เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ (ชุดที่9)
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 27, 2022 9:04 pm
เสียงเธอสะเทือนพิภพ ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2007
โดย แครี ฮาวลีย์ และจากวิกิพีเดีย 2021 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
วาฟา (Wafa Sultan) เกิดในปี 1958 และเติบโตในเมืองบานิอัส (Baniyas)
ประเทศซีเรีย บ้านเกิดของเธออยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พ่อทำธุรกิจด้าน
เมล็ดพืช ที่บ้านเป็นมุสลิม ”อะลาไว้ต์” (Alawite) ซึ่งแยกมาจากนิกายชีอะห์
พวกเขายอมให้มีดื่มสุราพอประมาณ ในงานสังคมได้และเชื่อเรื่องเวียนว่าย
ตายเกิด ในวัยเด็ก พวกพี่ชายและน้องชายดูแล เธอราวกับไข่ในหิน วาฟา
ตั้งใจเรียนและแทบจะไม่ย่างก้าวออกนอกสังคมมุสลิมเลย
ขณะเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยอะเลปโป (University of Aleppo)
ในปี 1979 วาฟาเห็นอาชญากรรมอุกอาจที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
ในวันนั้น ขณะที่วาฟานั่งอยู่ในห้องบรรยายพร้อมเพื่อนนักศึกษาอีก 200 คน
ทุกคนกำลังตั้งใจฟังอาจารย์ ‘ยูเซฟ’ (Yusef al Yusef) บรรยายเรื่องโรคตา
ทันใดนั้น วาฟาได้ยินเสียงปืนยิงรัวดังสนั่นและเห็นอาจารย์ยูเซฟล้มคว่ำ มือปืน
กลุ่มหนึ่งถือปืนไรเฟิลยืนจังก้าอยู่ข้างร่างของเขาร้องตะโกนเป็นภาษาอาหรับว่า
“อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่” จากนั้นกลุ่มฆาตกรซึ่งเป็นมุสลิมหัวรุนแรงก็วิ่งหนีไป
ปล่อยให้นักศึกษานั่งมองร่างไร้ ลมหายใจของอาจารย์ด้วยความตะลึงงัน
วาฟารู้สึกสะเทือนใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกล่าวว่า "ฉันเลิกเชื่อพระเจ้าของ
พวกเขาและเริ่มตั้งคำถามกับคำสอนที่พวกเราเรียน ฉันจะต้องเสาะหาพระเจ้าองค์อื่นแล้ว”
วาฟารู้สึกสะเทือนใจยิ่งขึ้นเมื่อเธอทำงานเป็นจิตแพทย์ในโรงพยาบาล หลังจากเพิ่ง
แต่งงาน กับ”เดวิด”อาจารย์ด้านวิศวกรรม ทุกวันวาฟามีเรื่องมาเล่าให้สามีฟังเกี่ยว
กับเหยื่อ ความรุนแรงในครอบครัว
คนไข้หญิงหลายคนเดินเข้ามาพร้อมกับดวงตาเขียวคล้ำเป็นวง มีบาดแผลที่หลัง
บางรายกระดูกหัก วาฟารักษาได้เฉพาะบาดแผลภายนอกและรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ไม่สามารถปริปากพูดถึงสาเหตุลึก ๆ ของปัญหานี้ได้ เพราะนั่นคือวัฒนธรรมที่บีบ
บังคับให้ผู้หญิงต้องยอมศิโรราบต่อผู้ชายโดยเฉพาะมุสลิมแนวคิดรุนแรงยิ่งทำ
ให้ผู้หญิงหมดทางต่อสู้มากขึ้น
วาฟากับเดวิดสามีเริ่มปรึกษากันเรื่องอพยพไปจากซีเรียเพื่อหนีความยากจนที่
รุนแรงขึ้นและแนวคิดรุนแรงด้านศาสนาซึ่งรุมเร้าอยู่รอบด้าน แต่กว่าจะสำเร็จก็ใช้
เวลาถึง 10 ปี เดวิดได้วีซ่าและบินไปแคลิฟอร์เนียในปี 1988 เขารอรับครอบครัวซึ่ง
เดินทางไปสมทบในอีกหลายเดือนต่อมา
ก่อนหน้านั้น วาฟาไม่เคยออกนอกซีเรียเลย เธอพูดอังกฤษได้เล็กน้อยและมีลูกสาว
วัย 4 ขวบกับลูกชายวัย 9 ขวบ ช่วงปีแรก ๆ ที่แคลิฟอร์เนีย ทั้งสองต้องกัดฟันทำงาน
หลายอย่างรวมทั้งการเป็นพนักงานเก็บเงินในปั๊มน้ำมันและพนักงานขายพิซซ่า
เนื่องจากวาฟาไม่มีใบประกอบโรคศิลปะในสหรัฐฯ หลังจากอยู่ได้ราว 1 เดือนวาฟา
ก็ตั้งท้องลูกคนที่สาม อย่างไรก็ตาม การได้ออกจากซีเรียก็ทำให้วาฟากับครอบครัว
“มีความสุขมากกว่าในซีเรีย” เธอกล่าว
โปรดติดตามตอนที่ (2) ในวันพรุ่งนี้
จากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2007
โดย แครี ฮาวลีย์ และจากวิกิพีเดีย 2021 เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
วาฟา (Wafa Sultan) เกิดในปี 1958 และเติบโตในเมืองบานิอัส (Baniyas)
ประเทศซีเรีย บ้านเกิดของเธออยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พ่อทำธุรกิจด้าน
เมล็ดพืช ที่บ้านเป็นมุสลิม ”อะลาไว้ต์” (Alawite) ซึ่งแยกมาจากนิกายชีอะห์
พวกเขายอมให้มีดื่มสุราพอประมาณ ในงานสังคมได้และเชื่อเรื่องเวียนว่าย
ตายเกิด ในวัยเด็ก พวกพี่ชายและน้องชายดูแล เธอราวกับไข่ในหิน วาฟา
ตั้งใจเรียนและแทบจะไม่ย่างก้าวออกนอกสังคมมุสลิมเลย
ขณะเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยอะเลปโป (University of Aleppo)
ในปี 1979 วาฟาเห็นอาชญากรรมอุกอาจที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
ในวันนั้น ขณะที่วาฟานั่งอยู่ในห้องบรรยายพร้อมเพื่อนนักศึกษาอีก 200 คน
ทุกคนกำลังตั้งใจฟังอาจารย์ ‘ยูเซฟ’ (Yusef al Yusef) บรรยายเรื่องโรคตา
ทันใดนั้น วาฟาได้ยินเสียงปืนยิงรัวดังสนั่นและเห็นอาจารย์ยูเซฟล้มคว่ำ มือปืน
กลุ่มหนึ่งถือปืนไรเฟิลยืนจังก้าอยู่ข้างร่างของเขาร้องตะโกนเป็นภาษาอาหรับว่า
“อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่” จากนั้นกลุ่มฆาตกรซึ่งเป็นมุสลิมหัวรุนแรงก็วิ่งหนีไป
ปล่อยให้นักศึกษานั่งมองร่างไร้ ลมหายใจของอาจารย์ด้วยความตะลึงงัน
วาฟารู้สึกสะเทือนใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกล่าวว่า "ฉันเลิกเชื่อพระเจ้าของ
พวกเขาและเริ่มตั้งคำถามกับคำสอนที่พวกเราเรียน ฉันจะต้องเสาะหาพระเจ้าองค์อื่นแล้ว”
วาฟารู้สึกสะเทือนใจยิ่งขึ้นเมื่อเธอทำงานเป็นจิตแพทย์ในโรงพยาบาล หลังจากเพิ่ง
แต่งงาน กับ”เดวิด”อาจารย์ด้านวิศวกรรม ทุกวันวาฟามีเรื่องมาเล่าให้สามีฟังเกี่ยว
กับเหยื่อ ความรุนแรงในครอบครัว
คนไข้หญิงหลายคนเดินเข้ามาพร้อมกับดวงตาเขียวคล้ำเป็นวง มีบาดแผลที่หลัง
บางรายกระดูกหัก วาฟารักษาได้เฉพาะบาดแผลภายนอกและรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่ไม่สามารถปริปากพูดถึงสาเหตุลึก ๆ ของปัญหานี้ได้ เพราะนั่นคือวัฒนธรรมที่บีบ
บังคับให้ผู้หญิงต้องยอมศิโรราบต่อผู้ชายโดยเฉพาะมุสลิมแนวคิดรุนแรงยิ่งทำ
ให้ผู้หญิงหมดทางต่อสู้มากขึ้น
วาฟากับเดวิดสามีเริ่มปรึกษากันเรื่องอพยพไปจากซีเรียเพื่อหนีความยากจนที่
รุนแรงขึ้นและแนวคิดรุนแรงด้านศาสนาซึ่งรุมเร้าอยู่รอบด้าน แต่กว่าจะสำเร็จก็ใช้
เวลาถึง 10 ปี เดวิดได้วีซ่าและบินไปแคลิฟอร์เนียในปี 1988 เขารอรับครอบครัวซึ่ง
เดินทางไปสมทบในอีกหลายเดือนต่อมา
ก่อนหน้านั้น วาฟาไม่เคยออกนอกซีเรียเลย เธอพูดอังกฤษได้เล็กน้อยและมีลูกสาว
วัย 4 ขวบกับลูกชายวัย 9 ขวบ ช่วงปีแรก ๆ ที่แคลิฟอร์เนีย ทั้งสองต้องกัดฟันทำงาน
หลายอย่างรวมทั้งการเป็นพนักงานเก็บเงินในปั๊มน้ำมันและพนักงานขายพิซซ่า
เนื่องจากวาฟาไม่มีใบประกอบโรคศิลปะในสหรัฐฯ หลังจากอยู่ได้ราว 1 เดือนวาฟา
ก็ตั้งท้องลูกคนที่สาม อย่างไรก็ตาม การได้ออกจากซีเรียก็ทำให้วาฟากับครอบครัว
“มีความสุขมากกว่าในซีเรีย” เธอกล่าว
โปรดติดตามตอนที่ (2) ในวันพรุ่งนี้