสนอขาย
ในราคา 400,000 เหรียญ (ถ้าเป็นเรือใหม่ เรือลำนี้มีราคา 1 ล้านเหรียญ)
เป็นเรือแฝดคาตามารัน (catamaran) ยาว 55 ฟุต ปลอดภัยและสะดวกสบาย เพราะแล่น
เรียบและพลิกคว่ำยากแม้ จะผจญกับพายุที่เลวร้ายที่สุด ลำเรือทำด้วย “Kevlar” ซึ่งเป็นวัสดุ
ชนิดเดียวกับที่ใช้ทำเสื้อเกราะกันกระสุน มีห้องพัก 5 ห้อง ทุกห้องมีห้องน้ำ, มีห้องครัวและ
โต๊ะอาหารขนาด 8 ที่ และมีโถงกว้างเชื่อมลำเรือทั้งสองเข้าด้วยกัน
หลังจากซื้อเรือแล้ว จอห์นก็ปรับปรุงติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เรือปลอดภัยยิ่งขึ้น เช่นติดตั้ง
ตาข่ายกันเด็กตกน้ำรอบลำเรือ และมีแพฉุกเฉินที่ดีที่สุด ในตู้มีเฝือก, เข็มฉีดยาและยาต่าง ๆ
นอกจากนั้นยังทำตามที่จีนแกมบังคับ คือมีวิทยุสื่อสารแจ้งเหตุฉุกเฉินที่ส่งสัญญาณแจ้ง
ตำแหน่งเรือ (EPIRB : Emergency Position Indicating Radio Beacon)
ทั้งสองตั้งชื่อเรือว่า “เอเมอรัลด์ เจน” (Emerald Jane)
โปรดติดตามตอนที่ (2) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 06, 2022 11:39 pm

⛵เรือแตก ตอนที่ (2)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2007
และเรื่อง “Ship Wrecked” by Kenneth Miller เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(5) เดือนต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2003 จอห์นก็ล่องเรือจากฟลอริดาไปลองไอส์แลนด์
ภรรยากับลูกบินตามไปสมทบเพื่อให้ทุกคนคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตบนเรือ และช่วงเดือน
กันยายน ทั้งครอบครัวก็ล่องเรือลัดเลาะไปตามชายฝั่งตะวันออก โดยแวะพักที่บัลติมอร์
(รัฐแมรีแลนด์) และนอร์ฟอล์ก (รัฐเวอร์จิเนีย) แห่งละ 1 เดือน
จอห์นกับจีนคาดหวังว่า การเดินทางครั้งนี้นอกจากจะเป็นการพักผ่อนที่ยาวจากฤดูร้อนปีนั้น
ไปจนถึงฤดูร้อนปีถัดไปแล้ว ยังจะช่วยให้รู้จักลูกทั้ง 4 คนในแบบที่พ่อแม่สมัยใหม่แทบไม่มี
โอกาส โดยเฉพาะการเห็นลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอวิดีโอน้อยลง และ ”หันมาดื่มด่ำกับธรรมชาติแทน”

ระหว่างการล่องทะลไปตามท่าเรือเมืองต่าง ๆ ลูกคนเล็กทั้งสอง (แจ๊กวัย 9 ขวบ กับ คามิลวัย 5 ขวบ)
ปรับตัวกับชีวิตบนเรือได้ไม่ยาก แต่ลูกที่เป็นวัยรุ่น 2 คนมีปัญหาบ้าง คือ “อะเมเลีย” สาวอายุ 14 ปี
ที่ชอบเต้นรำมาก เธอคิดถึงแต่การเรียนบัลเลต์ ส่วน“เบ็น”ซึ่งมีโครงร่างใหญ่ใฝ่ฝันจะเป็นทหาร
ชอบเล่นกีฬาหนัก ๆ และติดใจการออกค่ายลูกเสือในสภาพโหด ๆ เช่นในนิวเม็กซิโกที่เขาได้
แบกเป้หนักเกือบ 40 กก.เดินขึ้นเขาสูงกว่า 4,500 เมตร เขาคิดถึงเพื่อนร่วมทีมเซิร์ฟ และการแ
ข่งขันกีฬาโลดโผนทั้งหลาย
ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ช่วง 8.00 น.ถึง 12.00 น. ลูกทั้ง 4 คนจะต้องนั่งเรียนที่โต๊ะในเรือ จีนสมัคร
โปรแกรมเรียนที่บ้าน(เรือ)ให้แจ็กกับอะเมเลีย ส่วนเบ็นก็สมัครเรียนด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน
แม้แต่คามิลซึ่งยังไม่ถึงวัยเข้าโรงเรียนก็ต้องเรียนด้วย ลูกทั้งสามส่งงานที่ครูมอบหมายให้ทางอีเมล
และเมื่อทำเสร็จก็ส่งกลับให้ครูที่อยู่ไกลออกไปนับพันกม.ตรวจ หลังจากนั้นก็เป็นช่วงกิจกรรม
ประจำวัน เช่นการดูแลเรือให้สะอาดเรียบร้อย การทำอาหาร และดูวิดีโอ
เมื่อล่องเรือไปนานเข้าก็มีเสียง “หนูเบื่อ” อยู่บ่อย ๆ บางครั้งการใกล้ชิดกันมากก็ทำให้คนใน
ครอบครัวมีปากเสียงกันได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม หลายสัปดาห์ผ่านไป เด็ก ๆ เรียนรู้ที่จะทำงาน
เป็นทีม เช่นการนำเรือเทียบท่าและการรับส่งสัญญาณวิทยุ เป็นต้น

อะเมเลียกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการอบขนม แจ็กเรียนรู้ชื่อสัตว์ทะเลที่พบทุกตัว เบ็นอ่านหนังสือ
ไปหลายเล่มที่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะทำได้ เด็ก ๆ คลายความเหงาเมื่อพบเพื่อนวัยเดียวกัน
ที่ล่องทะเลผ่านมา หรือเมื่อมีญาติและเพื่อนเก่ามาเยี่ยมที่เรือ
หลังแล่นผ่านสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา การผจญภัยก็เข้มข้นขึ้น ทุกวันก่อนอาหารเช้า ทั้งครอบครัว
จะออกไปดำน้ำตื้นกลางฝูงปลาสีสวยนานาชนิด ตกกลางคืนจอห์นจะนอนดูท้องฟ้าชี้ชวนลูก ๆ
และภรรยาดูดาวกลุ่มต่าง ๆ และคิดถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้ทรงสร้างจักรวาล ตอนจอดแวะที่
เกาะ “Saint Thomas” ทั้งครอบครัวไปเรียนดำน้ำสคูบา (Scuba Diving) ด้วยกัน
พวกเขาล่องเรือผ่านคลองปานามาด้วยความราบรื่น ระหว่างทางแวะจอดที่ประเทศเอกวาดอร์
เที่ยวชมซากปรักหักพังของชนเผ่าอินคา เดินผ่านหมู่บ้านหลายแห่งในเทือกเขาแอนดีสซึ่ง
ชาวบ้านกินหนูตะเภาเป็นอาหารหลัก ตอนอยู่ที่หมู่เกาะกาลาปากอส พวกเขาได้เล่นกับเต่ายักษ์
และขี่ม้าขึ้นภูเขาไฟ

โปรดติดตามตอนที่ (3) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.พ. 09, 2022 10:52 pm

⛵เรือแตก ตอนที่ (3)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2007
และเรื่อง “Ship Wrecked” by Kenneth Miller เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาแล้ว 4,800 กม. และมุ่งหน้าต่อไปยังดินแดน “French Polynesia”
ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ช่วงนั้นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขัดข้องจำต้องจอดเรือเพื่อซ่อมอยู่หลายวัน
ทำให้เบ็นมีโอกาสเล่นเซิร์ฟบนคลื่นที่เลื่องชื่อของเกาะตาฮิติ ขณะที่อะเมเลียเรียนเต้นระบำ
พื้นเมือง แจ็กได้ว่ายน้ำโดยมีปลาหมึกยักษ์เกาะที่หลัง เดือนธันวาคม 2004 ทั้งครอบครัว
บินไปเที่ยวที่นิวซีแลนด์ 3 สัปดาห์
หลังปีใหม่ 2005 ไม่นาน พวกเขาจอดเรือไว้ที่เกาะไรอาเทีย (Raiatea) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
หมู่เกาะตาฮิติเพราะกำลังจะเข้าช่วงเวลาที่มักเกิดพายุเฮอริเคน จากนั้นก็บินกลับไปตั้งหลัก
ที่บ้านที่ซานดีเอโก (อเมริกา) รอจนถึงเดือนมิถุนายน 2005 โรงเรียนปิด ครอบครัวของจอห์น
จึงกลับไปล่องเรือต่อจากจุดที่จอดเรือไว้ โดยมีแผนจะแล่นไปประเทศคองกา ฟิจิ และออสเตรเลีย
จากนั้นในเดือนสิงหาคม 2005 ก็จะขายเรือและบินกลับบ้าน
เรือแฝดออกจากเกาะไอราเทียบ่ายวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2005 จอห์นแล่นเรือไปทางตะวันตก
แต่หลังจากแล่นไปได้ 1 วันเศษปรากฏว่า หมุดที่ตรึงไม้ขึงยึดเสากระโดงหลุดไป 1 ตัว จอห์นจึง
ต้องเก็บใบเรือใหญ่ที่มีปัญหาหมุดยึดลงมาแก้ไขอยู่ 1 ชั่วโมงครึ่งจนฟ้าเริ่มมืดเวลา 18.30 น.
จอห์นจึงคิดว่าจะซ่อมต่อวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็เปิดสวิตซ์เดินเครื่องเพื่อช่วยแรงใบเรือเล็ก (“ใบจิ๊บ”-jib)
ตามแผนการเดิม จอห์นตั้งใจจะแล่นอ้อมหมู่เกาะปะการังเล็ก ๆ ที่อยู่เรียงกันไปคล้ายดาวหาง
ตอนกลางวัน ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะไรอาเทียราว 320 กม. แต่ตอนนี้ทำตามแผนไม่ได้แล้ว แต่จะ
จอดทอดสมอลอยลำตรงจุดที่อยู่ขณะนั้นก็ไม่ได้เพราะน้ำลึกกว่า 1 กม. นอกจากนั้นแผนที่ใน
บริเวณนั้นก็เชื่อถือไม่ได้มากนัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจอห์นศึกษาบริเวณนั้นมาก่อนอย่าง
ละเอียด เขาจึงตั้งระบบนำร่องอัตโนมัติและคิดว่าเรือน่าจะแล่นไปโดยไม่มีสิ่งกีดขวางข้างหน้า
ในช่วง 11 กม. เมื่อตั้งระบบเสร็จแล้ว เขาก็ไปพักผ่อนคุยกับภรรยาปล่อยให้ลูก ๆ สนุกอยู่หน้า
จอโทรทัศน์โดยมีเบ็นเฝ้าห้องควบคุมเครื่องอยู่คนเดียว
วันที่ 25 มิถุนายนที่เกิดปัญหา เป็นวันในฤดูหนาวของเขต “French Polynesia” ซึ่งอยู่ในซีก
โลกใต้ (มิ.ย.-ส.ค.) ตอนกลางวันอากาศอุ่นสบาย แต่ตอนเย็นจะมืดเร็วมาก เรือ”เอเมอรัลด์ เจน”
เพิ่งแล่นออกจากเกาะไรอาเทียได้เพียงวันเศษกำลังมุ่งหน้าไปประเทศตองกาซึ่งอยู่ห่างไป
1400 ไมล์ทะเล (1 ไมล์ทะเล = 1.852 กม.)
ทันใดนั้นมีเสียงดังแปลก ๆ เวลา 19.00 น.เป็นเสียงที่ไม่คุ้นมาก่อน จอห์นกับจีนรีบวิ่งไปตรงไป
ที่ห้องควบคุมท้ายเรือ และได้ยินเบ็นตะโกนว่า “หินโสโครก” พริบตาเดียวต่อมา ลำเรือก็กระแทก
แนวปะการังอย่างแรง น้ำทะลักเข้ามาตามรอยแตกที่หัวเรือแฝดลำที่อยู่ด้านขวา คลื่นใหญ่เท่าบ้าน
โถมเข้าใส่เรืออย่างต่อเนื่อง จอห์นพยายามเดินเครื่องถอยหลังแต่ไม่สำเร็จจึงวิ่งไปด้านหน้าของ
ดาดฟ้า
ขณะนั้น เบ็นกำลังปลดใบเรือเล็กเพื่อไม่ให้เรือแล่นลึกเข้าไปในแนวปะการัง เขาโยนมีดให้พ่อเพื่อ
กรีดผ้าใบเรือให้ขาด ทันใดนั้น คลื่นอีกลูกก็ซัดเข้ามากระแทกเรือบดเล็กขนาด 4 เมตรคว่ำหลุดจาก
ตะขอเหล็กลอยหายไป
ครอบครัวของจอห์นเคยฝึกขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดพายุมาแล้ว แต่ไม่เคยฝึกเหตุการณ์เรือเกย
หินปะการัง ที่ห้องนั่งเล่น คามิลกับแจ๊กกำลังร้องไห้แข่งกัน อะเมเลียพยายามปลอบเต็มที่แต่ไม่สำเร็จ

โปรดติดตามตอนที่ (4) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.พ. 09, 2022 10:56 pm

⛵เรือแตก ตอนที่ (4)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2007
และเรื่อง “Ship Wrecked” by Kenneth Miller เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

จีนพยายามโทรฯ ผ่านดาวเทียมแต่ไม่มีสัญญาณ
จอห์นคว้าวิทยุแจ้งเหตุ “ฉุกเฉิน เมย์เดย์ (“Mayday” ซึ่งมี ที่มาจาก ‘m’aider’ ในภาษาฝรั่งเศส
แปลว่า ‘ช่วยฉันด้วย’) นี่เรือ ‘เอเมอรัลด์ เจน’ เรากำลังจะจม”

เบ็นตะโกนขอความช่วยเหลือผ่านวิทยุความถี่วีเอชเอฟ (VHF:Very High Frequency)
จากนั้นจอห์นก็เปิดสวิตซ์วิทยุแจ้งตำแหน่งในกรณีฉุกเฉินซึ่งจะส่งสัญญาณไปยัง
ดาวเทียมสหรัฐฯ เท่านั้นที่จะรับสัญญาณนี้ได้ แต่หน่วยงานค้นหาให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ
ในบริเวณนี้อยู่ที่กรุงปาปีติ (Papeete) เมืองหลวงของ “French Polynesia” ซึ่งอยู่ไกลออกไป
เกือบ 500 กม. จึงไม่มีผู้ใดตอบรับสัญญาณขอความช่วยเหลือ

อึดใจต่อมาคลื่นซัดน้ำเข้าเรือจนแสงไฟดับวูบลง เบ็นหยิบแท่งเรืองแสงที่ติดมือมาจากตู้เก็บของ
ออกมาส่องทางไปหาแม่กับน้อง ๆ ขณะนั้น ในห้องนั่งเล่นมีน้ำท่วมถึงเข่า จีนกับอะเมเลียช่วยกัน
แบกน้องเล็ก 2 คนออกจากห้องพังงาเรือขณะที่หัวเรือทั้งซ้ายและขวาเริ่มฉีกขาด

จอห์นกับเบ็นไปยังที่เก็บแพ แต่พอจอห์นไปถึงส่วนหน้าของดาดฟ้า เสากระโดงอะลูมิเนียมหนัก
เป็นตันสูง 23 เมตรก็หักโค่นลงมาทับขาซ้ายท่อนล่างของจอห์นจนห้อยร่องแร่ง จอห์นจึงหมดปัญญา
ที่จะช่วยลูกเมียเพราะเขาคงจะสิ้นลมจากบาดแผลฉกรรจ์นี้อย่างแน่นอน
ตอนที่เสากระโดงโค่นทับขาของสามี จีนอยู่ที่ท้ายเรือกับลูก ๆ เธอร้องสุดเสียงตกตะลึงอยู่บน
ดาดฟ้าที่มีข้าวของอุปกรณ์ต่าง ๆ พังระเนระนาด เบ็นก็ถูกเสากระโดงฟาดหัว เขายืนอยู่ข้าง ๆ
พ่อพูดว่า “ผมอยู่นี่ครับ พ่อ” แม้น้ำเสียงของเขาเรียบ แต่แววตาแสดงถึงความตกใจกับภาพที่เห็น

“ไปหยิบเชือกขนาด 3 หุนมาให้พ่อ” จอห์นบอก เบ็นรีบไปค้นหาเชือกตามที่พ่อสั่ง พอได้มา
จอห์นก็ใช้เชือกพันรอบหัวเข่าและมัดปลายเป็นปมขันชะเนาะหลวม ๆ
จีนถลาไปอยู่ข้าง ๆ พลางลูบใบหน้าสามี จากนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าแพฉุกเฉินมีซิปปิดเปิดได้ เธอจึงคิดว่า
แพนี้น่าจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูก ๆ เธอจึงให้ลูกทั้งสามเข้าไปอยู่ในแพพร้อมกับกระเป๋าบรรจุ
อาหารและกระติกน้ำ และ”สปีดี้” เต่าตัวเล็กที่เก็บจากทะเลแคริบเบียนมาเลี้ยงไว้เกือบ 2 ปีแล้ว

แต่ไม่นานเรือก็โคลงและเหวี่ยงแพอย่างแรง จีนจึงให้เด็ก ๆ ออกมานอกแพ และไม่นานเสบียงและ
น้ำพร้อมทั้งเจ้าสปีดี้ก็ถูกน้ำกวาดลงทะเลไปหมด
อะเมเลียกับน้อง 2 คนไปออกันอยู่ด้านซ้ายสุดของลำเรือกราบซ้ายขณะที่แจ็กร่ำร้องหาเต่าตัวโปรด
ของเขา จีนกับเบ็นช่วยกันยกเสากระโดงออกแต่เสาไม่ขยับเลย จอห์นยังมีสติดีอยู่และรู้สึกเศร้าใจ
ในชะตากรรมของลูกเมีย หลายครั้งที่เสียงมโนธรรมของเขาดังขึ้นในใจว่า
“พวกเขาต้องตายเพราะความผิดของเจ้า”
ในที่สุด จอห์นก็เรียกเบ็นมาสั่งเสียว่า “ถ้าเรือเริ่มจม พ่อก็ต้องจมตามเรือ ลูกต้องเฉือนขาพ่อทิ้ง
ไม่ยากหรอก เหมือนกับเราตัดขาไก่เวลาทำบาร์บิคิวนั่นแหละ ลูกคิดว่าจะทำได้ไหม”
เบ็นรู้สึกห่อเหี่ยว แต่ยังคุมน้ำเสียงได้ “เอาไว้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีนะครับ” เขาบอกพ่อ

โปรดติดตามตอนที่ (5) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.พ. 09, 2022 10:59 pm

⛵เรือแตก ตอนที่ (5)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2007
และเรื่อง “Ship Wrecked” by Kenneth Miller เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

แต่เรื่องนี้ก็ผ่านพ้นไปได้เพราะราว 1 ชั่วโมงต่อมา เรือถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดเต็มแรงจนเสา
เขยื้อนและขาของจอห์นก็เป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง เบ็นกับอะเมเลียช่วยกันขันชะเนาะห้ามเลือด
ให้พ่อใหม่ จากนั้นก็ช่วยกันแบกพ่อไปอยู่รวมกับคนอื่น ที่สุดสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็มา
อยู่พร้อมหน้ากันที่มุมด้านซ้าย ความสงบกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง “ผมรู้สึกเหมือนสวรรค์มาโปรด”
เบ็นกล่าว ราว 1:30 น.​(ตี1ครึ่ง)​ มีแสงเรืองรองขึ้นที่ขอบฟ้า “มีเรือมา”
จีนตะโกนลั่น เบ็นรีบฉายไฟไปทางนั้นทันที ทุกคนใจหายวูบเพราะแสงที่ว่านั้นคือแสงพระจันทร์
ที่กำลังขึ้น จากนั้นเบ็นก็สังเกตเห็นแนวหินห่างออกไปราว 45 เมตร เป็นแนวหินยาวประมาณ
400 เมตรและโผล่พ้นน้ำทะเลประมาณ 1 เมตร เมื่อเทียบกับการอยู่บนเรือที่จะจมมิจมอยู่รอมร่อ
แนวหินที่เห็นเปรียบได้กับ”เกาะสวรรค์”ทีเดียว จากนั้นเบ็นก็พูดขึ้นว่า
“ถึงเวลาที่เราต้องออกจากเรือกันแล้ว”;เบ็นเดินนำหน้าไปที่สันของแนวหินซึ่งมีน้ำอยู่ระดับเอว
รอบ ๆ มีหมอนที่หลุดจากเรือลอยเกลื่อนติดอยู่ตามปะการัง เบ็นเก็บมารวมกันทำเป็น “รังนอน”
อะเมเลียช่วยพี่ชายอุ้มแจ็กกับคามิล แพฉุกเฉินลอยไปติดอยู่ระหว่างลำเรือทั้งสองด้าน จีนหา
ทางทำให้มันหลุดจนได้ แล้วช่วยกันยกจอห์นไปใส่ในแพ จากนั้นจีนกับคามิลก็ขึ้นไปนั่งบนแพด้วย
ขณะที่อะเมเลียคอยจับแพให้ลอยนิ่งโดยที่ตัวเธออยู่ในท่านั่งในน้ำจนถึงคอเพื่อไม่ให้ร่างปะทะกับ
สายลมที่เย็นเฉียบ ส่วนเบ็นกับแจ็กก็นอนอยู่ด้วยกันบน”กองหมอน” จากนั้นทุกคนก็ได้แต่รอ...

สัญญาณไปไม่ถึง’ปาปีติ’ แต่ดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือบริเวณนั้นจับสัญญาณจากวิทยุแจ้งสัญญาณ
ฉุกเฉินได้ และส่งต่อไปยังสถานียามฝั่งใกล้ซานฟรานซิสโกซึ่งติดต่อประสานงานกับหน่วยฉุกเฉิน
รอบมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นสัญญาณที่ระบุหมายเลขเครื่องที่ลงทะเบียนไว้พร้อมที่ติดต่อผู้จดทะเบียน
กรณีฉุกเฉิน หน่วยยามฝั่งพยายามติดต่อเรือทางโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมและอีเมล แต่ไม่มี
การตอบรับ แม้วิทยุจะส่งข้อมูลผ่านระบบค้นหาตำแหน่งผ่านดาวเทียมได้ แต่ต้องส่งต่อ 3 ทอดกว่า
ดาวเทียมจะสามารถระบุตำแหน่งของเรือได้ ที่สุดเจ้าหน้าที่ยามฝั่งก็สามารถติดต่อพ่อของจีน
ในนิวยอร์กได้ จึงทราบว่าเรืออยู่แถวเกาะ”โบรา โบร่า” (เกาะปะการังที่สวยที่สุดในโลกเกาะหนึ่ง)
เพราะเรือมุ่งหน้าสู่ออสเตรเลีย หน่วยยามฝั่งจึงแจ้งให้ศูนย์ประสานความช่วยเหลือในนิวซีแลนด์ทันที
จากนั้นศูนย์ฯ นี้ก็รีบแจ้งหน่วยงานเดียวกันของกองทัพฝรั่งเศสที่ปาปีติ

โปรดติดตามตอนที่ี (6) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2022 9:07 pm

⛵เรือแตก ตอนที่ (6) จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2007
และเรื่อง “Ship Wrecked” by Kenneth Miller เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่ปาปีติก็ทราบตำแหน่งเรือที่แน่ชัด แต่ต้องรอให้
ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกหลายชั่วโมง ยิ่งดึกจอห์นก็ยิ่งอ่อนแรง แม้จะขันชะเนาะห้ามเลือดแล้ว
แต่จอห์นก็เสียเลือดไปเกือบ 2 ลิตรและเนื้อรอบแผลเริ่มตาย อาการอักเสบลามไปยัง
อวัยวะสำคัญจนจอห์นเริ่มอาเจียนและตัวสั่นอย่างรุนแรง จีนพยายามชวนคุยเพื่อไม่ให้
สามีหมดสติ​ “พ่อจะต้องปลอดภัย” จอห์นบอกลูก ๆ ทุกครั้งที่รวบรวมสติได้
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างตอนประมาณ 6.00 น. ทุกคนก็เริ่มเห็นสภาพรอบตัวว่า พวกเขาอยู่
ในเขตปะการังน้ำตื้นที่คดเคี้ยวไปสู่เส้นขอบฟ้า เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า จีนมองเห็นบางสิ่ง
เคลื่อนไหวอยู่ลิบ ๆ ผ่านหมู่เมฆ “เครื่องบิน” จีนตะโกน แต่อึดใจต่อมาจึงรู้ว่าเป็นเพียงนก
อย่างไรก็ตาม ราว 20 นาทีต่อมา ก็มีจุดเล็ก ๆ จุดใหม่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า คราวนี้เป็น
เครื่องบินของกองทัพเรือฝรั่งเศส เบ็นยิงพลุสัญญาณ เครื่องบินเริ่มบินวนขณะที่ทุกคน
ตะโกนกันลั่นด้วยความดีใจ
ผ่านไปอีก 2 ชั่วโมง เด็กเล็กทั้งสองเริ่มง่วงนอน จีนกับเบ็นช่วยกันเก็บเศษวัสดุจากเรือแตก
ที่มีประโยชน์มากองรวมกัน เช่นขวดน้ำ กระป๋องโค้กและกระปุกยาแก้ปวด แต่จอห์นดื่มหรือ
กินไม่ได้เลย เขาอาเจียนออกหมด
ในที่สุด ประมาณ 9.30 น. เรือยนต์ลำหนึ่งแล่นตรงเข้ามาใกล้ บนเรือมีชาวโปลินีเซียร่างล่ำสัน
7 คน พวกเขาช่วยกันยกแพฉุกเฉินที่มีจอห์นนอนอยู่ขึ้นเรือพร้อมกับจัดที่ว่างให้พวกเราที่เหลือ
ตามขึ้นไป พวกเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จากนั้นเรือก็มุ่งหน้าไปที่เกาะ”มานูเอ”( Manuae)
ที่อยู่ห่างไป 13 กม.
ปรากฏว่าบนเกาะนี้มีคนอาศัยอยู่เพียงครอบครัวเดียว คือพ่อแม่วัยชราและลูกหลานอีก 14 คน
ที่อยู่ของพวกเขาเป็นกระท่อมหลังคาสังกะสีปลูกเรียงกัน พวกเขาส่งข่าวผ่านวิทยุไปที่ศูนย์ฉุกเฉิน
ที่ปาปีติ และเอาเสื้อยืดคอกลมแห้งมาให้พวกเราเปลี่ยน มอบสร้อยคอมุกดำให้จีนและอะเมเลีย
จัดอาหารมื้อใหญ่ที่มีเครป (crêpe) ปลาดิบและมะพร้าวมาเลี้ยงพวกเรา นอกจากนั้นยังหาลูกแมว
และ’เต่า’มาสร้างความเพลิดเพลินให้แก่แจ็กกับคามิล

ทันทีที่เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสทราบว่ามีผู้ป่วยต้องการแพทย์โดยด่วน พวกเขาก็รีบดำเนินการทันที
แต่เนื่องจากระยะทางไกลมาก กว่าเฮลิคอปเตอร์จะมาถึงก็เที่ยงพอดี เจ้าหน้าที่หน่วยพยาบาลเริ่ม
รักษาจอห์นในเบื้องต้นก่อนจะพาเขาและครอบครัวบินไปที่เกาะโบราโบร่า
เครื่องบินเจ็ตมารับจอห์นไปส่งที่ตาฮิติราว 17.50 น. เขานอนอยู่บนเตียงผ่าตัด มองไปที่ใบหน้า
ของทีมศัลยแพทย์ “ผมมีความสุขที่สุด” เขาบอกหมอ
“เพราะภรรยาและลูกปลอดภัยทุกคน ไม่นานผมก็จะหายเจ็บ”

โปรดติดตามตอนที่ (7) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.พ. 12, 2022 5:22 pm

⛵เรือแตก ตอนที่ (7) (ตอนจบ)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2007
และเรื่อง “Ship Wrecked” by Kenneth Miller เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้ 40 นาที ทุกอย่างจะสายเกินไป จอห์นต้องพึ่งเครื่องฟอกไต
อยู่ถึง 6 วันจนไตทำงานได้ปกติ และพักฟื้นต่ออีก 5 วันจึงแข็งแรงพอจะเดินทางกลับสหรัฐฯ ได้
ทั้งครอบครัวบินกลับไปถึงสนามบินลอสแอนเจลิสในวันที่ 7 กรกฎาคม 2005 มีรถพยาบาลรับ
จอห์นไปที่โรงพยาบาลทันที คณะแพทย์ลงความเห็นว่า หมดทางรักษาเข่าของเขา และ 4 วัน
ต่อมาศัลยแพทย์ก็ใช้เครื่องมือเลื่อยกระดูกเหนือเข่า จอห์นออกจากโรงพยาบาล
วันที่ 27 กรกฎาคม 2005
จอห์นเริ่มฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย ปลายเดือนกันยายน แผลตัดขาก็หายดีพอที่จะใส่ขา
เทียมชนิดดีที่สุดได้ เป็นขาเทียมที่มี ‘microprocessor’ที่ข้อต่อหัวเข่าซึ่งควบคุมไฮดรอลิก
ให้ปรับไปตามจังหวะย่างก้าวของเขาได้ แต่ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะใช้อุปกรณ์ได้คล่อง
หนึ่งปีหลังอุบัติเหตุ จอห์นเริ่มมั่นใจว่าจะกลับไปทำงานได้
ทุกวันนี้ จอห์นก็ยังไม่ได้คำตอบว่าเกิดข้อผิดพลาดเพราะแผนที่ หรือเพราะระบบเดินเรืออัตโนมัติ
หรือเขาคำนวณผิด แรก ๆ เขาไม่สามารถยืนดูท้องทะเลได้เลย มีครั้งหนึ่งที่ไปตั้งแคมป์ที่ริมหาด
จอห์นสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงคลื่น อย่างไรก็ตาม เดือนกุมภาพันธ์ 2007 จอห์นเริ่มรับหน้าที่
ขับเรือไปเที่ยวครึ่งวันโดยการสนับสนุนจาก ”ชมรมล่องเรือใบของคนพิการ” “ผมมีความสุขมาก”
จอห์นกล่าว เพราะนั่นหมายถึงว่า เขาวางแผนจะซื้อเรือลำใหม่อีก​ ไม่นานต่อมา
น่าแปลกที่สมาชิกคนอื่น ๆ ของครอบครัวต่างก็เห็นดีด้วยกับความคิดนี้ ก่อนหน้านั้นไม่นานช่วง
ฤดูหนาว 2006 จีนล่องเรือไปถึงเม็กซิโก ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็ไม่มีใครฝันร้าย “หนูได้บทเรียนสำคัญคือ
เวลาคับขันคนเราสามารถทำได้ทุกอย่าง” อะเมเลียกล่าว

“ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ” เบ็นตั้งข้อสังเกตว่า “ครอบครัวเราดูจะเอาใจใส่กันมากขึ้น” พ่อชมเชย
ความกล้าหาญของเบ็นไม่ขาดปาก วีรกรรมครั้งนั้นทำให้หนุ่มน้อยได้รับเหรียญกล้าหาญจาก
กองลูกเสือ สำหรับจอห์น ผลตอบแทนนั้นสูงค่ายิ่งนัก เขาเดินโขยกเขยกไปรอบโต๊ะที่
ภรรยากับลูก ๆ นั่งล้อมวงกินอาหารกลางวันกัน “จริงอยู่ พ่อเสียขาไปข้างหนึ่ง” จอห์นกล่าว
“แต่ดูสิว่าพ่อได้อะไรกลับคืนมา”

หมายเหตุ : อ่านบทสัมภาษณ์พิเศษภาษาอังกฤษของจีนกับเจ้าหน้าที่หนังสือ “Risen Magazine”
ของเมืองซานดิเอโกซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกมากได้ที่
https://www.risenmagazine.com/john-jean-silverwood/ โดยเฉพาะคำภาวนาของจีน
ขณะที่สามีถูกเสากระโดงเรือตรึงอยู่กับที่ ช่วงเวลานั้นเธอเดินไปที่หัวเรือเตรียมตัวตายพร้อมกับ
สวดขอความช่วยเหลือจากพระ แล้วก็ ’มีเสียง’ ตอบมิให้ยอมแพ้ เธอจึงสัญญากับพระว่า
‘ถ้าหากพวกเรารอดไปได้ ดิฉันจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่า’ และอึดใจต่อมาก็เกิดคลี่น
มหัศจรรย์ลูกใหญ่ทำมุมพอดีที่จะขยับเสากระโดงซึ่งทำให้ขาซ้ายของจอห์นหลุดเป็นอิสระ ...
นับแต่เหตุร้ายผ่านไป เธอทำสมาธิอยู่กับพระทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้ง และคำแนะนำสุดท้าย
ให้กับผู้สัมภาษณ์ที่ถามเธอว่า จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร หากเราตกอยู่ในเหตุการณ์คับขัน
ในชีวิต ซึ่งจีนตอบสั้น ๆ ว่า “จงสวดภาวนาจนสุดใจจนกว่าจะได้รับ!”
............................
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2022 11:22 pm

☀️สู่แสงสว่าง ตอนที่ (1 )จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543
โดย Christopher Carrier รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อ 22 ปีก่อน วันหนึ่งในเดือนธันวาคม 2517 ทันทีที่เด็กชายวัย 10 ขวบ
ก้าวลงจากรถนักเรียนใกล้ ๆ บ้านย่านชานเมือง’คอรัล เกเบิลส์’ พ่อซึ่งเป็นทนายความเรียกเขาว่า
“ฮิว” ใบหน้าของเด็กชายผมสีน้ำตาลคนนี้ยิ้มแย้มตลอดเวลา บ่ายวันนั้นฮิวคิดถึงเรื่องเทศกาล
คริสต์มาส ในอีก 5 วันข้างหน้า จึงไม่ได้สังเกตชายที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาจนกระทั่งได้ยินเสียงพูด

“สวัสดี ฉันเป็นเพื่อนกับพ่อเธอ” ชายแปลกหน้าเอ่ยพร้อมกับโปรยยิ้ม สมัยนั้น ชาวบ้านในละแวก
เดียวกันไม่กลัวคนแปลกหน้าเท่าใดนัก เขาเป็นชายวัยกลางคนแต่งตัวดีและสุภาพท่าทางน่าไว้ใจ
เด็กชายจึงยิ้มตอบ

“เราจะจัดงานปาร์ตี้ให้พ่อเธอ” ชายคนนั้นพูดต่อ “ฉันเลยอยากรู้ว่าจะซื้อของขวัญอะไรให้เขาดี
ไปช่วยเลือกกันหน่อยได้ไหม เดี๋ยวเราค่อยกลับมาด้วยกัน”

ฮิวตกลงเพราะอยากทำอะไรให้พ่ออยู่แล้ว ทั้งสองเดินไปขึ้นรถบ้านเคลื่อนที่ซึ่งจอดอยู่ใกล้ ๆ
ชายแปลกหน้าขับรถฝ่าการจราจรในเมืองจนถึงถนนรอบนอกซึ่งสองข้างทางเป็นทุ่งโล่งโดยแทบไม่ได้
พูดคุยกันเลยระหว่างทาง พอถึงที่เปลี่ยวก็ชะลอรถจอด

“ฉันคงเลี้ยวผิดละ” เขาบอกพร้อมกับยื่นแผนที่ให้ฮิว

“ลองหาดูสิว่าถนนสายหลักอยู่ตรงไหน” ขณะที่ฮิวกางแผนที่ ชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นเดินไปที่ท้ายรถบ้าน

ครู่ต่อมาฮิวรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนถูกผึ้งต่อย 2 ครั้งบริเวณแผ่นหลัง จึงเหลียวกลับไปมอง ภาพที่เห็น
ทำให้เขากลัวจนตัวสั่น ชายแปลกหน้ายืนองอาจ พลางเงื้อมือที่ถือเหล็กเจาะน้ำแข็งอยู่ ดวงตา
ฉายประกายเย็นเยือก
ฮิวพยายามป้องกันตัว แต่ชายคนนั้นลากเขาลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับจ้วงแทงด้วยเหล็กเจอะน้ำแข็ง
อีกหลายแผล ฮิวกลัวสุดขีดแม้จะรู้สึกว่าเหล็กแหลมเจาะเข้าตัวไม่ลึกนัก ชายแปลกหน้าจ่อปลายเหล็ก
แหลมที่หน้าอกของฮิวด้วยมือที่สั่นระริก จากนั้นจึงวางอาวุธลงกับพื้นก่อนจะปล่อยให้เด็กชายขวัญผวา
เดินกลับไปนั่งในรถโดยไม่ปริปากพูดอะไร หลังจากนั้นเขาก็ขับรถห่างไปจากตัวเมืองอีก

“พ่อเธอทำให้ฉันเสียเงินก้อนใหญ่ ตอนนี้ฉันลำบากมาก” ชายแปลกหน้าพูดเสียงเรียบ ฮิวนั่งขดตัว
อยู่กับที่นั่งและหวาดกลัวจนไม่กล้าเอ่ยปากโต้ตอบ บาดแผลไม่สาหัสนัก แต่ความกลัวทำให้รู้สึก
เจ็บปวดไปทั่วร่าง ชายคนนั้นหักรถเลี้ยวเข้าทางหลวงที่ตัดผ่านทุ่งกว้างซึ่งเรียกกันว่า “ซอยจระเข้”
คงเนื่องจากเป็นที่อยู่ของ จระเข้จำนวนมาก

ครู่ต่อมา เขาพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวจะปล่อยลงข้างหน้า แล้วจะโทรฯบอกพ่อเธอให้มารับ” เขาขับต่อไปอีก
สักพัก แล้วเลี้ยวเข้าถนนดินเพื่อจอดรถตรงที่โล่งลับตาคน

“เราลงกันตรงนี้ดีกว่า” ชายแปลกหน้าบอก

โปรดติดตามตอนที่ (2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 23, 2022 8:29 pm

☀️สู่แสงสว่าง ตอนที่ ( 2 )จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543
โดย Christopher Carrier รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เด็กชายโล่งอกที่หลุดออกมาจากรถได้จึงเดินห่างจากรถออกไปเล็กน้อย แล้วนั่งลงโดยไม่เห็นว่า
ผู้ปองร้ายกำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมปืนพกขนาดเล็ก และไม่รู้สึกอะไรเลยตอนที่ลูกปืนเจาะทะลวง
ขมับซ้าย พ่อแม่ของฮิวไม่ทราบชะตากรรมของลูกชายตลอด 6 วันหลักจากนั้น ความหวังริบหรี่ลงเ
มื่อวันคืนผ่านไป ไม่มีใครรู้เห็นการลักพาตัว ตำรวจเองก็ไม่มีเบาะแสใดๆ ราวกับว่าลูกชายคนเล็ก
หายวับไปจากโลก

วันถัดจากวัน คริสต์มาส ตำรวจแจ้งให้พ่อแม่ของฮิวว่า มีผู้พบเด็กชายนั่งอยู่บนก้อนหินริมถนน
ในเขตเอเวอร์เกลดส์ (Everglades)

หนังสือพิมพ์ทั่วไมอามี่ลงข่าวหน้าหนึ่งเรื่องฮิวถูกลักพาตัวและรอดชีวิตกลับมาได้ หลังนอนหมดสติ
เกือบสัปดาห์เด็กชายก็ฟื้นขึ้นมา แล้วเดินโซเซไปที่ถนนกระทั่งมีผู้ขับรถผ่านมารับตัวไป ลูกกระสุน
ทะลุออกจากขมับขวาตัดเส้นประสาทตาด้านซ้ายจนตาซ้ายบอดสนิท แต่ก็นับว่ามหัศจรรย์ที่รอดชีวิต
มาได้

ตลอดหลายสัปดาห์หลังจากนั้น นักสืบกรมตำรวจทำงานใกล้ชิดกับฮิวเพื่อให้ได้รูปพรรณของคนร้าย
เด็กชายเล่าเรื่องที่ชายผู้นั้นแสดงความโกรธเกรี้ยวกราดพ่อและบรรยายรูปร่างหน้าตาคนร้ายอย่าง
ละเอียดให้ตำรวจวาดภาพ รวมทั้งรอยสักจางๆ ที่แขน ตำรวจจัดทำรายชื่อผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัย
หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษพยาบาลที่พ่อของฮิวจ้างมาดูแลคนสูงอายุและเพิ่งไล่ออกหลังพบว่าดื่มเหล้าขณะ
ทำงาน นักสืบเชื่อว่า‘ฮิว’ถูกยิงเพื่อการแก้แค้น

ผู้ต้องสงสัยมีรถบ้านแบบเดียวกับที่ฮิวให้การ และมีประวัติอาชญากรรม เคยถูกจับข้อหาลักทรัพย์
โดยใช้อาวุธ โจรกรรมรถยนต์ ปลอมแปลงเอกสาร และหลบหนีการคุมขัง ชายผู้นี้คือ’เดวิด แม็กอัลลิสเทอร์’
ฮิวศึกษารูปถ่ายอาชญากรนับร้อยอยู่หลายสัปดาห์ แต่อาจเป็นเพราะยังขวัญผวาอยู่จึงไม่สามารถระบุ
ได้แน่นอนว่า ‘แม็กอัลลิสเทอร์’คือคนร้ายที่แทงและยิงเขา เมื่อไม่มีการชี้ตัวแน่ชัด นักสืบจึงสรุปว่า
คดีขาดหลักฐานและไม่อาจดำเนินการจับกุมตัวคนร้ายได้

เวลาผ่านไปหลายปี ‘แม็กอัลลิสเทอร์’ยังเดินลอยนวลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พันตำรวจตรี ‘ชัก เชอเร่อร์’ซึ่งร่วมทำคดีนี้มีลูก 2 คนวัยไล่เลี่ยกับฮิว จึงรู้สึกสะเทือนใจเป็นพิเศษ เขา
เชื่อเหมือนพนักงานสืบสวนคนอื่นๆ ว่า ‘แม็กอัลลิสเทอร์’คือคนร้าย

เมื่อตำรวจไปสอบปากคำ ‘แม็กอัลลิสเทอร์’เปิดประตูบ้านพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน “ว่าไง ทำไมถึงเพิ่งมา
ผมรออยู่ตั้ง 2 อาทิตย์แล้ว” เขายืนกรานว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการทำร้ายเด็กชาย

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 24, 2022 3:44 pm

☀️สู่แสงสว่าง ตอนที่ ( 3 )จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543
โดย Christopher Carrier รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ท่าทางหยิ่งผยองของเขาบาดใจนายตำรวจผู้นี้ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวของเขาเรื่อยมาอีก
หลายปี โดยเชื่อว่าอาชญากรจะต้องพลาดเข้าสักวัน นายตำรวจพูดคุยกับคนที่รู้จัก‘แม็กอัลลิสเทอร์’
หลายคนจนได้ข้อมูลว่า ชายคนนี้ติดเหล้า จิตใจโหดร้าย มีแต่ความเคียดแค้น ไม่มีเพื่อนและถูก
ครอบครัวตัดหางปล่อยวัด เขามุ่งมั่นหาหลักฐานเพื่อลากตัว‘แม็กอัลลิสเทอร์’มาชดใช้กรรมที่ทำไว้ให้ได้

ชีวิตของฮิวมืดมนตกต่ำลงเรื่อยๆ จนไม่อยากออกไปไหนตามลำพังเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย ตลอด 3 ปี
หลังจากนั้น เขานอนบนพื้นห้องปลายเตียงพ่อแม่ทุกคืนและหวาดกลัวเสียงต่างๆ ที่ได้ยิน

พออายุมากขึ้นฮิวยิ่งกังวลเรื่องตาข้างที่พิการ เปลือกตาย้อยลงมาปิดครึ่งตา เขาเลิกยิ้มแย้มและรู้สึกว่ามี
คนคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งเชื่อว่าคงไม่มีวันได้ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนอื่นๆ แล้วความกลัว
ก็กลายเป็นความขุ่นเคืองใจเมื่อพบว่าช่วงวัยอันสนุกสนานร่าเริงต้องอันตรธานหายไปเหมือนถูกขโมย
แม้พ่อแม่กับเพื่อนๆ คอยให้กำลังใจในทุกเรื่อง แต่ฮิวก็ยังไม่อาจสลัดความหวาดระแวงได้

เมื่อฮิวอายุ 13 ปีก็พบว่า มีสถานที่แห่งหนึ่งนอกบ้านที่พอจะให้ความปลอดภัยแก่เขาได้ นั่นคือโบสถ์
ใกล้บ้าน หลังจากถูกทำร้าย เขาพยายามเสาะหาวิธีขจัดความกลัวและความโกรธมาโดยตลอด
ในที่สุดก็พบคำตอบ

เย็นวันหนึ่ง หลังจากเพื่อน ๆ ที่โบสถ์คะยั้นคะยอให้เขาพูดอย่างเปิดอก ฮิวก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยเสียง
ขาดๆ หายๆ โดยไม่แน่ใจว่าผู้ฟังจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

พอเล่าจบ เพื่อนๆ ต่างพูดให้กำลังใจและพร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ ฮิวตื้นตันใจมากจนน้ำตาคลอเบ้า
เขาเพิ่งรู้ว่า การรอดชีวิตมาได้อย่างมหัศจรรย์ควรเป็นแรงบันดาลใจมากกว่าฉุดรั้งให้หมกมุ่นอยู่กับ
ความกลัวและความโกรธ

ความศรัทธาเชื่อมั่นทำให้ฮิวเริ่มยิ้มได้อีกครั้ง และรู้สึกว่าอยากอุทิศชีวิตให้กับการเผยแพร่ความเชื่อ

หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย เขาศึกษาต่อด้าน คริสต์ศาสนาและจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยเมอเซอร์
(Mercer University) รัฐจอร์เจีย จากนั้นจึงเรียนต่อระดับปริญญาโททางเทววิทยาจาก
สำนักเทววิทยาเซาท์ เวสเทิร์น แบปติสต์ในรัฐเท็กซัส
ปี 2534 ฮิวพบกับ’เลสลี ริทซี’สาวผมแดงทรงเสน่ห์ซึ่งมีความเชื่อแนวเดียวกับเขาและอยากทำงาน
เพื่อเยาวชน ทั้งสองแต่งงานกันในปีต่อมาและมีลูกสาวคนแรกในปี 2537 พวกเขามีลูกด้วยกัน 3 คน

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 25, 2022 3:23 pm

☀️สู่แสงสว่าง ตอนที่ ( 4 ) จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543
โดย Christopher Carrier รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลังจากย้ายกลับมาอยู่ที่ไมอามี่ในปี 2538 ฮิวเป็นผู้อำนวยการโครงการเยาวชนของโบสถ์
นักเรียนมักถามเรื่องตาพิการของเขา และเมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น พวกวัยรุ่นหนุ่มสาวก็กล้าเล่า
ปัญหาของตนมากขึ้น

ปี 2539 ฮิวในวัย 32 ปีรู้สึกว่าชีวิตค่อนข้างลงตัวและลืมฝันร้ายเก่าๆ ได้เกือบหมด เหลือเพียง
เรื่องเดียวที่ยังตามหลอกหลอนอยู่ นั่นคือจะทำอย่างไรหากต้องเผชิญหน้ากับคนที่พยายามฆ่าเขา
ซึ่งเป็นคำถามที่ได้ยินทุกครั้งเมื่อเล่าเรื่องของตนเอง และฮิวก็ตอบเสมอว่า “ผมหวังว่าคงเข้มแข็ง
พอที่จะให้อภัยเขาได้ มิฉะนั้นก็ต้องเวียนว่ายอยู่ในวังวนของความโกรธและการแก้แค้นเหมือนเขา”

ในส่วนลึก ฮิวยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างที่พูดได้

ต้นปี 2539ฮิวประหลาดใจที่ได้รับโทรศัพท์จาก ‘ชัก เชอเร่อร์’ ตำรวจผู้ทำคดีซึ่งบัดนี้เลื่อนตำแหน่ง
เป็นผู้บัญชาการกิจการภายในของกรมตำรวจคอรัลเกเบิลส์ เชอเร่อร์บอกว่า เพื่อนร่วมงานซึ่งรู้ว่า
เขาสนใจคดีลักพาตัวฮิว แวะไปที่บ้านพักฟื้นแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของไมอามี่และพบว่า‘
แม็กอัลลิสเทอร์’เป็นคนไข้อยู่นั่น เชอเร่อร์’ขับรถไปดูและได้พูดคุยกับ‘แม็กอัลลิสเทอร์’

“ตอนแรกๆ เขาอิดออด แต่ที่สุดก็ยอมรับว่า วันนั้นเขาเป็นคนลักพาตัวคุณ” เชอเร่อร์บอก

ฮิวนิ่ง เชอเร่อร์จึงพูดเสริมว่า “คุณอยากพบหน้าคนที่พยายามฆ่าคุณไหม”

สมองและอารมณ์ฮิวพลุ่งพล่านสับสน ได้ยินตัวเองตอบไปว่า “ครับ อยากพบ”

วันต่อมา ฮิวเดินเข้าไปในบ้านพักฟื้นและรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนก่อนถึงห้องของ‘แม็กอัลลิสเทอร์’

เขาไม่เคยว้าวุ่นใจเช่นนี้มาก่อน จะแข็งใจจับมือกับคนที่ยิงและทิ้งให้เขาตายได้หรือ หากทำไม่ได้
การสอนลูกศิษย์ให้รู้จักให้อภัยจะไม่เป็นการพูดโกหกหรอกหรือ

พอใกล้ถึงห้อง ฮิวกลัวว่าจะระงับอารมณ์ไม่อยู่เมื่อเห็นหน้า‘แม็กอัลลิสเทอร์’ จึงหยุด ยืนหน้า
ห้องและสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้าความเข้มแข็งทั้งหมดในตัวแล้วผลักบานประตูเข้าไป

เขาไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เห็นภาพตรงหน้า คนที่นอนอยู่บนเตียงไม่ใช่ปีศาจในฝันร้าย แต่เป็น
ชายชราวัย 77 ปี ร่างผอมแห้ง น้ำหนักไม่ถึง 35 กิโลกรัม ใบหน้าเหมือนสวมหน้ากากแนบเนื้อ
ตาซึ่งจ้องไปที่เพดานเป็นต้อหินมองอะไรไม่เห็น

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 26, 2022 3:35 pm

☀️สู่แสงสว่าง ตอนที่ ( 5 )จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543
โดย Christopher Carrier รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ขณะที่ฮิวแนะนำตัว ชายชรายัง ไม่ทิ้งท่าทางอวดดี พอฮิวบอกว่า เชอเร่อร์เล่าเรื่องคำสารภาพ
ให้ฟังแล้ว เขาบอกว่า “ฉันไม่รู้ว่า คุณกำลังพูดเรื่องอะไร"

เวลาผ่านไปหลายนาที ทิฐิในตัวชายชราลดลง เขานิ่งเงียบครู่ใหญ่ สีหน้าค่อยๆ ผ่อนคลาย
ร่างเริ่มสั่นเทิ้มแล้วก็ร้องไห้ เขายื่นมืออ่อนแรงออกมา ฮิวรับมากุมไว้ “ผมขอโทษ” ‘
“แม็กอัลลิสเทอร์’พูดขึ้นในที่สุด “ผมขอโทษ”
ฮิวมองดูชายชราบนเตียงด้วยความสงสารและกล่าวว่า “ผมเพียงอยากให้คุณรู้ว่า สิ่งที่คุณทำไม่ได้
ทำให้ชีวิตผมหมดความหมาย แต่ช่วยให้ผมได้เริ่มต้น”

‘แม็กอัลลิสเทอร์’บีบมือฮิวพลางพูดเสียงแผ่ว “ผมดีใจมาก”

ฮิวแวะไปเยี่ยม‘แม็กอัลลิสเทอร์’เกือบทุกวันตลอดช่วง 3 สัปดาห์ต่อมา ชายชราสีหน้าแช่มชื่น
ขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฮิว

แม้‘แม็กอัลลิสเทอร์’จะอ่อนแรงจนพูดแทบไม่ได้ แต่ก็พยายามเล่าถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งในชีวิตให้ฟัง
เขาเติบโตมาโดยที่พ่อทอดทิ้ง จึงใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ในสถานพินิจ เขาดื่มหนักตั้งแต่ยังเป็น
วัยรุ่น ครอบครัวตัดหางปล่อยวัด และไม่มีใครคบเป็นเพื่อนเลย ฮิวเห็นชัดว่าชายชราเสียดายและ
เสียใจที่ปล่อยให้ชีวิตเวียนว่ายอยู่ในวังวนของความโกรธและความอับอาย ตอนนี้‘แม็กอัลลิสเทอร์’
เริ่มกลับใจมาสวดภาวนาโดยมีฮิวคอยช่วยแนะนำ

บ่ายวันหนึ่งที่บ้านพักฟื้น ฮิวพูดถึงศรัทธาความเชื่อของเขาและความหวังที่จะได้เห็นความเชื่อซึ่ง
เริ่มผลิใบของ‘แม็กอัลลิสเทอร์’แตกหน่อเติบโต

“ผมตั้งใจจะไปสวรรค์” ฮิวบอกชายชรา “และอยากให้คุณไปที่นั่นด้วย ผมอยากให้มิตรภาพของเรา
เจริญงอกงามต่อไป” คืนนั้น‘แม็กอัลลิสเทอร์’นอนหลับสิ้นลมอย่างสงบ

ทุกวันนี้ เวลาเดินไปตามถนนใกล้บ้านเดิม ผมยังอดคิดถึงบ่ายวันที่‘แม็กอัลลิสเทอร์’ก้าวออกมาจาก
เงามืดไม่ได้ ใจหนึ่งก็โล่งอกที่เขาจากโลกนี้ไปในที่สุด เพราะว่าปีศาจคนนี้จะไม่มีวันหวนกลับมา
ทำร้ายผมได้อีก

แต่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ‘แม็กอัลลิสเทอร์’กลับกลายเป็นอีกคนซึ่งต่างกันราวฟ้ากับดิน
เขาเจ็บปวดทรมานสาหัสกว่าที่คิด และได้ชดใช้กรรมที่ทำไว้กับผู้อื่นแล้ว

อาจฟังดูแปลก แต่ชายชราผู้นี้ทำคุณให้ผมมากมายโดยที่เขาไม่รู้ตัวในโลกอันมืดมิดของเขา
ผมได้ค้นพบแสงสว่างที่ช่วยนำทางชีวิตเรื่อยมาจนทุกวันนี้ การให้อภัย‘แม็กอัลลิสเทอร์’
ช่วยให้ผมเข้มแข็งตลอดไป

ใช่แล้ว เด็กผู้ชายชื่อฮิวคือตัวผมเอง

**********************
จบบริบูรณ์

:s002: :s002:
ตอบกลับโพส