พระมหาทรมาน (ตอนที่21-35) (ชุดที่2)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 22, 2022 3:47 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ (21)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)การสวมมงกุฎหนามและ “นี่คือคน คนนั้น”

หลังจากพระมารดาและกลุ่มสตรีใจศรัทธารวบรวมพระโลหิตที่เสาหลักและบริเวณโดยรอบแล้ว
ก็ออกจากศาลกลางเมืองและเข้าไปอยู่ในบ้านเล็กหลังหนึ่งที่ดิฉันไม่รู้จักเจ้าของบ้าน อาคารพัก
ทหารยามที่พระเยซูทรงถูกสวมมงกุฎหนาม มีลานและทางเดินเป็นวงกลม ที่กลางลานมีซากเสาหลัก
อยู่ต้นหนึ่ง ที่ด้านบนปรับเป็นที่นั่งเตี้ยอยู่แล้ว พวกเดนคนนำเศษหินและเศษกระเบื้องมาปูทับบนที่นั่ง
กระชากถอดฉลองพระองค์เสมือนเป็นการเปิดบาดแผลใหม่ ก่อนจะผลักลากพระองค์ไปประทับบน
ที่นั่งที่เตรียมไว้และวางมงกุฎลงบนพระเศียรโดยให้ส่วนที่มีหนามยาวที่สุดอยู่ด้านล่าง มงกุฎสาน
จากไม้หนาม 3 ก้านขดเป็นวงกลม พวกเขามัดไม้หนามทั้งสามให้ติดกับด้านหลังของพระเศียรอย่าง
แน่นหนา หลังจากนั้นก็นำต้นอ้อขนาดใหญ่มาเสียบไว้ในพระหัตถ์ข้างหนึ่ง

พวกเขาบรรจงจัดแต่งอย่างจริงจังราวกับกำลังทำพิธีสวมมงกุฎแต่งตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์ให้ดูสมจริง
จากนั้นก็ฉวยไม้อ้อจากพระหัตถ์ตีลงไปอย่างแรงที่มงกุฎหนาม แล้วก็แสร้งเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า
พูดว่า “กษัตริย์ของชาวยิว ทรงพระเจริญ” (ยน 19:3) พวกเขาทรมานพระองค์ในลักษณะนี้ประมาณ
ครึ่งชั่วโมงขณะที่ทหารโรมันที่รายล้อมอยู่ปรบมือส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน

เพชฌฆาตนำพระเยซูกลับไปที่จวนของปิลาตอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงสวมมงกุฎหนามและมีต้นอ้อ
เสียบอยู่ในพระหัตถ์ที่มัดติดกัน พลธนูพาพระเยซูขึ้นไปหาปิลาต ทุกคนจึงมองเห็นพระองค์ได้เต็มตา
พวกเขาเงียบกริบขณะที่พระองค์ทรงเงยพระเศียรที่มีมงกุฎหนามทอดพระเนตรไปยังพวกเขา
ปิลาตชี้ไปทางพระองค์และร้องขึ้นว่า “Ecce homo! นี่คือ คนคนนั้น!”(ยน 19:5)

บรรดาหัวหน้าพระสมณะและผู้ติดตามร้องตะโกนว่า "เอาไปตรึงกางเขน ๆ!" (ยน 19:6) ปิลาตจึงพูดว่า
“พวกท่านยังไม่พอใจอีกหรือ? แต่ทุกคนร้องตะโกนซ้ำว่า "เอาไปตรึงกางเขน! ๆ" ปิลาตจึงสั่งให้ทหาร
เป่าแตรเพื่อให้ทุกคนเงียบและกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย จงนำเขาไปตรึงกางเขนกันเองเถิด เพราะเรา
ไม่พบว่าเขามีความผิดประการใด ”(ยน 19:6) บรรดาพระสงฆ์ตอบว่า “พวกเรามีกฎหมาย และตาม
กฎหมายนั้น เขาต้องตาย เพราะตั้งตนเป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน 19:7) คำพูดที่ว่า “บุตรของพระเจ้า”
ทำให้ปิลาตรู้สึกหวาดหวั่นและพาพระเยซูเข้าไปในห้องหนึ่งก่อนจะถามพระองค์ว่า
“ท่านมาจากไหน?”(ยน 19:9) แต่พระองค์ไม่ตรัสตอบ ปิลาตจึงพูดขึ้นว่า “... ท่านไม่รู้หรือว่า
เรามีอำนาจจะปล่อยท่านก็ได้ จะตรึงกางเขนท่านก็ได้”(ยน 19:10) พระองค์จึงตรัสว่า
“ท่านไม่มีอำนาจใดเหนือเราเลย ถ้าท่านมิได้รับอำนาจนั้นมาจากเบื้องบน…”(ยน 19:11)

ความที่ปิลาตเป็นคนไม่เด็ดขาดทำให้คลอเดียเป็นกังวล เธอจึงส่งสารเตือนให้เขาระลึกถึงคำสัญญา
ที่ให้ไว้ เขาตอบสารของเธอแบบคลุมเครือ คือให้เป็นการตัดสินใจของเทพเจ้า ศัตรูของพระเยซูทราบ
ข่าวว่า คลอเดียกำลังหาทางช่วยพระองค์อยู่ จึงรีบกระจายข่าวไปในหมู่ฝูงชนว่า พรรคพวกของพระเยซู
เกลี้ยกล่อมคลอเดียซึ่งจะมีผลถึงการปล่อยตัวของพระองค์ และพระองค์ก็จะเข้าร่วมกับพวกโรมัน
นำความหายนะมาสู่กรุงเยรูซาเล็ม และทำลายล้างชาวยิว

เนื่องจากปิลาตทำอะไรไม่ถูกจึงเข้าไปในอีกห้องหนึ่งตามลำพังพร้อมกับส่งคนไปตามพระเยซู
ปิลาตมองดูสภาพที่น่าหดหู่ของพระองค์ อุทานขึ้นในใจว่า “เป็นไปได้หรือที่เขาจะเป็นพระเจ้า?”
จากนั้นก็ให้พระองค์ทรงสาบานว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ชาวยิวรอคอยตามพระสัญญา
พระองค์ตรัสตอบว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้” (ยน 18:36) ที่สุดพระองค์ทรงประกาศว่า
พระองค์ทรงเป็น “บุตรแห่งมนุษย์” ที่จะเสด็จมาพิพากษาตัวเขาด้วยความเป็นธรรมในวันสุดท้าย

ปิลาตทั้งหวาดกลัวและกริ้วเมื่อได้ยินพระดำรัสของพระองค์ เดินกลับไปที่นอกชานประกาศว่า
จะปล่อยพระเยซูเจ้า แต่พวกเขาร้องตะโกนว่า “ถ้าท่านปล่อยผู้นี้ไป ท่านก็ไม่เป็นมิตรของพระจักรพรรดิ
ผู้ใดตั้งตนเป็นกษัตริย์ ก็เป็นศัตรูของพระจักรพรรดิ”(ยน 19:12) บางคนก็พูดขึ้นว่า พวกเขาจะกล่าวโทษ
ปิลาตต่อจักรพรรดิในฐานที่เป็นผู้ก่อความปั่นป่วนงานฉลองของพวกเขา และให้ปิลาตตัดสินใจทันที
เพราะพวกเขาจะต้องเข้าไปในพระวิหารก่อนสี่ทุ่มคืนนั้น
ปิลาตไม่สามารถสยบฝูงชนได้ จึงให้ทหารนำน้ำมาล้างมือต่อหน้าทุกคน กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่ขอเกี่ยวข้องกับโลหิตของผู้นี้ เรื่องนี้เป็นธุระของท่าน” (มธ 27:24)
ประชาชนจากทุกภาคส่วนร้องตะโกนตอบว่า “ขอให้เลือดของเขาตกเหนือเรา
และเหนือลูกหลานของเราเถิด!” (มธ 27:25)
_______
จบตอนที่(21)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อาทิตย์ เม.ย. 03, 2022 10:43 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 24, 2022 11:34 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(22)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)พระเยซูเจ้าทรงถูกตัดสินตรึงกางเขน

คำพูดที่น่ากลัวที่ว่า “ขอให้เลือดของเขาตกเหนือเรา และเหนือลูกหลานของเราเถิด!” ยังไม่ทันสิ้นเสียง
ปิลาตก็เริ่มขบวนการพิพากษา เขาสั่งให้เจ้าหน้าที่นำชุดอาภรณ์ทางการมาเปลี่ยน ถือคทาประจำ
ตำแหน่ง ทหารถือแตรคนหนึ่งเดินนำขบวนออกจากจวนของปิลาตไปยังศาลกลางเมือง พลธนูนำ
พระเยซูมาที่ศาล จัดให้อยู่ระหว่างนักโทษอุกฉกรรจ์สองคน มีมงกุฎหนามสวมอยู่ พระหัตถ์ทั้งสอง
ถูกล่ามโซ่ ทันทีที่ปิลาตนั่งลงก็กล่าวกับศัตรูของพระเยซูว่า “นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย!” (ยน 19:14)
มีเสียงร้องจากรอบด้านว่า “ เอาตัวไปตรึงกางเขน!” (ยน 19:15) ปิลาตจึงถามว่า“จะให้เราตรึงกางเขน
กษัตริย์ของท่านหรือ?”(ยน 19:15) บรรดาหัวหน้าสมณะตอบว่า “พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่น นอกจาก
พระจักรพรรดิ!”(ยน 19:15)

ปิลาตตระหนักว่า คำพูดของตนช่วยอะไรไม่ได้เลย จึงให้เริ่มกระบวนการพิพากษา นักโทษทั้งสองคน
ถูกตัดสินตรึงกางเขนไปก่อนแล้ว แต่บรรดาหัวหน้าสมณะขอให้รอการตรึงกางเขนเพื่อจะได้ตรึง
พร้อมกับพระเยซู เพื่อให้พระองค์ได้รับความอัปยศอดสูในระดับเดียวกับผู้ร้ายอุกฉกรรจ์

ขณะนั้น พระมารดาเข้ามาในบริเวณศาลกลางเมืองเพื่อฟังคำพิพากษา มีเสียงแตรดังขึ้นให้ทุกคนเงียบ
ปิลาตกล่าวว่า พวกเขาตัดสินลงโทษประหารชีวิตพระเยซูที่เป็นต้นเหตุก่อความไม่สงบ และละเมิด
กฎหมายของพวกเขาด้วยการเรียกตัวเองเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นกษัตริย์ของชาวยิว แม้ว่าโดย
ส่วนตัวแล้ว เขาเชื่อและได้กล่าวซ้ำหลายครั้งถึงความบริสุทธิ์ของพระเยซู อย่างไรก็ตาม ปิลาตสรุปการ
ตัดสินด้วยการประกาศคำพิพากษาเวลาประมาณ 10 โมงเช้าว่า “ข้าพเจ้าตัดสินลงโทษเยซูชาวนาซาเร็ธ
กษัตริย์ของชาวยิวด้วยการตรึงกางเขน” และสั่งให้เพชฌฆาตนำกางเขนออกมา

ปิลาตเขียนคำพิพากษา มีผู้คัดลอกไว้ 3 ฉบับ ข้อความที่ปิลาตเขียนแตกต่างไปมากจากคำตัดสินของท่าน
ดูเหมือนจะมีทูตสวรรค์จับมือท่านเขียน : “ข้าพเจ้าถูกบังคับให้ยอมทำตามความประสงค์ของบรรดา
หัวหน้าสมณะ สภาซันเฮดริน และประชาชน ที่เรียกร้องอย่างโกลาหลให้ประหารชีวิตเยซูชาวนาซาเร็ธ
มิฉะนั้นอาจเกิดการจลาจลขึ้นได้ เนื่องจากพวกเขากล่าวหาว่า เยซูเป็นต้นเหตุก่อความไม่สงบสุขในหมู่
ประชาชน สบประมาทพระเจ้า และละเมิดกฎหมายของพวกเขา ข้าพเจ้าได้มอบเยซูให้พวกเขาไปตรึง
กางเขน แม้ว่าดูเหมือนข้อกล่าวหาจะไม่มีมูล ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะปรักปรำข้าพเจ้า
ต่อองค์จักรพรรดิ ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สนับสนุนการก่อจลาจล และเป็นต้นเหตุสร้างความไม่พอใจขึ้น
ในหมู่ชาวยิว ด้วยการปฏิเสธสิทธิแห่งความชอบธรรมของพวกเขา”

จากนั้นปิลาตก็เขียนป้ายข้อกล่าวหาที่จะใช้ติดที่กางเขน บรรดาหัวหน้าสมณะพยายามจะให้ปิลาต
เปลี่ยนข้อความโดยไม่ให้เขียนว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” แต่ให้เขียนว่า “เขาพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์
ของชาวยิว” --- ปิลาตโกรธและตอบอย่างหัวเสียว่า “เขียนแล้ว ก็แล้วไปเถอะ”(ยน 19:22) ขณะที่ปิลาต
อ่านคำพิพากษา ดิฉันเห็นคลอเดีย ส่งคืน “แหวน” ให้ปิลาต และค่ำนั้นเธอก็ออกจากวังไปอยู่กับพระสหาย
ของพระเยซูเจ้าที่ซ่อนเธอไว้ในห้องใต้ดินที่บ้านของลาซารัสในกรุงเยรูซาเล็ม เธอกลับใจเป็นคริสตชน
ติดตามและเป็นเพื่อนสนิทของนักบุญเปาโล

ทันทีที่ปิลาตอ่านคำพิพากษาเสร็จ พลธนูก็เข้าปฏิบัติหน้าที่ทันที พวกเขาเอาฉลองพระองค์ที่ถูกถอด
ออกที่ลานของมหาสมณะมาสวมให้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มัดรอบบั้นพระองค์ด้วยสายรัดที่ฝังเหล็กแหลมไว้
และใช้เชือกผูกติดกับสายรัดนี้ลากพระองค์ก้าวเดินไปโดยมีนักโทษคนหนึ่งอยู่ทางขวาและอีกคนหนึ่งอยู่
ทางซ้ายของพระองค์ ทั้งสองถูกมัดมือและมีโซ่ผูกรอบคอ

ที่สุด อันนาสและมหาสมณะคายาฟาสก็ออกจากจวนของปิลาตด้วยความโกรธ และรีบไปที่พระวิหาร
เพราะกลัวจะถวายเครื่องบูชาในโอกาสฉลองปัสกาไม่ทัน โดยไม่ทราบว่า พวกตนกำลังออกห่างจาก
“ลูกแกะปัสกาที่แท้จริง”
--------------------
จบตอนที่(22)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 24, 2022 11:38 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(23)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)การแบกกางเขนและการหกล้มครั้งแรก

ชาวฟาริสี 28 คนขี่ม้ามาที่ศาลกลางเมืองเพื่อติดตามพระเยซูเจ้าไปยังที่ประหาร พลธนูนำพระเยซูเจ้า
เข้าไปกลางลาน กลุ่มทาสนำไม้กางเขนท่อนขวางมัดติดกับท่อนยาว พระเยซูทรงคุกเข่าลงจูบไม้ก
างเขน 3 ครั้ง กางเขนที่เป็นพระแท่นเพื่อถวายพระกายและพระโลหิตของพระองค์เป็นยัญบูชาแด่
พระบิดาเจ้าสวรรค์
ครู่ต่อมาพลธนูกดให้พระองค์คุกเข่าและพาดกางเขนที่หนักอึ้งบนพระอังสาขวา แตรสัญญาณดังขึ้น
นี่คือการเริ่มต้นของการก้าวเดินแห่งชัยชนะของ “จอมราชัน” (King of Kings) เป็นการเดินแห่งความ
อัปยศอดสูในโลกที่นำสู่ความรุ่งโรจน์ในสวรรค์ พระเยซูทรงแบกน้ำหนักของกางเขนจนพระวรกาย
สั่นสะท้าน ทำให้ดิฉันระลึกถึงคำทำนายของประกาศกอิสยาห์ที่ว่า เขาแบกท่อนไม้นั้นสำหรับบูชายัญ
ตนเองบนภูเขา
ปิลาตก็ขี่ม้าไปที่เขากัลวาริโอโดยใช้เส้นทางผ่านตัวเมืองและมีกองทหาร 300 คนติดตามเพื่อป้องกัน
การก่อจลาจล พลธนู 2 คนลากพระเยซูที่ทรงแบกกางเขนอยู่ไปข้างหน้า ขณะที่อีก 2 คนข้างหลังคอย
ฉุดรั้งไว้เพื่อเพิ่มความลำบากในการก้าวเดินแต่ละก้าว นักโทษทั้งสองอยู่ถัดจากพระเยซูโดยมือแต่ละ
ข้างถูกมัดติดอยู่กับปลายไม้ท่อนขวาง ท้ายขบวนเป็นชาวฟาริสี

พระเยซูเจ้าทรงถูกพาไปตามถนนแคบ ๆ ด้านหลังเมืองเพื่อไม่กีดขวางทางผู้ที่กำลังไปที่พระวิหาร
และเพื่อให้ปิลาตและกองทหารเดินทางได้สะดวกบนถนนสายหลัก ฝูงชนออกจากศาลหลังจากปิลาต
อ่านคำพิพากษา ชาวยิวส่วนใหญ่กลับบ้าน หรือไปที่พระวิหารเพื่อเตรียมถวายลูกแกะปัสกา แต่ก็มี
บางกลุ่มติดตามดูขบวนผู้ถูกประหารชีวิต

ถนนที่พระเยซูเจ้าทรงแบกกางเขนชันมากขึ้น หลังฝนตก บางส่วนมีน้ำขังและโคลนเลนตามพื้น
มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งวางอยู่ที่กลางถนนเพื่อช่วยให้ผู้คนเดินข้ามไปมาได้สะดวก เมื่อพระเยซูทรงผ่าน
มาถึงจุดนี้ พระองค์ทรงหมดกำลัง พลธนูผลักและลากพระองค์ให้ไปต่ออย่างไร้ความปรานี พระองค์
ทรงถึงกับหกล้มชนเข้ากับหินก้อนนี้ และกางเขนก็ตกลงมาข้างพระวรกาย พลธนูเฆี่ยนตีและด่าว่า
พระองค์ การหกล้มทำให้ทั้งขบวนเคลื่อนต่อไปไม่ได้และเกิดความโกลาหลอยู่ครู่หนึ่ง
พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ให้ใครสักคนพยุงขึ้น แต่ไม่ทรงได้รับความช่วยเหลือใด ๆ พระองค์ทรงอุทาน
ขึ้นว่า “อีกไม่นานทุกสิ่งก็จะจบสิ้น” และทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อศัตรู ชาวฟาริสีคนหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
“พยุงเขาขึ้น มิฉะนั้นเขาก็จะตายในมือของเราเสียก่อน” พลธนูฉุดพระองค์ขึ้นจากโคลน และทันทีที่
พระองค์ประทับยืนได้ พวกเขาก็วางกางเขนบนพระปฤษฎางค์ทันที มงกุฎหนามรอบพระเศียรเพิ่ม
ความเจ็บปวดจนพระองค์ต้องเอียงพระวรกายไปด้านหนึ่งเพื่อจะมีที่วางกางเขนบนพระอังสาทั้งสอง
------------------
จบตอนที่(23)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 25, 2022 11:50 am

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(24)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

🔻พระเยซูเจ้าทรงหกล้มครั้งที่สอง

ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงแบกไม้กางเขนอยู่นั้น พระมารดาขอให้ยอห์นช่วยพาไปตามทาง
ที่พระองค์ผ่าน ยอห์นจึงพาพระมารดาและสตรีใจศรัทธาบางคนไปที่ตำหนักหลังหนึ่ง
ซึ่งมีทางเข้าติดถนนที่พระเยซูจะผ่านมา ดิฉันเชื่อว่าตำหนักหลังนั้นเป็นของมหาสมณะคายาฟาส
ยอห์นได้รับอนุญาตเข้าไปได้จากคนรับใช้ที่ยอห์นรู้จัก
กลุ่มของพระมารดาจึงยืนรออยู่ที่ข้างประตูจ้องไปยังขบวนที่เคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ ชาวฟาริสี
บนหลังม้าผ่านไปก่อน ถัดไปเป็นเด็กถือแผ่นป้ายข้อหาที่ปิลาตเขียน แล้วก็เป็นบุตรสุดที่รักที่
มีมงกุฎหนามสวมอยู่ พระอังสาเอียงลู่ลงด้วยความเจ็บปวด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระมารดา
ด้วยความสงสารและเศร้าพระทัยจนพระวรกายเซล้มลงเป็นครั้งที่สอง เมื่อเห็นดังนั้น พระนางมารีย์
ลืมหมดสิ้นซึ่งทุกสิ่ง ออกวิ่งผ่านพลธนูที่ทำร้ายพระบุตร คุกเข่าและกอดพระวรกายของพระองค์
ดิฉันได้ยินแต่คำว่า “ลูกรัก!” และคำว่า “แม่!” เกิดความโกลาหลชั่วครู่ ยอห์นและสตรีใจศรัทธา
ช่วยกันพยุงพระนางขึ้น ขณะที่พลธนูตำหนิว่า “นางมาทำอะไรที่นี่หรือ? เขาคงไม่ตกมาอยู่ในมือ
ของพวกเรา ถ้าได้รับการเลี้ยงดูที่ดีนะ”

แต่ก็มีทหารบางคนสงสารและไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายพระนาง ยอห์นและสตรีใจศรัทธาเข้าห้อมล้อม
เมื่อพระนางใกล้จะเป็นลม ศิษย์สองคนพาพระมารดาเข้าไปในตำหนักบ้านหลังนั้น ระหว่างนั้น
พลธนูช่วยกันฉุดพระเยซูขึ้นและเปลี่ยนวิธีการแบกกางเขนโดยแก้เชือกท่อนขวางออกจากท่อนยาว
และให้พระองค์ทรงใช้พระกร (แขน) ข้างหนึ่งแบกกางเขน เพื่อลดน้ำหนักกางเขนลงได้บ้าง
เพราะด้านล่างของกางเขนลากไปกับพื้น
----------------------
จบตอนที่ ( 24)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มี.ค. 27, 2022 8:45 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(25)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ซีโมน ชาวไซรีน – การหกล้มครั้งที่สามของพระเยซูเจ้า

เมื่อขบวนเคลื่อนไปถึงประตูโค้งของกำแพงเมืองเก่า พระเยซูทรงหกล้มครั้งที่ 3 เพราะทรงชน
หินก้อนใหญ่ที่กลางประตูโค้ง กางเขนหล่นจากพระอังสาและกระแทกก้อนหิน พระองค์ไม่สามารถ
ลุกขึ้นได้อีก การหกล้มครั้งนี้ทำให้ทุกสิ่งล่าช้าออกไป เพราะพระเยซูไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นเองได้เลย
ชาวฟาริสีจึงพูดกับทหารว่า “พวกเราคงไม่มีทางพาเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ไปถึงที่ตรึงกางเขนได้หากท่าน
ไม่หาใครสักคนมาช่วยแบกกางเขน”

ขณะนั้นเอง ชายคนหนึ่งชื่อซีโมน ชาวไซรีน เดินผ่านมาพอดีกับลูก 3 คน เขาเป็นชาวสวนกำลัง
กลับบ้านหลังจากทำงานในสวนใกล้ประตูเมืองตะวันออกและแบกฟืนมัดหนึ่ง พวกทหารสังเกตการ
แต่งกายของเขาก็ทราบทันทีว่าเป็นคนต่างศาสนา จึงคว้าตัวไว้และบังคับให้ช่วยพระเยซูแบกกางเขน
ทีแรกเขาปฏิเสธ แต่ไม่นานก็ถูกบังคับให้ยอมตกลง แม้ว่าลูก ๆ ของเขาตกใจกลัวและร้องไห้ส่งเสียง
ดังจนสตรีบางคนในที่นั้นเข้ามาช่วยปลอบ
ซีโมนแสดงอาการไม่พอใจที่ถูกบังคับให้แบกกางเขนเดินไปกับชายสกปรกและน่าสมเพชอย่างที่สุด
แต่พระเยซูเจ้าทรงกันแสง (ร้องไห้) และทอดพระเนตรแห่งสวรรค์จนเขาใจอ่อน และรีบเข้ามาช่วย
พยุงพระองค์ลุกขึ้น ขณะที่พลธนูมัดแขนกางเขนข้างหนึ่งไว้กับไหล่ทั้งสองของเขา จากนั้นซีโมนก็ช่วย
พระเยซูเจ้าแบกกางเขนอยู่ด้านหลัง ทำให้พระองค์ไม่ต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของกางเขน
และขบวนก็เคลื่อนต่อได้อีกครั้งหนึ่ง

ซีโมนเป็นคนอ้วนล่ำอายุประมาณ 40 ปี ลูกสองคนโตชื่ออเล็กซานเดอร์และรูฟัส ต่อมาเข้าอยู่ใน
กลุ่มศิษย์ของพระเยซูด้วย ลูกคนที่สามอายุอ่อนกว่ามาก และ 2-3 ปีต่อมาได้ไปอยู่กับนักบุญสเทเฟน
ซีโมนแบกกางเขนได้ไม่นานก็ได้รับพระพรอย่างเต็มเปี่ยม
......................
จบตอนที่(25)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 28, 2022 6:25 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(26)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)ผ้าเช็ดพระพักตร์ของนางเวโรนิกา

หลังจากที่ซีโมนช่วยพระเยซูเจ้าแบกกางเขนได้ราว 200 ก้าว ประตูบ้านทางด้านซ้ายของ
ถนนเปิดออก สตรีที่สง่างามนางหนึ่งรีบเดินฝ่าฝูงชนไปจนถึงพระเยซูเจ้า คุกเข่าลงถวาย
ผ้าคลุมไหล่ให้พร้อมกับกล่าวว่า “ดิฉันขออนุญาตเช็ดพระพักตร์ของพระองค์ค่ะ” พระเยซู
ทรงหยิบผ้าคลุมไหล่เช็ดพระพักตร์และทรงส่งคืนพร้อมกับตรัสขอบคุณ นางจูบผ้าผืนนั้น
และเก็บไว้ในเสื้อคลุม การกระทำอย่างกล้าหาญและรวดเร็วของนางทำให้ขบวนชะงักงัน
ไปชั่วครู่ ซึ่งเปิดโอกาสให้นางสามารถถวายผ้าเช็ดพระพักตร์พระองค์ได้เรียบร้อย
ชาวฟาริสีและทหารโกรธจัด เพราะนอกจากทำให้ขบวนหยุดแล้ว นางยังถวายคารวะพระองค์
ต่อหน้ามหาชนอีกด้วย พวกเขาจึงแก้แค้นด้วยการสับโขกพระองค์อย่างหนัก ขณะที่นางรีบ
กลับเข้าบ้าน

ทันทีที่กลับไปที่ห้อง เธอวางผ้าที่ใช้ซับพระพักตร์วางบนโต๊ะ รู้สึกเข่าอ่อนคล้ายจะเป็นลม
จึงนั่งพัก ครู่ต่อมา เพื่อนของเธอคนหนึ่งเข้าไปหาเธอในห้องนั้น เพื่อนแปลกใจที่เห็นรอยประทับ
รูปพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยพระโลหิตบนผ้าคลุมไหล่ผืนนั้น จึงส่งเสียงเรียกเธอและชี้ไปที่ผ้า
เธอมองไปที่ผ้าพร้อมกับอุทานว่า “บัดนี้ ดิฉันสามารถทิ้งทุกสิ่งได้ด้วยหัวใจที่เป็นสุข
เนื่องจากพระเยซูเจ้าได้ประทานพระองค์เองเป็นที่ระลึกแก่ดิฉันแล้ว”

สมัยนั้นถือเป็นประเพณีแสดงความใจบุญด้วยการมอบผ้าคลุมไหล่ให้แก่ผู้ยากไร้ หรือผู้ป่วย
เพื่อใช้เช็ดหน้า

สตรีผู้กล้าคนนั้นคือนางเซราเฟีย (Seraphia) เธอเป็นภรรยาของที่ปรึกษาคนหนึ่งในพระวิหาร
แต่เรารู้จักเธอในนาม “เวโรนิกา” ซึ่งมีรากศัพท์จากคำว่า “ vera icon”( ภาพที่แท้จริง) เพื่อระลึก
ถึงพฤติกรรมที่ห้าวหาญของเธอในวันนั้น เธอเก็บรักษาผ้าผืนนั้นไว้จนสิ้นชีวิต หลังจากนั้นมีผู้นำ
ไปถวายแด่พระมารดาซึ่งได้มอบต่อให้คณะอัครสาวก และตกเป็นสมบัติล้ำค่าของพระศาสนจักร
ตราบจนทุกวันนี้
-----------------------
จบตอนที่(26)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 29, 2022 9:26 pm

รื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่( 27)

จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(#)การหกล้มครั้งที่สี่และที่ห้า – ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม

เมื่อขบวนเข้าใกล้ประตูเมืองด้านที่มีป้อมปราการ พลธนูผลักพระเยซูเจ้าไปทางแอ่งโคลน
ซีโมนพยายามหักมุมหลบทำให้กางเขนเอนไปชนพระเยซูล้มลงเป็นครั้งที่สี่ และตกลงไป
ในแอ่งโคลน พระเยซูทรงอุทานว่า “เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก ... กี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่เรา
อยากรวบรวมบุตรของท่านเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่ท่านไม่ต้องการ” (มธ 23:37)
ชาวฟาริสีที่ได้ยินพระดำรัส ก็ยิ่งทวีความโกรธ และทุบตีให้พระองค์ทรงลุกขึ้นมาจากแอ่งโคลน
ความโหดร้ายของพวกเขาทำให้ซีโมนโกรธและร้องออกมาว่า “ถ้ายังขืนป่าเถื่อนเช่นนี้ต่อไป
ผมจะเหวี่ยงกางเขนนี้ทิ้งลงกับพื้น และจะไม่แบกต่อ ผมทำแน่แม้ว่าท่านจะฆ่าผมก็ตาม”

หลังจากขบวนผ่านประตูเมืองไปแล้ว ก็มาถึงทางเดินแคบ ๆ ไปทางทิศเหนือสู่เขากัลวาริโอ
เป็นทางชันที่มีทางแยก 3 สาย พระเยซูเจ้าเกือบจะทรงหกล้มอีกครั้งหนึ่ง เคราะห์ดีที่ซีโมน
เข้าพยุงพระองค์ไว้ทัน ที่นั่นมีกลุ่มสตรีส่งเสียงร่ำไห้เป็นทุกข์ที่เห็นสภาพสุดจะอเนจอนาถของ
พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทางสตรีเหล่านี้ ตรัสว่า "ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้
สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูก ๆ เถิด ... เพราะถ้าเขาทำกับไม้สดเช่นนี้
อะไรจะเกิดขึ้นกับไม้แห้งเล่า? ” (ลก 23:28-31)

ขบวนหยุดชั่วครู่ กลุ่มเพชฌฆาตที่ล่วงหน้าไปก่อนไปถึงเขากัลวาริโอแล้วพร้อมกับอุปกรณ์
ตรึงกางเขน ตามด้วยกองทหารที่เดินทางไปพร้อมกับปิลาต แต่ปิลาตร่วมไปกับขบวนจนถึง
ประตูเมืองเท่านั้น ก่อนจะกลับไปที่จวนของท่าน
--------------------
จบตอนที ( 27 )

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 30, 2022 10:26 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(28)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

**พระเยซูเจ้าบนเนินกลโกธา – การหกล้มครั้งที่หกและเจ็ด

ขบวนเดินหน้าต่อไปตามทางที่มีกำแพงเมืองกระหนาบ พระเยซูทรงก้าวเดินพร้อมกับ
แบกกางเขน อย่างยากลำบากเป็นที่สุด เมื่อมาถึงทางหักมุมลงทิศใต้ พระองค์ทรงเสีย
หลักและทรงหกล้มเป็นครั้งที่หก พลธนูทุบตีเต็มแรงเพื่อให้พระองค์ทรงลุกขึ้น และทันทีที่
ถึงเขากัลวาริโอ พระองค์ ก็ทรงหกล้มอีกเป็นครั้งที่เจ็ด ซีโมนสงสารพระองค์มากและแม้จะ
ยังเหนื่อยอยู่แต่ก็ยังคงอยู่กับพระองค์ต่อเพื่อให้ความช่วยเหลือ แต่พลธนูไล่เขาไป เขาจึง
ไปเข้าร่วมอยู่กับกลุ่มศิษย์ของพระองค์ ไม่นานต่อมากลุ่มฟาริสีบนหลังม้าก็มาถึง
ทหาร100 คนยืนอยู่ทั่วบริเวณเขา นักโทษทั้งสองถูกสั่งให้นอนราบบนพื้นโดยที่แขนทั้งสอง
ผูกติดอยู่กับไม้ท่อนขวางของกางเขน ฝูงชนที่ไม่กลัวเป็นมลทินส่วนใหญ่เป็นชนชั้นต่ำ
คนต่างชาติ ทาส และผู้หญิงหลายคนยืนอยู่ห่างออกไปบนเนินสูง

ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 11.45 น.พระเยซูเจ้าทรงถึงจุดที่จะทรงถูกตรึงกางเขน เพชฌฆาต
แก้เชือกที่มัดพระองค์ออกและผลักพระองค์ลงกับพื้นพร้อมกับเยาะเย้ยว่า
“กษัตริย์ผู้ทรงอำนาจล้นฟ้าเอ๋ย เรากำลังเตรียมบัลลังก์ให้แล้ว” พวกเขาทำเครื่องหมาย
กำหนดจุดบนกางเขนสำหรับพระบาทและพระหัตถ์แต่ละข้าง จากนั้นก็พาพระองค์ไปยังหลืบหิน
ที่มีช่องลงไปเป็นห้องใต้ดิน ผลักพระองค์ลงไปปะทะกับพื้นห้องที่เป็นหินแข็งอย่างเต็มที่
ดิฉันได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพระองค์ แต่พวกเขาปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว
และให้ทหารยืนเฝ้าไว้

เพชฌฆาตขุดหลุม 3 หลุมก่อนวางกางเขนสำหรับนักโทษไว้ทางซ้ายและขวาของกางเขน
สำหรับพระเยซูเจ้า หลุมของนักโทษอยู่ต่ำกว่าของพระองค์ พวกเขาผูกไม้ท่อนด้านขวางติดแน่น
กับไม้ท่อนยาว ตอกแผ่นไม้รองพระบาทด้านล่างของไม้ท่อนยาวเพื่อรับน้ำหนักร่างของผู้ถูกตรึง
เจาะรูเตรียมตอกตะปูที่มือและเท้า และเจาะไม้ท่อนยาวด้านบนให้เว้าลึกเข้าไปสำหรับรองรับศีรษะ
และหลัง เพื่อให้ร่างติดอยู่กับกางเขนได้โดยไม่ตกลงมาเพราะการฉีกขาดที่มือและเท้า

วัตถุประสงค์ของการเตรียมการที่ดูดีนี้ ก็เพื่อที่จะยืดเวลาการทรมานให้ยาวนานขึ้น
----------------------
จบตอนที่ (28)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2022 7:18 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่( 29)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(&)พระมารดาและสตรีใจศรัทธาไปที่เขากัลวาริโอและการตรึงกางเขน

พระมารดา, มารธา, มารีย์ มักดาลา และสตรีใจศรัทธา 17 คนเดินไปตามทุกรอยพระบาท
ของพระเยซูเจ้า พระนางได้รับการส่องสว่างภายในจึงสามารถชี้ทุกจุดที่พระเยซูทรงได้รับ
ความทรมานมากเป็นพิเศษ ดังคำทำนายของผู้เฒ่าสิเมโอนที่ว่าดวงหทัยของพระนางจะถูก
คมกระบี่ทิ่มแทง พระนางมารีย์เผยเรื่องนี้แก่เพื่อน ๆ ซึ่งได้ถ่ายทอดต่อให้กับชนรุ่นหลัง

หลังจากเดินตามมรรคาศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าแล้ว ทั้งหมดก็เดินต่อไปทางตะวันตกของเขา
กัลวาริโอที่ไม่ชันนัก แต่มารธา, มารีย์ มารดาของมาระโกกับเพื่อนบางคนอยู่ด้านล่างกับ
มารีย์ มักดาลาที่แทบจะทรงตัวเดินไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีสตรีใจศรัทธาอีกกลุ่มหนึ่งในบริเวณ
ที่ต่ำลงมา พระมารดายืนราวกับถูกมนต์สะกดขณะเพ่งมองไปยังจุดที่บุตรของนางกำลังจะถูก
ตรึงกางเขน สิ่งที่พระมารดามองเห็นได้ที่จุดนั้นคือกางเขนที่น่าหวาดเสียว ค้อน เชือก ตะปูยาว
และเพชฌฆาตใจทมิฬที่อยู่ในอาการกึ่งเมา ความปวดร้าวของพระนางเพิ่มมากขี้นที่ไม่เห็นบุตร
ของพระนางที่นั่น

ทันทีที่เตรียมการตรึงกางเขนเสร็จ พลธนูทั้งสี่ก็ไปลากพระเยซูออกมาจากโพรงหินมาที่ไม้กางเขน
เพชฌฆาตกระชากเสื้อคลุมและดึงมงกุฎหนามออก พระผู้ไถ่ของเราประทับยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูผู้
ไร้ความปรานี พระวรกายสั่นเทิ้มจนพวกเพชฌฆาตกลัวว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ก่อนจะได้สนุก
สนานกับการตรึงกางเขนอย่างป่าเถื่อน พวกเขาจึงรีบรับพระวรกายที่กำลังจะฟุบลงและพาไป
ประทับนั่งพิงหินใหญ่ก้อนหนึ่งก่อนจะนำมงกุฎหนามมาสวมพระเศียรอีกครั้งหนึ่ง

พวกเขาไม่ปล่อยให้พระองค์ได้ประทับนั่งอยู่นานก่อนจะทรงถูกเรียกให้ไปประทับนอนราบบนไม้
กางเขน, ดึงพระหัตถ์ขวาไปทาบเหนือรูตะปูที่เจาะไว้แล้ว, ใช้เชือกมัดพระหัตถ์ติดแน่นกับปลาย
ไม้ท่อนขวางด้านซ้ายและขวา, เพชฌฆาตคนแรกใช้หัวเข่าคร่อมพระวรกายกดลงที่พระอุระเพื่อจะ
ทำงานได้สะดวก, คนที่สองกางพระหัตถ์ออกและกดให้ติดกับไม้กางเขน จากนั้นคนที่สามก็หยิบ
ตะปูยาวให้ปลายสัมผัสกลางฝ่าพระหัตถ์ที่แบอยู่และใช้ค้อนเหล็กตอกหัวตะปูผ่านพระหัตถ์ลึก
เข้าไปในไม้กางเขน
หลังจากตอกพระหัตถ์ขวาเสร็จ พวกเขาสังเกตว่ารูตะปูที่เจาะเตรียมไว้สำหรับพระหัตถ์ซ้ายอยู่ไกล
เกินไป พวกเขาจึงใช้เชือกพันพระหัตถ์ซ้ายและดึงเชือกอย่างแรงเพื่อให้พระหัตถ์ซ้ายยืดออกไป
จนถึงรูตะปูที่เจาะเตรียมไว้ เป็นการดึงอย่างป่าเถื่อนที่ทำให้พระเยซูทรงเจ็บปวดจนพระอุระ
กระเพื่อมขึ้นลงและพระบาทหดเข้าหากัน พวกเขาใช้วิธีเดิมในการตอกตะปูที่พระหัตถ์ขวา และ
:s013: ในที่สุด พระหัตถ์ทั้งสองก็ถูกเค้นเหยียดออกกว้างจนผิดธรรมชาติ

เพชฌฆาตมัดแผ่นไม้รองพระบาทกับด้านล่างของกางเขนท่อนยาว, ฉุดพระวรกายทั้งร่างให้สูงขึ้น
อย่างแรง,ใช้เชือกมัดพระชานุ (เข่า) กดลงให้ติดกับไม้ท่อนยาว และเมื่อสังเกตเห็นว่าตำแหน่ง
ของพระบาททั้งสองอยู่สั้นกว่าไม้รองพระบาทที่ผูกติดกับกางเขนแล้ว พวกเขาก็ใช้วิธีเดิมคือ
ใช้เชือกมัดพระบาทและฉุดลากลงมาจนพระบาทเลื่อนไปอยู่บนที่รองพระบาท ก่อนจะมัดพระบาท
ติดกับกางเขน ก่อนหน้านั้นพวกเขาเจาะเท้าทั้งสองเป็นรูเพราะไม่สามารถตอกตะปูทะลุพระบาท
ทั้งสองข้างได้ในคราวเดียวกัน จากนั้นจึงใช้ตะปูที่ยาวมากตอกทะลุพระบาททั้งสองลึกเข้าไปใน
ไม้กางเขนจนสุด นับเป็นทารุณกรรมที่เจ็บปวดสุดประมาณโดยเฉพาะเมื่อพระวรกายเหยียดออก
จนผิดธรรมชาติอยู่แล้ว

เมื่อตรึงกางเขนเสร็จแล้ว นายร้อยผู้บัญชาการก็สั่งให้ตอกป้ายข้อความของปิลาตไว้ที่ปลายกางเขน
ด้านบน ชาวฟาริสีไม่พอใจกับข้อความที่ติดอยู่ และโกรธยิ่งขึ้นเมื่อถูกทหารโรมันเยาะเย้ยโดยชี้ไป
ที่ข้อความที่อ่านได้ว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขา” พวกเขารีบกลับเข้าเมืองเพื่อขอให้
ปิลาตเปลี่ยนข้อความอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่เป็นผล การตรึงกางเขนเสร็จเวลาประมาณ 12.15 น.
_________________
จบตอนที่ (29)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ เม.ย. 01, 2022 1:39 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(30)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)การปักพระมหากางเขนและการตรึงกางเขนนักโทษทั้งสอง

เมื่อตรึงกางเขนพระเยซูเจ้าเสร็จ เพชฌฆาตก็ผูกเชือกหลายเส้นที่ไม้ท่อนยาวของกางเขน
และผูกปลายเชือกชุดหนึ่งกับไม้ยาวอีกแผ่นหนึ่งที่ฝังแน่นอยู่ในดินที่อยู่ห่างไปเล็กน้อยเพื่อ
ใช้ยึดขณะยกกางเขนขึ้นตั้งตรง ปลายเชือกอีกชุดหนึ่งมีไว้เพื่อลากกางเขนให้เลื่อนลงไปใน
หลุมที่ขุดเตรียมไว้แล้ว—กางเขนที่หนักอึ้งตกลงไปกระแทกกับก้นหลุมที่เป็นหินจนเกิดเสียงดัง
น่ากลัว พระเยซูทรงส่งเสียงร้องเบา ๆ เมื่อบาดแผลที่พระบาทและที่พระหัตถ์ฉีกขาดมากขึ้น
พลธนูช่วยกันกดกระแทกไม้กางเขนให้ปักลงไปในหลุมจนสุดและตอกไม้ 5 ชิ้นค้ำฐานกางเขน
โดยรอบให้มั่นคง
หลังจากเสียงดังกึกก้องที่เกิดจากปลายกางเขนกระแทกกับหินที่ก้นหลุมผ่านไป ความเงียบสงัด
เกิดขึ้นทั่วบริเวณ หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านอย่างน่ากลัว ขณะที่ดวงวิญญาณของผู้ที่อยู่ในแดน
ผู้ตาย ต่างแสดงความยินดีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณการปรากฏองค์ของพระผู้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้น
นี่คือการปักกางเขนศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกบนโลกมนุษย์ที่ทรงคุณค่าหาขอบเขตมิได้ เปรียบได้กับการปัก
ต้นไม้แห่งชีวิตบนสวรรค์ เนื่องจากพระองค์มีแผลทั่วพระวรกายของพระเยซูเจ้าเป็นเสมือนน้ำพุ​
น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลออกเป็นลำธารสี่สายเพื่อชำระล้างโลกที่ตกอยู่ใต้คำสาปของบาป และนำสู่
ความรอดพ้น

ระหว่างที่ตรึงกางเขนพระเยซูเจ้าอยู่นั้น นักโทษสองคนถูกทิ้งไว้บนพื้นดินห่างออกไปเล็กน้อย
ทั้งสองถูกตัดสินลงโทษข้อหาฆาตกรรมสตรีชาวยิวพร้อมกับลูกของนาง ดิฉันเห็นนักโทษคนที่
อยู่ทางด้านขวาของพระเยซู (“ดิสมาส” : Dismas) อายุน้อยกว่าคนทางซ้ายมาก คนทางซ้าย
(“เกสมาส” : Gesmas) เป็นอาชญากรใจแข็งกระด้างและเป็นคนชวนดิสมาสเข้าร่วมแก๊งปล้น
ตามชายแดนประเทศอียิปต์ พวกเขาซ่อนตัวในถ้ำที่ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์เคยเข้าไปพักแรมเมื่อ
คราวที่หนีกษัตริย์เฮโรดไปอียิปต์
ครั้งนั้น แม่ของดิสมาสให้ที่พักพิงแก่ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ขณะพาพระกุมารเยซูหนีไปอียิปต์ ดิสมาส
ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็กและเป็นโรคเรื้อน แต่หลังจากนำดิสมาสไปจุ่มในน้ำที่ใช้ทำความสะอาดพระกุมาร
ดิสมาสก็หายจากโรคเรื้อน ส่วนการชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์ของดิสมาสนั้น เขาได้รับบนเขากัลวาริโอ
เดชะพระบารมีของพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลหลั่งบนกางเขนเพื่อความรอดของมนุษย์ทุกคนที่มีความเชื่อ​
ที่จริงดิสมาสไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าเลย แต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่มีจิตใจไม่แข็งกระด้างอยู่แล้ว
เมื่อได้เห็นความอดทนอย่างเหลือเชื่อของพระองค์ระหว่างพระมหาทรมาน เขาก็เกิดสำนึกถึงความผิด
เมื่อเพชฌฆาตปักกางเขนของพระเยซูเสร็จก็สั่งให้นักโทษทั้งสองลุกขึ้นทันที ถอดโซ่ตรวนออกโดยไม่รอช้า
เพราะขณะนั้นดูคล้ายจะเกิดพายุ หลังจากให้มดยอบผสมน้ำองุ่นเปรี้ยว (ซึ่งเชื่อว่าสามารถบรรเทา
ความเจ็บปวดได้) ดื่มแล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของทั้งสองออก ใช้เชือกพันแขนและดึงขึ้นไป
บนกางเขนโดยใช้บันไดปีนขนาดเล็กช่วย ก่อนที่จะใช้เชือกมัดแขน ข้อมือ ข้อศอก หัวเข่า และเท้าติด
กับกางเขนตามลำดับ
------------------------
จบตอนที่ ( 30 )

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 02, 2022 11:13 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(31)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(%)พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนและพระดำรัสแรก

หลังจากเพชฌฆาตปักกางเขนของพระเยซูแล้วก็วางบันไดปีนที่ด้านข้างของกางเขนและแก้เชือก
ทั้งหมดที่มัดไว้ก่อนการปักกางเขนเพื่อไม่ให้พระวรกายร่วงหลุดจากกางเขนขณะที่ปลายกางเขน
ด้านล่างกระแทกกับก้นหลุม กางเขนทั้งสามมีระยะกว้างห่างกันพอให้คนขี่ม้าขี่ผ่านไปได้

เมื่อเพชฌฆาตตรึงกางเขนทุกคนแล้วก็หันไปสบประมาทพระเยซูอีก 2-3 คำก่อนจากไป ชาวฟาริสี
ก็เช่นกัน ขี่ม้ามาด่าว่าที่เบื้องหน้าพระมหากางเขนครู่หนึ่งแล้วก็ขี่ม้าออกไป จากนั้นก็มีทหารชุดใหม่
50 คนมาเปลี่ยนเวร ผู้บัญชาการชุดใหม่ได้แก่นายร้อย ’อะเบนาดาร์’ และรองผู้บัญชาการคัสซีอุส

เนื่องจากพระวรกายของพระเยซูซีดมากขึ้นราวกับกำลังจะหมดพระสติ ทหารคนหนึ่งจึงไปหยิบ
ฟองน้ำจุ่มน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์ พลางเยาะเย้ยว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของ
พระเจ้า จงช่วยตัวเองให้รอดพ้น ลงมาจากไม้กางเขนซิ”(มธ 27:40) ขณะที่พระเยซูตรัสว่า
“พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลก 23:34)

เกสมาสผู้ไม่สำนึกผิดร้องขึ้นว่า “แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ จงช่วยตนเองและช่วยเรา
ให้รอดพ้นด้วยซิ” (ลก 23:39) ดิสมาสประทับใจและสำนึกผิดยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินพระดำรัสเพื่อศัตรู
ของพระองค์ ขณะที่พระมารดาได้ยินพระดำรัสของพระบุตร ก็รีบเดินมาที่กางเขนตามด้วยยอห์น
และสตรีใจศรัทธาบางคนโดยที่นายร้อยผู้บัญชาการไม่ได้ห้ามปราม

ดิสมาสได้รับพระพรจากคำภาวนาของพระเยซูเจ้าที่ดลใจให้เขาระลึกได้ในทันใดนั้นว่า
เป็นพระเยซู และพระนางมารีย์ผู้รักษาเขาหายจากโรคเรื้อนเมื่อตอนเป็นเด็ก ดิสมาสจึงตอบโต้
เกสมาสว่า “ท่านพูดดูถูกพระองค์ได้อย่างไรทั้งที่พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อท่าน? พระองค์
ทรงเป็น กษัตริย์ของเราและพระบุตรของพระเจ้า” คำเตือนโดยไม่คาดฝันจากปากของผู้ร้ายที่กำลัง
จะเสียชีวิตก่อให้เกิดความโกลาหลแก่ศัตรูของพระองค์ที่นั่น พวกเขาคว้าก้อนหินจะขว้างปาไปที่
เขาแต่นายร้อยห้ามไว้

จากนั้นดิสมาสก็พูดกับเกสมาสที่ยังคงสบประมาทพระเยซูเจ้าว่า “...สำหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว
เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดเลย...”(ลก 23:40-42) จากนั้น
ดิสมาสก็สารภาพบาปทั้งชีวิตกับพระเยซูเจ้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเวลา 12.30 น. การเปลี่ยนแปลง
อย่างฉับพลันของดิสมาสส่งผลให้จิตใจของทุกคนในบริเวณนั้นประหวั่นพรั่นพรึง
--------------------------
จบตอนที่( 31)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 03, 2022 10:41 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(32)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(=)ดวงอาทิตย์มืด -- พระดำรัสที่สองและที่สามของพระเยซูเจ้า

เช้าวันนั้นมีลูกเห็บตกลงมาเล็กน้อย หลัง 10 โมงเช้าพระอาทิตย์เริ่มส่องแสง ไม่นานต่อมา
ก็มีหมอกสีแดงและท้องฟ้าเริ่มมืดมัวเมื่อใกล้เที่ยงวัน ครู่ต่อมาก็มืดลงอย่างรวดเร็ว ขณะนั้น
ดิฉันรู้สึกเหมือนถูกยกออกไปนอกโลก มองเห็นดวงดาวเคลื่อนออกนอกวงโคจร หลังจากนั้น
ดิฉันก็ถูกนำกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม ท้องฟ้าดำทมึนมากขึ้น ทั้งคนและสัตว์ต่างตกใจกลัว
ศัตรูของพระเยซูเจ้าเลิกพูดจาถากถางพระองค์ ขณะที่ชาวฟาริสีหาเหตุผลอธิบายไม่ได้
และที่สุดก็เงียบไปเอง
หลายคนสำนึกผิดตีอกชกหัวร้องขึ้นว่า “ขอให้เลือดของเขาตกลงเหนือฆาตกรของเขาเถิด!”
ความมืดยังคงมีมากขึ้น แทบทุกคนแยกย้ายกันไปจากกางเขน ยกเว้นพระมารดา ยอห์นและ
สตรีบางคน ดิสมาสพูดด้วยความหวังและเจียมตนว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า โปรดระลึกถึง
ข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์” (ลก 23:42) --
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์” (ลก 23:43)
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงผินพระพักตร์ไปทางพระมารดาและผู้ที่อยู่ด้วย ตรัสว่า
“สตรีเอ๋ย นี่คือลูกของแม่” (เทียบ ยน 19:26) และตรัสกับยอห์นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” (ยน 19:27)

ดิฉันไม่ประหลาดใจที่พระเยซูทรงเรียกพระมารดาว่า “สตรี” เพราะเข้าใจดีว่า พระองค์ทรงมี
พระประสงค์ที่จะเผยแสดงว่า ณ บัดนี้“พระมารดา” คือ “สตรี”ผู้บดขยี้หัวงู และทำให้ข้อความ
ในพระคัมภีร์กำลังจะเป็นความจริงด้วยการสิ้นพระชนม์ของบุตรของสตรีผู้นี้ ดิฉันทราบด้วยว่า
โดยการมอบ “สตรี” เป็นแม่ของยอห์น ก็เท่ากับเป็นแม่ของ “ทุกคนที่เชื่อในพระองค์” เพราะผู้ที่
เชื่อในพระองค์ก็เป็นบุตรของพระเจ้าที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือจากความปรารถนาตามธรรมชาติ
แต่เกิดใหม่จากพระเจ้า” (เทียบ ยน 1:13)
----------------------------
จบตอนที่(32)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 06, 2022 11:51 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(33)
จากนิมิตบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ชาวเมืองเยรูซาเล็มหวาดกลัว – พระดำรัสที่สี่ของพระเยซูเจ้า

ประมาณบ่ายโมงครึ่ง ดิฉันถูกพาเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มและเห็นชาวเมืองหวาดกลัวและเป็น
กังวลมาก ถนนหนทางมืดมัวและวังเวง ดิฉันเห็นปิลาตกำลังปรึกษากษัตริย์เฮโรดเกี่ยวกับ
สภาพการที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ทั้งสองตื่นตระหนก ปิลาตคิดว่า “เป็นเพราะเทพเจ้าพิโรธอย่างแน่นอน
พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยเนื่องจากการกระทำอย่างโหดร้ายต่อเยซูชาวนาซาเร็ธ” ปิลาตส่งคน
ไปตามผู้อาวุโสบางคนมาสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความมืดมิดที่แปลกประหลาดอยู่นี้
ผู้อาวุโสที่ถูกตามตัวมายังคงมีใจแข็งกระด้าง ยืนยันกับปิลาตว่า เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากกลับใจ รวมทั้งทหารชุดแรกที่ถูกส่งไปจับกุมพระองค์ที่สวนมะกอก

ฝูงชนที่ร้องตะโกนเช้าวันนั้นว่า “เอาไปตรึงกางเขน!”กลับมาชุมนุมที่หน้าจวนของปิลาตอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้พวกเขาส่งเสียงร้องด้วยความโกรธว่า “ผู้พิพากษาที่ไม่เป็นธรรม จงพินาศ!” ปิลาตตกใจ
กลัวมาก ขอทหารรักษาการเพิ่ม และพยายามโยนความผิดไปให้ชาวยิว ปิลาตประกาศอีก
ครั้งหนึ่งว่า ท่านไม่เกี่ยวข้องและได้ “ล้างมือ”ไปแล้ว และทุกคนก็รู้แก่ใจอยู่แล้วว่า
ท่านถูกบังคับ โดยไม่มีทางเลือก ให้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้า

ชาวยิวพากันมาเข้ามาในพระวิหารจนแน่นขนัด พวกเขาตั้งใจมาถวายลูกแกะปัสกาเป็นยัญบูชา
แต่เมื่อเกิดความมืดมิดจนมองไม่เห็นหน้ากัน พวกเขาก็ตกใจกลัวส่งเสียงร่ำไห้ดังไปทั่ว บรรดา
หัวหน้ามหาสมณะพยายามรักษาระเบียบ และให้จุดตะเกียงทุกดวง อันนาสก็หวาดกลัวเช่นกัน
ดิฉันเห็นเขาเปลี่ยนที่หลบซ่อนจากที่หนึ่งแล้วก็ย้ายไปอีกที่หนึ่ง ชาวฟาริสีก็ตกใจกลัวไม่แพ้กัน
แต่พยายามตีสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่สุดพวกเขาก็แพ้ใจตัวเองและอยู่ในความเงียบ
แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็มีอาการหวาดกลัวส่งเสียงร้องโหยหวน ขณะที่หมอกที่หนาทึบแผ่เข้าปกคลุมทุกสิ่ง

พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนอยู่เดียวดาย ทุกคนละทิ้งพระองค์ไปหมด แม้แต่พระมารดาก็มีผู้พา
ออกไปจากที่นั่น พระวิญญาณของพระองค์ทรงเศร้าและขมขื่นสุดที่จะพรรณนาได้ พระองค์ทรง
มอบพินัยกรรมบุญกุศลจากพระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์แก่พระศาสนจักรและคนบาปทั้งหลาย

ราวบ่ายสามโมง พระองค์ทรงร้องด้วยเสียงอันดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบัคทานี” (มธ 27:46)
ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้ง
ข้าพเจ้าเล่า?” (มธ 27:46) เมื่อพระมารดาได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตร พระนางก็ไม่สามารถอยู่
ที่เดิมได้อีกต่อไป รีบกลับไปที่เชิงพระมหากางเขน ตามด้วยยอห์น, มารีย์ บุตรของเคลโอปัส, มารีย์
มักดาลาและนางสะโลเม ชาวฟาริสีเริ่มรู้ตัวว่าพวกตนควรสงบปากสงบคำได้แล้ว เพราะการ
หวั่นวิตกอย่างหนักของชาวกรุงเยรูซาเล็มอาจก่อจลาจลมาคิดบัญชีกับพวกตนได้
ดังนั้นชาวฟาริสีจึงปรึกษากับนายร้อยอะเบนาดาร์ซึ่งมีความเห็นตรงกันคือให้ปิดประตูเมืองด้านที่อยู่
ใกล้กับกางเขน เพื่อไม่ให้ผู้คนย่านนั้นติดต่อถึงกันได้ และขอให้ปิลาตและกษัตริย์เฮโรดส่งกำลังทหาร
เพิ่มอีก 500 คนเพื่อป้องกันการก่อจลาจล ขณะที่นายร้อยอะเบนาดาร์ควบคุมรักษาความสงบอย่าง
เต็มที่ และห้ามชาวฟาริสีสบประมาทพระเยซูเจ้าอีกต่อไป

หลังบ่ายสามโมงไม่นาน มีแสงสว่างมากขึ้น ศัตรูของพระเยซูก็เริ่มหยิ่งยโสอีกและเมื่อได้ยินพระเยซู
ทรงร้องว่า “เอลี เอลี...” พวกเขาจึงพูดกันว่า “เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์” (มธ 27:47)
-------------------
จบตอนที่(33)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 06, 2022 11:59 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(34)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)พระดำรัสที่ห้า, หก และเจ็ดของพระเยซูเจ้า – การสิ้นพระชนม์

แสงแดดสว่างมากขึ้นจนสามารถมอ​มองเห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ขาวซีดมากขึ้น ดิฉันได้
ยินพระองค์ทรงร้องขึ้นว่า "เราถูกบีบอัดเช่นเดียวกับผลองุ่นที่ถูกคั้น โลหิตของเราจะหลั่งออก
จนเหลือแต่น้ำที่ไหลออกมา แต่จะไม่มีการทำเหล้าองุ่นที่นี่อีกแล้ว" ขณะนั้นพระเยซูเจ้าใกล้จะ
ทรงหมดพระสติ ตรัสว่า “เรากระหาย” (ยน 19:28) ทหารนำฟองน้ำจุ่มน้ำองุ่นเปรี้ยวผสมน้ำดี
เตรียมยื่นให้พระองค์ ทันใดนั้น นายร้อยอะเบนาดาร์ผู้มีใจเมตตาคว้าฟองนั้นและบีบส่วนที่เป็น
น้ำดีทิ้งก่อนจะจุ่มน้ำองุ่นเปรี้ยวใหม่ จากนั้นก็เสียบฟองน้ำไว้ที่ปลายไม้อ้อที่เสียบติดอยู่กับปลาย
หอกส่งให้พระองค์ขณะที่ผู้ที่ยืนดูเหตุการณ์เริ่มร้องตะโกนด่าว่าพระเยซูอีก แต่นายร้อยฯ
ออกคำสั่ง ไม่ให้พวกเขาพูด <

ที่สุดเวลาของพระองค์ก็มาถึง ยอห์นยืนอยู่ที่เชิงพระมหากางเขน มารีย์ มักดาลาหมอบกราบอยู่
กับพื้น พระมารดายืนอยู่ระหว่างพระเยซูเจ้ากับดิสมาสเพ่งมองดูสีพระพักตร์ของพระบุตร ครู่ต่อมา
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” (ยน 19:30) พระองค์ทรงยกพระเศียรขึ้นและทรงร้องเสียง
ดังว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลก 23:46)

ดิฉันมองเห็นพระวิญญาณของพระองค์ในลักษณะของดาวตกสุกสว่าง ผ่านลงไปในพื้นดินใต้กางเขน
นายร้อยฯจ้องตาไม่กระพริบไปที่พระพักตร์และรู้สึกสะเทือนใจมากกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระดำรัส
สุดท้ายที่ตรัสด้วยพระสุรเสียงดัง ก้องสะท้อนไปทั่วจักรวาล แผ่นดินสั่นสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว
ขณะที่พระวิญญาณของพระเยซูเจ้าออกจากพระวรกายของพระองค์ไป

เสียงร้องสุดท้ายของพระองค์ก่อให้เกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจของทุกคน นี่คือเสี้ยวเวลาแห่งพระพร
สำหรับนายร้อยอะเบนาดาร์ หัวใจที่แข็งแกร่งของท่านแตกสลายด้วยความสะเทือนใจ ท่านขว้าง
หอกออกไปไกล ช้อนอกพร้อมกับร้องว่า “ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าสูงสุด พระเจ้าแห่งอับราฮัม
พระเจ้าแห่งอิสอัค และพระเจ้าแห่งยาโคบ – ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่ทีเดียว!” (มก 15:39)

คำพูดของท่านทำให้ทหารหลายคนกลับใจ ผู้ดูเหตุการณ์หลายคนช้อนอกตัวเอง ร้องไห้และกลับไป
ที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความกลัว ยอห์นที่หมอบกราบอยู่กับพื้นลุกขึ้นยืน สตรีใจศรัทธาที่อยู่ไม่ไกล
นักเข้ามาหาพระมารดาและพาออกไปจากเชิงพระมหากางเขน

นับแต่นั้นมา นายร้อยฯ ก็เลิกรับใช้ศัตรูของพระเจ้า ท่านมอบม้าและหอกของท่านให้กับรอง
ผู้บัญชาการคัสซีอุสทำหน้าที่บัญชาการต่อ จากนั้นนายร้อยก็กลับเข้าไปในเมืองเพื่อพบปิลาต

พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์เวลาประมาณบ่ายสามโมง ชาวฟาริสีตกใจกลัวมากเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
ทหารโรมันยืนประจำการอยู่ตามประตูเมืองและตามสถานที่สำคัญในเมืองเพื่อป้องกันการก่อจลาจล
รองผู้บัญชาการคัสซีอุสอยู่ที่เขากัลวาริโอกับทหาร 50 คน พระสหายของพระเยซูเจ้ายืนอยู่รอบ
พระมหากางเขน มองไปที่พระองค์และร้องไห้ ทุกคนเศร้าโศกและอยู่ในความเงียบ
-----------------------
จบตอนที่(34)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 07, 2022 12:08 am

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(35)
)จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(#)แผ่นดินไหว – การปรากฏตัวของผู้ตายในกรุงเยรูซาเล็ม

ดิฉันมองเห็นพระวิญญาณของพระเยซูเจ้าขณะสิ้นพระชนม์ มีลักษณะกลมและสว่างไสว
ห้อมล้อมด้วยทูตสวรรค์ที่เชิงกางเขน ทูตสวรรค์เหล่านี้โยนปีศาจจำนวนมากลงไปในเหวใหญ่
และได้ยินพระเยซูเจ้าทรงบัญชาให้วิญญาณหลายดวงกลับสู่ร่างเดิมเป็นประจักษ์พยานถึง
พระเทวภาพของพระองค์และติเตียนเหล่าคนชั่วที่กำลังตกใจกลัวจนตัวสั่น

เมื่อความสว่างกลับเป็นปกติ บรรดาหัวหน้าพระสมณะแนะนำผู้คนให้ถวายยัญบูชาลูกแกะปัสกา
(ที่หยุดไปเพราะความมืดก่อนหน้านั้น) ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวในกรุงเยรูซาเล็ม ม่านในพระวิหาร
ฉีกขาดตรงกลางจากบนลงล่าง ระยะแรกภายในพระวิหารโดยเฉพาะผู้ที่ถวายยัญบูชายังคงรักษา
ระเบียบภายนอกอย่างเคร่งครัดขณะที่พระสงฆ์ประกอบพิธีต่อไปอย่างเคร่งขรึม เริ่มด้วยการฆ่า
ลูกแกะ, ประพรมเลือดลูกแกะ, ขับร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์ และเป่าแตร แต่เมื่อเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น
ใบหน้าของพวกเขาก็เริ่มถอดสีอย่างเห็นได้ชัด และในที่สุดก็หยุดถวายยัญบูชา มีเสียงคนวิ่ง
ไปที่ประตูทางออก และในท่ามกลางความโกลาหลนั้น คนตายหลายคนที่ฝังไปนานแล้วปรากฏตัว
ผ่านเข้ามาตำหนิพวกเขาอย่างรุนแรงที่ได้ร่วมก่ออาชญากรรมประหารชีวิตพระเยซูเจ้าในวันนั้น
มหาสมณะคายาฟาสและบริวารยังคุมสติได้ พวกเขามีจิตใจแข็งกระด้างและรักษาท่าทีภายนอก
ที่เยือกเย็นไว้ได้อย่างไม่มีที่ติเพื่อไม่ให้ประชาชนคิดว่าภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นเป็นพยานยืนยันความ
บริสุทธิ์ของพระเยซูเจ้า ดิฉันเห็นเหตุการณ์มหัศจรรย์มากมายในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะการ
ปรากฏตัวของประกาศกเยเรมีย์ใกล้พระแท่นในพระวิหาร ประกาศด้วยน้ำเสียงที่ดุดันว่า
การถวายเครื่องบูชาแบบเดิมจบสิ้นไปแล้ว และขอให้เริ่มการถวายเครื่องบูชาแบบใหม่

อันนาสเป็นผู้นำทุกครั้งที่มีการต่อต้านพระเยซู แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือธรรมชาติทำให้เขาตกตะลึง
จนหาที่ซ่อนตัวไม่ถูก ที่จริงมหาสมณะคายาฟาสก็ตกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน แต่ท่านหยิ่งผยอง
มากจึงเก็บซ่อนความวิตกกังวลไว้ได้ มหาสมณะพูดให้กำลังใจอันนาสซึ่งก็ได้ผลในระยะแรก
แต่เมื่อมีผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน คำพูดของมหาสมณะคายาฟาสก็ไม่ได้ผล
อีกต่อไป อันนาสยังคงรู้สึกหวาดกลัวและเป็นทุกข์อย่างหนัก

ขณะที่เกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้นในพระวิหารนั้น ความโกลาหลก็เกิดขึ้นทั่วกรุงเยรูซาเล็มไม่น้อย
กว่ากัน แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนกำแพงและผนังบ้านจนพังลงหลายแห่ง ปิลาตซึ่งเป็นคนเชื่อโชคลาง
อยู่แล้วตกใจกลัวจนพูดไม่ออก วังของท่านสั่นคลอนจนถึงโคนราก ท่านวิ่งเข้าห้องโน้นออกห้องนี้
ด้วยความตกใจ และก็มีคนตายปรากฏกายมาด่าว่าท่านที่พิพากษาพระเยซูเจ้าอย่างอยุติธรรม
กษัตริย์เฮโรดก็ทรงตื่นตระหนกเช่นกัน แต่พระองค์ประทับอยู่ในวังโดยไม่ให้ผู้ใดเห็น

คนตายมากกว่าร้อยคนที่เสียชีวิตในยุคสมัยต่าง ๆ กลับสู่ร่างเดิม และปรากฏตัวทั่วกรุงเยรูซาเล็ม
สร้างความตกตะลึงแก่ชาวเมือง ร่างที่กลับคืนสภาพเดิมเหล่านั้นเคลื่อนไปมาตามท้องถนนโดย
ไม่สัมผัสพื้นดิน พวกเขาเข้าไปในบ้านของลูกหลาน ป่าวประกาศความบริสุทธิ์ของพระเยซูเจ้า
และตำหนิผู้ที่มีส่วนในการประหารชีวิตพระองค์อย่างโหดเหี้ยม ดิฉันมองเห็นพวกเขาผ่านไป
ตามถนนสายหลัก และมักเคลื่อนตัวไปเป็นคู่ ๆ พูดเสียงแปร่ง ๆ และเมื่อพวกเขาไปถึงบริเวณที่มี
การอ่านคำพิพากษาประหารชีวิตพระเยซูเจ้า ก็หยุดชั่วครู่และร้องด้วยเสียงที่ดังว่า
“ขอถวายพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเยซูเจ้าตลอดนิรันดร์ และขอให้ศัตรูทั้งหลายของพระองค์จงพินาศ!”
พวกเขากลับสู่หลุมศพในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น การถวายยัญบูชาในพระวิหารขาดตอนอยู่นาน
และมีเพียงไม่กี่คนที่ได้กินเลี้ยงลูกแกะปัสกาเย็นวันนั้น
-----------------------
จบตอนที่(35)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 07, 2022 12:13 am

:s002: :s002:
ตอบกลับโพส